ธนาคารไทยพาณิชย์ เดินหน้าส่งมอบความยั่งยืนสู่กลุ่มผู้ประกอบการเอสเอ็มอี ด้วยโซลูชั่นเพื่อธุรกิจรักษ์โลก (SCB SME Green Finance) จับมือ บริษัท ปตท. น้ำมันและการค้าปลีก จำกัด (มหาชน) หรือ โออาร์ นำร่องโครงการสินเชื่อโซลาร์รูฟท็อปให้แก่ผู้แทนจำหน่ายสถานีบริการน้ำมันพีทีที สเตชั่น (PTT Station) วงเงินสูงสุด 100% ของเงินลงทุน ระยะเวลาผ่อนชำระสูงสุด 10 ปี รวมปลอดเงินต้น 1 ปี และอัตราดอกเบี้ยปีแรกคงที่ 3.99% ต่อปี

ทั้งยังตอกย้ำยุทธศาสตร์การขับเคลื่อน Net Zero ที่สอดคล้องกันกับโออาร์ รณรงค์ให้สถานีบริการ พีทีที สเตชั่น ทั่วประเทศเปลี่ยนมาใช้พลังงานแสงอาทิตย์เพื่อผลิตไฟฟ้าใช้ภายในสถานีฯ เพื่อเป็นผู้นำสถานีบริการที่มีการใช้พลังงานสะอาดและลดผลกระทบด้านสิ่งแวดล้อม สอดคล้องกับจุดยืนการดำเนินธุรกิจที่ พีทีที สเตชั่น เป็น “สถานีที่เติมเต็มทุกความสุข” ที่พร้อมเติบโตไปพร้อมกับผู้คน สังคมชุมชน และสิ่งแวดล้อมอย่างยั่งยืน พร้อมตั้งเป้า พีทีที สเตชั่น 200 สาขาแรกให้เป็นสถานีรักษ์โลกด้วยสินเชื่อโซลาร์รูฟท็อปภายในสิ้นปี 2566

นางพิกุล ศรีมหันต์ รองผู้จัดการใหญ่อาวุโส ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร กลุ่มธุรกิจ SME ธนาคารไทยพาณิชย์ กล่าวว่า การดำเนินธุรกิจอย่างยั่งยืนเป็นความท้าทายของผู้ประกอบการธุรกิจเอสเอ็มอีของไทย โดยเฉพาะในประเด็นการลดปริมาณก๊าซคาร์บอนไดออกไซด์ที่เกิดจากกระบวนการผลิต ซึ่งในระยะข้างหน้า หากธุรกิจเอสเอ็มอีไม่รีบปรับตัวในเรื่องดังกล่าว โอกาสในการรักษาขีดความสามารถในการแข่งขันจะยิ่งลดน้อยถอยลง การพาเอสเอ็มอีก้าวข้ามความท้าทายนั้น เป็นความจำเป็นที่ธนาคารและธุรกิจขนาดใหญ่ที่มีความเข้าใจการปรับปรุงกระบวนการทำงานไปสู่ Net Zero ต้องร่วมมือกันพาเอสเอ็มอีเปลี่ยนมาใช้พลังงานจากแสงอาทิตย์ ซึ่งเป็นวิธีการลดการปล่อยก๊าซคาร์บอนฯ ได้อย่างรวดเร็วและมีประสิทธิภาพมากที่สุด ธนาคารจึงจัดเตรียมโซลูชั่นเพื่อธุรกิจรักษ์โลก (SCB SME Green Finance) ซึ่งเป็นวงเงินสินเชื่อเพื่อความยั่งยืนของธุรกิจและสินเชื่อเพื่อสนับสนุนการลงทุนใช้เทคโนโลยีเพื่อเพิ่มประสิทธิภาพการผลิตและการจัดการต้นทุนให้แก่เอสเอ็มอีในอุตสาหกรรมต่างๆ สอดคล้องกับพันธกิจหลักของธนาคารในการลดก๊าซเรือนกระจกสุทธิเป็นศูนย์ (Net Zero) ภายในปี 2030 และจากการให้สินเชื่อและการลงทุนภายในปี 2050

