เผยในฐานะ Green University เตรียมตั้งศูนย์ให้คำปรึกษา-รับรองด้านก๊าซเรือนกระจก พร้อมให้คำปรึกษาฟรี! ปี 67
มหาวิทยาลัยธุรกิจบัณฑิตย์ (DPU) สถาบันการศึกษาเอกชนชั้นนำของไทย ที่ให้ความสำคัญกับการพัฒนาด้านวิชาการให้เท่าทันต่อความเปลี่ยนแปลงของโลก โดยจัดการเรียนการสอนที่จะทำให้นักศึกษาได้เรียนรู้ด้านวิชาการ ฝึกทักษะสำคัญของศตวรรษที่ 21 และเป็นสถาบันการศึกษาอันดับต้น ๆ ของไทยที่มีความร่วมมือด้านการศึกษา การแลกเปลี่ยนองค์ความรู้ วัฒนธรรม เศรษฐกิจ การค้า และอีกหลากหลายด้านกับหน่วยงานภาครัฐและสถาบันการศึกษาในประเทศจีนมาอย่างยาวนาน ล่าสุด มหาวิทยาลัยธุรกิจบัณฑิตย์ (DPU) ได้รับเชิญให้เข้าร่วม World Chinese Economic Forum (WCEF) หรือ การประชุมเศรษฐกิจจีนระดับโลก ครั้งที่ 12 จัดขึ้นโดย สถาบันยุทธศาสตร์ระหว่างประเทศ (International Strategy Institute : ISI) โดยมี นางสาวเกล็ดทราย อินทรพล ผู้อำนวยการสายงานการตลาดและประชาสัมพันธ์ DPU และตัวแทนผู้ทรงคุณวุฒิจากหลากหลายองค์กรทั้งภาครัฐและเอกชนเข้าร่วมงาน ระหว่างวันที่ 12 - 13 พฤศจิกายน 2566 ณ ชิงเถียน มณฑลเจ้อเจียง ประเทศจีน
นางสาวเกล็ดทราย อินทรพล ผู้อำนวยการสายงานการตลาดและประชาสัมพันธ์ DPU เปิดเผยว่า World Chinese Economic Forum (WCEF) เป็นงานประชุมเศรษฐกิจจีนระดับโลก ซึ่งจัดขึ้นเพียงปีละครั้ง มายาวนานกว่า 10 ปี โดยเป็นเวทีการประชุมระดับโลกที่รวมตัวแทนจากหลายภาคส่วน ทั้งหน่วยงานภาครัฐ บริษัทเอกชน และสถาบันการศึกษา โดยมีจุดประสงค์เพื่อเชื่อมโยงโอกาสทางเศรษฐกิจในประเทศจีนกับภูมิภาคต่าง ๆ ทั่วโลก เน้นความสำคัญของการเชื่อมโยงระหว่างภูมิภาคและส่งเสริมกรอบความคิดด้านการเติบโตทางธุรกิจ ส่งเสริมการเติบโตด้านการจ้างงานและการขยายระเบียงเศรษฐกิจในระดับโลก สอดรับกับแนวนโยบายจีนเชื่อมโลก ภายใต้ โครงการหนึ่งแถบหนึ่งเส้นทาง (Belt and Road Initiative : BRI) ซึ่งเป็นนโยบายและแผนการลงทุนระยะยาวของจีน โดยมีเป้าหมายในการหารือเพื่อการพัฒนาโครงสร้างพื้นฐานและเร่งสร้างความร่วมมือทางเศรษฐกิจกับประเทศต่าง ๆ ตลอดแนวเส้นทางสายไหมเดิมและเพิ่มเติมด้วยแนวเส้นทางใหม่ เพื่อช่วยให้ประเทศในภูมิภาคต่าง ๆ ทั่วโลกสามารถเชื่อมโยงกันด้วยเส้นทางเศรษฐกิจที่ก่อเกิดประโยชน์กับทุกฝ่าย
