ในงานประชุมระดับโลกด้านเทคโนโลยีไร้สาย โมบายล์ เวิลด์ คองเกรส (MWC)  บาร์เซโลนา 2024 หัวเว่ยประสบความสำเร็จในการจัดงานประชุมเกี่ยวกับบทบาทของเทคโนโลยีดิจิทัลในภาคอุตสาหกรรมและการเปลี่ยนผ่านของเทคโนโลยีอัจฉริยะ หรือ “Huawei Industrial Digital and Intelligent Transformation Summit” ภายใต้แนวคิด “เร่งการเปลี่ยนผ่านทางด้านอุตสาหกรรมไปสู่ความอัจฉริยะ ด้วยความเป็นผู้นำโครงสร้างพื้นฐานทางด้านดิจิทัล” โดยหัวเว่ยได้ต้อนรับทั้งลูกค้าระดับโลก พาร์ทเนอร์ รวมถึงผู้นำในอุตสาหกรรมต่าง ๆ เพื่อร่วมกันค้นหา แบ่งปันนวัตกรรม รวมถึงแนวทางปฏิบัติด้านการเปลี่ยนผ่านให้ธุรกิจทั้งในอุตสาหกรรมขนาดกลางและขนาดเล็ก (SMEs) ได้ก้าวไปสู่ยุคดิจิทัลและความเป็นอัจฉริยะอย่างแท้จริง นอกจากนี้ หัวเว่ยยังได้ทำการเปิดตัวโซลูชันด้านการเปลี่ยนผ่านด้านดิจิทัลอัจฉริยะจำนวน 10 โซลูชันอย่างเป็นทางการรวมถึงเปิดตัวซีรีส์ผลิตภัณฑ์เรือธงใหม่หลากหลายกลุ่มเพื่อตอบโจทย์ที่หลากหลายของลูกค้า ที่กำลังอยู่ในระหว่างขั้นตอนการเปลี่ยนผ่านของภาคอุตสาหกรรมทางดิจิทัล และมีความต้องการที่แตกต่างกันไป

นายหลี่ เผิง รองประธานอาวุโสฝ่ายองค์กร และประธานฝ่ายขายและบริการด้านเทคโนโลยีสารสนเทศและการสื่อสารของหัวเว่ย ได้กล่าวว่า “ตั้งแต่การเปลี่ยนผ่านจากยุคของข้อมูลข่าวสารมาสู่ยุคดิจิทัล ทุกการเปลี่ยนผ่านล้วนนำความเป็นไปได้ต่าง ๆ มากมายมาด้วยเสมอ และวันนี้เรากำลังก้าวเข้าสู่โลกแห่งความอัจฉริยะ ซึ่งการสร้างอนาคตแห่งความอัจฉริยะขึ้นมาด้วยตัวเอง ก็อาจจะเป็นวิธีที่เราจะคาดการณ์อนาคตได้อย่างแม่นยำที่สุด โดยหัวเว่ยจะเดินหน้าทุ่มเทการทำงานของเราเป็นเท่าตัว เพื่อส่งมอบผลิตภัณฑ์ในกลุ่มโครงสร้างพื้นฐานทางด้านดิจิทัลและโซลูชันต่าง ๆ เพื่อช่วยเร่งกระบวนการการเปลี่ยนผ่านอัจฉริยะให้กับอุตสาหกรรมทั้งหลาย ทั้งนี้ เราจะทำงานอย่างหนักในฐานะพาร์ทเนอร์ที่ทุกคนสามารถไว้วางใจได้ในเส้นทางการเปลี่ยนผ่านครั้งนี้”