“เราเห็นความต้องการในการลดการปล่อยก๊าซคาร์บอนฯ ในกลุ่มธุรกิจผู้ประกอบการสถานีน้ำมันพีทีที สเตชั่น ประกอบกับบริษัท ปตท. น้ำมันและการค้าปลีก จำกัด (มหาชน) หรือ โออาร์ มีเป้าหมายสนับสนุนให้ผู้แทนจำหน่ายสถานีบริการน้ำมันติดตั้งโซลาร์รูฟท็อป ธนาคารจึงนำร่อง SCB SME Green Finance ด้วย สินเชื่อโซลาร์รูฟท็อป ให้แก่ผู้แทนจำหน่ายสถานีบริการพีทีที สเตชั่น นำสินเชื่อดังกล่าวไปติดตั้งโซลาร์รูฟท็อป เพื่อประหยัดพลังงานและลดคาร์บอนฯ และมีส่วนช่วยลดผลกระทบสิ่งแวดล้อมให้แก่ประเทศ โดยให้วงเงินสินเชื่อตั้งแต่ 2 - 5 ล้านบาท ระยะเวลาผ่อนชำระนานสูงสุด 10 ปี ทั้งนี้ ผู้แทนจำหน่ายสถานีบริการพีทีที สเตชั่น แห่งแรกที่ใช้สินเชื่อโซลาร์รูฟท็อป คือ พีทีที สเตชั่น จ.ชลบุรี ภายใต้การบริหารของบริษัท เลิศประเสริฐ ออยล์ จำกัด ทั้งนี้ ธนาคารคาดว่า จะมีผู้แทนจำหน่ายสถานีบริการ พีทีที สเตชั่น จำนวน 200 แห่ง สมัครใช้สินเชื่อโซลาร์รูฟท็อป ภายในสิ้นปี 2566 นี้” นางพิกุล กล่าว

นายพิมาน พูลศรี รองประธานเจ้าหน้าที่บริหารด้านธุรกิจค้าปลีกน้ำมัน บริษัท ปตท. น้ำมันและการค้าปลีก จำกัด (มหาชน) หรือ โออาร์ กล่าวว่า การติดตั้งโซลาร์รูฟท็อปภายในสถานีบริการ พีทีที สเตชั่น นั้นเป็นหนึ่งใน โครงการเพื่อสิ่งแวดล้อม ที่่ผลักดันให้ พีทีที สเตชั่น เป็น “สถานีที่เติมเต็มทุกความสุข” ที่เติบโตไปพร้อมกับผู้คน สังคมชุมชน และสิ่งแวดล้อมอย่างยั่งยืนและสอดคล้องกับแนวคิด SDG ตามแบบฉบับของโออาร์ ในเรื่อง G-Green โอกาสเพื่อสังคมสะอาด โดย โออาร์ มีความมุ่งมั่นที่จะให้ พีทีที สเตชั่น ทั่วประเทศจำนวนกว่า 2,000 แห่ง ทั้งที่อยู่ภายใต้การบริหารงานของ โออาร์ และผู้แทนจำหน่ายจำนวนกว่า 1,600 แห่ง ติดตั้งโซลาร์รูฟท็อปเพื่อเป็นผู้นำสถานีบริการที่มีการใช้พลังงานสะอาด ซึ่งไม่เพียงแต่จะช่วยลดผลกระทบด้านสิ่งแวดล้อม ยังเป็นการเพิ่มประสิทธิภาพด้วยการ SAVE ต้นทุนให้ธุรกิจด้วย ซึ่งสอดคล้องกับเป้าหมายของ โออาร์ ที่ต้องการผลิตไฟฟ้าจากพลังงานสะอาดจากโซลาร์รูฟท็อปให้ครบ 18 เมกะวัตต์ในปี 2573 ลดการปลดปล่อยก๊าซคาร์บอนไดออกไซด์จากการดำเนินธุรกิจ เพื่อมุ่งสู่การบรรลุความเป็นกลางทางคาร์บอน (Carbon-Neutrality) ภายในปี 2573 และบรรลุการปล่อยคาร์บอนสุทธิเป็นศูนย์ (Net Zero Carbon) ภายในปี 2593 ดังนั้น การที่ได้ธนาคารไทยพาณิชย์ เข้ามาร่วมมอบโซลูชั่นทางการเงินให้แก่ผู้แทนจำหน่ายสถานีในครั้งนี้ จะมีส่วนสำคัญให้พีทีที สเตชั่น เป็นผู้นำสถานีบริการที่มีการใช้พลังงานสะอาด และผลักดันให้โออาร์ประสบความสำเร็จในเป้าหมายที่วางไว้

นางสาวกรสินี ไวว่อง กรรมการผู้จัดการ บริษัท เลิศประเสริฐ ออยล์ จำกัด กล่าวว่า บริษัทเป็นผู้แทนจำหน่ายสถานีบริการพีทีที สเตชั่น จำนวน 2 แห่ง สาขาหนองใหญ่ และสาขาหนองใหญ่-วังจันทร์ NY344 Stationจังหวัดชลบุรี ซึ่งทำเลที่ตั้งของสถานีน้ำมันอยู่ในพื้นที่ชุมชน ใกล้โรงงาน นิคมอุตสาหกรรม มีผู้ใช้บริการจำนวนมาก และภาคตะวันออก นั้นเป็นประตูสู่การท่องเที่ยว ดังนั้น ปริมาณการใช้ไฟฟ้าภายในสถานีฯ น้ำมันจึงอยู่ในอัตราที่สูง บริษัท จึงมีความตั้งใจจะบริหารจัดการต้นทุนให้มีประสิทธิภาพมากขึ้น ประจวบกับทางโออาร์มีโครงการสนับสนุน ให้สถานีบริการน้ำมันดีลเลอร์ใช้โซลาร์รูฟ เพื่อลดภาระค่าไฟฟ้าให้กับสถานี และธนาคารไทยพาณิชย์นำเสนอสินเชื่อโซลาร์รูฟ ที่ให้เงื่อนไขพิเศษ สร้างความยืดหยุ่น ให้กับการบริหารจัดการสภาพคล่องให้แก่บริษัทเป็นอย่างมาก บริษัทจึงใช้บริการสินเชื่อดังกล่าวเพื่อติดตั้งแผง โซลาร์รูฟภายในสถานีฯ น้ำมัน ซึ่งช่วยให้บริษัทประหยัดต้นทุนค่าไฟได้มากกว่า 20% นอกจากนี้ บริษัทฯมีความ ภาคภูมิใจที่มีส่วนช่วยลดผลกระทบการเปลี่ยนแปลงภูมิอากาศจากการลดการปล่อยก๊าซเรือนกระจกให้กับ ประเทศ”

