November 01, 2024

 

YouTrip (ยูทริป) ผู้ให้บริการดิจิทัลวอลเล็ตรองรับหลายสกุล (Multi-currency wallet) ประกาศความสำเร็จจากการระดมเงินทุนรอบ Series B คว้าเงินลงทุนมูลค่า 50 ล้านดอลลาร์สหรัฐ หรือราว 1.84 พันล้านบาท นำโดย Lightspeed บริษัท Venture Capital ชั้นนำระดับโลก ที่ลงทุนใน Grab, Snap, OYO Rooms เป็นต้น จากความสำเร็จในการระดมทุนครั้งนี้ส่งผลให้ YouTrip มียอดระดมทุนมากกว่า 100 ล้านเหรียญสหรัฐ หรือราว 3.68 พันล้านบาท นับตั้งแต่เปิดให้บริการเป็นต้นมา

เงินทุนใหม่นี้จะนำไปใช้เพื่อพัฒนาขีดความสามารถในด้านเทคโนโลยีของบริษัทให้ดียิ่งขึ้น สร้างผลิตภัณฑ์และนวัตกรรมการชำระเงินที่ตอบโจทย์การใช้งานที่สะดวกสบายและไร้รอยต่อ รวมถึงการขยายทีมเพิ่มอีกกว่าหนึ่งร้อยคนเพื่อเตรียมความพร้อมในการขยายการให้บริการไปยังประเทศต่างๆ ในภูมิภาคเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ เช่น อินโดนีเซีย มาเลเซีย ฟิลิปปินส์ และเวียดนาม

นางสาวซีซีเลีย ชู ผู้ร่วมก่อตั้งและประธานเจ้าหน้าที่บริหารของ YouTrip กล่าวว่า “YouTrip เปิดตัวและเริ่มให้บริการในปี 2561 ด้วยวิสัยทัศน์ที่ชัดเจนที่ต้องการมอบประสบการณ์ใช้จ่ายสกุลเงินต่างประเทศที่สะดวกสบายให้ทุกคนสามารถใช้จ่ายได้คุ้มค่ายิ่งขึ้น แม้จะมีการแพร่ระบาดโควิด-19 เรายังคงเติบโตอย่างก้าวกระโดดและกลายเป็นผู้นำด้านการชำระเงินระหว่างประเทศสำหรับลูกค้าบุคคลภายใต้บริการ YouTrip และลูกค้าธุรกิจภายใต้บริการ YouBiz ในภูมิภาคนี้”

“การระดมทุนรอบล่าสุดถือเป็นการระดมทุนครั้งใหญ่ที่สุดของ YouTrip ตอกย้ำถึงศักยภาพที่แข็งแกร่งของเราในด้านการชำระเงินระหว่างประเทศ เรามั่นใจว่าบริการของเราที่เข้าถึงได้ง่าย สะดวกสบาย จะตอบโจทย์ผู้ใช้งานหลายล้านคนในภูมิภาคเอเชียตะวันออกเฉียงใต้และจะทำให้การชำระเงินระหว่างประเทศเติบโตมากยิ่งขึ้น” นางสาวซีซีเลีย ชู กล่าวเสริม

เร่งการเติบโตในยุคทองของดิจิทัลวอลเล็ต

ด้วยการใช้จ่ายเป็นสกุลเงินต่างประเทศของผู้บริโภคในประเทศไทยและสิงคโปร์ที่เติบโตขึ้นอย่างมากในช่วงสองปีที่ผ่านมาจากการฟื้นตัวของการท่องเที่ยวระหว่างประเทศ และการเติบโตของอีคอมเมิร์ซ ส่งผลให้ฐานลูกค้าของ YouTrip เติบโตขึ้นสามเท่า ยอดการทำรายการทั่วโลกเติบโตขึ้นสี่เท่า และกลายเป็นตัวเลือกหลักในการใช้จ่ายเป็นสกุลเงินต่างประเทศ

นางสาวจุฑาศรี คูวินิชกุล ผู้ร่วมก่อตั้ง YouTrip ประเทศไทย กล่าวว่า “การปิดการระดมทุน Series B ของ YouTrip ถือเป็นก้าวสำคัญของบริษัท และเป็นก้าวที่น่าตื่นเต้นสำหรับลูกค้าชาวไทย เพราะนอกเหนือจากการรีเฟรชแบรนด์ปรับโฉมของ YouTrip ให้ทันสมัยแต่ยังคงตอบโจทย์ด้วยอัตราแลกเปลี่ยนที่ดีและความปลอดภัยในการใช้จ่ายแบบไร้เงินสดในช่วงเดือนกันยายนที่ผ่านมา ด้วยเงินลงทุนนี้ เราจะนำมาใช้พัฒนาผลิตภัณฑ์และขยายการให้บริการอย่างต่อเนื่อง เพื่อส่งมอบประสบการณ์ใช้จ่ายเป็นสกุลเงินต่างประเทศที่ดีที่สุดให้แก่ลูกค้าชาวไทย”

