กรมพัฒนาธุรกิจการค้า จับมือ กรมสรรพากร และสภาวิชาชีพบัญชี ช่วยเหลือเอสเอ็มอีไทย กรณีเคยนำส่งงบการเงินและยื่นแบบภาษีอากรผิดพลาด ไม่ต้องกลัวเสียค่าปรับ-จ่ายเงินเพิ่ม หรือมีความผิดทางอาญา โดยให้ลงทะเบียนขอยกเว้นเบี้ยปรับฯ กับกรมสรรพากร พร้อมชำระเงินภาษีอากรส่วนขาดให้ครบทั้งจำนวน ภายในวันที่ 30 มิถุนายน 2562 สำหรับงบการเงินฉบับแก้ไขให้นำส่งต่อกรมพัฒนาธุรกิจการค้าทาง DBD e-Filing ...เพียงเท่านี้ ก็สามารถดำเนินธุรกิจต่อไปได้อย่างราบรื่น เชื่อ!! แสดงข้อมูลอย่างโปร่งใส่ สบายใจทั้งรัฐและเอกชน

นายวุฒิไกร ลีวีระพันธุ์ อธิบดีกรมพัฒนาธุรกิจการค้า กระทรวงพาณิชย์ เปิดเผยว่า “ขณะนี้ กรมพัฒนาธุรกิจการค้า ร่วมกับ กรมสรรพากร และสภาวิชาชีพบัญชี ได้ออกมาตรการช่วยเหลือผู้ประกอบการเอสเอ็มอีของไทย กรณีเคยนำส่งงบการเงินและยื่นแบบภาษีอากรผิดพลาด โดยไม่ต้องเสียค่าปรับ-จ่ายเงินเพิ่ม หรือ มีความผิดทางอาญา ภายใต้ พ.ร.บ. ยกเว้นเบี้ยปรับ เงินเพิ่มภาษีอากร และความผิดทางอาญา เนื่องจากทั้ง 3 หน่วยงาน เข้าใจถึงสภาพการที่แท้จริงของเอสเอ็มอีว่ายังขาดความรู้ความเข้าใจในการจัดทำบัญชีที่ถูกต้องตามหลักการบัญชีและส่งผลให้ชำระภาษีไม่ครบถ้วนซึ่งอาจได้รับโทษทางแพ่งและอาญา ดังนั้น เพื่อให้ผู้ประกอบการสามารถดำเนินกิจการได้อย่างต่อเนื่องและมีประสิทธิภาพ รวมทั้ง ช่วยบรรเทาภาระแก่ผู้ประกอบการที่ชำระภาษีอากรไว้ไม่ถูกต้อง จึงได้ร่วมกันออกมาตรการฯ ดังกล่าวขึ้น”

“ผู้ประกอบการที่จะเข้าร่วมมาตรการฯ ต้องมีคุณสมบัติดังนี้ (1) เป็นนิติบุคคลที่เสียภาษีจากกำไรสุทธิ มีรายได้ทางภาษี ไม่เกิน 500 ล้านบาท สำหรับรอบระยะเวลาบัญชีสุดท้ายที่ครบ 12 เดือน ซึ่งสิ้นสุดก่อนหรือในวันที่ 30 กันยายน 2561  (2) ได้ยื่นแบบภาษีเงินได้ (ภ.ง.ด.50) ของรอบบัญชีที่สิ้นสุดก่อนหรือในวันที่ 30 กันยายน 2561 ภายในวันที่ 25 มีนาคม 2562 (3) ไม่เป็นผู้ออก/ผู้ใช้ใบกำกับภาษีปลอมที่กรมสรรพากรได้ร้องทุกข์ต่อพนักงานสอบสวนแล้วก่อนวันที่ พ.ร.บ.ฯ บังคับใช้ (25 มีนาคม 2562)”