สินเชื่อโซลาร์รูฟท็อป เป็นส่วนหนึ่งของโซลูชั่นเพื่อธุรกิจรักษ์โลก (SCB SME Green Finance) โดยให้วงเงินสูงสุด 100% ของเงินลงทุน ระยะเวลาผ่อนชำระสูงสุด 10 ปี (รวมระยะเวลาปลอดเงินต้น 1ปี) ด้วยอัตราดอกเบี้ยปีแรกคงที่ 3.99% ต่อปี ผู้ประกอบการที่สนใจสมัครสินเชื่อ สามารถติดต่อยื่นขอสินเชื่อได้ตั้งแต่วันที่ 2 สิงหาคม 2566 ถึง วันที่ 31 ธันวาคม 2566 สอบถามเพิ่มเติม SCB SME Call Center โทร 02 722 2222 หรือ เจ้าหน้าที่ธุรกิจสัมพันธ์ที่ดูแลแต่ละพื้นที่

สร้างมูลค่าทางเศรษฐกิจกว่า 81 ล้านบาท ลุยขยายผลทั่วประเทศป้อนตลาดต่อเนื่อง

· บริการจัดส่งต้นไม้ประเภทที่เน่าเสียได้ยากไปยังสหรัฐอเมริกาในเวลารวดเร็วเพียง 3-5 วัน ช่วยให้ผู้ประกอบการในไทยสนองความต้องการที่เพิ่มขึ้นสูงอย่างมากในตลาดต่างประเทศ

· ปัจจุบัน ดีเอชแอล เอ๊กซ์เพรส ประเทศไทย ให้บริการส่งออกแคคตัสหรือกระบองเพชรจากไทยไปยังสิงคโปร์ อินโดนีเซีย เวียดนาม และกัมพูชาถึงในวันถัดไป (Next-Day Delivery)

· ผู้ค้าในประเทศสามารถส่งออกต้นไม้ประเภทที่เน่าเสียได้ยาก เช่น กระบองเพชรและไม้ใบจากไทยไปยังสหรัฐฯ ได้อย่างสะดวกง่ายดายด้วยความช่วยเหลือจากฝ่ายบริการลูกค้าตลอด 24 ชั่วโมง และความเชี่ยวชาญด้านพิธีการศุลกากรของดีเอชแอล

กรุงเทพฯ 21 มิถุนายน 2566: ดีเอชแอล เอ๊กซ์เพรส เปิดให้บริการขนส่งด่วนสำหรับต้นไม้ที่เน่าเสียได้ยาก เช่น กระบองเพชร (แคคตัส) และไม้ใบจากประเทศไทยไปยังสหรัฐอเมริกา โดยเพิ่มประเทศในการให้บริการปัจจุบันที่ส่งแคคตัส และไม้ใบบางประเภทไปยังสิงคโปร์ อินโดนีเซีย เวียดนาม และกัมพูชา การให้บริการนี้จะช่วยให้ผู้ประกอบการไทยสามารถมีโอกาสในการทำธุรกิจจากความต้องการต้นไม้ของผู้บริโภคที่เพิ่มสูงขึ้นอย่างรวดเร็วในตลาดสหรัฐฯ

ผู้ประกอบการส่งออกต้นไม้ประเภทที่เน่าเสียได้ยาก (non-perishable plant) เช่น กระบองเพชร (แคคตัส) และไม้ใบในประเทศไทยจะสามารถเข้าถึงลูกค้าในสหรัฐอเมริกาผ่านการจัดส่งด่วนของดีเอชแอล เอ๊กซ์เพรส ภายในระยะเวลา 3-5 วันโดยผู้ส่งสามารถติดตามสถานะการจัดส่งในกระบวนการซัพพลายเชนตั้งแต่ต้นทางถึงปลายทางผู้รับ ผ่านเครือข่ายการขนส่งด่วนทั้งทางอากาศและภาคพื้นดิน และบริการด้านลอจิสติกส์ที่ครอบคลุมของดีเอชแอล เอ๊กซ์เพรส

ระยะเวลาในการขนส่งขึ้นอยู่กับความสมบูรณ์และครบถ้วนของเอกสารสำคัญที่ผู้ส่งต้องเตรียม รวมถึงกระบวนการตรวจสอบและพิธีการศุลกากรในประเทศที่เป็นทางผ่านและประเทศปลายทาง