การเปลี่ยนผ่านสู่เทคโนโลยีดิจิทัลในระดับอุตสาหกรรมคือก้าวสำคัญสู่โลกอัจฉริยะ

“เพื่อเป็นการเปิดรับโลกอัจฉริยะแห่งอนาคต หัวเว่ยเชื่อว่าหนึ่งในขั้นตอนสำคัญคือการเดินหน้าเข้าสู่โลกดิจิทัลในระดับอุตสาหกรรม และเมื่อกระบวนการการเปลี่ยนผ่านนี้เข้าสู่ช่วงหัวเลี้ยวหัวต่อ เราจะต้องมีการจัดการกับข้อมูล ไม่ว่าจะเป็นในขั้นตอนการ “คำนวณ ส่งต่อ และจัดเก็บ” อย่างเป็นระบบ รวมทั้งมีการจัดการข้อมูลซึ่งมีที่มาจากสถานการณ์อันหลากหลาย เข้าสู่ฐานข้อมูลบนเทคโนโลยีคลาวด์อย่างเป็นระบบ และเข้าถึงลูกค้าในกลุ่มอุตสาหกรรมพื้นฐานและอุตสาหกรรมหลัก ๆ ให้มากขึ้น เพื่อการสนับสนุนให้กลุ่มลูกค้ากลุ่มนี้เดินหน้าสู่การเปลี่ยนผ่านทางดิจิทัลและมุ่งสู่โลกอัจฉริยะได้อย่างราบรื่น" นายลีโอ เฉิน ประธานฝ่ายขาย สำหรับภาคองค์กร ของหัวเว่ยกล่าว

นายลีโอ เฉิน กล่าวเสริมว่า “เราอาจจะอธิบายผลของกระบวนการเปลี่ยนผ่านทางดิจิทัลเพื่อไปสู่โลกอัจฉริยะได้ด้วยคำศัพท์ทางฟิสิกส์ที่ว่า การเปลี่ยนแปลงสถานะ (Phase transition) ซึ่งหมายความว่าการเปลี่ยนผ่านนี้จะไม่เพียงแต่นำมาซึ่งการเติบโตที่เพิ่มขึ้นเท่านั้น แต่ยังหมายถึงพลวัตรของภาคเศรษฐกิจที่พลิกโฉมโหม่  เพราะเมื่อเราก้าวเข้าสู่โลกที่มีประสิทธิภาพและผลิตภาพสูงแล้ว เราสามารถมอบคุณภาพชีวิตที่ดีกว่าให้แก่ผู้คนได้ทุกคน ทั้งนี้ หัวเว่ยมุ่งมั่นที่จะทำงานร่วมกับทุกฝ่ายเพื่อเร่งกระบวนการเปลี่ยนผ่านทางดิจิทัลในทุกภาคอุตสาหกรรมเพื่อก้าวไปสู่โลกแห่งอัจฉริยะ”

หัวเว่ยเปิดตัวโซลูชันเรือธงเพื่อช่วยในการเปลี่ยนผ่านทางด้านดิจิทัลอัจฉริยะจำนวน 10 โซลูชัน และผลิตภัณฑ์ใหม่ที่หลากหลายสำหรับภาคอุตสาหกรรม

หัวเว่ยทำงานร่วมกับลูกค้าและพาร์ทเนอร์รายต่าง ๆ เพื่อเก็บรวบรวมแนวทางการเปลี่ยนผ่านทางดิจิทัลที่ประสบความสำเร็จ และเพื่อค้นหาแนวทางการเปลี่ยนผ่านอัจฉริยะใหม่ ๆ อยู่เสมอ โดยในปี พ.ศ. 2566 หัวเว่ยได้ทำการเปิดตัวสถาปัตยกรรมอัจฉริยะสำหรับการเปลี่ยนผ่านทางดิจิทัล เพื่อให้ลูกค้าในกลุ่มอุตสาหกรรมได้ใช้เป็นแหล่งอ้างอิงในการดำเนินกระบวนการเปลี่ยนผ่านของตนเอง

ทั้งนี้ หัวเว่ยให้ความสำคัญกับผลิตภัณฑ์ในกลุ่มเทคโนโลยีสารสนเทศและการสื่อสาร รวมถึงได้สร้างอีโคซิสเต็มระบบเปิด เพื่อให้เป็นจุดศุนย์รวมของพาร์ทเนอร์และเหล่านักพัฒนา ในการสร้างโครงสร้างพื้นฐานอัจฉริยะทางด้านดิจิทัลให้ประสบความสำเร็จ

