มุ่งขยายโอกาสและเพิ่มประสิทธิภาพการเรียนรู้ผ่านเทคโนโลยี เพื่อนักเรียนและบุคลากรทางการศึกษาทั่วประเทศกว่า 10 ล้านคน

Education Change

November 06, 2019

ช่วงนี้เป็นยุคเปลี่ยนผ่าน ยุคที่ทุกคนในบ้านเรากำลังเฝ้ารอการเปลี่ยนแปลง ผ่านพ้นวิกฤตเข้าสู่ความหวังที่จะเห็นสิ่งต่างๆ ดีขึ้น ทางด้านการศึกษาเองก็เช่นกัน

ทุกปีจะมีวาระตื่นเต้นสำหรับวงการศึกษาอยู่ช่วงหนึ่ง เปรียบไปแล้วก็ราวๆ กับการประกาศผลออสการ์ของวงการภาพยนตร์ฮอลลีวูด แต่สำหรับแวดวงการศึกษามหาวิทยาลัยนั่นก็ย่อมหนีไม่พ้นเรื่อง ”การประกาศผลการจัดอันดับมหาวิทยาลัย” (University Ranking)

Wharton School และ Stanford ครองอันดับหนึ่งร่วมในการจัดอันดับ QS World University Rankings: Global Full-Time MBA 2020 ประจำปีนี้ โดยบรรดานายจ้างต่างให้คะแนนเกือบเต็มในเกณฑ์ชื่อเสียง ขณะที่ INSEAD, London Business School และ HEC Paris ก็อยู่ใน 10 อันดับแรกด้วยเช่นกัน ซึ่งแสดงให้เห็นการกระจายตัวของสุดยอดหลักสูตร MBA ทั่วโลก การจัดอันดับ QS Global MBA ได้รับการเผยแพร่พร้อมกับการจัดอันดับ Masters in Management, Masters in Finance, Masters in Business Analytics และ Masters in Marketing ของ QS ซึ่งเมื่อรวมกันแล้ว ผลการจัดอันดับเหล่านี้ครอบคลุมหลักสูตรระดับบัณฑิตศึกษาที่เป็นที่ต้องการมากที่สุดในหมู่นายจ้างทั่วโลก

QS จัดอันดับโดยประเมินจากสิ่งที่ว่าที่นักศึกษาให้ความสำคัญมากที่สุด โดยมีเกณฑ์วัดหลัก ๆ อยู่ที่การจ้างงาน ความเป็นผู้ประกอบการและความสำเร็จของศิษย์เก่า ผลตอบแทนการลงทุน ความเป็นผู้นำทางความคิด ตลอดจนความหลากหลายของชั้นเรียนและคณะอาจารย์

- สถาบันเจ้าของหลักสูตร MBA เกือบครึ่งหนึ่งใน 100 อันดับแรกล้วนอยู่ในสหรัฐ และใน 10 อันดับแรกอยู่ในสหรัฐถึง 7 แห่ง

- สหราชอาณาจักรมีหลักสูตร MBA ที่ติด 100 อันดับแรกอยู่ 10 แห่ง ขณะที่ฝรั่งเศสมี 6 แห่ง โดยฝรั่งเศสมีสถาบันติด 10 อันดับแรก 2 แห่ง

- INSEAD (อันดับ 3) ซึ่งมีวิทยาเขตอยู่ในสิงคโปร์ ได้รับการจัดอันดับให้เป็นหลักสูตรที่ดีที่สุดในเอเชีย ตามมาด้วย CEIBS ที่เซี่ยงไฮ้ (อันดับ 25) และ National University of Singapore (อันดับ 32) ส่วนอันดับแรกของออสเตรเลียคือ University of Melbourne (อันดับ 26)

รับชมผลการจัดอันดับ QS Global MBA Rankings 2020 ได้ที่https://www.topmba.com/mba-rankings/2020
ดูระเบียบวิธีวิจัยในการจัดอันดับได้ที่https://www.topmba.com/mba-rankings/methodology

