นายวันชัย จันทร์พร ผู้ว่าราชการจังหวัดนครพนม เป็นประธานในพิธี ส่งมอบโครงการเลี้ยงไก่ไข่เพื่ออาหารกลางวันนักเรียน ที่เครือซีพี โดยมูลนิธิเจริญโภคภัณฑ์พัฒนาชีวิตชนบท และ บริษัท เจริญโภคภัณฑ์อาหาร จำกัด (มหาชน) หรือ ซีพีเอฟ ร่วมกับ หอการค้าญี่ปุ่น-กรุงเทพฯ หรือ JCC ดำเนินการเข้าสู่ปีที่ 36 หนุนโภชนาการที่ดี สร้างคลังอาหารในโรงเรียน-ชุมชน มุ่งถ่ายทอดเทคโนโลยีสู่เยาวชน ปูพื้นฐานอาชีพนำองค์ความรู้ไปใช้ในอนาคต ณ โรงเรียนบ้านนาคำ (โพนสวรรค์) อ.โพนสวรรค์ จ.นครพนม

 

ผู้ว่าราชการจังหวัดนครพนม เปิดเผยว่า  รู้สึกประทับใจเป็นอย่างยิ่งที่ JCC ให้ความสำคัญในการส่งเสริมภาวะโภชนาการที่ดีแก่เด็กและเยาวชนไทย ด้วยการสนับสนุนโครงการเลี้ยงไก่ไข่เพื่ออาหารกลางวันนักเรียน โดยโครงการฯ นี้เป็นตัวอย่างของการบูรณาการงานร่วมกับภาครัฐ และภาคเอกชน โดยมี มูลนิธิฯ เป็นกลไกขับเคลื่อนหลัก หวังเป็นอย่างยิ่งว่าโรงเรียนทั้ง 4 แห่งในพื้นที่จังหวัดนครพนม ที่ได้รับโอกาสนี้ จะดำเนินโครงการด้วยความตั้งใจ บริหารจัดการไปสู่ความสำเร็จอย่างยั่งยืน เกิดประโยชน์สูงสุดต่อนักเรียน และขอขอบคุณ JCC มูลนิธิฯ และซีพีเอฟ ที่เดินหน้าโครงการฯ ที่เป็นประโยชน์อย่างยิ่งต่อนักเรียน โรงเรียน และชุมชน

ด้าน นายจอมกิตติ ศิริกุล รองกรรมการผู้จัดการใหญ่อาวุโส ด้านพัฒนาความยั่งยืนภาครัฐและกิจการสัมพันธ์ เครือเจริญโภคภัณฑ์ และผู้ช่วยบริหารสำนักประธานคณะกรรมการบริหาร ซีพีเอฟ ในฐานะกรรมการและเลขาธิการมูลนิธิเจริญโภคภัณฑ์พัฒนาชีวิตชนบท กล่าวว่า มูลนิธิฯ และซีพีเอฟ ดำเนินโครงการเลี้ยงไก่ไข่เพื่ออาหารกลางวันนักเรียน ก้าวเข้าสู่ปีที่ 36 โดยในปี 2543 มูลนิธิฯผนึกกำลังกับ JCC ร่วมเป็นภาคีเครือข่ายสนับสนุนโครงการฯ จนถึงปัจจุบันเป็นระยะเวลากว่า 24 ปี โดยเป็นหนึ่งในกำลังสำคัญในการขับเคลื่อนโครงการฯ ช่วยเพิ่มโอกาสการเข้าถึงโภชนาการที่ดี ให้แก่นักเรียนในพื้นที่ห่างไกลและชุมชนในถิ่นทุรกันดาร สำหรับปีนี้ JCC สนับสนุนงบประมาณ แก่ 4 โรงเรียนในจังหวัดนครพนม ประกอบด้วย โรงเรียนบ้านนาคำ โรงเรียนบ้านนาเต่า โรงเรียนบ้านค้อ และโรงเรียนพระซองวิทยาคาร

 

ส่วน นายวราราชย์  เรืองศรี ผู้เชี่ยวชาญอาวุโส ผู้แทนรองกรรมการผู้จัดการอาวุโส ซีพีเอฟ กล่าวว่า ซีพีเอฟ ร่วมสนับสนุนมูลนิธิ ทั้งงบประมาณและบุคลากร อย่างเต็มกำลัง ที่ผ่านมาบริษัทฯ ได้ส่งผู้เชี่ยวชาญเข้าไปติดตาม ดูแล ให้คำแนะนำด้านการเลี้ยงไก่ไข่ และการจัดการผลผลิตไข่ไก่สด แก่ครูและนักเรียนในโรงเรียนที่ร่วมโครงการฯอย่างต่อเนื่อง ทำให้สามารถบริหารโครงการได้ด้วยตนเอง เพื่อส่งเสริมสุขภาพของเด็กเยาวชนไทย ที่เป็นอนาคตของประเทศ จากการบริโภคไข่ไก่อาหารโปรตีนคุณภาพดีอย่างเพียงพอ อิ่มท้อง สมองแจ่มใส และหวังว่าโรงเรียนจะสามารถดำเนินการบริหารจัดการสู่ความสำเร็จอย่างยั่งยืน เป็นแบบอย่างให้แก่โรงเรียนอื่นๆ ต่อไป

