

บริษัท เบอร์ลี่ ยุคเกอร์ จำกัด (มหาชน) หรือบีเจซี เปิดเผยรายได้รวมในไตรมาส 4/67 เท่ากับ 44,332 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 1,070 ล้านบาทจากปีก่อน กำไรจากการดำเนินงานอยู่ที่ 3,878 ล้านบาท เติบโตขึ้นถึง 16.8% เมื่อเปรียบเทียบกับไตรมาสเดียวกันของปีก่อน ส่งผลให้บริษัทมีกำไรสุทธิเติบโตขึ้นอยู่ที่ 1,644 ล้านบาท เติบโตขึ้น 0.4% เมื่อเปรียบเทียบกับไตรมาสเดียวกันของปีก่อน จากยอดขายที่เติบโตขึ้น และความสามารถในการทำกำไรที่ดีขึ้นของทุกกลุ่มสินค้าและบริการ รวมไปถึงการจัดทำโครงการลดต้นทุนต่าง ๆ ที่มีประสิทธิภาพอย่างต่อเนื่อง
กลุ่มสินค้าและบริการทางบรรจุภัณฑ์ มียอดขายของกลุ่มสินค้าและบริการทางบรรจุภัณฑ์ ในไตรมาส 4/67 อยู่ที่ 6,828 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 178 ล้านบาท หรือคิดเป็น 2.7% เมื่อเปรียบเทียบกับไตรมาสเดียวกันของปีก่อน สำหรับยอดขายกลุ่มสินค้าและบริการทางบรรจุภัณฑ์ประจำปี 2567 อยู่ที่ 25,360 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 354 ล้านบาท หรือคิดเป็น 1.4% เมื่อเปรียบเทียบกับช่วงเดียวกันของปีก่อน จากยอดขายที่เพิ่มขึ้นของบรรจุภัณฑ์กระป๋อง อัตรากำไรขั้นต้นของกลุ่มสินค้าและบริการทางบรรจุภัณฑ์ในไตรมาส 4/67 อยู่ที่ 21.3% เพิ่มขึ้น 75 bps จากไตรมาสเดียวกันของปีก่อน เพิ่มขึ้นมาจากทั้งกลุ่มบรรจุภัณฑ์แก้วและบรรจุภัณฑ์กระป๋อง เนื่องจากราคาวัตถุดิบที่ลดลงของทั้งโซดาแอชและเศษแก้ว รวมถึงการบริหารจัดการต้นทุน และ Product Mix ที่เหมาะสมขึ้น อัตรากำไรก่อนดอกเบี้ยและภาษีเงินได้ของกลุ่มสินค้าและบริการทางบรรจุภัณฑ์ในไตรมาส 4/67 อยู่ที่ 15.8% เพิ่มขึ้น 102 bps เมื่อเทียบไตรมาสเดียวกันของปีก่อน จากอัตรากำไรขั้นต้นที่สูงขึ้น
กลุ่มสินค้าและบริการทางอุปโภคบริโภค มียอดขาย ในไตรมาส 4/67 ของกลุ่มสินค้าและบริการทางอุปโภคบริโภค อยู่ที่ 5,266 ล้านบาท ลดลง 80 ล้านบาท หรือคิดเป็น 1.5% เมื่อเปรียบเทียบกับไตรมาสเดียวกันของปีก่อน จากยอดขายที่ลดลงของกลุ่มธุรกิจต่างประเทศเนื่องจากค่าเงินบาทแข็งค่า อย่างไรก็ตาม กลุ่มสินค้าเครื่องใช้ส่วนตัวยังคงเติบโตอย่างแข็งแกร่ง ในขณะเดียวกันอัตรากำไรขั้นต้นของกลุ่มสินค้าและบริการทางอุปโภคบริโภคในไตรมาส 4/67 อยู่ที่ 20.4% เพิ่มขึ้น 188 bps จากไตรมาสเดียวกันของปีก่อน สาเหตุมาจากต้นทุนมันฝรั่งที่ลดลง Product Mix ที่เหมาะสมขึ้น และโครงการลดต้นทุนต่างๆ ในขณะที่อัตรากำไรก่อนดอกเบี้ยและภาษีเงินได้ในไตรมาส 4/67 อยู่ที่ 10.9% เพิ่มขึ้น 192 bps จากไตรมาสเดียวกันของปีก่อน จากอัตรากำไรขั้นต้นที่เพิ่มขึ้น
