

ธนาคารกสิกรไทย เปิดตัว “คอนเซียชพลัส” (KONCIERGE+) แพลตฟอร์มแรกที่รวมโซลูชันเพื่อธุรกิจโรงแรมแบบครบวงจร สนับสนุนให้ธุรกิจโรงแรม เพิ่มรายได้ลดรายจ่าย เพื่อให้เข้าถึงเทคโนโลยีในการบริหารจัดการโรงแรมได้ง่ายขึ้น ด้วยโซลูชันที่รวมมาให้ครบ ได้แก่ ระบบการบริหารจัดการห้องพัก ระบบการบริหารช่องทางการขายและการตั้งราคา ระบบการบริหารจัดการประสบการณ์ลูกค้า นอกจากนี้ยังเป็นการเพิ่มศักยภาพในการแข่งขันรับโอกาสการเติบโตของธุรกิจท่องเที่ยวไทย เพราะประเทศไทยเป็นหนึ่งในแลนด์มาร์คสำคัญของนักท่องเที่ยวต่างชาติ โดยปี 2568 คาดว่าจะมีนักท่องเที่ยวต่างชาติเที่ยวไทยจำนวน 37.5 ล้านคน

นายพิพิธ เอนกนิธิ ผู้จัดการใหญ่ ธนาคารกสิกรไทย เปิดเผยว่า ธุรกิจท่องเที่ยวมีส่วนสำคัญต่อเศรษฐกิจประเทศ และมีจำนวนนักท่องเที่ยวต่างชาติเติบโตต่อเนื่อง โดยปี 2568 คาดว่าจะมีรายได้จากนักท่องเที่ยวต่างชาติสูงถึง 1.78 ล้านล้านบาท ซึ่งจากสถิติปี 2567 พบว่าการจ่ายค่าที่พักทั้งคนไทยเที่ยวไทยและต่างชาติประมาณ 950,000 ล้านบาท โดยส่วนใหญ่เป็นการพักกับโรงแรมขนาดใหญ่มีเพียง 37% ของค่าที่พักที่ใช้จ่ายกับโรงแรมขนาดกลางและขนาดเล็ก ทั้งนี้ ตลอดช่วงเวลาที่ผ่านมาธนาคารกสิกรไทยให้การสนับสนุนธุรกิจท่องเที่ยวมาโดยตลอด ทั้งด้านการเงิน ช่องทางการขาย Voucher และการโปรโมต จนมาถึงครั้งนี้ซึ่งเป็นการสนับสนุนให้ผู้ประกอบการเข้าถึงเทคโนโลยี เพื่อเพิ่มศักยภาพในการแข่งขัน ด้วยการพัฒนา KONCIERGE+ ที่เปิดตัวในวันนี้ เป็นแพลตฟอร์มแรกที่รวมโซลูชันเพื่อธุรกิจโรงแรมแบบครบวงจร ซึ่งธุรกิจที่ใช้ KONCIERGE+ จะได้ประโยชน์ในการเข้าถึงเทคโนโลยีที่ตอบโจทย์ธุรกิจได้ง่ายขึ้น ไม่ต้องเสียเวลาค้นหา ลดต้นทุน และเพิ่มรายได้จากการใช้เทคโนโลยีในการบริหารจัดการโรงแรม
ด้านนายเทียนประสิทธิ์ ไชยภัทรานันท์ นายกสมาคมโรงแรมไทย กล่าวเพิ่มเติมว่า อุตสาหกรรมท่องเที่ยวมีโอกาสในการเติบโตอีกมาก ปัจจุบันโรงแรมในไทยมีกว่า 16,000 โรงแรม แต่อุปสรรคที่ทำให้โรงแรมยังไม่เติบโตได้เท่าที่ควร ได้แก่ 1) การที่โรงแรมมีการทำการตลาดและการตั้งราคาที่ยังเป็นการตั้งราคาคงที่ ไม่ได้มีการปรับเปลี่ยนให้เหมาะสมกับสถานการณ์ 