

การพัฒนาหลักสูตร MBA ให้เท่าทันกับการเปลี่ยนแปลงของโลกธุรกิจเป็นหนึ่งในยุทธศาสตร์สำคัญของคณะพาณิชยศาสตร์และการบัญชี มหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์ (Thammasat Business School :TBS) ที่ทำมาตลอดกว่า 8 ทศวรรษ และในขณะที่กำลังก้าวขึ้นสู่ปีที่ 87 ในห้วงที่ธุรกิจกำลังเผชิญกับ VUCA World ทาง TBS พร้อมเดินหน้าบูรณาการหลักสูตรการเรียนการสอนให้สอดรับกับความต้องการของภาคธุรกิจทั้งในไทยและต่างประเทศ ภายใต้ Vision ใหญ่ที่มุ่งมั่นในการ “บ่มเพาะผู้นำแห่งอนาคตที่จะกำหนดทิศทางของธุรกิจในภูมิภาคอาเซียนอย่างยั่งยืน”
ทั้งนี้ รศ.ดร.สมชาย สุภัทรกุล คณบดีคณะพาณิชยศาสตร์และการบัญชี มหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์ ฉายภาพของการขับเคลื่อนคณะสู่การเป็นผู้นำและต้นแบบในการสร้างนักบริหารธุรกิจที่พร้อมขับเคลื่อนธุรกิจในอนาคต ไม่เพียงแต่ในไทยเท่านั้น แต่สามารถขับเคลื่อนเศรษฐกิจของอาเซียนได้ยั่งยืน โดยมีจุดแข็งที่สำคัญคือ หลักสูตรที่ได้รับการยอมรับในระดับสากล โดย TBS เป็นสถาบันการศึกษาด้านบริหารธุรกิจแห่งแรกในไทยที่เป็น “Triple Crown Business School” นั่นคือการได้รับการรับรองมาตรฐานการศึกษาระดับนานาชาติจากสถาบันหลักด้านการบริหารธุรกิจของโลก ได้แก่ AACSB (Association to Advance Collegiate Schools of Business) จากสหรัฐอเมริกา EQUIS (EFMD Quality Improvement System) จากสหภาพยุโรป และ AMBA (Association of MBAs) จากสหราชอาณาจักร ซึ่งทั่วโลกมีเพียงไม่ถึง 100 แห่ง หรือ 1% ที่เป็น Triple Crown Business School การรับรองคุณภาพในระดับสามมงกุฎนี้ตอกย้ำให้เห็นถึงคุณภาพของหลักสูตรของ TBS ที่ยืนหยัดปรับปรุง สร้าง และพัฒนาหลักสูตรให้สอดรับกับเทรนด์ของโลกธุรกิจที่จะเกิดขึ้นทั้งในระยะสั้น กลาง และยาว อย่างต่อเนื่อง
ทั้งนี้ “รศ.ดร.สมชาย” เผยถึง 3 เทรนด์ใหญ่ของธุรกิจในอนาคต ที่กลายเป็นแกนหลักในการพัฒนาหลักสูตร MBA Thammasat เพื่อสร้างนักบริหารที่ตอบโจทย์การดำเนินธุรกิจทั้งในไทยและระดับอาเซียน
เทรนด์แรก คือ AI in Business Management ที่ผ่านมาคนส่วนใหญ่มักพูดถึง AI ในภาคการศึกษาว่าควรจำกัดอยู่ที่ตรงไหน แต่วันนี้อยากให้มอง AI ในมิติของการเป็นเครื่องมือในการบริหารธุรกิจ ทำให้งานมีประสิทธิภาพและประสิทธิผลมากขึ้น หากเรียน MBA Thammasat แล้วไม่เข้าใจบทบาทของ AI ในการบริหารธุรกิจ ไม่สามารถใช้ AI มาช่วยในการทำงาน การวิเคราะห์ข้อมูลเพื่อการวางแผนและการตัดสินใจทางธุรกิจ รวมทั้งการวางแผนกลยุทธ์ขององค์กรได้ ธุรกิจก็ไปรอดยากในอนาคต สำหรับ TBS เราให้ความสำคัญกับ AI in Business Management โดยได้สอดแทรกเข้าไปในหลักสูตรมาโดยตลอด แต่ในการปรับปรุงหลักสูตรใหม่ของ MBA Thammasat ในปี 68 นี้จะเพิ่มความเข้มข้นมากขึ้น เพื่อให้มั่นใจว่าเมื่อมาเรียน MBA Thammasat นักศึกษาทุกคนจะสามารถใช้เครื่องมือ AI ต่างๆ ในการทำงานได้ในอนาคตได้อย่างเต็มที่
ถัดมาคือ ESG (Environmental, Social, and Governance) การทำธุรกิจให้อยู่รอด เติบโตได้อย่างยั่งยืนได้ในอนาคต ผู้นำหรือผู้บริหารองค์กรต้องให้ความสำคัญใส่ใจดูแล สิ่งแวดล้อม ชุมชนสังคม พร้อมการกำกับดูแลกิจการที่ดี TBS เป็นส่วนหนึ่งของมหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์ ซึ่งเป็น University for the People หรือมหาวิทยาลัยเพื่อประชาชน TBS จึงทำโครงการเพื่อสังคมและชุมชนมาตลอด ที่จับต้องอย่างเป็นรูปธรรมคือ “ธรรมศาสตร์โมเดล” เป็นโครงการเพื่อยกระดับวิสาหกิจชุมชนไทย ที่ทำมานานกว่า 10 ปี โดยเป็นการร่วมทำงานกันของ 3 ภาคส่วน ได้แก่ ชุมชนซึ่งมีภูมิปัญญาดั้งเดิม ภาคธุรกิจที่มีทรัพยากร และ TBS ที่มีนักศึกษาและคณาจารย์ที่มีองค์ความรู้ด้านบัญชีและบริหารธุรกิจ มาผนึกกำลังกันพัฒนาหรือปรับปรุงผลิตภัณฑ์รวมถึงการทำการตลาดและการบริหารการเงิน เป็นสร้างประโยชน์และสร้างมูลค่าเพิ่มให้แก่ชุมชนน ที่สำคัญคือชุมชนสามารถดำเนินการต่อไปหรือพัฒนาต่อยอดได้อย่างยั่งยืน
“ในอดีตชุมชนผลิตสินค้าแล้วขายกันเองในชุมชนหรือบริเวณใกล้เคียง ผลลัพธ์คือแค่อยู่รอด ไม่เติบโต สิ่งที่ TBS ดำเนินการตาม “ธรรมศาสตร์โมเดล” คือ พาทีมนักศึกษาและอาจารย์ที่ปรึกษา พร้อมภาคเอกชน เข้าไปประชุมระดมสมองกันกับชุมชน และร่วมกันพัฒนาหรือปรับปรุงเพิ่มมูลค่าสินค้าของชุมชน อย่าง เดิมที่ชุมชนปลูกข้าวไรซ์เบอรี่ แล้วก็นำมาขายเป็นกิโล มูลค่าก็ได้ไม่มาก แต่เมื่อเข้าร่วมโครงการ “ธรรมศาสตร์โมเดล” มีการนำองค์ความรู้เข้าไปช่วยในทุกฟังก์ชันของการบริหาร ทั้งการออกแบบสินค้า คำนวณต้นทุน ตั้งราคา หาสถานที่ขาย ฯลฯ และชุมชนได้รับการสนับสนุนจากภาคเอกชน จากขายข้าวธรรมดาก็พัฒนาเป็น Snack Bar ข้าวไรซ์เบอรี่ ขายผ่านหลากหลายช่องทางทั้งผ่านร้านค้าและผ่านออนไลน์ ขายได้ในราคาสูงกว่าเดิม เป็นการเพิ่มมูลค่าของสินค้าหลาย 10 เท่า ที่สำคัญคือแม้ทีมนักศึกษาจะกลับแล้วเมื่อเสร็จสิ้นโครงการ แต่ชุมชนมีองค์ความรู้ เข้าใจธุรกิจมากขึ้น สามารถพัฒนาต่อยอดกันได้อย่างยั่งยืนจนถึงทุกวันนี้” แบบนี้ถือว่าบรรลุความตั้งใจของ TBS ที่มีโอกาสในการดูแลสังคม ในขณะเดียวกันนักศึกษาก็ได้ลงมือทำงานจริง เข้าใจบริบทของการทำธุรกิจในทุกมิติอย่างแท้จริง