กลุ่มสินค้าและบริการทางเวชภัณฑ์และเทคนิค มียอดขายของกลุ่มสินค้าและบริการทางเวชภัณฑ์และเทคนิค ในไตรมาส 4/67 กลุ่มสินค้าและบริการทางเวชภัณฑ์และเทคนิค อยู่ที่ 2,326 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 168 ล้านบาท หรือคิดเป็น 7.8% เมื่อเปรียบเทียบกับไตรมาสเดียวกันของปีก่อน สาเหตุหลักมาจากยอดขายกลุ่มเวชภัณฑ์ที่เพิ่มขึ้น เนื่องจากมีการออกสินค้าใหม่ และได้รับประโยชน์จากงบประมาณของภาครัฐ ส่งผลให้อัตรากำไรขั้นต้นของกลุ่มสินค้าและบริการทางเวชภัณฑ์และเทคนิคในไตรมาส 4/67 อยู่ที่ 34.1% เพิ่มขึ้น 221 bps จากไตรมาสเดียวกันของปีก่อน จาก Product Mix ที่ดีขึ้น ในขณะที่อัตรากำไรก่อนดอกเบี้ยและภาษีเงินได้ไตรมาส 4/67 อยู่ที่ 18.5% เพิ่มขึ้น 719 bps จากไตรมาสเดียวกันของปีก่อน จากยอดขายและกำไรขั้นต้นที่ดีขึ้น และค่าใช้จ่ายในการขายและบริหารที่ลดลง
กลุ่มสินค้าและบริการทางการค้าปลีกสมัยใหม่ มียอดขายกลุ่มสินค้าและบริการทางการค้าปลีกสมัยใหม่ ในไตรมาส 4/67 รายได้รวมในกลุ่มสินค้าและบริการทางการค้าปลีกสมัยใหม่ในไตรมาส 4/67 อยู่ที่ 30,202 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 829 ล้านบาท หรือคิดเป็น 2.8% เมื่อเปรียบเทียบกับไตรมาสเดียวกันของปีก่อน ขณะที่รายได้จากการขายสินค้าเท่ากับ 26,935 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 830 ล้านบาท หรือคิดเป็น 3.2% เมื่อเปรียบเทียบกับไตรมาสเดียวกันของปีก่อน เป็นผลมาจากการเติบโตของยอดขายต่อสาขาเดิมในไตรมาสอยู่ที่ 2.2% (1.5% เมื่อไม่รวมยอดขายสินค้าบีทูบี) ผลการดำเนินงานที่แข็งแกร่งอย่างต่อเนื่องในหมวดสินค้าอาหารสด (Fresh Food) และผลการดำเนินงานที่ดีขึ้นในหมวดสินค้าอาหารแห้ง (Dry Food) ในระหว่างไตรมาส ขณะที่รายได้อื่นอยู่ที่ 3,211 ล้านบาท ลดลง 57 ล้านบาท หรือคิดเป็น 1.7% เมื่อเปรียบเทียบกับไตรมาสเดียวกันของปีก่อน เป็นผลมาจากการลดลงของรายได้ค่าเช่าและการให้บริการ โดยรายได้รวมในกลุ่มสินค้าและบริการทางการค้าปลีกสมัยใหม่ประจำปี 2567 อยู่ที่ 116,294 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 2,264 ล้านบาท หรือคิดเป็น 2.0% เมื่อเปรียบเทียบกับช่วงเดียวกันของปีก่อน โดยมาจากรายได้จากการขายสินค้าเท่ากับ 103,558 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 2,434 ล้านบาท