เฮอร์เบิต วงษ์ภูษณชัย กรรมการผู้จัดการ ดีเอชแอล เอ๊กซ์เพรส ประเทศไทย และหัวหน้าภาคพื้นอินโดจีน กล่าวว่า “เรายินดีที่จะประกาศให้ทราบเกี่ยวกับการขยายความสามารถในการให้บริการขนส่งด่วนข้ามประเทศเพื่อการค้าระหว่างประเทศสำหรับต้นไม้ประเภทที่เน่าเสียได้ยาก เช่น กระบองเพชรและไม้ใบ จากประเทศไทยไปยังสหรัฐฯ ความก้าวหน้าครั้งนี้สะท้อนให้เห็นถึงความมุ่งมั่นในการเป็นผู้นำเทรนด์ตลาด และตอบสนองความต้องการของลูกค้าที่เปลี่ยนแปลงตลอดเวลา เรามองเห็นการเติบโตของตลาดต้นไม้ทั่วโลก และภูมิใจที่ได้เป็นผู้นำในการให้บริการส่งออกระดับมืออาชีพ และใช้ความเชี่ยวชาญของเราในการสนับสนุนผู้ค้าและเอสเอ็มอีในประเทศเพื่อให้เข้าถึงตลาดสหรัฐฯ การขยายการให้บริการในครั้งนี้นับเป็นการ

ตอกย้ำความพยายามของเราในการส่งมอบบริการที่เป็นเลิศ รวดเร็ว และไว้ใจได้ และเรามุ่งมั่นที่จะช่วยให้ธุรกิจต่างๆ เติบโตในอุตสาหกรรมต้นไม้ให้มากขึ้น”

“ต้นไม้ที่เน่าเสียได้ยาก” หรือ Non-perishable plant คือคำจำกัดความสำหรับต้นไม้ที่สามารถอยู่รอดได้โดยไม่ต้องอาศัยดินหรือน้ำเป็นเวลา 3-5 วัน ต้นไม้ประเภทนี้ครอบคลุมไม้กระถางและไม้ใบที่ไม่จัดอยู่ในสายพันธุ์ต้องห้าม ไม่ต้องการการดูแลเป็นพิเศษ เช่น การควบคุมอุณหภูมิ ตัวอย่างพันธุ์ไม้ที่จัดว่าเน่าเสียได้ยาก เช่น ชวนชม มอนสเตอร่า พลูด่าง ฟิโลเดนดรอน และแคคตัสหรือกระบองเพชร

ตลาดต้นไม้ทั่วโลกมีการเติบโตอย่างรวดเร็ว โดยมูลค่าการนำเข้าต้นไม้และพืชอื่นๆ ทั่วโลกมีมูลค่าราว 23,000 ล้านเหรียญสหรัฐในปี 2565 โดยสหรัฐฯ จัดเป็นตลาดระดับแนวหน้าซึ่งมีมูลค่าการนำเข้าสูงถึง 4,000 ล้านดอลลาร์ และครองตำแหน่งประเทศที่นำเข้าต้นไม้สูงที่สุดในปี 25651 โดยประเทศไทยเป็นหนึ่งในซัพพลายเออร์รายสำคัญที่จัดส่งต้นไม้ไปยังสหรัฐฯ และเป็นประเทศที่ส่งออกไม้ประดับและพันธุ์ไม้ตกแต่งแถวหน้าของอาเซียนโดยครองอันดับ 1 ของภูมิภาคและอันดับที่ 16 ของโลกในปี 2565 มีมูลค่าการส่งออกอยู่ที่ 124.2 ล้านเหรียญสหรัฐ และมีสหรัฐอเมริกาเป็นตลาดสำคัญในการส่งออก2

การส่งออกต้นไม้ที่เน่าเสียได้ยากจากไทยไปยังสหรัฐฯ ต้องใช้ใบรับรองปลอดศัตรูพืช (Phytosanitary Certification) เพื่อรับรองว่าต้นไม้ที่ส่งออกปลอดศัตรูพืช และเป็นไปตามเงื่อนไขของประเทศปลายทาง

ใบรับรองปลอดศัตรูพืชช่วยให้มั่นใจได้ว่าผู้ส่งออกปฏิบัติตามกฎระเบียบที่กำหนดโดยกระทรวงเกษตรของสหรัฐฯ (USDA) สำหรับการนำเข้าพืช และผู้รับปลายทางต้องติดต่อกระทรวงฯ หรือหน่วยงานที่เกี่ยวข้องก่อนสินค้าจะถูกจัดส่งเพื่อเตรียมเอกสารการนำเข้าสินค้า และช่วยให้สามารถจัดส่งถึงมือผู้รับได้อย่างรวดเร็ว ส่วนใบอนุญาตส่งออกไซเตส (CITES: อนุสัญญาว่าด้วยการค้าระหว่างประเทศ ซึ่งชนิดสัตว์ป่าและพืชป่าที่ใกล้จะสูญพันธุ์) ขึ้นอยู่กับข้อกำหนดของประเทศต้นทางว่าชิปเมนต์ดังกล่าวมีต้นไม้สายพันธุ์ที่ได้รับการคุ้มครองโดย CITES หรือไม่