“หนึ่งใน DNA ที่สำคัญของธรรมศาสตร์ที่สะท้อนออกมาได้ชัดเจนคือ คนที่เรียนจบจากธรรมศาสตร์ นอกจากมีความรู้ความสามารถ ยังมีจิตสำนึกในการรับผิดชอบต่อสังคม เราเชื่อว่ามีความรู้แล้วการบริหารธุรกิจให้สำเร็จไม่ใช่เรื่องยาก แต่ต้องดูแลสังคมรอบข้างด้วย การเติบโตโดยที่ไม่สนใจใคร ไม่ใช่วิสัยของนักบริหารที่ดี ซึ่งจิตสำนึกในการใส่ใจสังคมพร้อมช่วยเหลือดูแลสังคมให้ดีขึ้น กลายเป็น DNA ของนักศึกษาธรรมศาสตร์ที่ซึมซับเข้าไปโดยไม่รู้ตัว”
เทรนด์สุดท้าย คือ Experiential Learning การเรียนตามเนื้อหาในชั้นเรียนอาจเข้าใจแค่หลักการเบื้องต้น แต่การได้เรียนรู้จากกรณีศึกษาจริง การได้พบเจอผู้บริหารตัวจริง การได้ลงมือทำจริง จะสร้างความเข้าใจที่มีความลึกซึ้ง ทำให้นักศึกษาพร้อมจะเป็นผู้บริหารที่ทำงานได้จริงในอนาคต
“รศ.ดร.สมชาย” กล่าวว่า TBS เน้นให้นักศึกษานำความรู้ทางการบริหารต่างๆ ไปประยุกต์ในทางปฏิบัติได้จริง ยกตัวอย่างเช่น การมี Business Case Competition เป็นการแข่งขันกรณีศึกษาทางธุรกิจ ทั้งที่เราจัดขึ้นเองและจากการส่งทีมนักศึกษาเข้าแข่งขัน ทั้งในระดับชาติและระดับนานาชาติ โดยให้บริษัทจริงเป็น Case Company มาเป็นโจทย์ให้นักศึกษาวิเคราะห์และเสนอ Solution เพื่อตอบโจทย์ของ Case Company นั้นๆ รวมถึงรายวิชาที่เน้นให้เรียนรู้เข้าใจโลกของการบริหารจริงๆ ภายใต้โครงการ Course Partnership ที่เราร่วมกับพันธมิตรจากภาคธุรกิจในการพัฒนารายวิชารวมทั้งร่วมสอนด้วย เช่น เราร่วมกับ Big 4 Audit Firm หรือสำนักงานสอบบัญชีระดับโลกทั้ง 4 แห่ง ก็ได้นำทีมผู้บริหารของสำนักงานมาร่วมพัฒนารายวิชาด้านการบัญชีและภาษีและร่วมสอนกับคณาจารย์ด้วย สิ่งที่นักศึกษาจะได้คือ ไม่ใช่แค่ทฤษฎีเท่านั้น แต่เข้าใจถึงการประยุกต์ใช้ทางปฏิบัติ รวมถึงเข้าใจถึงอุปสรรคและการแก้ปัญหาในทุกมิติจากผู้ที่มีประสบการณ์โดยตรง หรืออย่างวิชา CEO Vision ที่เปิดโอกาสให้นักศึกษาได้ร่วมพบปะพูดคุยกับ CEO ของบริษัทชั้นนำของไทย ในหลากหลายธุรกิจ สิ่งที่นักศึกษาได้จึงไม่ใช่แค่ความรู้ แต่ได้ Inspiration และ Mindset ในการบริหารธุรกิจ ที่ล้วนสำคัญไม่แพ้องค์ความรู้ด้านวิชาการ
พร้อมกันนี้ “รศ.ดร.สมชาย” กล่าวว่าการพัฒนาหลักสูตรของ TBS ให้สามารถสร้างผู้นำรุ่นใหม่ให้ได้ตามวิสัยทัศน์ที่วางไว้ ต้องทำควบคู่ไปในหลายมิติ ทั้งการพัฒนาหลักสูตรภายในส่วนของ TBS เอง และร่วมมือกับสถาบันการศึกษาต่างประเทศที่มีคุณภาพที่ได้รับการยอมรับเฉกเช่นเดียวกัน