อเล็กซ์ ชิสโฮล์ม หัวหน้าฝ่ายวิเคราะห์ของ QS กล่าวว่า นอกเหนือจากการวิเคราะห์ข้อมูลที่เกี่ยวกับตัวหลักสูตรเองแล้ว QS ยังให้ความสำคัญกับชื่อเสียงของสถาบันสอนธุรกิจในทัศนคติของนายจ้างเกือบ 32,000 ราย ตลอดจนนักวิชาการอีกกว่า 36,000 รายทั่วโลกด้วย และท้ายที่สุด เรายังได้ประเมินเส้นทางการศึกษาของศิษย์เก่าที่ประสบความสำเร็จเป็นอย่างดีราว 30,000 เพื่อหาสถาบันที่พวกเขาสำเร็จการศึกษามาด้วย”

สถาบันที่ครองอันดับหนึ่งในการจัดอันดับหลักสูตรบริหารธุรกิจระดับปริญญาโทของ QS แยกตามสาขาวิชา ได้แก่

- QS World University Rankings: Masters in Business Analytics 2020 คือ Massachusetts Institute of Technology (Sloan Business School)

- QS World University Rankings: Masters in Finance 2020 คือ Oxford (Said) (อันดับหนึ่งครั้งแรก)

- QS World University Rankings: Masters in Management 2020 คือ HEC Paris

- QS World University Rankings: Masters in Marketing 2020 คือ HEC Paris (อันดับหนึ่งครั้งแรก)


รับชมผลการจัดอันดับหลักสูตรบริหารธุรกิจระดับปริญญาโททั้งหมดได้ที่:
https://www.topuniversities.com/business-masters-rankings/2020

ดูระเบียบวิธีวิจัยในการจัดอันดับได้ที่: https://www.topuniversities.com/business-masters-rankings/methodology

โลโก้: https://mma.prnewswire.com/media/702459/QS_World_University_Rankings_Logo.jpg 

 

ศ.ดร.สุชัชวีร์ สุวรรณสวัสดิ์ อธิการบดี สถาบันเทคโนโลยีพระจอมเกล้าเจ้าคุณทหารลาดกระบัง (สจล.) มองปรากฏการณ์ที่ส่งผลต่อการจัดการศึกษาเพื่อพัฒนาบุคลากรของประเทศไทยให้พร้อมรับมือกับความเปลี่ยนแปลงบนโลกใบนี้ว่า 

จากการที่อัตราการเกิดของประเทศไทยต่ำลงส่งผลถึงมหาวิทยาลัย เห็นได้ชัดเจนจากจำนวนผู้เข้าเรียนในมหาวิทยาลัยหลายแห่งลดลง ขณะเดียวกันการเติบโตของโรงเรียนนานาชาติก็สะท้อนให้เห็นค่านิยมของผู้ปกครองไทยที่ตัดสินใจส่งบุตรหลานเข้าเรียนหลักสูตรนานาชาติ ลดความไว้วางใจกับระบบการศึกษาของไทยลง และอีกกระแสหนึ่งที่เกิดขึ้นมา คือการเรียนการสอนออนไลน์แบบไร้พรมแดนที่มีให้เห็นชัดเจนเพิ่มมากขึ้น จนส่งผลต่อความคิดเห็นของคนต่อการคงอยู่ของสถาบันการศึกษาที่เคยมีมา 

จากความท้าทายทั้ง 3 ด้านข้างต้น ศ.ดร.สุชัชวีร์ มองว่าการเปลี่ยนแปลงด้านประชากรส่งผลรุนแรงมากต่อมหาวิทยาลัยโดยเฉพาะมหาวิทยาลัยเอกชนและผลกระทบนี้จะส่งผลต่อเนื่องไปทั้งวงการต่อไป โดยหนทางแก้ไขที่เขามองในฐานะที่สวมหมวกประธานที่ประชุมอธิการบดีแห่งประเทศไทยอีกตำแหน่งหนึ่ง คือ การเน้นคุณภาพ  