2) ขาดการทำการตลาดเพื่อสร้างภาพลักษณ์ของตัวเอง 3) หลังโควิดมี Demand ของนักท่องเที่ยวมากขึ้น แต่จำนวนพนักงานที่น้อยลง ทำให้หลายโรงแรมเกิดปัญหาขาดคนทำงาน จนอาจทำให้ประสิทธิภาพการบริการน้อยลง และ 4) การเข้าถึงเทคโนโลยีต่าง ๆ มีอย่างจำกัด ทำให้ประสิทธิภาพการบริหารจัดการไม่ดี การพัฒนา KONCIERGE+ ที่เปิดตัวในวันนี้สมาคมโรงแรมไทยมีความยินดีอย่างยิ่งที่ธนาคารกสิกรไทยเล็งเห็นความสำคัญของอุตสาหกรรมโรงแรม และได้สร้างแพลตฟอร์มนี้ขึ้นมาเพื่อเป็นทางเลือกให้กับธุรกิจโรงแรมผลักดันให้ทำธุรกิจได้อย่างแข็งแกร่ง และที่สำคัญแพลตฟอร์มนี้ยังเป็นของคนไทย ซึ่งสมาคมโรงแรมไทยเห็นด้วยอย่างยิ่งที่จะมีการสนับสนุนให้โรงแรมเข้าถึงเทคโนโลยีต่าง ๆ เพื่อเพิ่มศักยภาพในการแข่งขัน แล้วยังช่วยให้ธุรกิจลดต้นทุน สร้างภาพลักษณ์ที่ดี และที่สำคัญเป็นช่วยให้สร้างประสิทธิภาพในการบริการเนื่องจากบุคลากรที่ขาดแคลนในปัจจุบัน

KONCIERGE+ เป็นแพลตฟอร์มแรกที่รวมโซลูชันการจัดการธุรกิจโรงแรมแบบครบวงจร ซึ่งจะช่วยลดต้นทุน เพิ่มรายได้ และเพิ่มศักยภาพการแข่งขันให้กับธุรกิจโรงแรมขนาด SME โดยมีโซลูชันดังนี้
ระบบการจัดการพื้นฐาน ได้แก่
ระบบจัดการการขาย ได้แก่
ระบบบริหารจัดการประสบการณ์ลูกค้า ได้แก่
นายพิพิธ กล่าวทิ้งท้ายว่า แม้ว่าธุรกิจท่องเที่ยวโดยภาพรวมมีแนวโน้มเติบโต แต่ธุรกิจโรงแรมขนาด SME ยังเผชิญกับปัญหาในหลายด้าน ซึ่งธนาคารหวังว่าการนำเทคโนโลยีเข้ามาช่วยบริหารจัดการโรงแรมผ่าน KONCIERGE+ จะช่วยให้ธุรกิจ SME สามารถคว้าโอกาสทางธุรกิจได้เพิ่มมากขึ้น ลดต้นทุน เพิ่มรายได้ รวมถึงการสร้างกำไรที่เพิ่มขึ้น เพื่อการเติบโตอย่างมั่นคงและยั่งยืน
เดอะวิสดอมกสิกรไทย จัดงานสัมมนาใหญ่ด้านการเงิน “Wealth Forum Thailand 2025” ในหัวข้อ “The New Frontiers of Investment Opportunity” ผ่านมุมมองของผู้เชี่ยวชาญด้านเศรษฐกิจ การเงินและการลงทุน นำโดย K Wealth ร่วมด้วยพันธมิตรระดับโลก J.P. Morgan Asset Management และ Lombard Odier ระบุเศรษฐกิจโลก ปี 2025 เตรียมรับแรงกระแทกจากนโยบายยุคทรัมป์ 2.0 โดยเฉพาะมาตรการกำแพงภาษีที่พุ่งเป้าที่จีน มหาอำนาจเศรษฐกิจโลก สัญญาณสงครามการค้าขยายแนวรบ แนะกระจายความเสี่ยง ขยายพอร์ตลงทุนให้น้ำหนักหุ้นโลก โดยเฉพาะหุ้นสหรัฐฯ และหุ้นญี่ปุ่น ที่มีสัญญาณที่ดี พร้อมเสริมแกร่งด้วยกองทุนตราสารหนี้