ลูกค้าที่สนใจสามารถใช้บริการส่งออกต้นไม้จากไทยไปสหรัฐอเมริกาได้โดยดูข้อมูลที่นี่ หรือติดต่อฝ่ายบริการลูกค้าของดีเอชแอล เอ๊กซ์เพรส โทร. 02-345-5000 (24 ชั่วโมง) เพื่อรับคำแนะนำเกี่ยวกับการใช้บริการส่งออกต้นไม้

ทีเอ็มบีธนชาต หรือ ทีทีบี ร่วมมือกับพันธมิตรโดยกรมส่งเสริมการค้าระหว่างประเทศ

ธนาคารไทยพาณิชย์ ร่วมกับ สถาบันบัณฑิตบริหารธุรกิจศศินทร์ แห่งจุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย เล็งเห็นความสำคัญในการส่งเสริมเอสเอ็มอีไทยให้แข็งแกร่งพร้อมผลักดันให้เข้มแข็งและสามารถดำเนินธุรกิจได้อย่างยั่งยืนภายใต้การแข่งขันที่รุนแรงในยุคดิจิทัลดิสรัปชั่น โดยประกาศผลรางวัลเกียรติยศแห่งความภาคภูมิใจของเอสเอ็มอีไทย “Bai Po Business Awards by Sasin” ครั้งที่ 18 ยกย่อง 6 ผู้ประกอบการไทยที่ประสบความสำเร็จในมิติที่มีความสำคัญต่อการดำเนินธุรกิจและเพื่อเป็นแรงบันดาลใจแก่เอสเอ็มอีรายอื่นๆ

ประกอบด้วย 6 บริษัทได้แก่ บริษัท บีซีแอล 2002 จำกัด บริษัท พี.วี.ที.แมนูแฟคเจอริ่ง จำกัด บริษัท ฟู้ด อีควิปเม้นท์ จำกัด บริษัท ศิริบัญชา จำกัด บริษัท เอกราชอุตสาหกรรมกระดาษ จำกัด และ บริษัท เอ็มมีเน้นซ์ อินเตอร์เนชั่นแนล จำกัด โดยมี ดร.วิชิต สุรพงษ์ชัย นายกกรรมการ ธนาคารไทยพาณิชย์ เป็นประธานมอบรางวัล

ดร.วิชิต สุรพงษ์ชัย นายกกรรมการ ธนาคารไทยพาณิชย์ กล่าวว่า ช่วงเปลี่ยนผ่านหลังวิกฤติ Covid-19 ใน 2-3 ปีที่ผ่านมา เมกะเทรนด์โลกเป็นแรงผลักดันให้ผู้ประกอบการไทยปรับธุรกิจสู่การเป็น Digital Organization โดยสิ่งสำคัญที่สุดของการเป็นองค์กรดิจิทัลนั้นไม่ใช่เพียงแค่การซื้อเทคโนโลยีเข้ามาทำธุรกิจแต่เทคโนโลยีที่นำมาใช้ต้องสร้างความได้เปรียบและสร้างความแตกต่างทางธุรกิจได้อย่างชัดเจน ใครที่ปรับตัวได้ไวย่อมได้เปรียบเนื่องจากวิถีชีวิตจะเปลี่ยนไปไม่เหมือนเดิมจากที่เคยปฏิบัติ ความสามารถในการปรับตัวของเอสเอ็มอีจึงเป็นสิ่งสำคัญอย่างมากที่จะนำพาให้ธุรกิจอยู่รอดอย่างยั่งยืน สำหรับปี 2566 เทรนด์ที่กำลังมาแรงและทั่วโลกกำลังให้ความสนใจคือด้านสิ่งแวดล้อม ทั้งเรื่องการรักษาสิ่งแวดล้อม การใช้ทรัพยากรหมุนเวียน รวมถึงคาร์บอนเครดิต ดังนั้นเอสเอ็มอีไทยต้องเดินหน้าธุรกิจด้วยแนวคิดการสร้างความยั่งยืนโดยการนำแนวคิด ESG มาเป็นกรอบการพัฒนาขับเคลื่อนธุรกิจอย่างเป็นรูปธรรมมากขึ้น ซึ่งจะสามารถช่วยสร้างความได้เปรียบในการแข่งขันได้