“หลักสูตรที่ไม่มีคนเรียนก็จะต้องปิดหรือปรับปรุงใหม่เพื่อดึงดูดคน มหาวิทยาลัยจะเน้นปริมาณไม่ได้แล้ว ต้องเน้นคุณภาพจริงๆ สองลูกค้า ต้องลูกค้าต่างประเทศแล้ว เดี๋ยวนี้ก็มีคนจีนมาเรียน CLMV แอฟริกา หรือต่างประเทศที่สนใจประเทศไทย เขาสนใจไทยเพราะราคาถูกและมหาวิทยาลัยชั้นนำของเขาจำกัด”  

ในเรื่องความนิยมหลักสูตรนานาชาติก็ต้องมีการปรับเปลี่ยนหลักสูตรโดยจะต้องเร่งจัดทำโดยเร็ว ให้ตอบรับกับกระแสความต้องการที่เพิ่มขึ้น รวมถึงการปรับกฎระเบียบให้สอดคล้องกับกระแสการเรียนออนไลน์ที่กำลังแรงขึ้น เพื่อให้ผู้เรียนสามารถเข้าถึงบทเรียนดีๆ ทั่วโลกได้ โดยได้รับปริญญาจากการเรียนนั้น 

“ยังไม่มีออนไลน์ที่ให้ปริญญา ออนไลน์ควรให้ปริญญาได้ด้วย คนไทยให้คุณค่ากับปริญญา ดังนั้น ถ้าจะดึงดูดให้ออนไลน์ ก็ต้องให้ปริญญาเขา 3 เรื่องนี้ ในเมื่อครูที่เก่งที่สุดในโลกอยู่ที่ MIT อยู่ที่คาร์เนกี้ เมลลอน อยู่ที่ฮาเวิร์ด ทำไมจะเรียนกับเขาไม่ได้ อินเทอร์เน็ตเราก็เร็วแล้ว แต่พอเรียนกับเขากลับบอกว่าไม่ให้หน่วยกิต แล้วใครจะเรียน เพราะสุดท้ายคนก็เลือกปริญญา” 

ในส่วนของ สจล. การรับมือกับความท้าทายทั้ง 3 ประการมีการเตรียมการไว้ โดยในด้านคุณภาพเป็นนโยบายที่จะมุ่งเน้นคุณภาพด้านการศึกษา หลักสูตรจะต้องอ้างอิงกับมหาวิทยาลัยอันดับหนึ่งของโลก อาจารย์ต้องจบจากต่างประเทศหรือหากจบในประเทศก็ต้องผ่านการสอบภาษาอังกฤษ และต้องมีผลงานวิจัยเป็นที่ประจักษ์ มีการประเมินการเรียนการสอนทุกปี  

ด้านความเป็นนานาชาติ ก็มีนโยบายที่จะให้ สจล. มีหลักสูตรนานาชาติมากกว่า 50 เปอร์เซ็นต์ภายในเวลา 2 ปี และบางคณะเช่นวิศวกรรมศาสตร์ จะต้องเป็นนานาชาติ 100 เปอร์เซ็นต์ เพื่อเพิ่มความสามารถในการผลิตบัณฑิตที่แข่งขันได้ในตลาดโลก  

ด้านการเรียนรู้ออนไลน์ สจล.ร่วมมือกับหัวเหว่ยพัฒนาระบบคอมพิวเตอร์เน็ตเวิร์กที่หัวเหว่ยบอกว่าดีที่สุดในโลก  และมีการตั้งคณะกรรมการดิจิทัลยูนิเวอร์ซิตี้ใน สจล. เพื่อทำการเรียนการสอนออนไลน์ Open Courseware ที่เปิดกว้างให้ทุกคนสามารถเข้ามาเรียนรู้ และอยู่ระหว่างการหารือกับสำนักงานการอุดมศึกษา (สกอ.) เรื่องการให้ปริญญาจากการเรียนออนไลน์ 

ทั้งหมดนี้สอดคล้องกับเป้าหมายของ สจล. ที่วางไว้ว่า จะเป็นมหาวิทยาลัยที่เข้มแข็งทางด้านวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยี สามารถนำวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยีไปต่อยอด เพื่อยกระดับประเทศไทย ตามนโยบายไทยแลนด์ 4.0  