หรือคิดเป็น 2.4% เมื่อเปรียบเทียบกับช่วงเดียวกันของปีก่อน เนื่องจากการเปิดสาขาที่เพิ่มขึ้น ในขณะที่ การเติบโตของยอดขายต่อสาขาเดิมลดลง 0.8% (0.02% เมื่อไม่รวมยอดขายสินค้าบีทูบี) ในขณะเดียวกันรายได้อื่นอยู่ที่ 12,737 ล้านบาท ลดลง 203 ล้านบาท หรือคิดเป็น 1.6% เมื่อเปรียบเทียบกับช่วงเวลาเดียวกันของปีก่อน เป็นผลมาจากการลดลงของรายได้ค่าเช่าและการให้บริการและรายได้อื่น
กลุ่มสินค้าและบริการทางการค้าปลีกสมัยใหม่ยังคงขยายสาขาอย่างต่อเนื่องในไตรมาส 4/67 โดยได้เปิดบิ๊กซี ฟู้ดเพลสจำนวน 4 สาขา บิ๊กซี มินิจำนวน 16 สาขา (รวมบิ๊กซี มินิจำนวน 2 สาขาในประเทศกัมพูชา) ร้านขายยาเพรียวจำนวน 3 สาขา ตลาด Open-air จำนวน 1 สาขา ร้านกาแฟวาวีจำนวน 1 สาขา และร้านหนังสือเอเซียบุ๊คส์จำนวน 1 สาขา และในระหว่างไตรมาสมีการปิดบิ๊กซิ ไฮเปอร์มาร์เก็ตที่กำลังจะหมดสัญญาเช่าจำนวน 1 สาขา ได้แก่ บิ๊กซี ราษฎ์บูรณะ โดยหลังจากการพิจารณาอย่างรอบคอบแล้ว บริษัทได้ตัดสินใจที่จะไม่ต่อสัญญาเช่าของร้านค้าสาขาดังกล่าว เนื่องจากบริษัทมีสาขาอื่นในพื้นที่ใกล้เคียงที่สามารถรองรับลูกค้าได้อย่างเพียงพอ นอกจากนี้บริษัทได้ปิดบิ๊กซี มาร์เก็ตจำนวน 1 สาขา บิ๊กซี มินิจำนวน 2 สาขา บิ๊กซี ฮ่องกงจำนวน 3 สาขา ร้านขายยาเพรียวจำนวน 2 สาขา และร้านกาแฟวาวีจำนวน 4 สาขา ส่งผลให้เครือข่ายร้านค้าของบริษัทมีร้านค้าไฮเปอร์มาร์เก็ตจำนวน 155 สาขา (รวมบิ๊กซี ซูเปอร์เซ็นเตอร์จำนวน 1 สาขาในประเทศกัมพูชา และ 1 สาขาในประเทศลาว) ร้านค้าขนาดซูเปอร์มาร์เก็ตจำนวน 52 สาขา (บิ๊กซี มาร์เก็ตจำนวน 34 สาขา และบิ๊กซี ฟู้ดเพลสจำนวน 16 สาขาในประเทศไทย และ 2 สาขาในประเทศกัมพูชา) ร้านค้าบิ๊กซี ฮ่องกงจำนวน 14 สาขา ร้านค้าบิ๊กซี มินิจำนวน 1,616 สาขา (รวมสาขาแฟรนไชส์ในประเทศไทยจำนวน 77 สาขา และบิ๊กซี มินิจำนวน 18 สาขาในประเทศกัมพูชา) บิ๊กซี ดีโป้จำนวน 11 สาขา บิ๊กซี ฟู้ดเซอร์วิสจำนวน 7 สาขา ตลาด Open-Air จำนวน 9 สาขา ร้านขายยาเพรียวจำนวน 146 สาขา ร้านกาแฟวาวีจำนวน 43 สาขา ร้านหนังสือเอเชียบุ๊คส์จำนวน 69 สาขา ในขณะที่เครือข่ายร้านค้าโดนใจมีจำนวน 10,773 สาขา ณ สิ้นปี 2567 และแพลตฟอร์ม Omnichannel ของบริษัทเติบโตอย่างแข็งแกร่ง ทั้งจำนวนการดาวน์โหลดแอป Big C PLUS ที่เพิ่มขึ้น รวมถึงยอดขายที่เพิ่มขึ้นผ่านแพลตฟอร์มของบริษัทและแพลตฟอร์มอื่น (3rd party) ในปี 2567