ทางด้าน นายโคโซ โท รองประธานหอการค้าญี่ปุ่น-กรุงเทพฯ กล่าวว่า JCC ตระหนักถึงความสำคัญของโภชนาการในเด็กวัยเรียน และมีความยินดีเป็นอย่างยิ่ง ที่ได้สนับสนุนโครงการเลี้ยงไก่ไข่ฯ มาอย่างต่อเนื่อง เพื่อส่งผ่านความช่วยเหลือและส่งเสริมในด้านอาหารและโภชนาการแก่เยาวชนไทยในพื้นที่ห่างไกล ด้วยการสนับสนุนงบประมาณสำหรับก่อสร้างโรงเรือน การติดตั้งอุปกรณ์การเลี้ยง พันธุ์ไก่ไข่ อาหารสัตว์ และเวชภัณฑ์ในการเลี้ยงไก่ไข่รุ่นแรก ก่อให้เกิดประโยชน์ต่อนักเรียน ครู ชุมชน และประชาชนในพื้นที่ใกล้เคียง สามารถเข้าถึงแหล่งอาหารโปรตีนคุณภาพดี ตลอดระยะเวลา  24 ปีที่ผ่านมา มีโรงเรียนเข้าร่วมโครงการเลี้ยงไก่ไข่ฯ ภายใต้ความร่วมมือของ JCC รวม 146 โรงเรียนทั่วประเทศ โดยนำรายได้จากการเลี้ยงไก่ไข่รุ่นที่ 1 มาเป็นกองทุนบริหารจัดการในรุ่นต่อไป ส่งผลให้สามารถขยายผลสู่กิจกรรมอื่นๆ ที่ช่วยสร้างประโยชน์ให้กับโรงเรียนได้อย่างแท้จริง

ปัจจุบันมีโรงเรียนเข้าร่วมโครงการเลี้ยงไก่ไข่เลี้ยงไก่ไข่เพื่ออาหารกลางวันนักเรียน 959 โรงเรียนทั่วประเทศ มีนักเรียนกว่า 180,000 คน คุณครูและบุคลากรทางการศึกษากว่า 1,300 คน ตลอดจนชุมชน ได้เรียนรู้ทักษะการเลี้ยงไก่ไข่ การจัดการบริหารฟาร์มขนาดเล็ก และประยุกต์กิจกรรมสู่การเรียนการสอน เป็นแหล่งเรียนรู้สำคัญด้านการจัดการอาชีพเกษตรเชิงธุรกิจให้กับครู นักเรียน ได้เรียนรู้การบริหารจัดการธุรกิจเกษตร สามารถบริหารจัดการผลผลิตไข่ไก่จำหน่ายให้แก่ชุมชน ทำให้ชาวชุมชนได้บริโภคไข่ไก่สดในราคาที่เหมาะสม สร้างรายได้หมุนเวียน ต่อยอดขยายผล เกิดเป็นกิจการเพื่อสังคม (Social Enterprise) และพึ่งพาตนเองได้อย่างยั่งยืน

“เคทีซี” หรือ บริษัท บัตรกรุงไทย จำกัด (มหาชน) ตอกย้ำผู้นำคะแนนน้อยแลกได้ จับมือ บริษัทเคาน์เตอร์เซอร์วิส จำกัด ผู้ให้บริการรับชำระค่าสินค้าและบริการที่ 7-Eleven ทุกสาขา ออกแคมเปญ “ใช้คะแนน KTC FOREVER แทนเงินสด ด้วยบัตรเครดิตเคทีซีที่ 7-Eleven”

ครั้งแรกกับการเปิดให้สมาชิกบัตรเครดิตเคทีซีสามารถใช้คะแนน KTC FOREVER เริ่มต้นเพียง 10 คะแนน แลกแทนเงินสดได้ 1 บาท เพื่อใช้ชำระค่าสินค้าที่ 7-Eleven 14,500 สาขาทั่วไทย เพิ่มความสะดวกสบายและความคุ้มค่าให้แก่สมาชิก คาดสมาชิกแลกใช้คะแนนทั้งแคมเปญ 20 ล้านคะแนน

นางพิทยา วรปัญญาสกุล รองประธานเจ้าหน้าที่บริหารอาวุโส กลุ่มงานการตลาดและสื่อสารองค์กร “เคทีซี” หรือ บริษัท บัตรกรุงไทย จำกัด (มหาชน) กล่าวว่า การเปิดตัวแคมเปญ “ใช้คะแนน KTC FOREVER แทนเงินสด ด้วยบัตรเครดิตเคทีซีที่ 7-Eleven” ในครั้งนี้ เพื่อตอกย้ำกลยุทธ์การตลาดของเคทีซีที่ต้องการมอบความคุ้มค่าให้กับสมาชิกบัตรเครดิตผ่านคะแนน KTC FOREVER ซึ่งเคทีซีเป็นผู้ริเริ่มและมุ่งเน้นมาตลอด โดยเฉพาะการใช้คะแนนน้อยที่สามารถแลกความคุ้มค่าได้

“การได้ร่วมมือกับทางเคาน์เตอร์เซอร์วิส เปิดให้ใช้คะแนนทุก 10 คะแนน แลกแทนเงินสด 1 บาทในการซื้อสินค้าที่ 7-Eleven นับเป็นครั้งแรกในตลาดที่ยังไม่เคยมีใครทำมาก่อน เพื่อมอบความคุ้มค่าและอำนวยความสะดวกให้สมาชิกเคทีซีใช้คะแนนแทนเงินสด โดยไม่มียอดขั้นต่ำ และไม่จำกัดจำนวนครั้งในการแลกคะแนน ตั้งแต่วันที่ 25 ตุลาคม 2566 – 31 ธันวาคม 2567”

“เราหวังว่าแคมเปญนี้จะเป็นประโยชน์และช่วยตอบโจทย์สมาชิกในหมวดใช้จ่ายสำหรับชีวิตประจำวัน ซึ่งปัจจุบันเคทีซีมีสมาชิกบัครเครดิต 2.62 ล้านใบ และคาดว่าสมาชิกจะนำคะแนนมาแลกซื้อสินค้าตลอดทั้งแคมเปญ 20 ล้านคะแนน”