ศ.ดร.สุชัชวีร์กล่าวถึงกลยุทธ์ของ สจล.ว่า “ที่เอาแพทย์กับวิศวะมาเย็บติดกัน เป็นแพทย์วิจัย แพทย์นวัตกรรมเพื่อสร้างองค์ความรู้และพึ่งพาตนเองได้ เอามาต่อยอด เดี๋ยวนี้เทคโนโลยีทางด้านดนตรีไปไกลมาก สจล.ก็เปิด วิทยาลัยวิศวกรรมสังคีต เรียนวิศวกรรมดนตรี เด็กที่รักดนตรีแต่เก่งคณิตศาสตร์ก็มาเรียนได้ ทางด้านการบิน นักบินขาดแคลน ทางสจล. ก็เปิดวิทยาลัยอุตสาหกรรมการบินนานาชาติ หรือ IAAI ผลิตนักบินที่มีความรู้ทางด้านวิศวกรรมอากาศยานและการซ่อมบำรุง เอาจุดแข็งขยาย และสุดท้ายคือ ร่วมมือกับคนที่เก่งที่สุดในโลก เราอยากจะสู้กับสิงคโปร์ คิดเองเออเองไม่ได้ ต้องเอาคนที่เก่งกว่าสิงคโปร์มาร่วมกับเรา เอาคนที่ 1 ของโลกมาช่วย นี่คือกลยุทธ์” 

 

ผสานเครือข่าย ผลักดันคนใน 

กลยุทธ์ที่ สจล. วางไว้ ไม่สามารถทำสำเร็จได้โดยง่าย ดังนั้นวิธีการในการไปให้ถึงเป้าหมาย ศ.ดร.สุชัชวีร์ จึงใช้วิธีการเชื่อมโยงกับเครือข่ายสถาบันการศึกษาระดับโลก เพื่อผลักดันคุณภาพมาตรฐานการศึกษาและงานวิจัยของ สจล. ให้ก้าวสู่ระดับโลกดังที่ตั้งเป้าหมายเอาไว้ 

อธิการบดี สจล. ยกตัวอย่างการทำงานวิจัยว่า “เราต้องการทำให้เป็นระดับโลกให้ได้ ส่วนใหญ่เป็นงานวิจัยตีพิมพ์ในประเทศ งานวิจัยที่เป็นการประชุมวิชาการ แต่มีระดับวารสารวิชาการระดับโลกยังไม่มากเท่าที่ควร เราจะเน้นคุณภาพ แล้วจะทำได้อย่างไร ก็คบกับคนที่เก่งที่สุดในโลก ทำงานร่วมกัน ก็เข้าได้ ทำคนเดียวก็เข้าไม่ได้ เพราะเขาไม่รู้ว่านี่คือใคร อาจารย์คนนี้คือใคร เอาคนที่เก่งที่สุดมาช่วยเทรนคนของเรา ร่วมงานวิจัยกับเขา อย่างนี้ได้ ไม่ใช่แค่งานวิจัยหลักสูตรเขาทันสมัยกว่าเรามากเป็นสิบปี ไปคิดเองเออเองไม่ได้ เพราะโลกหักศอกแล้ว หากอยู่เฉยๆ ก็สูญพันธุ์ไปเลย” 

ทั้งหมดนั้นเพื่อสร้างผู้นำไทย ที่ ศ.ดร.สุชัชวีร์ ให้นิยามผู้นำสำหรับประเทศไทยว่า ต้องมีทักษะด้านภาษา  มีความเข้าใจในเทคโนโลยีต่างๆ และรู้จักการให้ 