“รศ.ดร.สมชาย” กล่าวว่า ถ้าต้องการบ่มเพาะนักศึกษาให้กลายเป็นผู้นำธุรกิจในอาเซียน การพัฒนาหลักสูตรโดยร่วมกับสถาบันการศึกษาชั้นนำในต่างประเทศเป็นเรื่องสำคัญมาก ซึ่งที่ผ่านมา TBS ยกระดับความร่วมมือกับพันธมิตรที่เป็นสถาบันการศึกษาในต่างประเทศจากเดิมที่ทำแค่โครงการแลกเปลี่ยนนักศึกษาและอาจารย์ มาเป็น Strategic Partner คือร่วมมือกับพันธมิตรที่มีแนวคิดเดียวกัน ร่วมทำกลยุทธ์พัฒนาหลักสูตรไปพร้อมกัน อย่างล่าสุด ทาง TBS ได้ร่วมมือกับ SMU (Singapore Management University) ซึ่งเป็นมหาวิทยาลัยในประเทศสิงคโปร์ ที่เป็น Triple Crown Business School เช่นเดียวกับ TBS จัดทำโครงการ TBS x SMU 3+1 Dual Degree Program โดยผสานจุดแข็งของทั้ง 2 มหาวิทยาลัยเข้าด้วยกัน โดย 3 ปีแรกจะศึกษาที่ TBS และศึกษาที่ SMU ในปีสุดท้าย เมื่อจบโครงการนักศึกษาก็จะได้รับปริญญาตรีจาก TBS และปริญญาโทจาก SMU นั่นเอง ซึ่งตรงกับ Vision ของ TBS ที่ต้องการยกระดับนักศึกษาให้พร้อมขับเคลื่อนธุรกิจในระดับอาเซียน
สำหรับการพัฒนาหลักสูตรใหม่ ล่าสุด TBS กำลังพัฒนา 2 หลักสูตรใหม่ ทั้งหลักสูตรนานาชาติและหลักสูตรไทย พร้อมเปิดตัวเร็วๆ นี้
หลักสูตรนานาชาติเป็นอีกส่วนสำคัญที่จะทำให้ผู้เรียนมีทักษะในการขับเคลื่อนธุรกิจในเวทีต่างประเทศได้ง่ายขึ้น “รศ.ดร.สมชาย” กล่าวต่อว่า TBS ถือเป็นสถาบันแห่งแรกๆ ในไทยที่จัดทำหลักสูตรปริญญาตรีด้านบัญชีและบริหารธุรกิจ หลักสูตรนานาชาติ ที่เรียกกันว่า BBA International Program โดยเรียนที่ มธ.ท่าพระจันทร์ ซึ่งดำเนินการมาแล้วกว่า 30 ปี จนถึงวันนี้เรามองว่าถึงเวลาแล้วที่เราจะพัฒนาหลักสูตรนานาชาติขึ้นมาเพิ่มเติม ได้แก่ BBM (Bachelor of Business Management) International Program โดยจะเปิดสอนที่ มธ.ศูนย์รังสิต ซึ่งมีสิ่งอำนวยความสะดวกครบครันในการเรียนรู้ โดยตั้งเป้าเปิดรับนักศึกษาต่างชาติและไทยในสัดส่วนที่เท่ากัน เพื่อทำให้บรรยากาศการเรียนการสอนมีความเป็นนานาชาติอย่างแท้จริง อีกจุดเด่นของหลักสูตรนี้คือทางเลือกในการทำ 2+2 Double Degree คือ เรียนที่ TBS 2 ปีแรก และเรียนต่อที่สถาบันการศึกษาชั้นนำในต่างประเทศอย่างออสเตรเลีย อังกฤษ สิงคโปร์ ที่เป็นมหาวิทยาลัยพันธมิตรกับ TBS อีก 2 ปี และได้รับปริญญาตรีจากทั้ง 2 สถาบัน เชื่อว่านักศึกษาที่จบจากหลักสูตรนี้จะมีความพร้อมเป็นผู้นำแห่งอนาคตในการขับเคลื่อนธุรกิจของอาเซียนได้ตามเป้าหมายที่วางไว้”