นอกจาก YouTrip แล้ว ทางด้านผลิตภัณฑ์สำหรับลูกค้าธุรกิจ YouBiz ซึ่งเป็นแพลตฟอร์มบริหารจัดการบัตรองค์กร (corporate card) และการใช้จ่ายสำหรับ SMEs ในสิงคโปร์ก็เติบโตขึ้นอย่างมากเช่นกัน โดยตั้งแต่เปิดตัวให้บริการในเดือนพฤษภาคมปีที่แล้ว ภายในปีแรก YouBiz ได้ให้บริการแก่องค์กรต่างๆ มากกว่า 3,000 แห่ง และตั้งเป้าที่จะเพิ่มจำนวนเป็นสองเท่าภายในปี 2567 อีกด้วย

ขนาดของเงินลงทุนจาก Lightspeed เป็นการแสดงออกถึงความมั่นใจในความสามารถของ YouTrip ในการนำเสนอนวัตกรรมและโซลูชันที่เหมาะสมกับตลาดในแต่ละประเทศ และทีมผู้บริหารที่สามารถสร้างแผนธุรกิจที่สามารถขยายตัวและเติบโตได้สูงสอดรับกับศักยภาพของประเทศในภูมิภาคเอเชียตะวันออกเฉียงใต้

นางสาวพัชร ล้อจินดากุล นักลงทุนจาก Lightspeed กล่าวว่า “จากประสบการณ์ส่วนตัวเกี่ยวกับปัญหาของระบบการชำระเงินระหว่างประเทศ ตอกย้ำความเชื่อมั่นของเราในสิ่งที่ YouTrip สร้าง บริการดิจิทัลวอลเล็ตและระบบชำระเงินรองรับหลายสกุลที่ช่วยให้ผู้ใช้งานทุกคนได้รับประสบการณ์ในการใช้เป็นจ่ายสกุลเงินต่างๆที่ดียิ่งขึ้น ประหยัด สะดวก และปลอดภัย เรารู้สึกตื่นเต้นกับวิสัยทัศน์และแนวคิดทางธุรกิจที่มีความลึกซึ้ง และพร้อมที่จะร่วมมือกับ YouTrip ในช่วงต่อไปของการเติบโตและขยายตลาดไปยังประเทศต่างๆ”

ผลักดันนวัตกรรมด้านการชำระเงินสำหรับลูกค้าบุคคลและลูกค้าธุรกิจทั้งในและต่างประเทศ

ทุกวันนี้ระบบดิจิทัลเข้ามามีบทบาทในทุกภาคส่วนในชีวิตประจำวันรวมถึงการใช้จ่าย ทำให้ผู้คนในภูมิภาคอาเซียนแสวงหาบริการทางการเงินที่ให้ความสะดวกสบายและมีความเป็นส่วนตัวมากขึ้น YouTrip จะเพิ่มการลงทุนเพื่อเพิ่มขีดความสามารถด้วยเทคโนโลยี Artificial Intelligence (ระบบ AI) และเทคโนโลยีใหม่อื่นๆ เพื่อนำเสนอบริการที่เจาะจงเฉพาะบุคคลมากขึ้น เช่น การกำหนดงบประมาณอัจฉริยะและข้อมูลเชิงลึกทางการเงินที่ปรับแต่งเองได้ และบริการอื่นๆ ที่เกี่ยวข้องกับการเดินทาง

YouTrip ยังวางแผนที่จะขยายบริการเพื่อช่วยให้ SMEs เติบโตข้ามประเทศในเศรษฐกิจดิจิทัลได้เร็วขึ้น ซึ่งรวมไปถึงการบริหารจัดการค่าใช้จ่ายในการดำเนินงานธุรกิจ และการนำเสนอฟีเจอร์ใหม่ เช่น วงเงินสินเชื่อ เพื่อตอบสนองความต้องการที่หลากหลายของธุรกิจในขณะที่ขยายตัวและเติบโต