“ผู้นำไทยยุคนี้ต้องเป็นอย่างนี้ อยู่บนเวทีต้องฉะฉาน อาจจะสำเนียงไม่เท่าเขาแต่ฉะฉาน สอง เข้าใจเทคโนโลยี พูดเรื่องบิ๊กเดต้ารู้เรื่อง พูดเรื่องเศรษฐกิจยุคใหม่เป็นอย่างไร พูดได้ พูดเรื่องโครงสร้างพื้นฐานต่างๆ ได้ คือคนที่เป็นนักเรียนที่เรียนดีจะดูดซับเรื่องพวกนี้ได้ง่าย และสุดท้ายคือรู้จักการให้ ไม่ทิ้งคนไว้เบื้องหลัง สร้างความเท่าเทียม ความเป็นธรรม ถ้าสร้างไปได้ปีหนึ่งเป็นหมื่นเป็นแสนคน คิดดูประเทศไทยเปลี่ยนแน่นอน”  

 

ศ.ดร.สุชัชวีร์ สุวรรณสวัสดิ์ อธิการบดี สถาบันเทคโนโลยีพระจอมเกล้าเจ้าคุณทหารลาดกระบัง

ความเชื่อมั่นผลักดันเทคโนโลยีไทย 

ประเด็นหนึ่งในการพูดคุยกับ  ศ.ดร.สุชัชวีร์คือการถ่ายทอดและการ-คิดค้นเทคโนโลยี ศ.ดร.สุชัชวีร์มองว่า มหาวิทยาลัยคือจุดที่ดีที่สุดในการรับการถ่ายทอดเทคโนโลยี ไม่ใช่ภาคเอกชน “คนที่จะดูดซับเทคโนโลยีได้ทุกที่ (ประเทศ) คือมหาวิทยาลัย ไปให้เอกชน เขาก็ต้องปั๊มเอาเงินก่อน มหาวิทยาลัย อาจารย์ต้องตีพิมพ์ ถ้าไม่เรียนรู้ก็ไม่ได้ผลงานไม่ได้เป็นศาสตราจารย์ มีแรงจูงใจโดยธรรมชาติของความเป็นมหาวิทยาลัย และเด็กต้องไปดูดซับ ถ้าไม่ดูดซับก็เขียนปริญญานิพนธ์ไม่ได้ แต่รัฐไม่เคยเข้าใจ จนวันนี้ที่จะเริ่มดีขึ้น คนที่ดูดซับได้ดีสุดคือมหาวิทยาลัยเพราะถูกบังคับโดยธรรมชาติ และมีผลประโยชน์โดยธรรมชาติ ญี่ปุ่นจีนทำอย่างนี้ทั้งนั้น” 

ขณะเดียวกันการจะกระตุ้นให้คนไทยที่มีความสามารถมากมายเป็นที่ยอมรับในแล็ปทั่วโลก ผลิตผลงานวิจัยที่สามารถนำมาใช้ได้จริงได้ ความเชื่อ เป็นอีกปัจจัยสำคัญที่ต้องเร่งสร้าง  

“ต้องเริ่มด้วยความเชื่อก่อนว่าเราทำได้ คนไทยกับรัฐไม่เชื่อว่าคนไทยทำได้ ซื้อวันนี้ถูกกว่าของดีกว่าทำเองอยู่แล้ว ตอนผมเด็กๆ อายุ 4 ขวบผมไปซื้อถ่านไฟฉายมา 3 ก้อนเอาหนังสือพิมพ์พันเอายางรัดแล้วไปซื้อหลอดไฟมาติด ทำไฟฉายเอง มันน่าเกลียดมาก พ่อผมบอกว่าไงรู้ไหม เอ้เก่งจังเลย ลูกทำได้อย่างไร เก่งมาก แล้วพ่อผมเอาไปใช้ ก็ตลกมาก มันห่วยมาก ไฟฉายนั้นสร้างศาสตราจารย์ที่อายุน้อยที่สุดในเมืองไทย สร้างคนที่เข้าเอ็มไอทีได้ ผมทำบัดกรีไฟจะไหม้บ้านหลายรอบ ทำเสียงนกเสียงกาไปติดไว้ตามโอ่งพอน้ำเต็มแล้วมันร้อง แล้วพ่อจะเปิดเข้าไปทีมีเสียงอะไรอย่างนี้ พ่อผมไม่เคยรำคาญ ผมเลยมาเป็นศาสตราจารย์ เพราะพ่อผมเชื่อ พ่อผมคือรัฐ ไฟฉายทุเรศไหม แถมแพงกว่าที่พ่อจะไปซื้อ ใช้งานก็ห่วย”  

