สำนักงานพัฒนาธุรกรรมทางอิเล็กทรอนิกส์ (สพธอ.) หรือ ETDA (เอ็ตด้า) กระทรวงดิจิทัลเพื่อเศรษฐกิจและสังคม เผย ผู้ประกอบธุรกิจแพลตฟอร์มดิจิทัล ที่มีลักษณะตามมาตรา 16 ภายใต้กฎหมาย DPS จะต้องเตรียมประกาศข้อตกลงและเงื่อนไขการให้บริการ หรือ Terms & Conditions (T&C) อาทิ เงื่อนไขการให้บริการ การระงับ การคิดค่าบริการ การจัด Ranking การใช้ข้อมูลส่วนบุคคล ช่องทางรับเรื่องร้องเรียน ช่วยเหลือ ระงับข้อพิพาท ฯลฯ ให้ผู้ใช้บริการทราบอย่างชัดเจน เริ่มบังคับใช้พร้อมกัน 3 มกราคม 2567 นี้

นายชัยชนะ มิตรพันธ์ ผู้อำนวยการ ETDA เปิดเผยว่า ตามที่ กฎหมาย DPS (Digital Platform Service) หรือ พ.ร.ฎ.การประกอบธุรกิจบริการแพลตฟอร์มดิจิทัล ที่ต้องแจ้งให้ทราบ  พ.ศ. 2565 มาตรา 17 ได้กำหนดให้ผู้ประกอบธุรกิจแพลตฟอร์มดิจิทัล ที่มีลักษณะบริการตาม มาตรา 16 คือ เป็นบริการแพลตฟอร์มที่มีลักษณะให้บริการโดยคิดค่าบริการ, ให้บริการเป็นสื่อกลางในการเสนอสินค้าหรือบริการ, ผู้ประกอบธุรกิจมีสัญญากับผู้ประกอบการในการเสนอสินค้าหรือบริการ หรือเป็นบริการ Search engine  หรือ เป็นบริการสืบค้นแหล่งที่ตั้งของข้อมูลคอมพิวเตอร์ จะต้องดำเนินการแจ้งให้ผู้ใช้บริการทราบเกี่ยวกับ "ข้อตกลงและเงื่อนไขการให้บริการ (Terms & Conditions: T&C)” ก่อนหรือขณะใช้บริการ

การแจ้ง T&C เป็นหนึ่งกลไกที่ถูกกำหนดขึ้นเพื่อส่งเสริมและสนับสนุนให้เกิดความโปร่งใส เป็นธรรม ในการให้บริการของแพลตฟอร์มดิจิทัล ให้ผู้ใช้บริการมีข้อมูลในการประกอบการตัดสินใจ ที่จะเลือกใช้งานแพลตฟอร์มและทราบผลที่จะเกิดขึ้นจากการใช้บริการแพลตฟอร์มนั้นๆ ซึ่งจะช่วยให้มีการดูแลและปกป้องสิทธิของผู้ใช้บริการได้อย่างมีประสิทธิภาพ…

ดังนั้น เพื่อให้ผู้ประกอบธุรกิจแพลตฟอร์มดิจิทัล มีแนวทางในการแจ้งประกาศ T&C ได้อย่างเหมาะสม สอดคล้องกับกฎหมาย DPS ทาง ETDA จึงได้ออกประกาศ สพธอ. ที่ ธพด. 4/2566 เรื่อง รายละเอียดการประกาศข้อตกลงและเงื่อนไขการให้บริการแพลตฟอร์มดิจิทัลให้ผู้ใช้บริการทราบ เมื่อวันที่ 4 สิงหาคม 2566 ที่ผ่านมา ซึ่งตามประกาศดังกล่าว ระบุว่า T&C ที่ผู้ประกอบธุรกิจแพลตฟอร์มดิจิทัลจะต้องแจ้งให้ผู้ใช้บริการทราบนั้น อย่างน้อยต้องประกอบไปด้วย 8 เรื่อง ดังนี้ 1. เงื่อนไขในการให้บริการ การระงับหรือการหยุดให้บริการ และการคิดค่าบริการ 2. ปัจจัยหลักของอัลกอริทึมหรือของหลักเกณฑ์ที่ใช้ในการจัดอันดับ (Ranking) หรือ แนะนำรายการสินค้าหรือบริการ (Recommending) 3. ปัจจัยหลักของอัลกอริทึมหรือของหลักเกณฑ์ที่ใช้ในการนำเสนอโฆษณาสินค้าหรือบริการแก่ผู้ใช้บริการ 4. ปัจจัยหลักของอัลกอริทึมหรือของหลักเกณฑ์ที่ใช้ในการประเมินความพึงพอใจและการแสดงความคิดเห็นของผู้ใช้บริการ 5. การเข้าถึงและการใช้งานข้อมูลที่ได้รับจากการให้บริการแพลตฟอร์มดิจิทัล โดยผู้ประกอบธุรกิจหรือผู้ใช้บริการ 6. ช่องทางการให้ความช่วยเหลือ กระบวนการจัดการเรื่องร้องเรียนและการระงับข้อพิพาทและกรอบระยะเวลาดำเนินการ 7. การจัดระดับการนำเสนอสินค้า บริการ หรือเนื้อหาที่เหมาะสมกับผู้ใช้บริการแต่ละกลุ่ม และ
8. การดำเนินการกับสินค้า บริการ หรือเนื้อหาที่เข้าข่ายผิดกฎหมาย เป็นต้น