 นายวีรเดช อัครผลพานิช กรรมการผู้จัดการ บริษัท เคาน์เตอร์เซอร์วิส จำกัด กล่าวว่า “เคาน์เตอร์เซอร์วิสตระหนักถึงการสร้างประสบการณ์ที่ดีให้กับลูกค้าเสมอมา เราเปิดให้บริการความร่วมมือกับพันธมิตรโดยใช้แนวคิด Open Ecosystem เพื่อนำเสนอ PAAS (Platform As A Service) แพลตฟอร์มที่พร้อมส่งมอบความสะดวกสบายให้กับลูกค้า ในครั้งนี้บริษัท เคาน์เตอร์เซอร์วิส จำกัด ร่วมมือกับ “เคทีซี” หรือ บริษัท บัตรกรุงไทย จำกัด (มหาชน) ซึ่งเป็นครั้งแรกของร้านสะดวกซื้อ 7-Eleven ที่สามารถใช้คะแนน KTC FOREVER ในบัตรเครดิตเคทีซี แตะหรือรูดจ่ายค่าสินค้าได้เลย โดยเราร่วมพัฒนาการเชื่อมต่อข้อมูลแบบ Real-time และส่งมอบ เอกสิทธิ์ที่ตรงกับความต้องการของลูกค้าเฉพาะบุคคลมากที่สุดและสะดวกที่สุด

“การใช้คะแนนบัตรเครดิต KTC FOREVER แทนเงินสดที่ร้านเซเว่นอีเลฟเว่นสำหรับแลกรับสินค้า เลือกได้ตามความต้องการของลูกค้า ไม่ต้องแลกเป็นคูปอง เปรียบเสมือนเงินสดที่สามารถรับชำระสินค้าตลอด 24 ชั่วโมง พร้อมส่งมอบสิทธิพิเศษและความสะดวกสบายนี้ให้กับลูกค้าแบบครบวงจร ผ่านจุดให้บริการเคาน์เตอร์เซอร์วิสในร้าน 7-Eleven ทุกสาขากว่า 14,500 สาขาทั่วประเทศ

“ซีพี ออลล์” ผู้บริหารร้านเซเว่น อีเลฟเว่น เซเว่น เดลิเวอรี่ และ ผู้ถือหุ้นใหญ่ บริษัท ซีพี แอ็กซ์ตร้า จำกัด (มหาชน) ประกาศผลตอบแทนสำหรับหุ้นกู้ชุดใหม่จำนวน 3 รุ่น อายุ 5 ปี อัตราดอกเบี้ย 3.55% ต่อปี อายุ 7 ปี อัตราดอกเบี้ย 3.80% ต่อปี และอายุ 10 ปี อัตราดอกเบี้ย 4.20% ต่อปี โดยการเสนอขายช่วงที่ 1 จะให้สิทธิผู้ถือหุ้นกู้ CPALL23OA (ซึ่งจะครบกำหนดไถ่ถอนในวันที่ 31 ตุลาคม 2566) จองซื้อระหว่างวันที่ 9-11 ตุลาคม 2566 และช่วงที่ 2 สำหรับประชาชนทั่วไปสามารถจองซื้อได้ระหว่างวันที่ 26-27 และ 30 ตุลาคม 2566 มั่นใจกระแสตอบรับดี จากปัจจัยสนับสนุนทั้งผลตอบแทนจากการลงทุนที่น่าพอใจ อายุหุ้นกู้ที่มีให้เลือกถึง 3 รุ่น และอันดับความน่าเชื่อถือหุ้นกู้จากทริสเรทติ้ง ที่ระดับ “A+” แนวโน้ม “บวก” (Positive) สะท้อนความแข็งแกร่งของธุรกิจในฐานะผู้นำในธุรกิจร้านสะดวกซื้อในประเทศไทย ที่พร้อมขยายสู่ประเทศเพื่อนบ้านได้อย่างมีศักยภาพ

นายเกรียงชัย บุญโพธิ์อภิชาติ Chief Financial Officer บริษัท ซีพี ออลล์ จำกัด (มหาชน) เปิดเผยว่า “ซีพี ออลล์” กำหนดอัตราดอกเบี้ยคงที่สำหรับหุ้นกู้ชนิดระบุชื่อผู้ถือ ประเภทไม่ด้อยสิทธิ ไม่มีประกัน และมีผู้แทนผู้ถือหุ้นกู้ จำนวน 3 รุ่น ดังนี้ รุ่นอายุ 5 ปี อัตราดอกเบี้ย 3.55% ต่อปี รุ่นอายุ 7 ปี อัตราดอกเบี้ย 3.80% ต่อปี และรุ่นอายุ 10 ปี อัตราดอกเบี้ย 4.20% ต่อปี โดยช่วงที่ 1 สำหรับผู้ลงทุนที่เป็นผู้ถือหุ้นกู้ CPALL23OA (ไม่รวมถึงผู้ลงทุนสถาบันและนิติบุคคลที่เป็นสหกรณ์) คาดว่าจะเสนอขายระหว่างวันที่ 9-11 ตุลาคม 2566 โดยผู้ถือหุ้นกู้ CPALL23OA สามารถจองซื้อได้ทั้ง 3 รุ่น สูงสุดรวมกันไม่เกินสิทธิของหุ้นกู้ CPALL23OA เดิมที่ถืออยู่ ผ่านธนาคารกรุงเทพ ธนาคารกรุงไทย และ ธนาคารไทยพาณิชย์ ส่วนช่วงที่ 2 สำหรับผู้ลงทุนที่เป็นประชาชนทั่วไป คาดว่าจะเสนอขายระหว่างวันที่ 26-27 และ 30 ตุลาคม 2566 ผ่านสถาบันการเงินชั้นนำ 7 แห่ง ประกอบด้วย ธนาคารกรุงเทพ ธนาคารกรุงศรีอยุธยา ธนาคารกรุงไทย ธนาคารกสิกรไทย ธนาคารไทยพาณิชย์ ธนาคารซีไอเอ็มบี ไทย และบริษัทหลักทรัพย์เกียรตินาคินภัทร รวมถึงการขายผ่านแอปพลิเคชั่น TrueMoney Wallet เพื่อเพิ่มความสะดวกให้กับลูกค้า