กลุ่มบีเจซี บิ๊กซี มุ่งมั่นพัฒนาธุรกิจอย่างมั่นคง ด้วยวิสัยทัศขององค์กรที่ตั้งเป้าหมาย เป็นพันธมิตรทางธุรกิจที่น่าเชื่อถือ เพื่อร่วมสร้างให้สังคมมีความเป็นอยู่ที่ดีขึ้นอย่างยั่งยืน เตรียมพร้อมรับมือทุกสถานการณ์เพื่อเติบโตต่อไปอย่างแข็งแกร่ง
บิ๊กซี ซูเปอร์เซ็นเตอร์ ร่วมกับ สถานเอกอัครราชทูตสาธารณรัฐอิตาลีประจำประเทศไทย จัดงาน “ITALY FAIR 2025” ขนทัพผลิตภัณฑ์อาหารและวัตถุดิบคุณภาพพรีเมียม ส่งตรงจากประเทศอิตาลี รวมกว่า 300 รายการ ให้ผู้บริโภคลิ้มรสความอร่อยสไตล์อิตาเลียนแท้ พร้อมชูไฮไลต์โปรโมชันลดสูงสุด 30 % ตั้งแต่วันนี้ - 5 มีนาคม 2568 ที่ บิ๊กซี ซูเปอร์เซ็นเตอร์ 10 สาขาที่ร่วมรายการ และช่องทางออนไลน์

นายอัศวิน เตชะเจริญวิกุล ประธานเจ้าหน้าที่บริหารและกรรมการผู้จัดการใหญ่ บริษัท บิ๊กซี ซูเปอร์เซ็นเตอร์ จำกัด (มหาชน) ห้างค้าปลีกในกลุ่มบีเจซี กล่าวว่า บิ๊กซี มีความตั้งใจผลักดันและเผยแพร่วัฒนธรรมอิตาลีอันทรงเสน่ห์ ผ่านอาหารที่สดใหม่และวัตถุดิบคุณภาพชั้นเลิศจากแหล่งท้องถิ่น เพื่อให้ลูกค้าทั้งชาวไทยและชาวต่างชาติได้สัมผัสกับสินค้าต้นตำรับจากอิตาลี ในราคาที่คุ้มค่าและสะดวกมากขึ้น เพียงมาช้อปที่ บิ๊กซี ณ สาขาที่ร่วมรายการ ซึ่งเราเชื่อมั่นว่างาน “ITALY FAIR 2025” ครั้งนี้ จะตอบโจทย์ไลฟสไตล์อิตาเลียนเลิฟเวอร์ และกระตุ้นการจับจ่ายใช้สอยของลูกค้า รวมถึงสามารถผลักดันยอดขายให้เติบโตกว่า 5 ล้านบาท อย่างแน่นอน

บิ๊กซี มุ่งมั่นในการคัดสรรผลิตภัณฑ์อาหารและวัตถุดิบคุณภาพพรีเมียม นำเข้าจากประเทศอิตาลี รวมกว่า 300 รายการ เพื่อให้ลูกค้าได้เลือกชิมและช้อปกันอย่างจุใจ พร้อมมอบโปรโมชันลดสูงสุด 30 % หลากหลายแบรนด์ด้วยกัน อาทิ
อีกทั้งยังมีสินค้าสุดเอ็กซ์คลูซีฟ วางจำหน่ายเฉพาะที่ บิ๊กซี เท่านั้น อาทิ แบรนด์ COOP Italy เป็นต้น
ขอเชิญชวนลูกค้าทุกท่าน มาช้อปปิ้งในงาน “ITALY FAIR 2025” ได้ตั้งแต่วันนี้ - 5 มีนาคม 2568 ณ บิ๊กซี ซูเปอร์เซ็นเตอร์ 10 สาขาที่ร่วมรายการ ได้แก่ สาขาพระราม 4, สาขาสะพานควาย, สาขาลาดพร้าว 2, สาขาเมกา บางนา, สาขาพัทยา 2, สาขาพัทยา 3, สาขาภูเก็ต 1, สาขาภูเก็ต 2, สาขาสมุย, และสาขาเชียงใหม่ 2 รวมถึงช่องทางออนไลน์
พิเศษ! สมาชิกบิ๊กพอยต์ “สุขไปกันใหญ่ บิ๊กพอยต์ แต้มความสุข แลกง่ายได้ทุกวัน” ยิ่งสะสมมากยิ่งได้มากทุกการใช้จ่าย 25 บาท = 1 คะแนน ใช้คะแนนแลกรับส่วนลดทันที เช็กโปรโมชันดี ๆ ได้ทุกวันที่ บิ๊กซี
หมายเหตุ: เงื่อนไขเป็นไปตามที่บริษัทกำหนด