โดยหัวเว่ยเชื่อว่าลูกค้าแต่ละรายมีความต้องการที่ต่างกัน และเราจำเป็นที่จะต้องส่งมอบโซลูชันที่ออกแบบมาสำหรับแต่ละสถานการณ์การใช้งานให้เหมาะสม เพื่อช่วยให้ลูกค้าสามารถทำการเปลี่ยนผ่านทางด้านดิจิทัลอย่างอัจฉริยะได้สำเร็จลุล่วง

สำหรับลูกค้าอุตสาหกรรมขนาดใหญ่ที่มีความจำเป็นต้องใช้บริการที่มีความหลากหลายและซับซ้อน ทางหัวเว่ยได้มีการเปิดตัวระบบดิจิทัลอัจฉริยะในระดับอุตสาหกรรม 10 รูปแบบ ซึ่งมาภายใต้ชื่อต่าง ๆ ได้แก่ National Cloud Solution 2.0, Smart City, Smart Classroom 3.0, Medical Technology Digitalization, Digital CORE, Intelligent Factory, Smart Airport Fully Connected Fiber Network, Perimeter Security with Fiber Sensing, Smart Railway Perimeter Detection, ITS 2.0, Intelligent Power Distribution (IDS), Oil and Gas Pipeline Safety Management Solutions นอกจากนี้ ยังมีการเปิดตัวผลิตภัณฑ์อีกหลากหลายกลุ่ม เช่น Campus Digital Platform, Multilayer Ransomware Protection (MRP) 2.0 และ Perimeter Protection Site เป็นต้น

เพื่อเป็นการตอบโจทย์ความต้องการของกลุ่มลูกค้าทางธุรกิจขนาดเล็กและขนาดกลางที่อาจจะมีความต้องการใช้งานที่ไม่ซับซ้อนมากนัก หัวเว่ยได้เดินหน้าร่วมมือกับพาร์ทเนอร์ในการสร้างโซลูชันระบบเปิดที่ใช้ทรัพยากรน้อย (lightweight) แต่มีการออกแบบมาสำหรับสถานการณ์นั้น ๆ โดยเฉพาะ ด้วยการใช้โซลูชันเหล่านี้ช่วยลดต้นทุน สร้างความแตกต่างให้กับผู้ประกอบการทั้งในแง่ของการให้บริการและการเป็นผู้นำในอุตสาหกรรม โดยกลุ่มโซลูชันใหม่นี้จะช่วยให้ธุรกิจสามารถเดินหน้าเปลี่ยนผ่านทางดิจิทัลอย่างอัจฉริยะได้อย่างราบรื่น ด้วยโซลูชันที่ออกแบบมาสำหรับสถานการณ์รูปแบบเฉพาะกว่า 30 สถานการณ์ ซึ่งเป็นการร่วมพัฒนากับพาร์ทเนอร์ของเรา สำหรับกลุ่มลูกค้าขนาดเล็กที่มีความต้องการใช้งานในระดับพื้นฐาน หัวเว่ยได้ทำการเปิดตัว HUAWEI eKit สำหรับลูกค้ากลุ่มนี้ในปีพ.ศ. 2566 โดยผลิตภัณฑ์ดังกล่าวได้รับการออกแบบมาให้มีคุณสมบัติใช้งานง่าย ตั้งแต่ขั้นตอนการซื้อขาย ติดตั้ง บำรุงรักษา รวมไปถึงการเรียนรู้การใช้งาน โดยภายในงาน MWC ปีนี้ แบรนด์ HUAWEI eKit ได้เปิดตัวผลิตภัณฑ์ใหม่สำหรับการใช้งานในออฟฟิศสำหรับกลุ่มธุรกิจเอสเอ็มอี โรงแรมราคาประหยัด โรงเรียนประถมและมัธยม ห้างสรรพสินค้า คลินิก โรงพยาบาล บริษัทอสังหาริมทรัพย์ รวมถึงร้านอาหารต่างๆ เป็นต้น