ดร. พิพัฒน์พงศ์ โปษยานนท์ ผู้จัดการใหญ่ ธนาคารกสิกรไทย กล่าวว่า “ หลังจากพิธีสาบานตนเข้ารับตำแหน่งในวันที่ 20 มกราคม 2025 คาดว่าจะเห็นนโยบายเร่งด่วนใน 100 วันแรก ของโดนัล ทรัมป์ เช่น นโยบายการลดเงินสนับสนุนทางทหารกับชาติพันธมิตร นโยบายกีดกันผู้อพยพเข้าเมือง นโยบายด้านพลังงาน รวมถึงการลดภาษี ซึ่งโดยรวมแล้วจะสร้างแรงกดดันเงินเฟ้อให้กับเศรษฐกิจสหรัฐฯ จากต้นทุนการนำเข้าที่เพิ่มขึ้น ค่าจ้างแรงงานที่สูงขึ้น รวมถึงการขาดดุลการคลังที่สูงขึ้น ซึ่งแนวโน้มเงินเฟ้อที่สูงขึ้น จะทำให้ภาพเศรษฐกิจสหรัฐฯ ที่คาดว่าจะดีขึ้นตามนโยบายของทรัมป์ยังมีความไม่แน่นอนอยู่
“สงครามการค้าจะสร้างความเสี่ยงต่อเศรษฐกิจในฝั่งเอเชียรวมถึงไทยอย่างมากจากการขึ้นภาษีนำเข้าของสหรัฐฯ การตอบโต้ทางการค้าไปมา การปรับเปลี่ยนห่วงโซ่อุปทานโลก ซึ่งจะส่งผลกระทบทางลบจากโอกาสทางการค้าที่หายไป นอกจากนี้ การปรับขึ้นภาษีนำเข้าสินค้าจีนอีก 60% จะส่งผลกระทบทางอ้อมให้ประเทศต่างๆ ต้องเผชิญการไหลบ่าเข้ามาของสินค้านำเข้าจากจีนที่ได้เปรียบด้านราคา ซึ่งจะส่งผลกระทบอีกต่อหนึ่งต่อภาคการผลิตในแต่ละประเทศ”
สำหรับเศรษฐกิจไทย นอกจากจะเผชิญความไม่แน่นอนของเศรษฐกิจโลกแล้ว สงครามการค้าจะเป็นความเสี่ยงสำคัญต่อเศรษฐกิจไทยในระยะข้างหน้า จากการที่สหรัฐฯ ขาดดุลการค้ากับไทยเป็นอันดับที่ 12 ของคู่ค่าทั้งหมดของสหรัฐฯ ซึ่งเป็นความเสี่ยงต่อสินค้าส่งออกไทยที่จะเจอภาษีสินค้านำเข้าไปยังสหรัฐฯ ที่สูงขึ้น หรือไทยอาจจะต้องเปิดตลาดนำเข้าสินค้าจากสหรัฐฯ มากขึ้น ซึ่งโดยรวมแล้วเป็นปัจจัยลบต่อทิศทางดุลการค้าของไทยในระยะข้างหน้าให้เกินดุลได้ลดลง

นโยบายยุค “ทรัมป์ 2.0” กระทบเศรษฐกิจ การค้าโลก และเงินเฟ้อ
มุมมองจาก Ms. Jin Yuejue Managing Director, Asia Head of the Investment Specialist Multi-Asset Solution group จาก J.P. Morgan Asset Management เห็นว่า "เศรษฐกิจโลกสดใสขึ้น แต่ยังมีหมอกปกคลุม" ด้วยความเสี่ยงที่ซ่อนอยู่จาก “นโยบายทรัมป์ 2.0” หากทำให้เงินเฟ้อสหรัฐกลับมาสูงขึ้น โอกาสที่เฟดลดดอกเบี้ยในปีหน้า จำนวนครั้งลดลงจากที่ตลาดคาด ทำให้ราคาสินทรัพย์ผันผวนได้