อธิบดีฯ กล่าวต่อว่า “สำหรับบริษัทหรือห้างหุ้นส่วนนิติบุคคลที่มีคุณสมบัติดังกล่าวข้างต้นที่จะได้รับการยกเว้นเบี้ยปรับหรือเงินเพิ่มและได้รับการยกเว้นความผิดทางอาญา ต้องดำเนินการดังนี้ (1) ลงทะเบียนต่อกรมสรรพากร (www.rd.go.th) และยื่นแบบแสดงรายการภาษีอากรทุกประเภท พร้อมทั้งชำระภาษีให้ครบถ้วนทั้งจำนวน ภายในวันที่ 30 มิถุนายน 2562 (2) ดำเนินการแก้ไขปรับปรุงงบการเงินให้ถูกต้อง และ (3) ยื่นแบบภาษีอากรทุกประเภทผ่านระบบ e-Filing ของกรมสรรพากรต่อไปอีก 1 ปี (1 กรกฎาคม 2562 ถึง 30 มิถุนายน 2563)”

“สำหรับแนวทางการปรับปรุงงบการเงิน ทั้ง 3 หน่วยงาน ได้ร่วมกันจัดทำตัวอย่างประกอบความเข้าใจ เช่น กรณีตรวจพบว่าสินค้าในบัญชีสูงหรือต่ำกว่าความเป็นจริง กรณีลูกหนี้หรือเจ้าหนี้กรรมการไม่มีจริง กรณีที่ดินหรือสินทรัพย์อื่นที่เป็นกรรมสิทธิ์ของกิจการแต่ไม่เคยบันทึกบัญชีไว้ เป็นต้น โดยเผยแพร่ผ่านเว็บไซต์ของสภาวิชาชีพบัญชี www.tfac.or.th หัวข้อ ข่าวสารสภาวิชาชีพบัญชี หัวข้อย่อย “ตัวอย่างเพื่อประกอบความเข้าใจในการปรับปรุงบัญชีเพื่อแก้ไขข้อผิดพลาด” ซึ่งเมื่อได้ปรับปรุงงบการเงินแล้ว หากมีความประสงค์จะนำส่งงบการเงินฉบับใหม่ทดแทนฉบับเดิมที่มีข้อผิดพลาด กรมพัฒนาธุรกิจการค้าได้เปิดช่องทาง Fast Track อำนวยความสะดวกให้แก่ผู้ประกอบการ โดยดำเนินการดังนี้ (1) แจ้งความประสงค์ขอแก้ไขและนำส่งงบการเงินฉบับใหม่ผ่าน Google Forms : https://forms.gle/Pg74RUXh4 rNu4uEh8 พร้อมแนบหลักฐานการลงทะเบียนกับกรมสรรพากร (2) เมื่อเจ้าหน้าที่ตรวจสอบข้อมูลแล้วจะแจ้งการเปิดสิทธิให้สามารถส่งงบการเงินฉบับใหม่ ผ่านทาง DBD e-Filing ของกรมพัฒนาธุรกิจการค้า (3) เมื่อผู้ประกอบการส่งงบการเงินฉบับใหม่เรียบร้อยแล้ว เจ้าหน้าที่จะอนุมัติให้แบบเร่งด่วน ทั้งนี้ ช่องทาง Fast Track จะเปิดให้บริการถึงวันที่ 31 กรกฎาคม 2562 เท่านั้น หากพ้นกำหนดดังกล่าวแล้ว ให้แจ้งความประสงค์เป็นหนังสือไปยังกองข้อมูลธุรกิจ กรมพัฒนาธุรกิจการค้า”

อธิบดีฯ กล่าวทิ้งท้ายว่า “มาตรการภาครัฐดังกล่าว จะช่วยสร้างความโปร่งใสและยกระดับธรรมาภิบาลให้แก่ภาคธุรกิจได้เป็นอย่างดี ทำให้ภาคธุรกิจมีความน่าเชื่อถือสามารถดำเนินธุรกิจได้อย่างราบรื่น และสอดคล้องกับสภาพที่แท้จริงของกิจการ และที่สำคัญจะทำให้ธุรกิจสามารถเข้าถึงแหล่งเงินทุนจากสถาบันการเงินได้สะดวก รวดเร็ว ทำให้ธุรกิจเติบโตอย่างมั่นคงและยั่งยืนต่อไปในอนาคต”