ทั้งนี้ ผู้ประกอบธุรกิจแพลตฟอร์มดิจิทัล จะต้องดำเนินการแจ้ง T&C ให้ผู้ใช้บริการทราบ ตั้งแต่วันนี้ที่ 3 มกราคม 2567 เป็นต้นไป  และต้องยื่นรายงาน T&C พร้อมการแจ้งข้อมูลการประกอบธุรกิจรายปี ให้ ETDA ทราบตามระยะเวลาที่กฎหมายกำหนด กรณีบุคคลธรรมดา ภายใน 60 วัน นับจากวันสิ้นปีปฏิทิน (ภายใน 29 กุมภาพันธ์ 2567) กรณีนิติบุคคล  ภายใน 60 วัน นับจากวันสิ้นปีบัญชี (ตามวันที่แจ้งกับ กรมพัฒนาธุรกิจการค้า กระทรวงพาณิชย์)                      

สามารถศึกษารายละเอียดประกาศ T&C ได้ที่  https://bit.ly/47vYJqY หรือขอคำปรึกษาเพิ่มเติม โทร 02-123-1234 (ติดต่อทีมกำกับดูแลกฎหมาย DPS) ในวันและเวลาราชการ (9.00-17.00 น.) หรือ อีเมล This email address is being protected from spambots. You need JavaScript enabled to view it.

ที่แรกในการเผยผลการศึกษาฯ กระแสตอบรับดี “พาร์ทเนอร์-กูรูด้านการคาดการณ์อนาคต” ร่วมงานแน่น

เปิดภาพอนาคตดิจิทัล “สุขภาวะและท่องเที่ยวไทย”10 ปีข้างหน้า “ดิจิทัลทำลายสมดุลชีวิตเพิ่มขึ้น-ท่องเที่ยวเพื่อสุขภาพทางกายและใจกลับมาแรง”

สำนักงานพัฒนาธุรกรรมทางอิเล็กทรอนิกส์" (สพธอ.) หรือ "เอ็ตด้า" (ETDA : Electronic Transactions Development Agency) กระทรวงดิจิทัลเพื่อเศรษฐกิจและสังคม ร่วมมือกับ Dek-D จัดโครงการ ETDA Digital Citizen Trainer หรือ EDC Trainer เพื่อสร้างความตระหนักรู้ในการใช้อินเทอร์เน็ตผ่านการแบ่งปันทักษะสำคัญสำหรับการพัฒนาและส่งต่อความรู้ที่ได้รับสู่สังคม ซึ่งจะช่วยส่งเสริมการใช้สื่ออย่างปลอดภัยในยุคดิจิทัล

โดยไม่ให้มีใครเผลอหรือตั้งใจแสดงพฤติกรรมที่ส่งผลกระทบต่อความปลอดภัยและสภาพจิตใจของผู้อื่น และไม่ตกเป็นเหยื่อของภัยคุกคามบนโลกออนไลน์

จากความสำเร็จและกระแสตอบรับที่ดีมากจากรุ่นแรก จึงได้มีการจัด "ETDA Digital Citizen Trainer รุ่น 2" ขึ้น และเปิดรับสมัครแล้ว ไม่จำกัดอายุ เพศ วุฒิการศึกษา ไม่มีค่าใช้จ่าย จะสมัครเดี่ยวหรือแพ็กคู่ก็ได้ โดยเปิดรับสมัครถึง 19 ม.ค.นี้เท่านั้น