นอกจากนี้ หัวเว่ย ยังคงยึดมั่นในพันธกิจที่จะเดินหน้าสร้างนวัตกรรมและผลิตภัณฑ์ทางด้านเทคโนโลยีสารสนเทศชั้นนำ เพื่อตอบโจทย์ความต้องการของลูกค้าที่เปลี่ยนแปลงไปอยู่เสมอ โดยหัวเว่ยได้ทำการเปิดตัวผลิตภัณฑ์เรือธงในกลุ่มข้อมูลสื่อสาร เครือข่ายออพติคัล การจัดเก็บข้อมูล รวมทั้งระบบปฏิบัติการและการบำรุงรักษาแบบครบวงจรที่ใช้ทรัพยากรน้อยอีกด้วย

นายเดวิด ฉี รองประธานฝ่ายการตลาดเทคโนโลยีและสารสนเทศ และฝ่ายขายโซลูชันเพื่อธุรกิจของหัวเว่ย กล่าวว่า “หัวเว่ย เข้าใจดีว่าลูกค้าแต่ละรายล้วนมีความต้องการและความท้าทายในการดำเนินธุรกิจที่แตกต่างกัน และในช่วงเวลาที่การเปลี่ยนผ่านทางดิจิทัลไปสู่ความเป็นอัจฉริยะนี้กำลังเดินไปข้างหน้า หัวเว่ยจะมุ่งมั่นพัฒนาผลิตภัณฑ์และโซลูชันที่ออกแบบมาจากสถานการณ์การใช้งานจริง พร้อมเทคโนโลยีที่ล้ำสมัย มีความเป็นมิตรต่อสิ่งแวดล้อม และตอบโจทย์ความต้องการของลูกค้าได้จริง”

หัวเว่ย เดินหน้าทำงานร่วมกับพาร์ทเนอร์ เพื่อสร้างอนาคตที่สดใสให้กับโลกอัจฉริยะ

อีโคซิสเต็มที่มีความยั่งยืนและทำงานได้อย่างเต็มประสิทธิภาพ ถือเป็นส่วนสำคัญในการเปลี่ยนผ่านสำหรับภาคอุตสาหกรรมอัจฉริยะ โดยช่วงปลายปี พ.ศ. 2566 หัวเว่ยมีพาร์ทเนอร์ที่อยู่ในตลาดระดับองค์กรทั่วโลกกว่า 40,000 ราย ที่จะเข้ามาช่วยให้ลูกค้าของเราเดินหน้าไปสู่ความสำเร็จทางธุรกิจได้

นายเออร์เนสต์ จาง ประธานฝ่ายพาร์ทเนอร์สากล ธุรกิจและการกระจายสินค้า และฝ่ายขายสำหรับองค์กรของหัวเว่ยได้ กล่าวว่า “หัวเว่ยจะยังคงเดินหน้าทำงานร่วมกับพาร์ทเนอร์และยึดตามหลักแนวคิดของการ ‘เชื่อมโยงกันด้วยการแบ่งปันผลประโยชน์ บนรากฐานของความซื่อสัตย์ และปฏิบัติตามกฎเกณฑ์โดยไม่มีข้อยกเว้น’ เราจะเดินหน้าส่งเสริมนโยบายสำหรับพาร์ทเนอร์ของเราในเรื่องการพัฒนาไปข้างหน้าอย่างเต็มที่ เพื่อสร้างพันธมิตรที่แน่นแฟ้น เกื้อกูลผลประโยชน์แก่กัน และก้าวไปสู่ช่วงเวลาแห่งความสำเร็จด้วยกัน”

งานโมบายล์ เวิลด์ คองเกรส (MWC) ครั้งนี้จัดขึ้นระหว่างวันที่ 26 - 29 กุมภาพันธ์ ณ เมืองบาร์เซโลนา ประเทศสเปน โดยหัวเว่ยเข้าร่วมงานในปีนี้ภายใต้แนวคิด “เร่งการเปลี่ยนผ่านทางด้านอุตสาหกรรมไปสู่ความอัจฉริยะด้วยความเป็นผู้นำทางด้านโครงสร้างพื้นฐานทางด้านดิจิทัล” ("Leading Digital and Intelligent Infrastructure, Accelerating Industrial Intelligence") และมีการจัดแสดงทัพผลิตภัณฑ์และโซลูชันเรือธงใหม่ล่าสุด ที่บูธ 1H50 ใน Fira Gran Via Hall 1 โดยสามารถดูรายละเอียดข้อมูลเพิ่มเติมได้ที่ Huawei Enterprise at MWC 2024| Accelerate Industrial Intelligence | Huawei Enterprise