ส่วนหลักสูตรภาษาไทย TBS ได้เตรียมพัฒนาหลักสูตร OneTU 4+1 Dual Degree Program ซึ่งเป็นหลักสูตรปริญญาตรีควบปริญญาโท ด้วยมหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์เป็น Comprehensive University หรือมหาวิทยาลัยที่มีหลักสูตรครบถ้วนในทุกศาสตร์ ทั้งสังคมศาสตร์ วิทยาศาสตร์และเทคโนโลยี และวิทยาศาสตร์สุขภาพ โดยคนที่จบปริญญาตรีจากศาสตร์ต่างๆ มักจะขาดทักษะด้านการจัดการซึ่งเป็นทักษะที่มีความสำคัญอย่างมาก ในขณะที่ TBS มีความเชี่ยวชาญด้านทักษะการจัดการ จึงเกิดแนวคิดทำหลักสูตรที่เรียน 4 ปีที่คณะต่างๆ ภายในมหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์ และเรียนทักษะการจัดการต่อที่ TBS อีก 1 ปี เมื่อจบหลักสูตรจะได้รับปริญญาตรีในศาสตร์เฉพาะด้านจากคณะนั้นๆ และปริญญาโทด้านการจัดการ (Master of Management) จาก TBS ดังนั้น นักศึกษาที่จบหลักสูตรนี้จะมีความครบเครื่องเป็นอย่างมาก มีความเชี่ยวชาญในศาสตร์เฉพาะด้านและเติมเต็มด้วยทักษะด้านการจัดการ จึงมีความพร้อมที่จะเป็นผู้นำแห่งอนาคตที่จะขับเคลื่อนธุรกิจได้อย่างประสบความสำเร็จ
เหล่านี้เป็นเพียงตัวอย่างของหลักสูตรใหม่ที่ “รศ.ดร.สมชาย” ย้ำว่า อย่าหยุดคิดหยุดทำ ต้องพัฒนาทำให้ดีขึ้นเรื่อยๆ พร้อมแชร์เคล็ดลับการออกแบบหลักสูตรของ TBS ว่ามาจากการตกผลึกองค์ความรู้จากทุก Stakeholders ที่เกี่ยวข้อง ทั้งความต้องการของนักศึกษา คณาจารย์ ศิษย์เก่า และผู้บริหารจากภาคธุรกิจ ซึ่งการที่ TBS มีพันธมิตรจากบริษัทชั้นนำ ทั้งไทยและต่างประเทศ รวมถึงมีศิษย์เก่ามากมายที่พร้อมให้คำแนะนำ มีการทำ Focus group จากทุกกลุ่ม ทำให้ทราบว่าต้องการคนทำงานที่มีทักษะอย่างไรในอนาคต และหลักสูตรควรปรับไปในทิศทางใด เพราะอย่าลืมว่าโลกธุรกิจเปลี่ยนแปลงเร็วมาก เมื่อนักศึกษาจบไปหลักสูตรเนื้อหาที่เรียนมาต้องใช้บริหารธุรกิจได้จริง ไม่ใช่ล้าสมัย ไม่ทันกับการแข่งขัน หรือมีทักษะที่ตรงกับความต้องการของตลาดงาน ฉะนั้นมั่นใจได้ว่าหลักสูตร “MBA Thammasat” จะช่วยเติมเต็ม เพิ่มพูนองค์ความรู้ให้แก่นักบริหารได้อย่างครบเครื่องทันโลกธุรกิจทั้งในวันนี้และอนาคต
บทความ/รูปภาพ: กองบรรณาธิการ
ในโลกยุคใหม่ที่ทักษะจำเป็นแห่งอนาคตการทำงานกำลังจะเปลี่ยนไปอย่างมาก หลักสูตรบริหารธุรกิจมหาบัณฑิต คณะพาณิชยศาสตร์และการบัญชี จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย (MBA Chula) พร้อมช่วยเสริมสร้างทักษะ และ ความรู้ใหม่ๆ สำหรับการเป็นผู้นำในอนาคต ผ่านหลักปรัชญาการเรียนรู้ (5C)