สอบถามรายละเอียดเพิ่มเติมเกี่ยวกับการได้รับการยกเว้นเบี้ยปรับ หรือเงินเพิ่มภาษีอากร ได้ที่กรมสรรพากร สายด่วน 1161 www.rd.go.th และการนำส่งงบการเงินผ่าน DBD e-Filing ได้ที่กรมพัฒนาธุรกิจการค้า กองข้อมูลธุรกิจ 0 2547 4377, 0 547 4390-91 e-Mail: This email address is being protected from spambots. You need JavaScript enabled to view it. หรือ สายด่วน 1570

นางอมรรัตน์ ชาญปรีชญา หัวหน้าส่วนงานประชาสัมพันธ์ บริษัท แอดวานซ์ อินโฟร์ เซอร์วิส จำกัด (มหาชน) หรือเอไอเอส กล่าวว่า “เนื่องในโอกาสพระราชพิธีบรมราชาภิเษก พุทธศักราช ๒๕๖๒ อันถือเป็นวาระมหามงคลนี้ ในฐานะภาคเอกชนและพสกนิกรไทย ขอร่วมถวายความจงรักภักดี โดยได้ร่วมเป็นส่วนหนึ่งในการเตรียมความพร้อม เพื่ออำนวยความสะดวกให้แก่ประชาชนที่จะมาเฝ้าทูลละอองธุลีพระบาทถวายพระพรชัยมงคล  รวมถึงสนับสนุนการทำงานของภาครัฐ เพื่อให้การจัดงานในครั้งนี้เป็นไปอย่างราบรื่นและสมพระเกียรติมากที่สุด

การอำนวยความสะดวกประชาชน

วันที่ 5 พฤษภาคม 2562 : ร่วมกับ กองอำนวยการร่วมพระราชพิธีบรมราชาภิเษก อำนวยความสะดวก
แก่ประชาชนที่จะเดินทางมาร่วมถวายพระพรชัยมงคล โดย จัดรถ Shuttle Bus ให้บริการรับ/ส่งฟรี ระหว่างเวลา 08.00-24.00 น. ณ 6 จุดพักคอย ที่กองอำนวยการร่วมฯ กำหนดไว้ ประกอบด้วย สะพานพระรามแปด, สะพานสมเด็จพระปิ่นเกล้า, บ้านพิษณุโลก, บ้านมนังคศิลา, วัดเทพศิรินทร์, สนามม้านางเลิ้ง ไปส่ง ณ จุดคัดกรอง

วันที่ 6 พฤษภาคม 2562 : เปิดให้บริการ Free WiFi สำหรับลูกค้าโทรศัพท์มือถือทุกเครือข่าย เพื่อให้ประชาชนและเจ้าหน้าที่สื่อสารได้อย่างไม่ติดขัด โดยสามารถใช้งานได้ง่ายๆ เพียงกดค้นหาสัญญาณ WiFi และเลือกใช้งาน Free WiFi by AIS จากนั้น ลงทะเบียนด้วยหมายเลขประจำตัวประชาชน โดยมีพื้นที่ให้บริการครอบคลุมบริเวณเสด็จออก ณ สีหบัญชร พระที่นั่งสุทไธสวรรย์ปราสาท และบริเวณพื้นที่โดยรอบงานพระราชพิธีบรมราชาภิเษก ครอบคลุมพื้นที่แยกกัลยาณไมตรี ถนนสนามไชย
ถึงแยกท้ายวัง ตลอดจนบริเวณสะพานช้างโรงสี ไปจนถึงบริเวณสะพานมอญ

นอกจากนี้ ยังได้ขยายเครือข่ายมือถือให้สามารถรองรับการใช้งานได้มากกว่า 5 เท่าในบริเวณรอบเกาะรัตนโกสินทร์ ซึ่งคาดว่าจะเป็นจุดที่ประชาชนเดินทางเข้ามาร่วมงานเป็นจำนวนมากอีกด้วย

การสนับสนุนภาครัฐ

  • สนับสนุนโทรศัพท์เคลื่อนที่ 400 เครื่องพร้อมซิมการ์ดและแพ็กเกจใช้งาน ให้กองอำนวยการร่วม
    พระราชพิธีบรมราชาภิเษก ใช้งาน ณ จุดคัดกรอง ตลอดช่วงงานพระราชพิธี
  • สนับสนุนโทรศัพท์เคลื่อนที่ 100 เครื่องพร้อมซิมการ์ดและแพ็กเกจใช้งาน ให้สำนักปลัดสำนักนายกรัฐมนตรีใช้ในการสื่อสาร ประสานงาน ตลอดช่วงงานพระราชพิธี
  • สนับสนุนน้ำดื่มจำนวน 100,000 ขวด เพื่อมอบให้แก่ประชาชนที่เข้าร่วมงานพระราชพิธี
    บรมราชาภิเษก