หัวเว่ย คอนซูมเมอร์ บิสสิเนส กรุ๊ป (ประเทศไทย) ร่วมจับมือ ช้อปปี้ อีคอมเมิร์ซเบอร์ 1[1] ครองใจนักช้อปชาวไทย ส่งโปรโมชั่นเปิดดีลลดใหญ่ รับมหกรรมเทศกาลช้อปปิ้งออนไลน์ครั้งแรกของปีในแคมเปญ Shopee 3.3 ลดใหญ่ต้นปี ส่งมอบส่วนลดเกินต้าน ลดสูงสุดกว่า 47% เมื่อสั่งซื้อสินค้าผ่านร้านค้า Huawei Official Store บน Shopee ตั้งแต่วันที่ 3 - 5 มีนาคม 2567 มาดูกันเลยดีกว่าว่ามีอะไรน่าช้อปบ้าง

ไอเทมแรก เริ่มด้วย HUAWEI Band 8 แก็ดแจ็ดเอาใจสายสุขภาพและออกกำลังกาย ที่มาพร้อมเทคโนโลยีสุดล้ำ โดดเด่นด้วยดีไซน์แบบ Ultra-Thin พร้อมฟีเจอร์ติดตามการนอนหลับทางวิทยาศาสตร์ และใช้งานได้อย่างยาวนานไม่มีสะดุดด้วยฟีเจอร์ชาร์จไว โดยสามารถใช้งานได้ทั้งบนแอนดรอย์และ iOS มาในราคาพิเศษเพียง 1,299 บาท จากปกติ 1,899 บาท

HUAWEI MatePad 11.5" แท็บเล็ตดีไซน์สวย ขอบบาง เบา วัสดุทนทานแบบ Unibody พร้อมรองรับการเชื่อมต่อกับคีย์บอร์ดและปากกา HUAWEI M-Pencil (รุ่นที่ 2)  และ หน้าจอคมชัด 120 Hz HUAWEI FullView Display มอบประสบการณ์ที่ไหลลื่นสะดวกสบายทั้งทำงานและเอนเตอร์เทนเมนต์ได้ทุกที่ทุกเวลา พิเศษรุ่น WiFi 6+128GB ราคาเพียง 8,990 บาท จากปกติ 9,990 บาท

HUAWEI WATCH GT 4 รุ่น Light Gold Edition ขนาด 41 มม. โดดเด่นด้วยตัวเรือนสแตนเลสสตีลสีทอง ผสานเข้ากับสายมิลานสีทองที่ขึ้นชื่อเรื่องงานฝีมืออันประณีตได้อย่างลงตัว มอบความหรูหราสะดุดทุกสายตา พร้อมหน้าปัดนาฬิกาอีกกว่า 25,000 แบบ รวมถึงมีโหมดออกกำลังกายกว่า 100 โหมด  ฟีเจอร์วัดความเครียดและ SpO2 อัตโนมัติ ที่จะทำงานทันที่เมื่อสวมใส่ รองรับการเชื่อมต่อได้ทั้ง iOS และ Android พร้อมแบตเตอร์รี่ยาวนานถึง 7 วัน มาในราคาพิเศษเพียง 5,990 บาท จากปกติ 8,490 บาท