รศ. ดร. ณัฐพล อัสสะรัตน์ ประธานหลักสูตร MBA คณะพาณิชยศาสตร์และการบัญชี จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย เปิดเผยว่า ผลจากการสำรวจข้อมูลเกี่ยวกับทักษะใหม่ๆ ที่จะเป็นตัวแปรสำคัญต่อการดำเนินธุรกิจ และระบบเศรษฐกิจในอนาคต ซึ่งเป็นความร่วมมือระหว่างคณะพาณิชยศาสตร์และการบัญชี จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย (CBS) และ สภาเศรษฐกิจโลก หรือ World Economic Forum (WEF) โดยพบว่า ทักษะใหม่ ๆ สำหรับการเป็นผู้นำองค์กรธุรกิจในอนาคตมี 10 ด้าน ดังนี้

AI & Big Data - ปัญญาประดิษฐ์ และข้อมูลมหัต; Analytic Thinking – การคิดเชิงวิเคราะห์; Creative Thinking – การคิดเชิงสร้างสรรค์; Leadership and Social Influence – ความเป็นผู้นำ และอิทธิพลทางสังคม; Talent Management – การบริหารจัดการความสามารถ; Resilience, Flexibility and Agility – ความอดทน, ความยืดหยุ่น และความคล่องตัว; Curiosity and Lifelong Learning – ความช่างสงสัย และความต้องการเรียนรู้ตลอดชีวิต; Technology Literacy – ความรู้ในการจัดการกับเทคโนโลยี; Environmental Stewardship – การดำเนินการที่ให้ความสำคัญต่อสิ่งแวดล้อม; และ Service Orientation and Customer Service – การมีจิตมุ่งบริการ และการบริการลูกค้า
ทั้งนี้ MBA Chula ได้ตระหนักถึงการเปลี่ยนแปลงที่กำลังจะเกิดขึ้น และพร้อมที่จะช่วยเสริมสร้างทักษะ ความรู้ และความสามารถต่าง ๆ ให้แก่ผู้นำในอนาคต โดยถ่ายทอดผ่านหลักปรัชญาการเรียนรู้ (5C) ที่ถือว่าเป็นหัวใจหลักของการออกแบบเนื้อหาการเรียนการสอน และกิจกรรมต่าง ๆ ของหลักสูตร ที่เสริมสร้างทักษะ/ความรู้แห่งอนาคต อันประกอบด้วย:

1 Critical Thinking: เป็นการคิดวิเคราะห์อย่างมีตรรกะและเป็นระบบ ซึ่งเกิดจากการประสานกันระหว่างความรู้เชิงทฤษฎี กับภาพธุรกิจจริง เพื่อให้ผู้บริหารสามารถคิดวิเคราะห์และการอธิบายกลไกธุรกิจในบริบทต่าง ๆ ซึ่งทักษะความรู้ในด้าน AI – Big Data และ Analytical Thinking จะมีบทบาทมาก และผู้เรียนสามารถเรียนรู้ได้ผ่านวิชาที่เกี่ยวข้องกับ Data Science, Business Analytics และโมเดลการวิเคราะห์มากมายที่สอดแทรกในวิชาต่าง ๆ ของทางหลักสูตร
2 Creativity: คือ Create + Ability เป็นความสามารถในการสร้างสิ่งใหม่ ๆ ให้เกิดขึ้น โดยหลักสูตรมุ่งเน้นรูปแบบการเรียนการสอนแบบ Experiential Learning ที่ไม่ได้แค่เรียนเนื้อหาแล้วนำไปสอบ หากแต่จะมีโครงงานให้ผู้เรียนได้นำทฤษฎีไปประยุกต์ใช้จริง โดยทำวิจัยอย่างต่อเนื่องของคณาจารย์ ทำให้องค์ความรู้ที่สอนไม่ได้อยู่แค่เพียงตำราจากต่างประเทศ หากแต่เป็นองค์ความรู้ ที่ทันสมัยและประยุกต์ใช้ได้จริงในบริบทของสังคมและเศรษฐกิจทั้งใระดับประเทศและระดับสากล