พร้อมกันนี้ ยังได้ตกแต่งซุ้มเฉลิมพระเกียรติเนื่องในพระราชพิธีบรมราชาภิเษก พุทธศักราช ๒๕๖๒ บริเวณหน้าอาคารเอไอเอสทาวเวอร์ 1 รวมถึงประดับตกแต่งธงตราสัญลักษณ์พระราชพิธีบรมราชาภิเษกและเครื่องราชสักการะ ณ สำนักงานเอไอเอส และศูนย์บริการทั่วประเทศ เพื่อแสดงออกถึงการรวมใจเป็นหนึ่งของชาวเอไอเอสในการแสดงพลังแห่งความจงรักภักดี

นายสาระ ล่ำซำ กรรมการผู้จัดการและประธานเจ้าหน้าที่บริหาร บริษัท เมืองไทยประกันชีวิต จำกัด (มหาชน) เปิดเผยว่าบริษัทฯ ดำเนินธุรกิจควบคู่ไปกับพันธกิจในการส่งมอบความสุขและรอยยิ้มให้แก่สังคม ผ่านกิจกรรมเพื่อสังคมต่างๆ โดยล่าสุด ได้นำทีมผู้บริหาร พนักงาน นักศึกษา ชาวบ้าน และสื่อมวลชนลงพื้นที่บ้านนาโหนด ต.กำแพงเซา อ.เมือง และบ้านในถุ้ง ต.ท่าศาลา อ.ท่าศาลา จ.นครศรีธรรมราช จัดโครงการ “ส่งความสุข และรอยยิ้มสู่ชุมชน#happysharing”  เพื่อฟื้นฟูและซ่อมแซมอาคาร สถานที่ต่างๆ ที่ได้รับผลกระทบจากเหตุการณ์ภัยธรรมชาติพายุปาบึก

นอกจากนี้ บริษัทฯ ยังได้จัดกิจกรรมเพื่อพัฒนาคุณภาพชีวิต และส่งเสริมการเรียนรู้ให้กับชุมชนเพิ่มเติม อาทิ การตรวจสุขภาพให้กับคนในชุมชน และการจัดกิจกรรมให้ความรู้เสริมรายได้แก่ชุมชน เรื่องการเพาะเห็ด อีกทั้งยังได้ลงเรือปล่อยลูกปูม้า เพื่อเป็นการช่วยขยายพันธุ์ปูและทำซั้งสร้างบ้านปลา ให้เป็นแหล่งที่อยู่ของเหล่าสัตว์น้ำทะเลขนอน จ.นครศรีธรรมราช ต่อไป

ลอรีอัล ประเทศไทย เดินหน้าขยาย “โครงการ บิวตี้ ฟอร์ อะ เบทเทอร์ ไลฟ์” (Beauty For a Better Life) หรือโครงการหลักสูตรฝึกทักษะอาชีพเสริมสวยเพื่อพัฒนาคุณภาพชีวิต ในจังหวัดเชียงใหม่ โดยมุ่งช่วยให้ผู้ขาดโอกาสทางสังคมได้รับโอกาสในการสร้างอาชีพช่างผม เพื่อสามารถสร้างรายได้เลี้ยงตนเองและจุนเจือครอบครัว และสร้างคุณค่าในตัวเอง