นายกฤษณ์ จันทโนทก ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร ธนาคารไทยพาณิชย์ กล่าวว่า ตลอดระยะเวลาที่ผ่านมา ธนาคารไทยพาณิชย์มุ่งส่งเสริมและพัฒนาศักยภาพของผู้ประกอบการเอสเอ็มอีไทยเพื่อตอบโจทย์ทุกความต้องการที่มากกว่าเรื่องการเงิน ทั้งการนำเสนอผลิตภัณฑ์และบริการที่หลากหลาย การส่งเสริมความรู้ที่เป็นประโยชน์ผ่านโครงการอบรม สัมมนาต่าง ๆ รวมถึงการสร้างเครือข่ายพันธมิตรทางธุรกิจที่จะช่วยเสริมสร้างความแข็งแกร่งให้แก่ผู้ประกอบการ ถ้ากลุ่มเอสเอ็มอีเข้มแข็งประเทศก็อยู่รอด เพราะเอสเอ็มอีไทยเป็นฟันเฟืองในการขับเคลื่อนเศรษฐกิจของประเทศ สำหรับรางวัล Bai Po Business Awards by Sasin นี้ ธนาคารไทยพาณิชย์ ร่วมกับ สถาบันบัณฑิตบริหารธุรกิจศศินทร์ แห่งจุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย เล็งเห็นถึงความสำคัญในการส่งเสริมเอสเอ็มอีไทยให้สร้างความโดดเด่นและแตกต่างของสินค้าหรือบริการและพัฒนาศักยภาพทางธุรกิจให้อยู่รอดได้ในทุกสถานการณ์ ด้วยพลังแห่งการเป็นผู้ประกอบการ อีกทั้งยังเป็นแบบอย่างที่ดีให้กับธุรกิจไทยรายอื่น ๆ ต่อไป

สำหรับการตัดสินรางวัล Bai Po Business Awards by Sasin ในครั้งที่ 18 นี้ มีธุรกิจที่ได้รับรางวัล จำนวน 6 ราย นับเป็นแบบอย่างที่ดีให้กับผู้ประกอบการเอสเอ็มอีในการไม่หยุดนิ่งอยู่กับที่แต่ให้ความสำคัญกับการพัฒนาตัวเองเพื่อสร้างความโดดเด่นและความแตกต่างจากคู่แข่ง โดยมีธุรกิจที่ได้รับรางวัลในปีนี้ ดังนี้

1. บริษัท บีซีแอล 2002 จำกัด ได้รับรางวัลในมิติ องค์กรที่มีการดำเนินธุรกิจอย่างยั่งยืน (Sustainable Business Practice) องค์กรที่มีการสร้างสรรค์นวัตกรรม (Innovative Enterprise) และการสร้างธุรกิจด้วยพลังแห่งการเป็นผู้ประกอบการ (Entrepreneurship) จากจุดเริ่มต้นธุรกิจโรงงานสิ่งทอ (OEM) ของครอบครัวซึ่งเริ่มเผชิญกับปริมาณคู่แข่งในตลาดที่มีมากขึ้นอย่างต่อเนื่อง หากไม่สร้างความแตกต่างให้ธุรกิจก็ยากที่จะพิชิตคู่แข่ง เมื่อมีโอกาสไปดูงานแสดงสินค้าที่ต่างประเทศและได้รับแรงบันดาลใจในการที่จะพัฒนาสินค้าไปสู่การผลิตสิ่งทอทางการแพทย์ พร้อมมองหาเทคโนโลยีที่จะมาสร้างความแตกต่างและเพิ่มมูลค่าให้สินค้าเดิมที่มีอยู่จึงคิดค้นนวัตกรรมเส้นใย PERMA Nano Zinc ที่ช่วย Anti-Bacteria นำมาผลิตเป็นสิ่งทอทางการแพทย์ ได้แก่ ชุดบุคลากรทางการแพทย์ ชุดคนไข้ ผ้าพันแผล เสื้อกีฬา ถุงเท้า และผลิตภัณฑ์พลาสติกยับยั้งแบคทีเรีย โดยใช้เทคโนโลยีฝังนาโนซิงค์ในเส้นใยช่วยรักษาคุณสมบัติด้านการยับยั้งแบคทีเรียได้แบบถาวร และทำให้ไม่มีโลหะหนักหลุดลอกออกมาปนเปื้อนสู่สิ่งแวดล้อม ผ่านการทดสอบความปลอดภัยระดับสากลว่าไม่มีสารที่ก่อให้เกิดความเป็นพิษต่อเซลล์ในร่างกายมนุษย์ได้เป็นรายแรกและรายเดียวในประเทศไทย

2. บริษัท พี.วี.ที. แมนูแฟคเจอริ่ง จำกัด ได้รับรางวัลในมิติ องค์กรที่มีการสร้างสรรค์นวัตกรรม (Innovative Enterprise) การบริหารจัดการด้านสินค้าและบริการที่สร้างความพึงพอใจให้กับลูกค้า (Customer-Focused Product and Service) และการสร้างธุรกิจด้วยพลังแห่งการเป็นผู้ประกอบการ (Entrepreneurship) ด้วยแนวคิดนอกกรอบจากธุรกิจรุ่นพ่อในการเป็นตัวแทนจำหน่ายสารถนอมอาหารสัตว์จากต่างประเทศ เริ่มมองเห็นว่าการพึ่งพาซัพพลายเออร์ไปตลอดอาจทำให้ธุรกิจเผชิญกับความเสี่ยงจึงมุ่งคิดค้นและพัฒนาสูตรผลิตภัณฑ์ของตนเองและสามารถพัฒนาสารถนอมคุณภาพอาหารสัตว์ซึ่งเป็นสารที่ใช้เติมในกระบวนการผลิตอาหารสัตว์ ทำให้ปลอดภัยจากการปนเปื้อนได้สำเร็จ ผ่านการรับรองมาตรฐาน ISO 9001:2015 GHP HACCP FAMI-QS ผลิตและจำหน่ายสารถนอมคุณภาพอาหารสัตว์ ที่มีคุณสมบัติช่วยป้องกันเชื้อรา และแบคทีเรียที่จะก่อโรคในระบบทางเดินอาหารสัตว์และผลิตเครื่องจ่ายน้ำยาสำหรับใช้ในการถนอมอาหารสัตว์ ที่มีการจดสิทธิบัตรในระดับนานาชาติ