 ส่อง 5 ทักษะที่จะได้เรียนรู้เมื่อได้รับการคัดเลือกให้เป็น EDC Trainer

1. ภาคทฤษฎี เข้าร่วมได้ครบตามวัน/เวลาที่กำหนด

1.1 ทักษะดิจิทัล (Digital Life Skills) ครอบคลุม 5 ด้านดังนี้

· อัตลักษณ์ดิจิทัล (Digital Identity) เพื่อให้สามารถสร้างตัวตนที่ดีและมีมารยาทในโลกดิจิทัล

· การใช้เทคโนโลยีดิจิทัลอย่างเหมาะสม (Digital Use) ทั้งในแง่เวลา อุปกรณ์ การจัดการอารมณ์ความรู้สึกและความเข้าอกเข้าใจผู้อื่น

· การจัดการความปลอดภัยในโลกดิจิทัล (Digital Security) เพื่อให้สามารถหลีกเลี่ยง ป้องกัน และรับมือกับความเสี่ยงและภัยคุกคามออนไลน์ได้

· การรู้เท่าทันดิจิทัล (Digital Literacy) เพื่อให้สามารถใช้งานข้อมูล ข่าวสาร และสื่อออนไลน์ต่างๆ ที่น่าเชื่อถือ และเสพสื่อดิจิทัลได้อย่างสร้างสรรค์

· การสื่อสารดิจิทัล (Digital Communication) เพื่อให้สามารถเรียนรู้การใช้เครื่องมือทางออนไลน์เพื่อให้ติดต่อสื่อสารอย่างมีประสิทธิภาพ และเข้าใจการจัดการกับร่องรอยดิจิทัลที่ส่งผลดีต่อตนเองได้

1.2 ทักษะการถ่ายทอดความรู้ (Transferable Skill)

· เรียนรู้เทคนิคการสอน และฝึกออกแบบกิจกรรมเพื่อเตรียมจัดอบรมขยายผลส่งต่อความรู้ไปยังกลุ่มเป้าหมาย

2. เข้าร่วมกิจกรรมกลุ่มออนไลน์ได้ทุกช่องทาง

โครงการฯ จะสร้างคอมมูนิตี้เปิดพื้นที่ให้ EDC Trainer มาแชร์ข้อมูลและแลกเปลี่ยนองค์ความรู้ร่วมกัน

3. ทำภารกิจขยายผล

EDC Trainer ออกแบบแผนการสอนในแบบฉบับของตัวเอง นำความรู้ที่ได้ไปอบรมกลุ่มเป้าหมายผ่านช่องทางออนไลน์หรือออฟไลน์

สิทธิประโยชน์สุดพิเศษสำหรับผู้เข้าร่วมโครงการ!

1. ประกาศนียบัตรจาก ETDA

2. ได้เป็น EDC Trainer ในสังกัด ETDA

· ได้รับสิทธิ์การเข้าถึงคลังความรู้และสื่อสารสอนจาก ETDA

· ส่งเสริม สนับสนุน และเข้าร่วมกิจกรรมที่เกี่ยวข้องกับหน่วยงานในเครือข่ายของ ETDA

3. คอนเนกชัน โอกาสแลกเปลี่ยนความรู้และประสบการณ์ทั้งกับผู้เชี่ยวชาญด้านดิจิทัลและ EDC Trainer แต่ละรุ่น

เช็กลิสต์คุณสมบัติ

ใครสมัคร EDC Trainer รุ่น 2 ได้บ้าง?

1. สมัครได้ทุกคน ไม่จำกัด อายุ เพศ การศึกษา (คลิกที่นี่เพื่อสมัครออนไลน์)

2. รอบนี้เปิดให้ สมัครเดี่ยว หรือ สมัครเป็นแพ็กคู่ ก็ได้

3. เป็นผู้มีใจรักพร้อมเรียนรู้และฝึกฝนทักษะดิจิทัล รวมถึงแนวทางการใช้โซเชียลอย่างสร้างสรรค์

4. มีความรับผิดชอบ จัดการเวลาได้ดี และกล้าสวมบทบาทผู้สอน (เพราะภารกิจคือการอบรมและนำความรู้ไปถ่ายทอดต่อ)

5. สามารถเข้าร่วมอบรมทางออนไลน์หรือออฟไลน์ได้ครบตามวันและเวลาที่กำหนด

สอบถามเพิ่มเติมโครงการ “ETDA Digital Citizen Trainer” FB Fanpage: ETDA Thailand Line : @edctrainer หรือ E-mail : This email address is being protected from spambots. You need JavaScript enabled to view it.