สำหรับการจัดงานครั้งที่ 12 นี้ จัดขึ้นภายใต้แนวคิด “การประสานความสำเร็จร่วมกันผ่านการเชื่อมต่อระดับโลก : การพัฒนาเศรฐกิจจีนให้มีความก้าวหน้ายิ่งขึ้น” มีวัตถุประสงค์เพื่อส่งเสริมการเจรจาและการแลกเปลี่ยนบทบาทของจีนในยุคใหม่ ระหว่างผู้นำทางความคิด หน่วยงานภาครัฐ สื่อมวลชน และภาคเอกชน รวมทั้งส่งเสริมการสร้างธุรกิจใหม่ที่พร้อมรองรับโลกดิจิทัลในอนาคต และส่งเสริมให้เกิดการถ่ายทอดเรื่องราวของจีนอย่างถูกต้อง
การประชุมเศรษฐกิจจีนระดับโลก ครั้งที่ 12 นี้ ยังเป็นเวทีเชื่อมเครือข่ายธุรกิจระหว่างประเทศ โดยเป็นเวทีสำหรับการแลกเปลี่ยนเรียนรู้ ผ่านการอภิปรายหลากหลายหัวข้อ อาทิ การค้าและการลงทุนในภูมิภาค (Regional Comprehensive Economic Partnership : RCEP) ซึ่งครอบคลุม 15 ประเทศในภูมิภาคเอเชียแปซิฟิก มีประชากรรวมแล้วมากกว่า 2.5 พันล้านคน โดยคิดเป็นสัดส่วนทางการค้ามากกว่า 30% ของโลกและถือเป็นหนึ่งในเขตการค้าเสรีที่ใหญ่ที่สุดในโลกอีกด้วย ในหัวข้อนี้ มุ่งเน้นไปที่โอกาสใหม่ ๆ และความท้าทายในยุคดิจิทัลที่มีต่อการค้าการลงทุนใน RCEP ตลอดจนการหาวิธีการใช้เทคโนโลยีดิจิทัลและกลยุทธ์การใช้นวัตกรรมเพื่อส่งเสริมการเติบโตและความร่วมมือให้เกิดขึ้นอย่างต่อเนื่อง
อีกหัวข้อสำคัญของเวทีนี้ คือ การร่วมกันหารือเกี่ยวกับความสำคัญของโครงการ Belt and Road Initiative (BRI) โอกาสและความท้าทายที่เกิดจากการส่งเสริมความร่วมมือระหว่างประเทศและการเสริมสร้างความเชื่อมโยงทั่วโลกไปด้วยกัน โดย BRI จะส่งเสริมการเชื่อมโยงประเทศและการเจริญเติบโตทางเศรษฐกิจ ซึ่งจะครอบคลุมทั่วโลก และยังเป็นโครงการที่พลิกโฉมการค้าระหว่างประเทศและการพัฒนาโครงสร้างพื้นฐาน เพราะ BRI ทำให้เกิดโครงการโครงสร้างพื้นฐานมากมาย จากการสร้างเส้นทางเชื่อมต่อภูมิภาคเอเชีย ยุโรป แอฟริกา และภูมิภาคอื่น ๆ เพื่อให้เกิดเส้นทางการค้าและการแลกเปลี่ยนวัฒนธรรมใหม่ ๆ และโครงการนี้ยังดึงดูดการลงทุนจากทั่วโลก กระตุ้นให้เกิดการค้าและสร้างโอกาสใหม่ ๆ ในการพัฒนาประเทศอีกด้วย
นางสาวเกล็ดทราย กล่าวในตอนท้ายว่า ในฐานะที่ ชิงเถียน เป็นอำเภอหนึ่งในมณฑลเจ้อเจียง ซึ่งรุ่มรวยด้วยมรดกทางวัฒนธรรม และยังเป็นศูนย์กลางทางการค้าและการแลกเปลี่ยนวัฒนธรรม ขณะที่ DPU เป็นมหาวิทยาลัยที่มีความสัมพันธ์อันดีกับประเทศจีน โดยมีวิทยาลัยนานาชาติจีน (CIC) ที่มีนักศึกษาจากจีนมาเรียนมากที่สุดในมหาวิทยาลัยของไทย และมีสถาบันขงจื่อเส้นทางสายไหมทางทะเล ที่ส่งเสริมด้านการศึกษาและวัฒนธรรมจีน จึงเล็งเห็นความสำคัญในการแลกเปลี่ยนวัฒนธรรมข้ามแดน