เป็นยังไงกันบ้างกับ 3 แก็ดเจ็ตสุดฮิตต้นปี บอกเลยว่าสายแก็ตเจ็ตเลิฟเวอร์ห้ามพลาด เป็นเจ้าของแก็ตเจ็ตในราคาสุดคุ้มกับแคมเปญ Shopee 3.3 ลดใหญ่ต้นปี ที่พร้อมส่งต่อความคุ้มค่าแบบยิ่งใหญ่ด้วย ส่วนลดสูงสุด 47%[2] และยังมีโค้ดลดเพิ่ม 1,000 บาท[3] และโค้ดส่งฟรีขั้นต่ำ 0 บาท[4] ครอบคลุมผลิตภัณฑ์ยอดฮิต อาทิ สมาร์ทโฟน หูฟังไร้สาย แท็บเล็ต และผลิตภัณฑ์คุณภาพจากหัวเว่ยอีกมากมาย ร่วมถึงช่วงลดหนักจัดเต็ม กับสินค้า Flash Sale ในวันที่ 3 มีนาคม 2567 เวลา 00:00 น.

และเพื่อรับประสบการณ์ความคุ้มค่าสูงสุดในการช้อป ก่อนการชำระเงินลูกค้าสามารถกดเก็บโค้ดของ HUAWEI ได้ที่หน้าร้าน และโค้ดส่วนลดของช้อปปี้จากหน้าแคมเปญ ไม่ว่าจะเป็นโค้ดส่วนลด โค้ดส่งฟรี หรือโค้ดรับ Shopee Coins คืน นอกจากนี้ลูกค้ายังสามารถใช้ Shopee Coins เป็นส่วนลดเพิ่มเติม โดย 1 Shopee Coin จะมีมูลค่าเท่ากับ 1 บาท พร้อมเพลิดเพลินกับสิทธิประโยชน์มากมายเมื่อชำระผ่าน ShopeePay

เตรียมช้อป แก็ดเจ็ตฮิตจาก HUAWEI พร้อมดีลลดใหญ่ใน Shopee 3.3 ลดใหญ่ต้นปี ตั้งแต่วันที่ 3 - 5 มีนาคม 2567 เพื่อไม่ให้พลาดโปรโมชั่นลดใหญ่ อย่าลืมกดติดตามข่าวสารและโปรโมชันดีๆ จาก HUAWEI บน Shopee Mall ได้ที่ https://shopee.co.th/huawei_official_store


[1] อ้างอิงจากรายงาน Ecommerce in Southeast Asia 2023 ของ Momentum Works

[2] อ่านเงื่อนไขเพิ่มเติมในหน้าร้านค้า

[3] อ่านเงื่อนไขเพิ่มเติมในหน้าร้านค้า

[4] อ่านเงื่อนไขเพิ่มเติมในหน้าร้านค้า

หัวเว่ย เป็นเจ้าภาพจัดงาน “5G Beyond Growth Summit”  ในงาน โมบายล์ เวิลด์ คองเกรส (Mobile World Congress 2024 - MWC) ณ กรุงบาร์เซโลนา ประเทศสเปนเมื่อเร็ว ๆ นี้ โดยนายหลี่ เผิง รองประธานอาวุโสฝ่ายองค์กร และประธานฝ่ายขายและบริการด้านเทคโนโลยีสารสนเทศและการสื่อสาร ของหัวเว่ย ได้ร่วมแสดงวิสัยทัศน์ถึงการที่เทคโนโลยี 5G จะช่วยให้ผู้ให้บริการเครือข่ายประสบความสำเร็จ รวมถึงการที่ เทคโนโลยี 5.5G จะเข้ามาช่วยปลดล็อคศักยภาพที่เหนือกว่าของเครือข่ายและสร้างโอกาสทางธุรกิจใหม่ ๆ ในอนาคต ให้กับผู้ให้บริการ