 จังหวะที่เศรษฐกิจของประเทศกำลังฟื้นตัวจากโควิดและการเร่งระดมปรับใช้เทคโนโลยีดิจิทัลรอบด้านของภาครัฐและเอกชนเพื่อเพิ่มขีดความสามารถในการแข่งขันของธุรกิจทุกรูปแบบ สองปัจจัยนี้กำลังผลักดันให้ประเทศไทยเดินหน้าเข้าใกล้สู่การเป็น Digital Hub ของภูมิภาคเอเชียตะวันออกเฉียงใต้มากยิ่งขึ้นได้จริงหรือ? จากรายงาน e-Conomy SEA Report 2021 ฉบับล่าสุด จัดทำโดย Google, Temasek และ Bain & Company ระบุว่าภายในปี 2568 ประเทศไทยจะมีมูลค่าเศรษฐกิจดิจิทัลสูงถึง 5.7 หมื่นล้านดอลลาร์สหรัฐฯ และมีขนาดเศรษฐกิจดิจิทัลใหญ่เป็นอันดับ 2 ในภูมิภาคอาเซียน ประกอบกับเทรนด์การดำเนินธุรกิจที่เน้นความยั่งยืน หรือ ESG (Environment, Social,  Governance) ได้กลายเป็นปัจจัยพื้นฐานสำหรับขับเคลื่อนระบบนิเวศดิจิทัลพร้อมดึงดูดการลงทุนใหม่ ๆ   

ประเทศไทยกับการเป็น Digital Hub คือสิ่งที่เป็นจริงได้

ข้อมูลจากรายงาน Thailand Internet User Behavior 2021 ของ ETDA ตอกย้ำให้เห็นว่าคนไทยอยู่กับโลกออนไลน์อย่างจริงจัง ตามสถิติล่าสุดเฉลี่ยถึงวันละ 10 ชั่วโมง 36 นาที ในขณะที่ภาคธุรกิจและผู้ประกอบการต่างหันมาทำ Digital Transformation รับมือต่อการเปลี่ยนแปลงจากผลกระทบของโควิดหลากหลายมิติ ตลาดที่เห็นได้ชัดเจน คือ e-Commerce ที่มีการแข่งขันดุเดือดและภาคการเงินที่เร่งพัฒนาบริการดิจิทัลมากมาย สะท้อนให้เห็นชัดเจนว่าประเทศไทยกำลังเดินไปอยู่ยุค Digital First อย่างแท้จริง ประกอบกับการบังคับใช้ของกฎหมาย PDPA ที่แม้ในช่วงแรกจะต้องให้ความรู้ความเข้าใจกับประชาชน ผู้ประกอบการ รวมถึงผู้ใช้กฎหมายด้วย แต่มั่นใจว่าในอนาคตจะเป็นกลไกสำคัญที่นำพาธุรกิจและผู้ประกอบการไทยไปแข่งขันในระดับสากลได้  

อีกทั้งจุดเด่นทางด้านภูมิศาสตร์และทำเลที่ตั้งที่ประเทศไทยอยู่ในจุดศูนย์กลางของภูมิภาคฯ บวกกับนโยบายการสนับสนุนจากภาครัฐและการมุ่งลงทุนโครงสร้างพื้นฐานดิจิทัลระดับประเทศจากหลายภาคส่วน อาทิ เครือข่าย 5G เทคโนโลยีคลาวด์ หรือการจัดตั้งศูนย์ข้อมูล (Data Center) ทำให้ Digital Hub ระดับภูมิภาคไม่ไกลเกินจริง 