Mr. Homin Lee, Senior Macro Strategist จาก Lombard Odier มองว่า การกลับมาดำรงตำแหน่งประธานาธิบดีของทรัมป์ ท่ามกลางความผันผวนที่เพิ่มขึ้น แต่ในความเสี่ยงต่างๆ ยังมีโอกาส ใช้เป็นจังหวะในการลงทุนได้เช่นกัน
โดยทั้งสองเห็นสอดคล้องกันว่า นโยบายของโดนัล ทรัมป์ ในหลายนโยบายอาจจะไม่ง่ายนักต่อการดำเนินการเนื่องจากจะส่งผลกระทบต่อสหรัฐฯ ในหลายด้าน โดยเห็นว่า มีนโยบายที่อาจจะส่งผลต่อเศรษฐกิจและการค้าโลก รวมถึงเงินเฟ้อ ได้แก่
แนะเพิ่มน้ำหนักพอร์ตในหุ้นโลก สหรัฐฯ และญี่ปุ่น ยังเป็นดาวรุ่ง
Mr. Homin Lee ให้คำแนะนำถึงหุ้นสหรัฐฯ และญี่ปุ่น ที่ยังส่งสัญญานบวกต่อเนื่อง ในขณะที่หุ้นยุโรปยังคงทรงตัว ตราสารหนี้ระดับลงทุน Investment Grade หรือหุ้นกู้ High Yield ที่มี Credit Rating ที่ดี นอกจากนี้การลงทุนทางเลือก (Alternative Investment) เช่น ทองคำ และอสังหาริมทรัพย์ในประเทศสวิสเซอร์แลนด์ เป็นต้น เป็นโอกาสการลงทุนที่ดีในช่วงเวลานี้

Ms. Jin Yuejue แนะว่า "เน้นกระจายสินทรัพย์ลงทุนทั้งหุ้นและตราสารหนี้ ปรับเพิ่มน้ำหนักหุ้นโลก เช่น หุ้นสหรัฐ ขนาดกลางและเล็ก กับหุ้นญี่ปุ่น และลดน้ำหนักหุ้นยุโรป พร้อมกับเพิ่มน้ำหนักในตราสารหนี้ เน้นที่มีคุณภาพสูง รวมถึงหุ้นกู้เอกชน"

เสริมแกร่งพอร์ต “โตกระจาย ไม่โตกระจุก” กระจายในหุ้นและตราสารหนี้ ทั้งไทยและต่างประเทศ
นายสรพล วีระเมธีกุล ผู้ช่วยกรรมการผู้จัดการ บมจ. หลักทรัพย์กสิกรไทย กล่าวว่า “ภาพรวมการลงทุนในปีหน้าของสหรัฐฯ จะกลับเข้าสู่ภาวะปกติสมดุล ซึ่งตราสารทุน หรือตลาดหุ้น ของทั้งฝั่งสหรัฐฯ ยังมีโอกาสที่จะไปต่อได้ มีการปรับตัวขึ้นของหุ้นสหรัฐอย่างต่อเนื่อง ซึ่งต้องกลับมามองที่ Valuation มากขึ้น เพราะตราบใดที่ความผันผวนยังคงอยู่ สิ่งที่จะช่วยให้เรารอดได้ คือ ความเหมาะสมของหุ้น ทั้งในตัวราคา และเป็นหุ้นที่มีคุณภาพ เติบโตได้ มีผลประกอบการที่ดี”