โครงการ Beauty For a Better Life เป็นโครงการที่ก่อตั้งและกำกับดูแลโดยมูลนิธิลอรีอัล ซึ่งมีการดำเนินโครงการในกว่า 20 ประเทศทั่วโลก โดยโครงการนี้ มอบหลักสูตรฝึกทักษะอาชีพช่างผมมืออาชีพที่มีคุณภาพสูง ฝึกสอนโดยผู้เชี่ยวชาญ ให้แก่ผู้ขาดโอกาส โดยไม่เสียค่าใช้จ่าย เพื่อให้สามารถนำมาประกอบอาชีพได้จริง หลักสูตรใช้ระยะเวลา 15 สัปดาห์ รวม 516 ชั่วโมง ผู้เข้าฝึกอบรมได้เรียนรู้ทักษะทั้งภาคทฤษฎีและปฏิบัติ เทคนิคและศาสตร์ของการทำผมจากผู้เชี่ยวชาญ หลักสูตรการสอนครอบคลุมถึงการฝึกทักษะการสระไดร์ การตัดผม การดัด และทำสีผม เพื่อจะนำมาพัฒนาฝีมือตนเองและสร้างความมั่นคงทางด้านอาชีพช่างผมมืออาชีพอย่างยั่งยืน

สำหรับโครงการ Beauty For a Better Life ในจังหวัดเชียงใหม่ ลอรีอัล ประเทศไทย ได้ร่วมมือกับ 65 แฮร์สตูดิโอ เป็นพันธมิตรในการดำเนินโครงการฯ โดยเริ่มการอบรมนักเรียนรุ่นที่ 1 ในวันที่ 29 เมษายน 2562 ด้วยจำนวนนักเรียน 15 คนต่อรุ่น โดยศูนย์ฝึกอบรมหลักสูตร Beauty For a Better Life จัดขึ้นที่ 65 แฮร์สตูดิโอ สาขาถนนนิมมาน จังหวัดเชียงใหม่ ผู้ที่ผ่านการอบรมหลักสูตรจะได้รับวุฒิบัตรที่ได้รับการรับรองจาก ลอรีอัล ประเทศไทย และ 65 แฮร์สตูดิโอ

นางสาวอรอนงค์ ประทักษ์พิริยะ ผู้อำนวยการฝ่ายสื่อสารองค์กรและองค์กรสัมพันธ์ บริษัท ลอรีอัล (ประเทศไทย) จำกัด กล่าวว่า “เรามุ่งมั่นในการเป็นพลเมืองบรรษัทที่ดี และร่วมสนับสนุนและแบ่งปันสิ่งดีๆ แก่ชุมชนที่เราดำเนินธุรกิจ ในฐานะผู้เชี่ยวชาญด้านความงาม เราต้องการส่งมอบความรู้และทักษะช่างผมมืออาชีพมาตรฐานระดับโลก เพื่อให้ผู้ขาดโอกาส ที่มีความมุ่งมั่นสามารถฝึกฝนเพื่อนำไปประกอบอาชีพ มีรายได้มั่นคง สามารถดูแลตนเองและครอบครัว และประสบความสำเร็จในเส้นทางอาชีพช่างผมต่อไป ”

นายปิตพุทธินันท์ ชัยเดช ผู้บริหาร 65 แฮร์สตูดิโอ กล่าวว่า “เรารู้สึกยินดีเป็นอย่างยิ่งที่ได้ร่วมมือกับลอรีอัล ในการเปิดโครงการฯ ที่จังหวัดเชียงใหม่ ก่อนที่จะประสบความสำเร็จในการทำ 65 แฮร์สตูอิโอนั้น โดยส่วนตัวแล้วเป็นคนหนึ่งที่เคยได้รับโอกาสมาก่อน จึงเห็นความสำคัญของโอกาสเป็นอย่างมาก และเมื่อประสบความสำเร็จถึงจุดนึงแล้ว เราจึงอยากส่งต่อโอกาสเพื่อช่วยเหลือผู้อื่น ทีมงานและคณะอาจารย์ 65 แฮร์สตูอิโอ มีความตั้งใจเป็นอย่างยิ่งที่จะให้ความรู้และทักษะแก่ผู้เข้าร่วมอย่างเต็มที่ และหวังว่าจะสามารถช่วยผลักดันให้ผู้เข้าร่วมทุกคนประสบความสำเร็จ”