“บริษัทฯ มั่นใจว่า หุ้นกู้ดังกล่าวจะได้รับการตอบรับที่ดีจากผู้ลงทุน ทั้งผู้ถือหุ้นกู้ CPALL23OA ที่ได้รับสิทธิจองซื้อในช่วงที่ 1 โดยสามารถใช้เงินเดิมที่จะได้รับในวันที่ 31 ตุลาคม 2566 จองซื้อต่อได้เลย และยังสามารถไปจองซื้อพร้อมกับผู้ลงทุนที่เป็นประชาชนทั่วไป ในช่วงที่ 2 ได้ด้วย” นายเกรียงชัยกล่าว

ทั้งนี้ ปัจจัยที่สนับสนุนให้ผู้ลงทุนสนใจหุ้นกู้ซีพี ออลล์ มาจาก หนึ่ง ผลตอบแทนที่น่าพอใจ สอง อายุหุ้นกู้ที่มีให้เลือกตั้งแต่ 5 ปี 7 ปี และ 10 ปี ซึ่งผู้ลงทุนสามารถวางแผนบริหารจัดการเงินลงทุนให้สอดคล้องกับช่วงเวลาที่ต้องการ สาม ช่องทางการเสนอขายที่มีความหลากหลายผ่านสถาบันการเงินชั้นนำ รวมถึงผ่านแอปพลิเคชั่นที่เข้าถึงไลฟ์สไตล์ของผู้ลงทุนในยุคดิจิทัล สี่ บริษัทฯ และหุ้นกู้ชุดดังกล่าวยังได้รับการจัดอันดับความน่าเชื่อถือจากบริษัท ทริสเรทติ้ง จำกัด เมื่อวันที่ 4 กันยายน 2566 ที่ระดับ “A+” แนวโน้ม “Positive” ซึ่งเป็นโอกาสที่ดีของผู้ลงทุนทั่วไปที่จะสามารถเข้าถึงหุ้นกู้ที่ได้รับการจัดอันดับความน่าเชื่อถือในระดับสูง สะท้อนถึงสถานะทางธุรกิจและฐานะทางการเงินที่แข็งแกร่งของบริษัทฯ ขณะเดียวกัน การฟื้นตัวของเศรษฐกิจในประเทศจากมาตรการกระตุ้นเศรษฐกิจ รวมถึงจำนวนนักท่องเที่ยวที่เพิ่มขึ้น ก็จะเป็นปัจจัยสนับสนุนการเติบโตของบริษัทฯ ในระยะต่อไปได้เป็นอย่างดี

“ซีพี ออลล์” เป็นผู้ประกอบธุรกิจหลักในการบริหารร้านสะดวกซื้อภายใต้แบรนด์ “เซเว่น อีเลฟเว่น” ที่ให้บริการความสะดวกกับชุมชน โดย ณ สิ้นไตรมาส 2 ปี 2566 บริษัทฯ มีจำนวนร้านสาขาทั่วประเทศรวมทั้งสิ้น 14,215 สาขา มีรายได้รวม 112,118 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 15.3% จากไตรมาสเดียวกันของปีก่อน ซึ่งปัจจัยสำคัญมาจากการบริโภคในประเทศเริ่มฟื้นตัว ประกอบกับจำนวนนักท่องเที่ยวทั้งไทยและต่างประเทศเริ่มปรับตัวสูงขึ้นอย่างต่อเนื่อง ขณะที่บริษัทฯ ยังคงเดินหน้ารักษาฐานลูกค้าเดิมและขยายฐานลูกค้าใหม่ ผ่านกลยุทธ์ O2O อาทิ 7Delivery และ All Online ซึ่งได้รับการตอบสนองจากลูกค้าเป็นอย่างดี สำหรับเป้าหมายการขยายสาขาในปีนี้ บริษัทฯ วางแผนที่จะพัฒนาช่องทางการจำหน่ายสินค้าและบริการ ทั้งแพลตฟอร์มออนไลน์และออฟไลน์ รวมถึงการขยายเครือข่ายร้านสาขาอย่างต่อเนื่องตามการขยายตัวของชุมชน โดยวางแผนจะลงทุนเปิดร้านสาขาใหม่ในประเทศไทยอีกประมาณ 700 สาขา และมีเป้าหมายที่จะเปิดสาขาในประเทศกัมพูชาให้ครบ 100 สาขา ภายในปีนี้

ล่าสุด “ซีพี ออลล์” ได้เปิดให้บริการร้านสะดวกซื้อ “เซเว่น อีเลฟเว่น” สาขาแรกในสาธารณรัฐประชาธิปไตยประชาชน (สปป.) ลาว เมื่อวันที่ 7 กันยายน 2566 ในนครหลวงเวียงจันทน์ ซึ่งเปิดให้บริการ 24 ชั่วโมง มีสินค้ากว่า 5,000 รายการ รองรับกับความต้องการของผู้บริโภคทุกกลุ่ม ทั้งสินค้าอุปโภคบริโภค อาหารพร้อมทาน รวมถึงสินค้าเอกลักษณ์ที่มีเฉพาะที่ร้านเซเว่น อีเลฟเว่น และสินค้าในกลุ่มผลิตภัณฑ์ท้องถิ่นของ สปป.ลาว ซึ่งเป็นที่นิยมในกลุ่มผู้บริโภคภายในประเทศและกลุ่มนักท่องเที่ยว ทั้งนี้ การให้บริการสาขาแรกของ “เซเว่น อีเลฟเว่น” ใน สปป.ลาว ได้รับการตอบรับอย่างดียิ่งจากผู้บริโภค ซึ่งจะเอื้ออำนวยให้การขยายสาขาในต่างประเทศ โดยเฉพาะในประเทศเพื่อนบ้านมีโอกาสเติบโตได้อย่างมีศักยภาพมากยิ่งขึ้น