บีเจซี เฮลท์แคร์ จับมือ DK Medical Systems เปิดตัวศูนย์ฝึกอบรมเทคโนโลยีการแพทย์ หวังกระชับความร่วมมือด้านเทคโนโลยีการแพทย์ ยกระดับมาตรฐานการดูแลสุขภาพผ่านปัญญาประดิษฐ์ พร้อมประยุกต์ AI ใช้กับเครื่องเอกซเรย์รุ่นล่าสุด สนับสนุนการวินิจฉัยโรคแม่นยำสูงขึ้น เพิ่มโอกาสตรวจพบโรคตั้งแต่ระยะเริ่มต้น
นางฐาปณี เตชะเจริญวิกุล ประธานเจ้าหน้าที่บริหารและกรรมการผู้จัดการใหญ่ บริษัท เบอร์ลี่ ยุคเกอร์ จำกัด (มหาชน) หรือ บีเจซี ผู้ดำเนินธุรกิจพาณิชยกรรม ผู้ผลิตและจัดจำหน่ายสินค้าและบริการครบวงจร เปิดเผยว่า บีเจซี เฮลท์แคร์ กลุ่มธุรกิจผลิตภัณฑ์ด้านเวชภัณฑ์และเภสัชภัณฑ์ ภายใต้การบริหารงานของ บีเจซี ร่วมกับ DK Medical Systems ผู้ผลิตและจำหน่ายอุปกรณ์ทางการแพทย์ชั้นนำของเกาหลีใต้ จัดตั้งศูนย์ฝึกอบรมเทคโนโลยีทางการแพทย์แห่งใหม่ X-Cellence Training Center ณ อาคารบีเจซี 2 เพื่อกระชับความร่วมมือด้านเทคโนโลยีการแพทย์ รวมถึงยกระดับมาตรฐานการดูแลสุขภาพด้วยปัญญาประดิษฐ์ (AI) ให้มีประสิทธิภาพมากขึ้น ท่ามกลางกระแสการพัฒนาเทคโนโลยีทางการแพทย์ที่เติบโตอย่างรวดเร็วในภูมิภาคเอเชีย

สำหรับจุดเด่นของความร่วมมือครั้งนี้อยู่ที่การนำเทคโนโลยี AI มาประยุกต์ใช้ในระบบเครื่องเอกซเรย์รุ่นล่าสุด Elin T7 ซึ่งถือเป็นนวัตกรรมที่ช่วยยกระดับการวินิจฉัยโรคให้มีความแม่นยำสูงขึ้น โดย AI จะทำหน้าที่วิเคราะห์ภาพถ่ายทางการแพทย์และช่วยระบุตำแหน่งของรอยโรคที่สำคัญ ช่วยให้แพทย์สามารถวินิจฉัยและวางแผนการรักษาได้อย่างมีประสิทธิภาพมากยิ่งขึ้น โดยเทคโนโลยี AI ที่อยู่ในระบบยังสามารถเรียนรู้และพัฒนาความแม่นยำในการวิเคราะห์อย่างต่อเนื่อง ผ่านการประมวลผลข้อมูลภาพถ่ายจำนวนมาก ซึ่งจะช่วยลดความผิดพลาดในการวินิจฉัย และเพิ่มโอกาสในการตรวจพบโรคตั้งแต่ระยะเริ่มต้น
ขณะเดียวกัน ศูนย์ฝึกอบรมแห่งใหม่นี้จะเป็นฐานสำคัญในการถ่ายทอดองค์ความรู้ด้านการใช้เทคโนโลยี AI ในทางการแพทย์ระหว่างผู้เชี่ยวชาญของทั้งสองประเทศ โดยมุ่งเน้นการพัฒนาทักษะของบุคลากรทางการแพทย์ในการใช้เทคโนโลยีขั้นสูงเพื่อการวินิจฉัยโรค นอกจากนี้ ความร่วมมือดังกล่าวยังสอดคล้องกับนโยบายของรัฐบาลไทยในการผลักดันให้ประเทศไทยเป็นศูนย์กลางทางการแพทย์ของภูมิภาค (Medical Hub) และนโยบาย New Southern Policy ของเกาหลีใต้ ที่มุ่งเน้นการแลกเปลี่ยนเทคโนโลยีและนวัตกรรมกับประเทศในภูมิภาคเอเชียตะวันออกเฉียงใต้

นางฐาปณี กล่าวว่า การผสานความร่วมมือด้านเทคโนโลยี AI ทางการแพทย์ระหว่างไทยและเกาหลีใต้ในครั้งนี้ ไม่เพียงแต่จะช่วยยกระดับมาตรฐานการดูแลสุขภาพของประชาชนเท่านั้น แต่ยังเป็นการวางรากฐานสำคัญสำหรับการพัฒนานวัตกรรมทางการแพทย์ร่วมกันในอนาคต ซึ่งจะนำไปสู่การพัฒนาระบบสาธารณสุขที่ยั่งยืนในภูมิภาคต่อไป