ต้นทุนพลังงานไฟฟ้าคือ ความท้าทายที่เปลี่ยนเป็นโอกาสได้ถ้าทุกฝ่ายร่วมมือกัน

การสร้างมูลค่าเพิ่มให้แก่ “เศรษฐกิจดิจิทัล” ล้วนมีต้นทุนแฝงอยู่มากมาย ไม่ว่าจะเป็นต้นทุนแรงงานที่ยังต้องเร่งพัฒนาทักษะดิจิทัล ต้นทุนของการวางโครงสร้างพื้นฐานทางด้านเครือข่ายและอื่น ๆ อีกมากมาย ไม่ต่างจากการก้าวเข้าไปริเริ่มหรือทำธุรกิจด้วยไอเดียใหม่ ๆ ซึ่งต้องคำนึงถึงต้นทุนเป็นสำคัญเสมอ  สำหรับ ต้นทุนพลังงานไฟฟ้า ถือเป็น Utilities of Digital World (สาธารณูปโภคแห่งโลกดิจิทัล) ที่มีความสำคัญอย่างยิ่งต่อการใช้ขับเคลื่อนเทคโนโลยีและนวัตกรรมดิจิทัลเพื่อใช้ดำเนินธุรกิจ  

แท้จริงแล้ว “พลังงานไฟฟ้า” เป็นทั้งโอกาสและความท้าทายในการพัฒนาระบบนิเวศดิจิทัลของประเทศที่ส่งผลกระทบชิ่งต่อ ๆ กันเป็นลูกโซ่ นอกจากพลังงานไฟฟ้าจะเป็นตัวกำหนดทิศทางทางเศรษฐกิจใหม่แล้ว ยังเป็นกลไกสำคัญในการพัฒนาโครงสร้างพื้นฐานดิจิทัลของประเทศ อย่าง Data Center ที่ใช้พลังงานอย่างมหาศาลเพื่อรัน Facilities ให้กับธุรกิจต่าง ๆ ข้อมูลจาก Statista พบว่า Hyperscale Data Center มีความต้องการใช้พลังงานเพิ่มมากขึ้นในช่วงสองปีหลัง (2563-2564) อยู่ที่ 76.23 TWh และ 86.58 TWh (TeraWatt-hour, ล้านล้านหน่วยชั่วโมง) ตามลำดับ 

 ที่มา: Statista  

ยิ่งธุรกิจขยายขนาดมากขึ้นรวดเร็วเท่าใด ยิ่งต้องพึ่งพาโครงสร้างพื้นฐานอย่าง ดาต้า เซ็นเตอร์ ในการเก็บข้อมูล ช่วงที่ผ่านมาจะเห็นได้ว่ามีการร่วมลงทุนในธุรกิจพลังงานมากขึ้นเพื่อขยายขีดความสามารถและเสาะหาแหล่งพลังงานทางเลือกใหม่ ๆ เพื่อรองรับการเปลี่ยนแปลงโลกดิจิทัลที่หมุนตลอด 24x7 

ดาต้าเซ็นเตอร์เป็นกระดูกสันหลังหลักของระบบเศรษฐกิจดิจิทัล โดยเฉพาะในยุคที่ผู้ประกอบการไทยกำลังเผชิญกับภาวะต้นทุนที่เพิ่มสูงขึ้นอย่างต่อเนื่องและส่งผลกระทบกับธุรกิจอย่างหลีกเลี่ยงไม่ได้ ดังนั้นการสนับสนุนจากภาครัฐจึงจำเป็นในระยะยาว เพื่อสร้างช่องทางให้ประเทศเติบโต คำตอบอยู่ที่การลงทุน Digital Infrastructure ซึ่งจะสร้างรายได้ให้กับประเทศในระดับหมื่นล้านบาทขึ้นไป และยังสร้างงานใหม่ ๆ สำหรับอนาคตดย ศุภรัฒศ์ ศิวะเพ็ชรานาถ สิงหรา ณ อยุธยา ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร บริษัท เอสที เทเลมีเดีย โกลบอล ดาต้าเซ็นเตอร์ (ประเทศไทย) จำกัด 

STT GDC Thailand ในฐานะผู้นำไฮเปอร์สเกล ด้าต้า เซ็นเตอร์ เข้าใจและตระหนักดีถึงความท้าทายในด้านพลังงานไฟฟ้า เสนอแนวคิดการพัฒนาโครงสร้างพื้นฐานดิจิทัลของประเทศอย่างยั่งยืนด้วยแนวทางการเปลี่ยนผ่าน “ต้นทุนพลังงานไฟฟ้า“ ให้เป็น “โอกาส” ทางเศรษฐกิจใหม่แก่ประเทศไทยที่ทุกฝ่ายควรร่วมมือกัน ดังนี้   