นอกจากการขยายธุรกิจอย่างแข็งแกร่งแล้ว “ซีพี ออลล์” ยังมีเป้าหมายสร้างการเติบโตอย่างยั่งยืนภายใต้การบริหารงานด้วยหลักธรรมาภิบาล โดยที่ผ่านมา บริษัทฯ ได้รับเลือกให้เป็นสมาชิก FTSE4Good Index ติดต่อกันเป็นปีที่ 6 (2018-2023) ในกลุ่ม Food Retailers & Wholesalers และยังคงรักษามาตรฐานมีคะแนนสูงกว่าค่าเฉลี่ยอุตสาหกรรมในทุกมิติ รวมถึงได้รับเลือกให้เป็นสมาชิก DJSI ในกลุ่มอุตสาหกรรม Food & Staples Retailing กลุ่มดัชนี DJSI Emerging Markets ต่อเนื่องเป็นปีที่ 6 (2017-2022) และกลุ่มดัชนี DJSI World ต่อเนื่องเป็นปีที่ 5 (2018-2022) ซึ่งจะเพิ่มความมั่นใจให้กับผู้ลงทุนมากยิ่งขึ้น

ปัจจุบัน บริษัทฯ อยู่ระหว่างการยื่นแบบแสดงรายการข้อมูลและร่างหนังสือชี้ชวนต่อสำนักงาน ก.ล.ต.ซึ่งยังไม่มีผลใช้บังคับ สำหรับผู้ลงทุนที่สนใจจองซื้อหุ้นกู้ ซีพี ออลล์ สามารถศึกษารายละเอียดเพิ่มเติมได้ที่ www.sec.or.th หรือติดต่อผ่านผู้จัดการการจัดจำหน่ายหุ้นกู้ ดังต่อไปนี้

ช่วงที่ 1 สำหรับผู้ถือหุ้นกู้ CPALL23OA (ไม่รวมถึงผู้ลงทุนสถาบัน และนิติบุคคลที่เป็นสหกรณ์) ได้สิทธิจองซื้อหุ้นกู้ทั้ง 3 รุ่น รวมกันไม่เกินสิทธิของหุ้นกู้ CPALL23OA เดิมที่ถืออยู่ คาดเปิดจองซื้อระหว่างวันที่ 9-11 ตุลาคม 2566 ติดต่อ

1. ธนาคารกรุงเทพ จำกัด (มหาชน) (ยกเว้นสาขาไมโคร) โทร. 1333

2. ธนาคารกรุงไทย จำกัด (มหาชน) โทร.02-111-1111 (โดยบุคคลธรรมดาสามารถจองซื้อทางออนไลน์ผ่านแอปพลิเคชั่น Krungthai Next ได้อีก 1 ช่องทาง)

3. ธนาคารไทยพาณิชย์ จำกัด (มหาชน) โทร. 02-777-6784

 

ช่วงที่ 2 สำหรับผู้ลงทุนทั่วไป (ไม่รวมถึงบุคคลธรรมดาที่เป็นผู้เยาว์) และผู้ลงทุนสถาบัน (ซึ่งรวมถึงผู้ถือหุ้นกู้ CPALL23OA) จองซื้อขั้นต่ำ 100,000 บาท ทวีคูณครั้งละ 100,000 บาท คาดเปิดจองซื้อระหว่างวันที่ 26-27 และ 30 ตุลาคม 2566 ติดต่อ

1. ธนาคารกรุงเทพ จำกัด (มหาชน) (ยกเว้นสาขาไมโคร) โทร. 1333 (โดยบุคคลธรรมดาสามารถจองซื้อทางออนไลน์ผ่านแอปพลิเคชั่น Bualuang mBanking ได้อีก 1 ช่องทาง ในช่วงจองซื้อช่วงที่ 2)

2. ธนาคารกรุงศรีอยุธยา จำกัด (มหาชน) โทร. 1572 (โดยบุคคลธรรมดาสามารถจองซื้อทางออนไลน์ผ่านแอปพลิเคชั่น KMA ได้อีก 1 ช่องทาง)

3. ธนาคารกรุงไทย จำกัด (มหาชน) โทร.02-111-1111 (โดยบุคคลธรรมดาสามารถจองซื้อทางออนไลน์ผ่านแอปพลิเคชั่น Krungthai Next ได้อีก 1 ช่องทาง)

4. ธนาคารกสิกรไทย จำกัด (มหาชน)* โทร. 02-888-8888 ต่อ 819 (โดยบุคคลธรรมดาสามารถจองซื้อทางออนไลน์ผ่านเว็บไซต์ www.kasikornbank.com/kmyinvest ยกเว้นบุคคลสัญชาติต่างด้าว และนิติบุคคล สามารถจองซื้อผ่านสำนักงานใหญ่และสาขา)

5. ธนาคารไทยพาณิชย์ จำกัด (มหาชน)** โทร. 02-777-6784 (โดยบุคคลธรรมดาสามารถจองซื้อทางออนไลน์ผ่านแอปพลิเคชั่น SCB EASY ได้อีก 1 ช่องทาง)