การได้รับเชิญเข้าร่วมงาน World Chinese Economic Forum (WCEF) จึงเป็นเรื่องน่ายินดีและเป็นโอกาสพิเศษ ที่ DPU ได้เป็นส่วนหนึ่งของการประชุมครั้งสำคัญ รวมถึงเป็นโอกาสอันดีในการขยายเครือข่ายสู่ระดับโลก และกระชับความสัมพันธ์กับพันธมิตรชาวจีนให้แน่นแฟ้นยิ่งขึ้น ทั้งยังได้รับทราบนโยบายเศรษฐกิจ การค้า การจ้างงาน ที่รัฐบาลจีนส่งเสริมหรือมีนโยบายสนับสนุน ซึ่งล้วนเชื่อมโยงและนำมาประยุกต์เข้ากับการศึกษาให้สอดรับกับความต้องการหรือบริบททางสังคม เศรษฐกิจ และทิศทางการศึกษาในอนาคต
มหาวิทยาลัยธุรกิจบัณฑิตย์ (DPU) โดยหลักสูตรบริหารธุรกิจมหาบัณฑิต (MBA) หลักสูตรบัญชีมหาบัณฑิต (MACC) หลักสูตรปรัชญาดุษฎีบัณฑิต สาขาการบัญชี (Ph.D. Accountancy) และหลักสูตรบริหารธุรกิจดุษฎีบัณฑิต (DBA) ร่วมกันจัดโครงการ CEO Talks ครั้งที่ 1 โดยได้รับเกียรติจาก คุณชาตยา สุพรรณพงศ์ ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร Chief Engagement Officer (CEO) บริษัท Food Passion จำกัด หรือ ที่รู้จักกันในนามของแบรนด์ Bar-B-Q Plaza มาร่วมเสวนาแลกเปลี่ยนให้ความรู้และประสบการณ์ ดำเนินรายการโดย ดร.กุลบุตร โกเมนกุล อาจารย์ หัวหน้าหลักสูตรบริหารธุรกิจ สาขาวิชาการเงินการลงทุนและเทคโนโลยีทางการเงิน วิทยาลัยบริหารธุรกิจนวัตกรรมและการบัญชี DPU ณ ห้องประชุม ดร.ไสว สุทธิพิทักษ์ มหาวิทยาลัยธุรกิจบัณฑิตย์ (DPU) โดยมีนักศึกษาระดับปริญญาโท – เอก และคณาจารย์เข้าร่วมฟังกว่า 200 คน
ผศ.ดร.ศิริเดช คำสุพรหม ผู้ช่วยรองอธิการบดีสายงานภาคีสัมพันธ์ มหาวิทยาลัยธุรกิจบัณฑิตย์ (DPU) ได้กล่าวเปิดโครงการ โดยระบุถึงจุดประสงค์โครงการนี้ว่าเพื่อช่วยให้นักศึกษาฝึกฝนและพัฒนาทักษะในการบริหารองค์กร และเรียนรู้วิธีการเป็นผู้นำที่มีคุณภาพในองค์กร จาก CEO ตัวจริง พร้อมเรียนรู้วิธีการแก้ไขปัญหาทางธุรกิจและการดำเนินงานในสภาวะที่ซับซ้อน ซึ่งเป็นทักษะสำคัญสำหรับผู้บริหารองค์กร
ในช่วงแรกของการเสวนา คุณชาตยา ได้อธิบายถึง ความแตกต่างระหว่าง Chief Executive Officer (CEO) และ Chief Engagement Officer (CEO) ว่าตำแหน่ง Chief Engagement Officer (CEO) เป็นตำแหน่งที่ไม่ได้เป็นตำแหน่งที่มีในองค์กรทั่วไป แต่มักจะปรากฏในบริษัทหรือองค์กรที่มีการใส่ใจกับการสร้างความสัมพันธ์และความสัมพันธ์ขององค์กรกับกลุ่มเป้าหมาย โดยมุ่งหวังที่จะพัฒนา และบริหารจัดการกิจกรรมที่เกี่ยวข้องกับความสัมพันธ์ระหว่างบริษัทและลูกค้า พนักงาน หรือสังคมอื่น ๆ เพื่อสร้างความสุข สร้างความพึงพอใจ และสนับสนุนการสร้างความร่วมมือ (Collaboration) ซึ่งเป็นหน้าที่หลักของตำแหน่งนี้