นายหลี่กล่าวว่า “เทคโนโลยี 5G กำลังไปสู่เส้นทางแห่งความสำเร็จ” ทั้งนี้ เทคโนโลยี 5G ถูกนำมาใช้งานใน เชิงพาณิชย์ตั้งแต่ปี พ.ศ. 2562 ตลอด 5 ปีที่ผ่านมา มีผู้ใช้งานมากกว่า 1,500 ล้านคนทั่วโลก เมื่อเปรียบเทียบกับเทคโนโลยี 4G ที่ต้องใช้เวลาถึง 9 ปี ในการได้จำนวนผู้ใช้งานเท่ากัน โดยในปัจจุบัน ร้อยละ 20 ของผู้ใช้โทรศัพท์มือถือ ใช้งานบนเทคโนโลยี 5G ซึ่งนับเป็นร้อยละ 30 ของการส่งข้อมูลผ่านเครือข่ายทั้งหมด และสามารถสร้างรายได้ให้กับ ผู้ให้บริการถึงร้อยละ 40 เทคโนโลยี 5.5G จะเริ่มเข้ามามีบทบาทการใช้งานเชิงพาณิชย์ในปี พ.ศ. 2567 และด้วยความสามารถของเทคโนโลยี 5.5G นี้ ผนวกกับ AI และการใช้งานร่วมกับเทคโนโลยีคลาวด์ จะทำให้ผู้ให้บริการสามารถปลดล็อค ศักยภาพของแอปพลิเคชันและความสามารถใหม่ ๆ ได้อีก”

เขากล่าวเสริมว่า ผู้ให้บริการเครือข่ายทั่วโลกควรให้ความสำคัญกับการให้บริการเครือข่ายคุณภาพสูง มองหาการสร้างรายได้ จากหลากหลายช่องทาง บริการใหม่ ๆ รวมถึงการนำเทคโนโลยี AI ที่มีความสามารถในการสร้างสรรค์สิ่งต่าง ๆ เข้ามาใช้งาน เพื่อคว้าโอกาสทางธุรกิจเอาไว้

เครือข่ายคุณภาพสูงยังคงเป็นรากฐานสำคัญของความสำเร็จทางธุรกิจ

ผู้ใช้บริการโทรศัพท์มือถือนั้นยินดีที่จะอัปเกรดแพ็คเกจการใช้งานของตัวเองหากเครือข่ายนั้น ๆ สามารถมอบประสบการณ์ ที่เหนือกว่าได้ โดยการใช้งานดาต้าของผู้ใช้งานเหล่านี้จะเพิ่มขึ้นอีกสูงมาก ซึ่งจะส่งผลให้ผู้ให้บริการสามารถสร้างมูลค่า จากการใช้งานเหล่านี้ได้อีก และจะทำให้เราได้เห็นผู้ให้บริการเครือข่ายจำนวนมากที่กำลังมีแผนงานและกลยุทธ์ที่จะ เพิ่มระบบเครือข่าย 5G ที่มีคุณภาพสูงเข้ามา

ตัวอย่างเช่น ผู้ให้บริการเครือข่ายในทวีปตะวันออกกลางได้นำเทคโนโลยีการส่งข้อมูลแบบ Massive MIMO มาใช้งานแล้ว และด้วยประสบการณ์การใช้งานที่เหนือกว่าบนระบบนี้ทำให้สามารถนำเทคโนโลยีเทคโนโลยี 5G FWA เข้าสู่ตลาดได้สำเร็จ โดยในปัจจุบันเทคโนโลยี 5G FWA ได้เชื่อมต่อผู้คนจากกว่า 3 ล้านครัวเรือนเข้าด้วยกัน และถือเป็นอีกหนึ่งเครื่องมือ ที่สร้างรายได้มหาศาลให้แก่ผู้ให้บริการ

สร้างมูลค่าเพิ่มจากหลากหลายช่องทาง และหลากหลายรูปแบบ

ปัจจุบัน ผู้ให้บริการเครือข่าย 5G ทั่วโลกกว่าร้อยละ 20 มีการนำเสนอบริการในรูปแบบแพ็คเกจที่มีการจัดระดับความเร็ว เป็นขั้นตามความต้องการ เช่น ผู้ให้บริการเครือข่ายรายหนึ่งในประเทศไทยมีการนำเสนอแพ็คเกจลักษณะ Boost Mode ที่เปิดโอกาสให้ผู้ใช้งานสามารถเลือกระดับความเร็วที่เหมาะสมกับการใช้งานของตนเองได้ โดยการออกแบบแพ็คเกจ ลักษณะนี้สามารถเพิ่มอัตรารายได้เฉลี่ยต่อผู้ใช้งานหรือ ARPU ได้ประมาณร้อยละ 23 หรือผู้ให้บริการเครือข่ายรายหนึ่ง ในประเทศจีนได้มีการออกแบบแพ็คเกจที่รับประกันความเร็วอัปโหลดสำหรับผู้ใช้งานที่เน้นการใช้งานแบบ Livestream เพื่อการใช้งานที่ต้องการความละเอียดสูงและประสบการณ์ที่ลื่นไหล โดยแพ็คเกจดังกล่าวได้รับความนิยมและสามารถ เพิ่มอัตรารายได้เฉลี่ยต่อผู้ใช้งานได้มากกว่าร้อยละ 70