6. ธนาคารซีไอเอ็มบี ไทย จำกัด (มหาชน) โทร. 02-626-7777 (โดยบุคคลธรรมดาสามารถจองซื้อทางออนไลน์ผ่านแอปพลิเคชั่น CIMB Thai Digital Banking ได้อีก 1 ช่องทาง)

7. บริษัทหลักทรัพย์ เกียรตินาคินภัทร จำกัด (มหาชน)*** โทร. 02-165-5555 (โดยบุคคลธรรมดาสามารถจองซื้อทางออนไลน์ผ่านแอปพลิเคชั่น Dime! ได้อีก 1 ช่องทาง)

 

U FARM ในกลุ่ม บริษัท เจริญโภคภัณฑ์อาหาร จำกัด (มหาชน) หรือ ซีพีเอฟ ชวนเปิดประสบการณ์ความอร่อยระดับเวิลด์คลาส คูณ 2 กับสุดยอดผู้นำด้านอาหารระดับโลกที่มาร่วมกันรังสรรค์เมนูสุดพิเศษ ระหว่าง 4 สุดยอดเชฟจากร้านมิชลินสตาร์ ประจำปี 2023 และ U FARM ด้วยผลิตภัณฑ์พรีเมียม ไก่เบญจา หมูชีวา และไข่ไก่สดโอชา แบรนด์แรกและแบรนด์เดียวของประเทศไทยที่คว้ารางวัลความอร่อยระดับโลกบนเวทีนานาชาติ ด้วยนวัตกรรมจากธรรมชาติ 100% ปลอดสาร ปลอดภัย เลี้ยงดูอย่างใส่ใจด้วยซูเปอร์ฟู้ด ทั้งข้าวกล้องคัดพิเศษ และ Flax seed จึงทำให้หมูและไก่ มีโอเมก้า 3 มีความหอม… นุ่ม… ฉ่ำ… มากกว่าเนื้อสัตว์ทั่วไปถึง 55% และได้รับการรับรองมาตรฐานระดับโลก NSF ที่บรรดาเชฟจากร้านมิชลินสตาร์ไว้วางใจนำมารังสรรค์อาหารในแบบฉบับของตนเองอย่างพิถีพิถัน จนกลายเป็นเมนูสุดพิเศษแบบ Limited Creation

เริ่มที่ท่านแรก เชฟเฮงค์ ซาเวลเบิร์ก’ (Henk Savelberg) จากร้าน Savelberg เชฟชาวดัตช์ ที่มีประสบการณ์มากกว่า 30 ปี ปรุงอาหารฝรั่งเศสร่วมสมัยหลากหลายเมนูที่ยังคงเอกลักษณ์ความดั้งเดิมได้อย่างดีเยี่ยม นอกจากนี้ ยังคิดค้นไอเดียใหม่ๆ ต่อยอดเป็นเมนูระดับไฮเอนด์ให้กับ U FARM เพื่อมอบประสบการณ์ที่ดีที่สุดให้ทุกท่านได้ดื่มด่ำกับมื้ออาหารชั้นเลิศ โดยคอร์สแรก เมนูจานหลักนำเสนอความสดใหม่ของวัตถุดิบ ให้เลือกระหว่างหมูชีวาหรือไก่เบญจา จาก 5 คอร์ส หากเลือกไก่เบญจา ความพิเศษคือทำเป็นโรล (Roulade) ม้วนชิ้นเนื้อเข้ากับสมุนไพรหมักด้วยน้ำเกลือ ทำให้เนื้อนุ่มมากยิ่งขึ้น ส่วนเมนูหมูชีวาสไตล์ยุโรป เนื้อหมูปรุงสุกกำลังดี ราดซอส Ravigote รสชาติเปรี้ยวหวานลงตัว เข้าปากแล้วรู้สึกสดชื่นทันที มีชีวิตชีวาเหมือนกับหมูชีวา

ท่านที่ 2 เชฟต้อย-พิไลพร คำหนัก’ จากร้านเสน่ห์จันทน์ (Saneh Jaan) ผู้หลงใหลและชำนาญทั้งอาหารไทยและอาหารตะวันตก พิถีพิถันตั้งแต่การคัดเลือกวัตถุดิบคุณภาพดีจาก U FARM รังสรรค์ 2 เมนูสุดพิเศษ ได้แก่ 'แกงหมูโบราณ' วัตถุดิบหลัก คือ สามชั้นของหมูชีวา ที่มีความนุ่ม เด้ง เพิ่มรสจัดจ้านด้วยซอสพริกแกงไทย อร่อยลงตัวไร้ที่ติ และเมนูที่ 2 'แกงไก่มลายู' นําเสนอวัฒนธรรมผสมผสานระหว่างไทยกับประเทศเพื่อนบ้านอย่างมาเลเซียและอินโดนีเซีย ชูความนุ่มของเนื้อไก่เบญจาที่มีไขมันน้อย ปรุงเข้ากับเครื่องเทศเฉพาะถิ่น ทําให้อาหารจานนี้มีรสชาติเข้มข้นมากยิ่งขึ้น

ท่านที่ 3 เชฟเทียร์รี ดราโป’ (Thierry Drapeau) เชฟมิชลินสตาร์ จากร้าน Signature Bangkok ที่ขึ้นชื่ออาหารสไตล์ฝรั่งเศสสมัยใหม่ โดยปรัชญาของเชฟ “Cuisine of the Soil” คือการคัดสรรวัตถุดิบคุณภาพสูง สด ใหม่ และดีต่อสุขภาพในการทำอาหาร จึงมั่นใจและเลือกใช้ U FARM สร้างสรรค์เมนูเลิศรสให้ลูกค้าได้สัมผัส 2 เมนูจานหลัก ได้แก่ Suprême De Poulet (ซูพรีม เดอ ปูเลต์) จากไก่เบญจา และ Terre et Mer (แตร์ เอต แมร์) จากหมูชีวา โดยเชฟตั้งใจสร้างความแปลกใหม่ด้วยการนำวัตถุดิบที่แตกต่างให้มาอยู่ในจานเดียวกัน ผสมผสานได้อย่างลงตัว ทำให้ 2 จานนี้พิเศษไม่เหมือนใคร