3. บริษัท ฟู้ด อีควิปเม้นท์ จำกัด ได้รับรางวัลในมิติ การบริหารจัดการด้านสินค้าและบริการที่สร้างความพึงพอใจให้กับลูกค้า (Customer-Focused Product and Service) การสร้างธุรกิจด้วยพลังแห่งการเป็นผู้ประกอบการ (Entrepreneurship) และองค์กรที่มีการสร้างสรรค์นวัตกรรม (Innovative Enterprise) ด้วยพลังแห่งการเป็นผู้ประกอบการได้เล็งเห็นปัญหาด้านการผลิตอาหารของลูกค้าจึงตั้งใจแก้ปัญหาโดยพัฒนาระบบเครื่องจักรแบบอัตโนมัติและเกิดแรงบันดาลใจที่จะพัฒนาธุรกิจและขยายกิจการเป็นศูนย์รวมเครื่องจักรแปรรูปอาหารสำหรับธุรกิจอุตสาหกรรมผลิตอาหาร เช่น เครื่องสไลด์เนื้อ เครื่องลอกหนังปลา หนังวัว เครื่องขึ้นรูปเบอร์เกอร์ เครื่องถอนขนไก่ เครื่องจักรสำหรับโรงฆ่าสัตว์ ที่มีนวัตกรรมที่ช่วยป้องกันและลดการเกิดอุบัติเหตุในการใช้งานและลดปริมาณของเสียที่จะออกสู่สิ่งแวดล้อม และนับเป็นเจ้าแรกๆ ที่บุกเบิกตลาดออนไลน์ ร้านอาหารตามห้าง โรงงาน โรงแรม จนถึงบริษัทยักษ์ใหญ่ เช่น CP, Betagro, Makro เป็นต้น รวมทั้งเป็นผู้ให้คำปรึกษาแนะนำ Solution นวัตกรรมการผลิตเครื่องจักรที่เหมาะสมกับลูกค้าแต่ละราย รวมถึงมีบริการ After Service ให้กับลูกค้าครอบคลุมห่วงโซ่การผลิตและแปรรูปอาหารทั้งระบบอีกด้วย ฟู้ด อีควิปเม้นท์ จึงนับเป็นผู้อยู่เบื้องหลังความสำเร็จของยักษ์ใหญ่ในธุรกิจการแปรรูปอาหาร

4. บริษัท ศิริบัญชา จำกัด ได้รับรางวัลในมิติ การบริหารจัดการด้านสินค้าและบริการที่สร้างความพึงพอใจให้กับลูกค้า (Customer-Focused Product and Service) การบริหารจัดการด้านการสร้างตราสินค้าและการตลาด (Branding and Marketing) และการสร้างธุรกิจด้วยพลังแห่งการเป็นผู้ประกอบการ (Entrepreneurship) บริษัทผลิตและจำหน่ายเวชภัณฑ์แอลกอฮอล์ ภายใต้แบรนด์ ศิริบัญชา ต่อยอดความแข็งแกร่งของแบรนด์ให้ยืนหนึ่งในใจลูกค้าอย่างต่อเนื่องด้วยกลยุทธ์การรักษาจุดยืนด้านคุณภาพสินค้าให้ได้มาตรฐานอยู่เสมอ ดังสโลแกน “ศิริบัญชา คุณภาพที่คุณมั่นใจ” จึงทำให้เกิด Brand Trust ต่อลูกค้า เติบโตได้อย่างมั่นคง และสามารถปรับตัวให้ตอบโจทย์ลูกค้าได้ในหลากหลายมิติมากขึ้นโดยได้รับความเชื่อมั่นจากกลุ่มผู้ใช้มายาวนานกว่า 70 ปี เป็นผู้ริเริ่มทำแอลกอฮอล์เป็นสีฟ้ารายแรก เพื่อสื่อถึงความสะอาด และสร้างความแตกต่างให้ผลิตภัณฑ์แอลกอฮอล์เพื่อให้ผู้บริโภคเกิดการจดจำแบรนด์ได้ รวมถึงผลิตยาสมุนไพรแผนโบราณ ภายใต้แบรนด์ โยคี