ในประเทศไทยปัจจุบันมีการดำเนินโครงการหลักสูตรฝึกทักษะอาชีพเสริมสวยเพื่อพัฒนาคุณภาพ ในจังหวัดกรุงเทพฯ ที่ร่วมมือกับสถาบันนักออกแบบทรงผมเรืองฤทธิ์ โดยในปีที่ผ่านมา มีผู้จบหลักสูตรไปแล้วกว่า 4 รุ่น เป็นจำนวน 43 คน ซึ่งแต่ละคนก็ได้นำเอาความรู้ความสามารถที่ได้รับจากโครงการฯ ไปต่อยอดสร้างอาชีพช่างผมได้อย่างประสบความสำเร็จ  ผู้ที่สนใจสมัครสอบถามข้อมูลเพิ่มเติมได้ที่สาขากรุงเทพฯ โทร. 063-329-9464 และ สาขาเชียงใหม่ โทร. 097-035-3103

บริษัท อลิอันซ์ เยอรมนี ผู้ถือหุ้นรายใหญ่ของอลิอันซ์ อยุธยา ประกันชีวิต และบริษัท ศรีอยุธยา แคปปิตอล จำกัด (มหาชน) (AYUD) ประสบความสำเร็จในการขยายความร่วมมือเชิงกลยุทธ์ในประเทศไทย มั่นใจเป็นบริษัทประกันที่แข็งแกร่ง มุ่งเน้นตอบสนองความต้องการด้านความคุ้มครองที่หลากหลายและเพิ่มมากขึ้นของลูกค้าในประเทศ อีกทั้งยังยกระดับการนำเสนอผลิตภัณฑ์ของอลิอันซ์ให้กับลูกค้าในภูมิภาคนี้อีกด้วย

การควบรวมกิจการจะช่วยให้เกิด:

  • การรวมบริษัทระหว่าง บริษัทอลิอันซ์ ประกันภัย จำกัด (มหาชน) และบริษัท ศรีอยุธยา เจนเนอรัล ประกันภัย จำกัด (มหาชน) กลายเป็นธุรกิจประกันภัยขนาดใหญ่ขึ้น พร้อมรับการเติบโตและนวัตกรรมในอนาคต
  • บริษัทหลัก ๆ ที่เกี่ยวข้องกับการประกันภัยจะอยู่ภายใต้แบรนด์ อลิอันซ์ อยุธยา ถือเป็นการสร้างแบรนด์ให้เด่นชัดมากขึ้นในตลาดภายในประเทศ ทั้งยังเป็นการส่งมอบประสบการณ์มาตรฐานเดียวกันให้กับลูกค้า
  • Allianz SE กลายเป็นผู้ถือหุ้นรายใหญ่ที่สุดใน AYUD

ความร่วมมือที่แนบแน่นของธุรกิจประกันชีวิตและธุรกิจประกันภัยในครั้งนี้ จะช่วยเพิ่มขนาดการลงทุนและสร้างนวัตกรรมในประเทศ ทั้งยังสร้างให้เกิดความมั่นใจว่าพันธมิตรจะร่วมกันกระตุ้นการเติบโตและส่งมอบมูลค่าที่เพิ่มมากขึ้นให้กับลูกค้าในประเทศไทย

ในการควบรวมกิจการครั้งนี้ AYUD จะเปลี่ยนชื่อเป็น Allianz Ayudhya Capital PCL แต่ยังคงจดทะเบียนในตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทย ภายใต้ชื่อ AYUD นอกจากนี้ ศรีอยุธยา เจนเนอรัล ประกันภัย (SAGI) จะเปลี่ยนชื่อเป็น อลิอันซ์ อยุธยา ประกันภัย จำกัด (มหาชน) (Allianz Ayudhya General Insurance PCL)

นายวีระพันธุ์ ทีปสุวรรณ ยังคงดำรงตำแหน่งประธานกรรมการบริษัท อลิอันซ์ อยุธยา แคปปิตอล จำกัด (มหาชน) มร.ไบรอัน สมิธ ดำรงตำแหน่งประธานและประธานเจ้าหน้าที่บริหาร บริษัท อลิอันซ์ อยุธยา แคปปิตอล จำกัด (มหาชน) และได้รับตำแหน่งใหม่เป็นผู้จัดการประจำประเทศไทยของอลิอันซ์ ดูแลภาพรวมการประกอบธุรกิจในประเทศไทย และยังคงดำรงตำแหน่งประธานกรรมการและประธานเจ้าหน้าที่บริหารของบริษัท อลิอันซ์ อยุธยา ประกันชีวิต จำกัด (มหาชน)  ซึ่งเป็นธุรกิจประกันชีวิต ขณะที่ มร.ลาร์ส ไฮบุทสกี้ ได้รับการแต่งตั้งเป็นประธานกรรมการและประธานเจ้าหน้าที่บริหารของบริษัท อลิอันซ์ อยุธยา ประกันภัย จำกัด (มหาชน)