สุดท้ายกับ เชฟจากร้านมิชลินสตาร์ ดีกรีระดับ 2 ดาว อย่าง เชฟชุมพล แจ้งไพร’ จากร้าน R-Haan ผู้เชี่ยวชาญอาหารไทยแบบ Fine Dining แต่ยังคงภูมิปัญญาไทยแท้ดั้งเดิม ผ่านตำรับอาหารพื้นบ้านและตำรับอาหารชาววังด้วยวัตถุดิบที่ดีที่สุด รังสรรค์เมนู 'ไข่พะโล้' สูตรของคุณย่า ด้วยความทรงจําในวัยเด็กที่ผูกพันกับอาหารจานนี้เป็นพิเศษ และอีก 1 เมนูที่ภูมิใจนำเสนอ คือ ซุปไทยที่มีชื่อเสียงไปทั่วโลก อย่าง 'ต้มข่าไก่ Espuma' นำเสนอความแตกต่างสไตล์ฝรั่งเศส จัดจานสวยหรูแบบ Fine Dining เชฟชุมพล นําเมนูที่มีความพิเศษทั้งเรื่องราวและเป็นเมนูที่คุ้นเคยโดยเพิ่มเทคนิคใหม่ๆ ให้ทุกคนได้ลิ้มลองและสัมผัสภูมิปัญญาอาหารไทยอันวิจิตร มีประโยชน์และรสชาติอร่อยประทับใจ เสิร์ฟเป็น Complimentary ให้กับลูกค้าทุกท่าน

แคมเปญ ‘U FARM x MICHELIN Guide Thailand’ ครั้งนี้ การันตีวัตถุดิบพรีเมียมระดับโลก ควบคู่กับการรังสรรค์เมนูชั้นเลิศจากเชฟฝีมือระดับโลก จึงกลายเป็นความอร่อยระดับเวิลด์คลาสคูณ 2 ที่พลาดไม่ได้ ซึ่งทั้ง 4 ร้านมิชลินสตาร์ ปี 2023 พร้อมให้บริการและชวนทุกท่านเปิดประสบการณ์ใหม่สุดพิเศษ ตลอดทั้งเดือนสิงหาคม–กันยายน 2566 โดยเริ่มต้นที่ ‘ร้าน SAVELBERG’ วันที่ 1-15 สิงหาคม ต่อด้วย ‘ร้าน SANEH JAAN’ วันที่ 15-31 สิงหาคม ‘ร้าน SIGNATURE’ วันที่ 1-15 กันยายน และ ‘ร้าน R-HAAN’ วันที่ 16-30 กันยายน ติดตามข่าวสารและข้อมูลเพิ่มเติมเกี่ยวกับ U FARM ได้ที่ www.ufarmthailand.com หรือ Facebook Fanpage : https://www.facebook.com/ufarmthailand/ 

บริษัท เจริญโภคภัณฑ์อาหาร จำกัด (มหาชน) หรือ ซีพีเอฟ เดินหน้าส่งเสริมผู้บริโภคได้รับประทาน “ไข่ไก่” สด แบรนด์ CP และไข่ไก่ Cage Free ที่ได้มากกว่าคุณค่าโภชนาการ โปรตีนสูง พร้อมทั้งได้ร่วมดูแลสิ่งแวดล้อม  ช่วยลดการปล่อยก๊าซเรือนกระจก บรรเทาผลกระทบจากภาวะโลกร้อน พัฒนาไข่ไก่สด ขึ้นทะเบียน “ฉลากลดโลกร้อน” (Carbon Footprint Reduction)  และเร็วๆ นี้ ไข่ไก่ เคจฟรี (Cage Free Egg) แบรนด์ ยูฟาร์ม (U Farm) ได้รับฉลาก "คาร์บอนนิวทรัล" (Carbon Neutral Product) จากองค์การบริหารจัดการก๊าซเรือนกระจก (อบก.) เพิ่มขึ้น นับเป็น “ไข่ไก่ เคจฟรี” ปลอดคาร์บอนรายแรกของภูมิภาคเอเชีย  

นายสมคิด วรรณลุกขี ผู้อำนวยการใหญ่ ธุรกิจไก่ไข่ ซีพีเอฟ กล่าวว่า ซีพีเอฟ ให้ความสำคัญกับการสร้างสรรค์ผลิตภัณฑ์คาร์บอนต่ำ (Low Carbon Products) เพื่อร่วมลดผลกระทบด้านสิ่งแวดล้อมจากผลิตภัณฑ์อาหารของบริษัทฯ รวมถึง “ไข่ไก่” ที่ ซีพีเอฟได้ดำเนินการลดการปล่อยก๊าซเรือนกระจกของผลิตภัณฑ์ไข่ไก่อย่างต่อเนื่องให้เหลือน้อยที่สุดผ่านโครงการต่างๆ เช่น การใช้สายพานลำเลียงไข่อัตโนมัติ การลดการสูญเสียไข่ไก่ (Food Loss) ตามแนวทางขององค์การอาหารและเกษตรแห่งสหประชาชาติ (FAO) รวมถึงการนำของเสียจากเปลือกไข่ไปใช้ประโยชน์ และการใช้พลังงานทางเลือก เช่น พลังงานแสงอาทิตย์ และพลังงานชีวมวลจากระบบบำบัดน้ำเสีย เป็นต้น  จากความพยายามดังกล่าวส่งผลให้ในปีที่ผ่านมา ไข่ไก่สดปลอดสาร และไข่ไก่เคจฟรี 23 รายการ ของซีพีเอฟ ได้รับรอง "ฉลากลดโลกร้อน" และอีก 2 รายการ ได้รับรองฉลากคาร์บอนฟุตพริ้นท์ จากอบก. และเมื่อเร็วๆ นี้ อบก. ขึ้นทะเบียน “ฉลากคาร์บอนนิวทรัล” กับ ผลิตภัณฑ์ไข่ไก่ Cage Free แบรนด์ยูฟาร์ม (U Farm) ในขนาดบรรจุ 2 รายการ ประกอบด้วยขนาด 4 ฟอง/แพ็ค และขนาด 10 ฟอง/แพ็ค นับเป็นไข่ไก่เคจฟรีปลอดคาร์บอนรายแรกของไทย และภูมิภาคเอเชีย  