ภาครัฐจึงต้องให้ความเชื่อถือกับ ผลงานของนักวิทยาศาสตร์นักประดิษฐ์ของไทยเพื่อเป็นแรงจูงใจให้เกิดการสร้างสรรค์อย่างต่อเนื่อง และพัฒนากลายเป็นผลิตภัณฑ์และเทคโนโลยีของประเทศไทยเอง  

“อันแรกมันห่วย มันแพงอยู่แล้ว แต่ทำให้เกิดสิ่งต่อไป ทุกคนผ่านอย่างนี้มาหมด ญี่ปุ่น เกาหลี จีน แต่รัฐต้องเป็นผู้ซื้อ เป็นผู้รองรับก่อน ยกตัวอย่างเครื่องมือแพทย์ ผมไปทำรากฟันเทียมมา 100,000 บาท มี 3 ชิ้น ทำที่เยอรมนีกับสวิส คนแก่เมืองไทยเป็นล้านคนต้องใช้รากฟันเทียมหลายล้านซี่ ทำเองซี่แรกก็ห่วย ซี่ที่ล้านจะสมบูรณ์แบบไหม แต่ไม่ถึงซี่ที่ล้านเสียที เพราะรัฐไม่ยอมซื้อ ซี่ที่ร้อยที่พันก็บอกว่าไม่เอาแล้ว เหมือนคุณเลี้ยงลูก ต้องปั้นเขา เชื่อว่าเขาทำได้ คนไทยฉลาดอยู่แล้ว มีพรสวรรค์แต่คุณเป็นพ่อแม่ คุณปล่อยให้เขาไปทำเองไม่ได้” 

 

ว่าด้วยความเป็นผู้นำ 

ศ.ดร.สุชัชวีร์มองปัจจัยที่ทำให้ สจล. รักษาความเป็นผู้นำด้านการศึกษาวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยีว่า ประกอบด้วย ความกล้าคิด กล้าเปลี่ยนแปลง กล้าทดลองทำสิ่งใหม่ๆ เพื่อตอบโจทย์การสร้างผู้นำ “กล้าใช้คนจากต่างประเทศ กล้าให้ราคาแพงๆ กล้าให้เด็กรุ่นใหม่ มาเป็นผู้บริหาร ให้เด็กใหม่เป็นผู้เจรจา กล้าให้ทุนไปทำอะไรต่างๆ” 

สิ่งที่สังคมจะเห็นได้จากผลผลิตของ สจล. คือทักษะของบัณฑิตที่ผลิตออกไป มีความสามารถด้านภาษา มีความเป็นผู้นำ มีแนวคิดใหม่ๆ มีหลักสูตรใหม่ๆ ที่ตอบรับความต้องการของประเทศ เพราะนักศึกษาได้เห็นตัวอย่างจากในสถาบัน “นักศึกษาที่นี่ เห็นอะไรใหม่ๆ ขึ้นมา ได้เห็นอธิการพูด ที่นี่นักศึกษาใหม่ทุกคนอธิการต้องบรรยาย วิชา I love KMITL เขาเห็นอธิการพูดแบบนี้ ดุดัน กล้าเปลี่ยนแปลง ก็อยากเป็นแบบพี่เอ้ ชัดเจน”  

ศ.ดร.สุชัชวีร์ มองว่า สำหรับวงการการศึกษาของประเทศไทย การได้เริ่มลงมือทำ จัดได้ว่าเป็นการบรรลุเป้าหมายไปขั้นหนึ่งแล้ว การได้เริ่มเปลี่ยนแปลง เริ่มลงมือทำจึงเป็นความสำเร็จขั้นต้นสำหรับวงการศึกษาไทยที่จะเห็นได้ชัดเจน

Page 2 of 4
X

Right Click

No right click