  1. นโยบายการสนับสนุนด้านพลังงานไฟฟ้าจากภาครัฐต้องชัดเจนและเป็นรูปธรรม

เนื่องจากกำลังไฟฟ้ามีผลต่อการดำเนินงานของธุรกิจดิจิทัลที่พึ่งพา ดาต้า เซ็นเตอร์  ซึ่งการสนับสนุนการลงทุนจาก BOI ยังโฟกัสไปที่กลุ่มผู้ให้บริการและนักลงทุนจากต่างประเทศเป็นหลัก โดยเป็นการลดภาษีเพียงอย่างเดียว ดังนั้นการลดค่าไฟฟ้า จัดหาแรงจูงใจหรือ Incentive อย่างเหมาะสมให้กับธุรกิจที่เป็นโครงสร้างพื้นฐานของประเทศอย่าง “ดาต้า เซ็นเตอร์” จะส่งเสริมและพัฒนาเศรษฐกิจดิจิทัลของประเทศไทยได้อย่างตรงจุด ดังนั้นภาครัฐควรพิจารณาเพื่อวางกรอบปฎิบัติและจัดทำนโยบายสนับสนุนด้านพลังงานอย่างชัดเจนและเหมาะสม โดยเฉพาะธุรกิจดาต้า เซ็นเตอร์ที่จัดเก็บข้อมูลไว้ในประเทศไทย 

  1. มีจุดยืนร่วมกันในการจัดสรรพลังงานไฟฟ้าอย่างเหมาะสม

การทำธุรกิจด้าต้า เซ็นเตอร์ในยุคใหม่คือการจำหน่ายเป็นกำลังไฟฟ้า (Power Per Rack)  ไม่ได้จำหน่ายเป็น Rack (ชั้นวางเซิร์ฟเวอร์) อย่างที่เคยมีมา ดังนั้นการสร้างจุดยืนร่วมกันเพื่อรับฟังความเห็นและตั้งคณะกรรมการหรือวางกรอบนโยบายเพื่อจัดสรรพลังงานไฟฟ้าอย่างเหมาะสมให้กับธุรกิจดาต้า เซ็นเตอร์ โดยเฉพาะ จึงเป็นเรื่องเร่งด่วนที่ทุกภาคส่วนควรขับเคลื่อนร่วมกันเป็นภาคี รวมถึงประเด็นในการนำพลังงานทางเลือก/หมุนเวียนมาใช้มากขึ้น 

  1. สร้างเครือข่าย/ศูนย์กลาง รับ-ส่ง พลังงานไฟฟ้าโดยเฉพาะ

นิยามการให้บริการของดาต้า เซ็นเตอร์ในยุคนี้คือ “ห้ามล่ม” โดยการจ่ายไฟฟ้าจะไม่เพียงพอหรือดับไม่ได้เด็ดขาดเพราะนั่นหมายถึงความสูญเสียทางธุรกิจที่ประเมินค่าไม่ได้  เสมือนไฟดับระหว่างการผ่าตัดใหญ่หรือระหว่างการทำธุรกรรมสำคัญ ดังนั้นกำลังไฟฟ้าที่หล่อเลี้ยงโครงสร้างพื้นฐานอย่างดาต้า เซ็นเตอร์ ควรมีเครือข่ายหรือสร้างเป็นศูนย์กลาง รับ-ส่ง เฉพาะ (Electronic Power for DATA CENTER) เพื่อส่งมอบพลังงานไฟฟ้าแบบ Direct  

  1. แบ่งปัน Knowledge และ Knowhow เพื่อพัฒนาเทคโนโลยีไฟฟ้าอย่างยั่งยืน

ความยั่งยืน (Sustainability) คือ อนาคตของโลกธุรกิจในวันนี้และวันหน้าอย่างไม่ต้องสงสัย นอกจากมาตรฐานต่าง ๆ ที่ดาต้า เซ็นเตอร์ควรมีเพื่อความยั่งยืนแล้ว “ความรู้ + ทักษะ” ทางเทคโนโลยีสำหรับการบริหารและจัดการกำลังไฟฟ้าในดาต้า เซ็นเตอร์ ควรมีการต่อยอด พัฒนา หรือสร้างเป็นหลักสูตรอบรมเฉพาะทาง เพื่อบ่มเพาะ Data Center Technician รุ่นใหม่ ๆ ที่จะเป็นกำลังสำคัญดูแลโครงสร้างพื้นฐานของประเทศและพาไทยไปสู่ Digital Hub ในระดับภูมิภาคฯ ได้

 

Page 1 of 2
X

Right Click

No right click