ในปี 2023 - 2025 ตลาดเครื่องมือแพทย์ของไทยมีแนวโน้มเติบโตต่อเนื่อง โดยคาดว่ามูลค่าตลาดรวมการจำหน่ายเครื่องมือแพทย์ในประเทศจะเติบโตเฉลี่ย 5.5 – 7% ต่อปี ขณะที่ภาพรวมกลุ่มธุรกิจ บีเจซี เฮลท์แคร์ ในปีนี้ ยังอยู่ในทิศทางการเติบโตอย่างต่อเนื่อง โดยยังคงตั้งเป้าหมายการเติบโตจากปีก่อน ประมาณ 8% ซึ่งเติบโตกว่าอัตราการเติบโตของตลาดโดยรวมในปีที่ผ่านมา
ภาพรวมอุตสาหกรรมเครื่องมือด้านเวชภัณฑ์และเภสัชภัณฑ์ในปีนี้ ยังมองว่าตลาดนี้ยังเติบโตได้อย่างต่อเนื่อง จากปัจจัยสนับสนุนหลัก อย่าง เทรนด์การรักษาสุขภาพของผู้คนในยุคนี้ที่ให้ความสำคัญกับการดูแลใส่ใจสุขภาพร่างกายกันอย่างมาก รวมถึงมองหาการบริการหรือตัวช่วยที่จะช่วยให้ร่างกายแข็งแรง การตรวจสุขภาพต่าง ๆ เพื่อป้องกันการเกิดโรคภัย การรักษาโรคอย่างมีประสิทธิภาพ ตลอดจนการพยายามเข้าถึงการบริการที่ช่วยส่งเสริมภาพลักษณ์ให้ดูดี สวยงามมากขึ้น
ข้อมูลเกี่ยวกับ DK Medical Systems ผู้นำด้านเทคโนโลยีทางการแพทย์ ก่อตั้งขึ้นในปี 1992 ได้สร้างความก้าวหน้าในวงการแพทย์ด้วยการนำเข้าเทคโนโลยีการวินิจฉัยด้วยภาพที่ทันสมัย และเป็นผู้นำตลาดเอกซเรย์ดิจิทัลในเกาหลี และล่าสุดบริษัทได้ขยายขอบเขตการดำเนินงานสู่ความร่วมมือด้านการรักษาด้วยเทคโนโลยี Heavy Ion Therapy พร้อมทั้งให้การสนับสนุนด้านการศึกษา การวิจัยและการประยุกต์ใช้ทางคลินิกอย่างต่อเนื่อง โดยประสบความสำเร็จในการเปิดตัวนวัตกรรมล่าสุด 'INNOVISION Elin-T7 wide' เครื่องเอกซเรย์ดิจิทัลระดับพรีเมียมที่ได้รับการพัฒนาด้วยเทคโนโลยีล้ำสมัย พร้อมดีเทคเตอร์ ขนาด 47x47 เซนติเมตร นับเป็นครั้งแรกของโลก ที่สามารถครอบคลุมพื้นที่การตรวจวินิจฉัยได้กว้างขึ้น โดยเฉพาะในการถ่ายภาพรังสีบริเวณช่องท้องที่สามารถบันทึกภาพได้ครบถ้วนในครั้งเดียว ซึ่งเพิ่มประสิทธิภาพในการวินิจฉัยทางคลินิก และช่วยลดความจำเป็นในการถ่ายภาพซ้ำ ถือเป็นการลดการได้รับรังสีที่ไม่จำเป็นของผู้ป่วยอีกด้วย
บิ๊กซี เปิดแผนปี 2568 วางงบลงทุน 6,091 ล้านบาท ปักหมุดทำเลใหม่ เจาะกลุ่มลูกค้าพื้นที่ต่าง ๆ มากขึ้น เปิดเพิ่มขนาดสาขา ขนาดใหญ่ 7 สาขา และสาขาขนาดเล็ก 200 สาขา พร้อมเดินหน้ารีโนเวทสาขาขนาดใหญ่ 17 สาขา และสาขาขนาดเล็กอีก 100 สาขา เพิ่มร้านค้าใหม่ที่หลากหลาย หวังตอบโจทย์ทุกไลฟ์สไตล์ของผู้บริโภคยุคใหม่