นายวจนะ วงศ์ศุภสวัสดิ์, CFA, รองกรรมการผู้จัดการ บลจ. กสิกรไทย กล่าวว่า “กองทุนรวมตราสารหนี้จะเป็นอีกหนึ่งทางเลือกที่ให้ผลตอบแทนที่ดี และบริหารความเสี่ยงได้เป็นอย่างดี รวมถึงยืดอายุการถือครองตราสารหนี้เพิ่มขึ้นเป็น 12 เดือน เพื่อสร้างผลตอบแทนที่สม่ำเสมอในระยะยาว และลดความผันผวนของพอร์ตด้วย”
ด้านนายวีระพล บดีรัฐ ผู้ช่วยผู้จัดการใหญ่ ธนาคารกสิกรไทย กล่าวว่า “การจัดสรรพอร์ตการลงทุน แนะนำแบ่งเป็น พอร์ตหลัก (Core Portfolio) ลงทุนระยะยาว แบ่งสัดส่วนไว้ 70% ลงทุนในหุ้นทั่วโลก เช่น หุ้นสหรัฐฯ และหุ้นญี่ปุ่น หรือกองทุนผสม K-WealthPLUS Series โดยอีก 30% เป็นพอร์ตเสริม (Satellite Portfolio) เช่น กองทุน K-FIXEDPLUS

K WEALTH แนะนำกองทุนที่น่าสนใจ
คำเตือน: ผู้ลงทุนโปรดทำความเข้าใจลักษณะสินค้า เงื่อนไขผลตอบแทน และความเสี่ยงก่อนตัดสินใจลงทุน โดยศึกษานโยบายกองทุน ความเสี่ยงได้ที่หนังสือชี้ชวน และ ข้อมูลเพิ่มเติม www.kasikornasset.com
นายวิน พรหมแพทย์, CFA, ประธานกรรมการบริหาร บลจ.กสิกรไทย เป็นหนึ่งในสมาชิกบริษัทจัดการลงทุน 16 แห่ง ที่เข้าร่วมงาน “แถลงความพร้อมของอุตสาหกรรมและเปิดตัวกองทุน ThaiESG ปี 2567” จัดโดยสมาคมบริษัทจัดการลงทุน โดยมีวัตถุประสงค์เพื่อแสดงความพร้อมเสนอขายกองทุน ThaiESG ในช่วงเทศกาลลดหย่อนภาษีส่งท้ายปี และพร้อมให้การสนับสนุนธุรกิจที่มุ่งสร้างความยั่งยืนให้กับประเทศไทย ทั้งนี้ บลจ.กสิกรไทย ครองส่วนแบ่งตลาดเป็นอันดับ 1 ในกลุ่มกองทุน ThaiESG ด้วยมูลค่าสินทรัพย์ภายใต้การบริหารจัดการ (AUM) รวมกว่า 2,694.34 ล้านบาท (ข้อมูล ณ ต.ค. 67) โดยกองทุน K-TNZ-ThaiESG เป็นกองทุนแรกของไทยที่มีเป้าหมายสนับสนุนการลดการปล่อยก๊าซเรือนกระจก และประสบความสำเร็จเป็นอย่างมาก การันตีได้จากขนาดกองทุนที่ใหญ่ที่สุด และเป็นกองทุน ThaiESG ที่สร้างผลตอบแทนได้สูงที่สุด ในขณะที่กองทุน K-ESGSI-ThaiESG ได้รับเสียงตอบรับที่ดีจากผู้ลงทุนเช่นกัน ด้วยขนาดกองทุนใหญ่เป็นอันดับ 2 ในกลุ่มกองทุน ThaiESG ตราสารหนี้ นอกจากนี้ บลจ.กสิกรไทย เตรียมเปิดเสนอขายกองทุนผสม ThaiESG เร็วๆ นี้ ที่เน้นลงทุนทั้งในหุ้นและตราสารหนี้ เพื่อเป็นทางเลือกให้กับผู้ลงทุนที่รับความเสี่ยงได้ปานกลาง และสร้างโอกาสรับผลตอบแทนได้ในทุกสภาวะตลาดจากการลงทุนในสินทรัพย์หลากหลายประเภท