สำหรับตำแหน่ง CEO หรือ Chief Executive Officer ที่รู้จักกันทั่วไปนั้น เป็นตำแหน่งสูงสุดในองค์กรหรือบริษัท มีความรับผิดชอบในการนำบริษัทและดำเนินธุรกิจองค์กรให้ประสบความสำเร็จ รวมถึงการกำหนดและดำเนินนโยบายกลยุทธ์ของบริษัท การบริหารจัดการทรัพยากรทางการเงิน เป็นผู้มีความรับผิดชอบสูงสุด มีอำนาจในการตัดสินใจสำคัญที่เกี่ยวข้องกับธุรกิจของบริษัท และรายงานตรงของกรรมการบริษัท (Board of Directors) หรือผู้ถือหุ้นหลักของบริษัท
คุณชาตยา สุพรรณพงศ์ กล่าวต่อไปว่า การเป็นผู้นำองค์กรที่ดี หรือ การจะเป็นนักบริหารธุรกิจให้ประสบความสำเร็จสามารถทำได้ด้วยการใช้กลยุทธ์ SML (Start with why, Mean it, Long-term Consideration) ซึ่งขยายความได้ดังนี้การเริ่มต้นด้วยที่ทำไม (Start with why) ใช้ในการสร้างความเข้าใจร่วมกัน และเริ่มจากการสื่อสารในทีมงาน ผู้ที่เกี่ยวข้องและนักลงทุน โดยการอธิบายให้เข้าใจถึงเป้าหมายหรือวัตถุประสงค์ที่อยากให้บริษัทหรือองค์กรบรรลุผลในระยะยาว นี่คือที่มาและแรงจูงใจที่นำพาการดำเนินธุรกิจ อันจะให้คำตอบว่า "ทำไมเราต้องทำสิ่งนี้" เพื่อจะช่วยให้ทุกคนเข้าใจและร่วมมือกันในการสร้างความสำเร็จ
Mean it (ลงมือทำอย่างไรต่อ) หลังจากที่กำหนดเป้าหมายและจุดมุ่งหมาย ต้องแสดงให้เห็นว่าเราจริงจังในเรื่องนี้ ซึ่งก็คือ การดำเนินการตามเป้าหมายที่กำหนดไว้อย่างสม่ำเสมอ เพราะทุกคนดูทุกๆการตัดสินใจและกิจกรรมที่เราตัดสินใจลงมือทำมัน
Long-term Consideration (พิจารณาถึงผลลัพธ์ระยะยาว) คือการวางแผนและดำเนินธุรกิจควรมุ่งหวังแบบมองระยะยาว โดยต้องกำหนดยุทธศาสตร์และแผนการดำเนินงานที่สนับสนุนเป้าหมายระยะยาวขององค์กร การคิดในแง่ระยะยาวช่วยให้มีการวางแผนและการลงทุนที่มีประสิทธิภาพ
จากการปฏิบัติตามกลยุทธ์ SML แล้วนั้น จะช่วยให้การบริหารธุรกิจเป็นไปอย่างมีประสิทธิภาพและสามารถนำไปสู่ความสำเร็จในระยะยาวได้ โดยการเริ่มต้นจากที่ทำไม (Start with why) เพื่อสร้างความเข้าใจร่วมกัน และต้องแสดงให้เห็นว่าเราจริงจังในเรื่องนี้ด้วย ต่อด้วย Mean it (ลงมือทำอย่างไรต่อ) และ จบด้วยการยึดถือแผนระยะยาวเป็นหลักในการบริหารธุรกิจ (Long-term) เพื่อความยั่งยืนและความสำเร็จในอนาคต