5. บริษัท เอกราชอุตสาหกรรมกระดาษ จำกัด ได้รับรางวัลในมิติ การบริหารจัดการด้านสินค้าและบริการที่สร้างความพึงพอใจให้กับลูกค้า (Customer-Focused Product and Service) และการสร้างธุรกิจด้วยพลังแห่งการเป็นผู้ประกอบการ (Entrepreneurship) โดยบริษัทเป็นผู้เชี่ยวชาญการออกแบบและผลิตกล่องกระดาษ ซึ่งในระยะเริ่มแรกจะเน้นเจาะกลุ่มลูกค้าผู้ส่งออกเฟอร์นิเจอร์และกลุ่มผู้ส่งออกผลไม้ แต่เมื่อถึงช่วงสภาพเศรษฐกิจขาลงฐานลูกค้ากลุ่มเฟอร์นิเจอร์เริ่มย้ายฐานการผลิตไปยังประเทศอื่นส่วนกลุ่มส่งออกผลไม้ก็มีข้อจำกัดเรื่องฤดูกาลยอดซื้อที่เคยมีก็เริ่มหดหาย จึงแก้เกมส์ด้วยการปรับกลยุทธ์กระจายความเสี่ยงแทนที่จะโฟกัสเพียงตลาดใดตลาดหนึ่ง ลงมือศึกษาความต้องการของลูกค้าจนเล็งเห็น Pain-Points นำมาสร้างจุดเปลี่ยนของธุรกิจให้กลายเป็นผู้ให้คำปรึกษา รับออกแบบ และผลิตกล่องกระดาษครบวงจรโดยไม่จำกัดจำนวนผลิตขั้นต่ำ นับเป็นการสร้างความแตกต่างที่ตอบโจทย์ตรงใจลูกค้าที่เป็นผู้ประกอบการรายย่อย ร้านค้าออนไลน์ มีทั้งระบบการพิมพ์ Offset Inkjet และ Digital ได้แก่ กล่องกระดาษลัง กล่องกระดาษออฟเซ็ท กล่องกระดาษไร้สารตกค้าง กล่องทนน้ำและกันไฟ รวมถึงมีการสร้างแบรนด์กล่องกระดาษของตนเอง ภายใต้ชื่อ Click Boxes รองรับธุรกิจค้าขายออนไลน์

6. บริษัท เอ็มมีเน้นซ์ อินเตอร์เนชั่นแนล จำกัด ได้รับรางวัลในมิติ การบริหารจัดการด้านสินค้าและบริการที่สร้างความพึงพอใจให้กับลูกค้า (Customer-Focused Product and Service) การบริหารจัดการด้านบุคลากร (People Excellence) และการสร้างธุรกิจด้วยพลังแห่งการเป็นผู้ประกอบการ (Entrepreneurship) โดยบริษัททำธุรกิจนำเข้าและจำหน่ายเครื่องจักรสำหรับอุตสาหกรรมการแพทย์มายาวนานกว่า 51 ปี เคยมีช่วงที่องค์กรมีปัญหาภายในและขาดความเชื่อมั่นจากลูกค้าจึงตัดสินใจ Transform การบริหารองค์กรใหม่โดยเปลี่ยนแปลงระบบการบริหารจากเดิมที่ใช้ระบบ Centralized มาเป็น Decentralized เพื่อกระจายอำนาจและป้องกันความเสี่ยงให้กับธุรกิจ และสิ่งสำคัญคือการเน้นการปลูกฝังวัฒนธรรมองค์กรให้พนักงานมีความซื่อสัตย์ อยู่กันเป็นครอบครัว เพื่อให้มีความพร้อมที่จะดูแลลูกค้าให้ดีที่สุดเช่นกัน โดยมีเป้าหมายที่จะนำนวัตกรรมทางการแพทย์มาสู่คนไทย เป็น Solution Provider ด้วยแนวคิดของการส่งต่อสุขภาพที่ดีให้คนไทย “The Promise of Health” เช่น เครื่องละลายพลาสม่า เครื่องพ่นละอองยา เครื่องนับเม็ดยา อุปกรณ์ด้านทันตกรรม ถุงเก็บโลหิต เครื่องวัดความดัน รวมถึงมีการผลิตสินค้าสำหรับผู้บริโภค ภายใต้แบรนด์ตนเองด้วย เช่น เครื่องล้างทำความสะอาดรีเทนเนอร์หรือฟันปลอมด้วยระบบอัลตราโซนิก และเม็ดฟู่ทำความความสะอาดตรา Furano

การพิจารณาตัดสินรางวัล Bai Po Business Awards by Sasin ประกอบด้วยคณะกรรมการผู้ทรงคุณวุฒิจากหลากหลายแขนง ผู้ประกอบการที่สมัครเข้ารับการพิจารณาไม่จำเป็นต้องเป็นลูกค้าของธนาคารไทยพาณิชย์หรือศศินทร์ฯ สนใจสมัครหรือสอบถามเพิ่มเติมได้ที่ www.baipo-business-award.org หรือ 02-2184001-9 ต่อ 179

Page 1 of 2
X

Right Click

No right click