“ไข่ไก่เคจฟรี  ฉลากคาร์บอนิวทรัล หรือ ไข่ไก่ Cage Free ปลอดคาร์บอน เป็นอีกทางเลือกให้คนไทยได้บริโภคอาหารโปรตีนคุณภาพสูง ดีต่อสุขภาพ ดีต่อใจเพราะไข่ไก่เคจฟรี คุณภาพสูง สะอาด ปลอดภัย และช่วยลดโลกร้อน จากการปล่อยก๊าซเรือนกระจกเป็นศูนย์  สนับสนุนผู้บริโภคมีส่วนร่วมจัดการปัญหาการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศของโลก” นายสมคิดกล่าว 

ไข่ไก่เคจฟรี (คาร์บอนนิวทรัล) มีการจัดหาคาร์บอนเครดิตมาชดเชยการปล่อยก๊าซเรือนกระจกส่วนที่เหลือซึ่งเกิดจากกระบวนการผลิตตลอดห่วงโซ่อุปทานจนถึงการกำจัดซากบรรจุภัณฑ์ เพื่อให้การปล่อยก๊าซเรือนกระจกของผลิตภัณฑ์เท่ากับศูนย์ ส่วนผลิตภัณฑ์ไข่ไก่สดที่ได้รับฉลากลดโลกร้อน ของซีพีเอฟ มีการปล่อยก๊าซเรือนกระจกต่ำกว่าค่าเฉลี่ยของไข่ไก่ทั่วไปถึงร้อยละ 30 และปีที่ผ่านมาสามารถช่วยลดปล่อยก๊าซเรือนกระจกได้ 617,000 ตันคาร์บอนไดออกไซด์เทียบเท่า

นอกจากนี้ ไข่ไก่ Cage Free ยังมาจากแม่ไก่อารมณ์ดี สายพันธุ์คัดพิเศษ เลี้ยงแบบปล่อยอิสระ หรือ แบบไม่ใช้กรงในโรงเรือนระบบปิดตามหลักสวัสดิภาพสัตว์ขั้นสูง ได้รับมาตรฐานกรมปศุสัตว์ และมาตรฐานสากล  ใช้ระบบอัตโนมัติในการควบคุมสภาพแวดล้อมการเลี้ยงสัตว์ รวมถึงระบบสายพานลำเลียงไข่จากจุดวางไข่ไปยังห้องเก็บไข่ มีระบบความปลอดภัยทางชีวภาพสูง  เลี้ยงด้วยอาหารที่ผลิตจากธัญพืชเสริมด้วยโปรไบโอติก ช่วยให้แม่ไก่อยู่อย่างสุขสบาย อารมณ์ดีไม่เครียด แข็งแรง ไม่ใช้ยาปฏิชีวนะตลอดการเลี้ยง “ไข่ไก่เคจฟรี” แบรนด์ยูฟาร์ม จึงสะอาด ปลอดภัย มีความสดกว่าไข่ไก่ทั่วไป ไม่มีกลิ่นคาว ไข่แดงมีสีส้มสด นูนสวย นอกจากนี้ ไข่ไก่เคจฟรี ยังใช้บรรจุภัณฑ์กระดาษที่ใช้วัสดุรีไซเคิล 100% คำนึงถึงการใช้ทรัพยากรให้เกิดประโยชน์สูงสุดและลดปัญหาขยะจากบรรจุภัณฑ์อีกด้วย  

ทั้งนี้ ซีพีเอฟ ยังเดินหน้าหาแนวทางลดการปล่อยก๊าซเรือนกระจกในกระบวนการผลิตไข่ไก่อย่างต่อเนื่องตั้งแต่ การส่งเสริมการใช้พลังงานทางเลือกในกระบวนการผลิตเพิ่มเติม เช่น การใช้พลังงานแสงอาทิตย์ พลังงานชีวมวลผลิตไบโอแก๊สจากมูลไก่เป็นกระแสไฟฟ้าใช้ในฟาร์ม และตั้งเป้าพัฒนาฟาร์มไก่ไข่ต้นแบบที่ใช้พลังงานหมุนเวียน 100%  

ปัจจุบัน ซีพีเอฟ มี 818 ผลิตภัณฑ์ที่มีการประเมินคาร์บอนฟุตพริ้นท์ของผลิตภัณฑ์ตามมาตรฐานสากล โดยกว่า 56 ผลิตภัณฑ์ จัดเป็นผลิตภัณฑ์ได้รับ “ฉลากลดโลกร้อน” และมีไข่ไก่ 2 รายการเป็นสินค้าปลอดคาร์บอน ซึ่งเป็นการสนับสนุนเป้าหมายในปี 2573 ร้อยละ 40 ของรายได้บริษัทฯ มาจากผลิตภัณฑ์สีเขียว (CPF Green Revenue)

Page 1 of 6
X

Right Click

No right click