นายอัศวิน เตชะเจริญวิกุล ประธานเจ้าหน้าที่บริหารและกรรมการผู้จัดการใหญ่ บริษัท บิ๊กซี ซูเปอร์เซ็นเตอร์ จำกัด (มหาชน) ห้างค้าปลีกกลุ่มบีเจซี เปิดเผยว่า ในปี 2568 นี้ บิ๊กซี เตรียมงบลงทุน 6,091 ล้านบาท เปิดเพิ่ม 207 สาขา ได้แก่ สาขาขนาดใหญ่ 7 สาขา และสาขาขนาดเล็ก 200 สาขา อาทิ บลูพอร์ต หัวหิน, Phenix ประตูน้ำ, สวนนงนุช, โครงการเพชรไพบูลย์, จตุจักร และ Parc Bangna เป็นต้น ถือเป็นทำเลใหม่ที่บิ๊กซีต้องการขยายการบริการให้ครอบคลุม เข้าถึงกลุ่มลูกค้าพื้นที่ต่าง ๆ มากขึ้น
พร้อมกันนี้ บิ๊กซี ยังมีแผนรีโนเวทสาขาปัจจุบันอีก 117 สาขา ได้แก่ สาขาขนาดใหญ่ 17 สาขา และสาขาขนาดเล็กอีก 100 สาขา อาทิ รัชดาภิเษก, บางประกอก, พัทยา 1, บางนา, สุขาภิบาล 3-1, นครปฐม, บางบอน, อำนาจเจริญ, หาดใหญ่ 1, ภูเก็ต, พัทยา 3, แฟชั่นไอส์แลนด์, สุวินทวงศ์, หางดง, วังสะพุง, สีคิ้ว และ พังงา เป็นต้น เพื่อตอบโจทย์ทุกไลฟ์สไตล์ของลูกค้าหลากหลายเจเนอเรชั่น โดยจะมีการปรับโฉมพื้นที่โซนต่าง ๆ ให้เป็นมากกว่าพื้นที่ชอปปิง อาทิ พื้นที่จัดกิจกรรม พื้นที่สำหรับพบปะสังสรรค์ และร้านค้าสุดล้ำสมัย สอดรับเทรนด์นักชอปรุ่นใหม่ รวมถึงร้านอาหารรสเลิศตอบโจทย์ทุกความอิ่มอร่อย เหมาะสำหรับครอบครัวและกลุ่มเพื่อน
นอกจากนี้ ยังมีแผนสนับสนุนการขายด้วยการจัดโปรโมชันและแคมเปญพิเศษมากมายมามอบให้กับลูกค้า โดยเฉพาะอย่างยิ่งในช่วงเปิดสาขาที่จะมีกิจกรรมพิเศษต่าง ๆ ที่น่าสนใจให้ลูกค้าได้ร่วมสนุก เพื่อตอบโจทย์ความคุ้มค่า รวมถึงสร้างประสบการณ์การชอปปิงมากยิ่งขึ้น ตลอดจนคัดสรรและนำเสนอสินค้าที่ดี มีคุณภาพ ให้แก่ลูกค้า
อย่างไรก็ดี ในปีนี้จะมี บิ๊กซี จำนวน 3 สาขา ที่จะหมดอายุสัญญาเช่าพื้นที่ลง ได้แก่ บิ๊กซี สาขารัตนาธิเบศร์ 1 ซึ่งตั้งอยู่ในทำเลที่คึกคักและได้รับการตอบรับจากผู้บริโภคด้วยดีเสมอมา ปัจจุบันเรามีถึง 2 สาขาในย่านนี้ แต่ด้วยสัญญาเช่าพื้นที่ของสาขาที่ติดกับโรงพยาบาลเกษมราษฎร์รัตนาธิเบศร์จะหมดอายุสัญญากลางปีนี้ โดยจะเปิดให้บริการถึงสิ้นเดือนมีนาคม 2568 (ลูกค้าสามารถใช้บริการที่สาขาใกล้เคียงที่ บิ๊กซี สาขาบางใหญ่) พร้อมกันนี้ บิ๊กซี สาขาศรีนครินทร์ จะเปิดให้บริการถึงสิ้นเดือนสิงหาคม 2568 เช่นกัน (ลูกค้าสามารถใช้บริการที่สาขาใกล้เคียงที่ บิ๊กซี สาขาบางพลี, บางนา และ สมุทรปราการ) และช่วงสิ้นปี บิ๊กซี สาขาดอนเมือง จะเปิดให้บริการถึงสิ้นเดือนธันวาคม 2568 (ลูกค้าสามารถใช้บริการที่สาขาใกล้เคียงที่ บิ๊กซี สาขารามอินทรา และรังสิต 1 (ในศูนย์การค้าฟิวเจอร์พาร์ค รังสิต)) โดยบริษัทมีสาขาอื่นในพื้นที่ใกล้เคียงที่สามารถรองรับลูกค้าได้อย่างเพียงพอ