3 Care: การให้ความใส่ใจต่อทั้งคู่ค้า ชุมชน และสิ่งแวดล้อมเป็นสิ่งที่ขาดไม่ได้ในการสร้างธุรกิจที่แข็งแกร่งและยั่งยืน ถือว่ามีความสอดคล้องกับทักษะ - ความรู้ในด้านของ Environmental Stewardship, Service Orientation and Customer Service ผ่านการปลูกฝังและเรียนรู้ในรายวิชาที่เกี่ยวข้องกับการสร้างคุณค่าร่วม (Creating Share Values: CSV) ความยั่งยืน (Sustainability) และจริยธรรมทางธุรกิจ ซึ่งวิชาดังกล่าวนี้จะมีการนำผู้เรียนลงพื้นที่ชุมชนเพื่อช่วยคิดวางแผนแก้ปัญหาให้กับธุรกิจจริง เพื่อให้ผู้เรียนได้รับความรู้ทั้งจากบทเรียนและประสบการณ์จริง
4 Collaboration: ถือว่าเป็นอีกหนึ่งในปรัชญาการเรียนรู้ที่ทาง MBA Chula ได้ส่งเสริมแก่ผู้เรียน โดยคุณสมบัติของผู้นำที่ดี คือ สามารถทำงานเป็นทีม และดึงศักยภาพที่โดดเด่นของสมาชิกในทีมออกมาเพื่อให้บรรลุเป้าหมายของการทำงาน โดยผู้เรียนจะสามารถฝึกฝนทักษะเหล่านี้ได้จากการร่วมกันทำโครงงานต่าง ๆ ในแต่ละรายวิชา
5 Communication: เป็นหนึ่งในทักษะที่ MBA Chula ให้ความสำคัญ เนื่องจากผู้บริหารที่ดีนั้น นอกจากจะมีความรู้ความสามารถแล้ว ยังต้องสามารถสื่อสารสิ่งที่ตนคิดให้กับผู้ที่เกี่ยวข้องเพื่อให้เกิดความเข้าใจตรงกันและสามารถดำเนินกิจกรรมต่าง ๆ ได้ไปในทิศทางเดียวกัน ด้วยเหตุนี้ หลักสูตรได้ออกแบบรายวิชาที่ช่วยพัฒนาความสามารถของการสื่อสารในรูปแบบต่าง ๆ ให้แก่ผู้เรียน ทั้งในการติดต่อธุรกิจ การสื่อสารภายในคณะทำงาน และการสื่อสารเพื่อสร้างอิทธิพลต่อสังคม

นอกจากแนวคิด 5C แล้ว MBA Chula ยังมุ่งเน้นการส่งเสริม Global Mindset ผ่านการศึกษาดูงานในต่างประเทศ โดยได้รับการสนับสนุนจากพันธมิตรของหลักสูตรทั้งในและต่างประเทศ ที่เป็นสถาบันการศึกษาและองค์กรธุรกิจ ทำให้สามารถเข้าถึงการดูงานที่ลึกซึ้งและสามารถเข้าใจบริบทของการทำธุรกิจข้ามชาติได้อย่างแท้จริง
รศ. ดร. ณัฐพล กล่าวเสริมอีกว่า เพื่อส่งเสริมการเรียนอย่างต่อเนื่อง ซึ่งทำให้เกิดองค์ความรู้ใหม่ ๆ ล่าสุด MBA Chula จึงได้ริเริ่มโครงการ Life Long Learning เปิดโอกาสให้นิสิตเก่าของหลักสูตรสามารถกลับมาเพิ่มพูนทักษะและความรู้ใหม่ ๆ ได้อย่างต่อเนื่อง โดย MBA Chula มุ่งหวังที่จะผลิตผู้บริหารยุคใหม่ให้มีความสามารถพร้อมรับการเปลี่ยนแปลงที่กำลังจะเกิดขึ้น และคาดว่าหลักสูตรนี้จะเป็นแรงผลักดัน และขับเคลื่อนธุรกิจในอนาคตได้อย่างมีประสิทธิภาพ
สำหรับผู้ที่สนใจหลักสูตร MBA Chula สามารถดูข้อมูลเพิ่มเติมได้ที่ Website : https://mba.cbs.chula.ac.th/
Facebook Page: https://www.facebook.com/mbachulalongkorn