มร.โซลมาซ อัลทิน รองประธานเจ้าหน้าที่บริหารของอลิอันซ์ประจำภาคพื้นเอเชียแปซิฟิก กล่าวว่า “วันนี้แสดงถึงความสำเร็จครั้งสำคัญสำหรับความมุ่งหวังในการเติบโตของอลิอันซ์ในประเทศไทยและภูมิภาคอื่นๆ ความสัมพันธ์ที่ใกล้ชิดมากยิ่งขึ้นระหว่างบริษัททั้งสองจะช่วยเพิ่มความร่วมมือ ความเชี่ยวชาญและส่งมอบข้อเสนอที่ดีขึ้นแก่ลูกค้าในประเทศ การเคลื่อนไหวเหล่านี้สะท้อนให้เห็นถึงความพยายามเชิงกลยุทธ์ที่เรากำลังดำเนินการทั่วภูมิภาคเอเชีย และเรามั่นใจในอนาคตข้างหน้า”

นายวีระพันธุ์ ทีปสุวรรณ ประธานกรรมการบริษัท อลิอันซ์ อยุธยา แคปปิตอล จำกัด (มหาชน) กล่าวว่า “เรามั่นใจว่าการสร้างความร่วมมือทางธุรกิจที่ใกล้ชิดกันมากขึ้นเป็นการตัดสินใจที่ถูกต้องที่จะทำให้การนำเสนอผลิตภัณฑ์แก่ลูกค้าในประเทศไทยก้าวไปอีกขั้นหนึ่ง จะเป็นผลดีในอนาคตต่อผู้มีส่วนได้ส่วนเสียทั้งหมดที่เกี่ยวข้องกับบริษัท และเราหวังเป็นอย่างยิ่งว่าความเป็นเอกภาพที่ใกล้ชิดกันยิ่งขึ้นจะช่วยพัฒนาการบริการลูกค้าในปัจจุบัน ในขณะเดียวกันก็ต้อนรับลูกค้ารายใหม่เข้าสู่ครอบครัวของเราด้วย”

มร.ไบรอัน สมิธ ผู้จัดการอลิอันซ์ ประจำประเทศไทย ประธานกรรมการและประธานเจ้าหน้าที่บริหาร บริษัท อลิอันซ์ อยุธยา แคปปิตอล จำกัด (มหาชน) และ บริษัท อลิอันซ์ อยุธยา ประกันชีวิต จำกัด (มหาชน) กล่าวว่า การขยายความร่วมมือถือเป็นชัยชนะอันยิ่งใหญ่สำหรับลูกค้าในประเทศไทยและสร้างการเติบโตในอนาคตที่มั่นคง ขณะนี้เราอยู่ในสถานะที่แข็งแกร่งมากขึ้นในการส่งมอบโซลูชันความคุ้มครองที่ครบครันภายใต้ชื่อ Allianz  วันนี้ถือว่าเป็นตัวเปลี่ยนเกมธุรกิจสำหรับลูกค้าในประเทศและภาคประกันภัยในประเทศไทย”

ประเทศไทยเป็นตลาดเชิงยุทธศาสตร์ที่สำคัญของอลิอันซ์เอเชียและมีศักยภาพที่แข็งแกร่ง เนื่องจากมีการรุกตลาดประกันที่เพิ่มมากขึ้นรวมถึงแนวโน้มเศรษฐกิจมหภาคที่แข็งแกร่ง ความร่วมมือระหว่างอลิอันซ์และ AYUD มีมาอย่างยาวนานเกือบ 2 ทศวรรษปี และในปัจจุบัน เราให้บริการลูกค้ามากกว่าหนึ่งล้านรายทั่วประเทศ

 

X

Right Click

No right click