บริการรูปแบบใหม่ๆ จะเข้ามาช่วยสร้างการเติบโตอย่างยั่งยืน

บริการรูปแบบใหม่ ๆ เช่น New Calling, Cloud phones หรือบริการ 3D แบบที่ไม่ต้องสวมแว่น กำลังได้รับความนิยม มากขึ้นจากเหล่าผู้ใช้งาน เช่น ฟังก์ชันตัวละครเสมือนหรือ avatar ที่อยู่ในบริการ New Calling นั้นได้รับความนิยม เป็นอย่างมาก รวมถึงมีการแสดงให้เห็นว่าผู้ใช้งานยินดีที่จะจ่ายเพิ่มเพื่อประสบการณ์แบบเรียลไทม์ เช่น การเคลมประกันรถ แบบ one-stop จบในที่เดียว

นอกจากนี้ เทคโนโลยี 5G ยังถูกนำไปใช้งานจากหลากหลายอุตสาหกรรม โดยในประเทศจีนมีการใช้งานเครือข่าย 5G ในรูปแบบส่วนบุคคลในระดับอุตสาหกรรมกว่า 50,000 เครือข่าย ในกว่า 50 อุตสาหกรรม และด้วยความสามารถที่เพิ่มขึ้น ของเทคโนโลยี 5.5G เช่น อัตราความหน่วงที่สามารถกำหนดได้ ความแม่นยำในการส่งต่อข้อมูล และการใช้งาน IoT แบบ passive จะสามารถเปิดโอกาสทางธุรกิจใหม่ ๆ ให้กับผู้ให้บริการเครือข่ายในตลาด B2B ได้อีกมาก

Generative AI จะช่วยนำพาอุตสาหกรรมโทรศัพท์มือถือเข้าสู่ยุคอัจฉริยะ

รายงานจาก IDC ระบุว่าในปี พ.ศ. 2567 จะมียอดจำหน่ายสมาร์ทโฟนที่มีเทคโนโลยี AI ในตัว กว่า 170 ล้านเครื่อง ซึ่งคิดเป็นร้อยละ 15 ของยอดจำหน่ายสมาร์ทโฟนทั้งหมด โดยสมาร์ทโฟนที่มีเทคโนโลยี AI ในยุคใหม่นี้จะมาพร้อมกับ หน่วยความจำที่มากกว่า ความสามารถในการแสดงผลหน้าจอและภาพถ่ายที่เหนือกว่า และการทำงานที่ต้องใช้ เทคโนโลยีขั้นสูงจากแอปพลิเคชัน AIGC เหล่านี้จะก่อให้เกิดการใช้ข้อมูลอย่างมหาศาล และแน่นอนหมายถึงโอกาสทาง ธุรกิจใหม่ ๆ ของผู้ให้บริการเครือข่ายด้วย

นายหลี่ ได้กล่าวปิดท้ายงานด้วยคำมั่นว่า “เราและผู้ให้บริการเครือข่ายโทรศัพท์มือถือจะร่วมกันปลดล็อคศักยภาพ ของเทคโนโลยี 5G และเทคโนโลยี 5.5G และร่วมสร้างการเติบโตทางธุรกิจที่ยั่งยืนไปด้วยกัน"

ขายออนไลน์ 3.3 นี้ ราคาต่ำสุดเพียง 4,246 บาท ที่ Shopee เท่านั้น

ตอกย้ำจุดยืนของหัวเว่ยในฐานะแบรนด์แฟชันระดับไฮเอนด์ระดับโลก

X

Right Click

No right click