ทั้งนี้ บิ๊กซี มีนโยบายดูแลพนักงานทุกคน ซึ่งสามารถดำเนินการตกลงเพื่อโอนย้ายไปทำงานได้ที่ บิ๊กซี สาขาใกล้เคียง หรือที่ภูมิลำเนาของพนักงานตามสมัครใจ และสำหรับกลุ่มร้านค้าเช่านั้น ได้มีการเจรจาตกลงร่วมกันกับทางผู้เช่าพื้นที่ ด้วยการดูแลและจัดหาพื้นที่ เพื่อย้ายไปเปิดให้บริการในสาขาอื่น ๆ ของบิ๊กซีทั่วประเทศ
ในปัจจุบัน บิ๊กซี มีจำนวนสาขาขนาดใหญ่ทั่วประเทศไทย ประเทศกัมพูชา และประเทศลาว ทั้งสิ้น 207 สาขา แบ่งเป็น ไฮเปอร์มาร์เก็ต 155 สาขา ฟู้ดเพลส 18 สาขา มาร์เก็ต 34 สาขา ตลอดจนมีบิ๊กซีมินิอีก 1,616 สาขา รวมถึงยังมีธุรกิจในเขตบริหารพิเศษฮ่องกง และประเทศเวียดนาม
นายอัศวิน เตชะเจริญวิกุล ประธานเจ้าหน้าที่บริหารและกรรมการผู้จัดการใหญ่ กลุ่มบีเจซี บิ๊กซี ให้การสนับสนุนการจัดคอนเสิร์ตสุดพิเศษ “In the Footstep of Bartók” ร่วมกับสถานเอกอัครราชทูตฮังการี นำโดย ฯพณฯ นายชานโดร์ ชีโปช (H.E. Mr. Sándor Sipos) เอกอัครราชทูตฮังการีประจำประเทศไทย เพื่อเฉลิมฉลองมิตรภาพทางวัฒนธรรมระหว่างไทยและฮังการี ณ ห้องประชุม Grand Step C ชั้น 6 อาคาร Big C House เมื่อวันที่ 30 มกราคม 2568

คอนเสิร์ตครั้งนี้นำเสนอการแสดงเดี่ยวโดยศิลปินชื่อดังชาวฮังการี Ms. Kriszta Kovats (คริสต้า โควาส) นักแสดง นักร้อง ผู้กำกับ และพิธีกรวิทยุมากความสามารถ ที่มาถ่ายทอดบทเพลงหลากหลายแนว ทั้งเพลงรัก (Love Songs), เพลงฮิตจากละครเวที (Hit Musical Songs) และเพลงพื้นบ้าน (Folk Songs) พร้อมด้วยการแสดงพิเศษจากศิลปินรับเชิญ นายภาธร สวัสดิสุข อดีตสมาชิกคณะประสานเสียงกรุงเทพฯ และครูสอนร้องเพลง ที่มาร่วมขับร้องบทเพลงฮังการีสร้างสีสันในงาน

นอกจากนี้ ภายในงานยังมีการจัดแสดงผลงานศิลปะสิ่งทอของ Ms. Andrea Ruttka (แอนเดรีย รัตก้า) ศิลปินสิ่งทอชื่อดังจากฮังการี ผู้เคยร่วมงานกับสถานีโทรทัศน์แห่งชาติฮังการี, วิทยาลัยศิลปะประยุกต์ฮังการี และโรงเรียนเต้นรำ Madach Theatre โดยผลงานของเธอช่วยเติมเต็มบรรยากาศทางศิลปะและเสริมประสบการณ์การชมคอนเสิร์ตครั้งนี้ได้อย่างลงตัว สะท้อนถึงความงดงามของดนตรีในฐานะภาษาสากลที่เชื่อมโยงผู้คนจากทั่วโลก
กลุ่มบีเจซี บิ๊กซี มีความภาคภูมิใจที่ได้เป็นส่วนหนึ่งในการส่งเสริมการแลกเปลี่ยนวัฒนธรรมไทย-ฮังการี และมอบโอกาสให้พนักงานรวมถึงแขกผู้มีเกียรติได้สัมผัสประสบการณ์ทางดนตรีและศิลปะอันทรงคุณค่าในค่ำคืนแสนพิเศษนี้