YouTrip เป็นผู้บุกเบิกรายแรกในอุตสาหกรรมฟินเทคและการชำระเงินดิจิทัลในภูมิภาคอาเซียน ที่นำเสนอบริการดิจิทัลวอลเล็ตรองรับหลายสกุลที่ให้อัตราแลกเปลี่ยนที่ดีมากกว่า 150 สกุลเงิน ไม่มีค่าธรรมเนียมทุกการใช้จ่าย ประหยัด ใช้จ่ายสะดวกสบายไร้รอยต่อยิ่งขึ้น โดยก่อตั้งขึ้นในประเทศสิงคโปร์ก่อนจะขยายการให้บริการมายังประเทศไทยในเดือนพฤศจิกายน 2562 โดยร่วมมือกับ ธนาคารกสิกรไทย จำกัด (มหาชน) YouTrip เป็นผู้นำตลาดด้านนวัตกรรมและเทคโนโลยีใหม่ การรีเฟรชแอป YouTrip 2.0 และฟีเจอร์ใหม่บนแอป YouBiz 2.0 แสดงให้เห็นถึงความมุ่งมั่นในการมอบประสบการณ์ที่ดีที่สุดแก่ผู้ใช้งาน

นอกจากนี้ YouTrip ยังได้รับการยอมรับจากผู้เชี่ยวชาญในอุตสาหกรรม โดยได้รางวัลบริษัท FinTech ยอดเยี่ยม อาทิ Most Innovative FinTech Company in Southeast Asia, Best Multi-Currency Mobile Wallet Provider in Asia และ Best SME Finance Management Platform จาก APAC Insider’s 2023 Singapore

Business Awards เร็วๆ นี้ YouTrip ยังได้รับการยกย่องให้เป็นหนึ่งในสตาร์ทอัพอันดับต้นๆ ในสิงคโปร์จาก LinkedIn เครือข่ายมืออาชีพบนอินเทอร์เน็ต ตอกย้ำสถานะของบริษัทในฐานะบริษัทฟินเทคชั้นนำในภูมิภาคอีกด้วย

(จากซ้ายไปขวา): ครีสเตียน มึลเลอร์ กรรมการบริหาร HDI International AG; นิโคลัส ฟาเกต์ ประธานเจ้าหน้าที่บริหารและผู้ก่อตั้ง รู้ใจกรุ๊ป; เลแวน ชาแลมเบอริดซ์ หัวหน้าสายงานการเงินและอินชัวร์เทค ประจำภูมิภาคเอเชียตะวันออก บรรษัทเงินทุนระหว่างประเทศ

กรุงเทพฯ, ประเทศไทย – 28 มีนาคม 2566: รู้ใจ ประกันออนไลน์ ผู้นำด้านเทคโนโลยีอินชัวร์เทคสำหรับธุรกิจ B2C สัญชาติไทย ได้รับทุนจากการระดมทุนรอบ Series B มูลค่า 42 ล้านดอลลาร์สหรัฐ โดยผู้ลงทุนรายใหม่ HDI International บริษัทในเครือ Talanx Group จากเยอรมนีซึ่งเป็นผู้ให้บริการด้านประกันภัยทั่วโลก โดยยังได้รับการระดุมทุนเพิ่มเติมจากผู้ลงทุนรายเก่า ในเครือธนาคารโลกอย่าง International Finance Corporation (IFC) เพื่อช่วยขยับขยายธุรกิจ

ในรอบการระดมทุนนี้ รู้ใจ ได้รับเงินทุนจำนวน 32 ล้านดอลลาร์สหรัฐ และเงินทุนจำนวน 10 ล้านดอลลาร์สหรัฐ ในส่วนของธุรกรรมซื้อขายหุ้นรอง

รู้ใจ ได้เปิดตัวในประเทศไทยตั้งแต่ปี 2559 และขยายธุรกิจไปยังอินโดนีเซียเมื่อต้นปี 2565 ที่ผ่านมา หลังโมเดลธุรกิจประกันภัยแบบไร้รอยต่อประสบความสําเร็จในประเทศไทย โดยในปี 2565 รู้ใจ มีรายได้เบี้ยประกันภัยในประเทศเพิ่มขึ้น 25 เปอร์เซ็นต์ เป็นมูลค่า 38 ล้านดอลลาร์สหรัฐ และสามารถขยายฐานลูกค้าได้เพิ่มขึ้นถึง 40 เปอร์เซ็นต์ เป็น 150,000 ราย อีกทั้งยังขยายพอร์ตผลิตภัณฑ์จากเดิมที่มีเพียงประกันรถยนต์ไปสู่ประกันสุขภาพและประกันอุบัติเหตุ

การลงทุนครั้งนี้มีเป้าหมายเพื่อเร่งขับเคลื่อนการเติบโตของรู้ใจในประเทศไทย โดยมุ่งเป้าเพิ่มความสําเร็จให้กับผลิตภัณฑ์ประกันภัยประเภทอื่น ๆ นอกจากนี้การลงทุนยังสนับสนุนการขยายฐานของบริษัทในประเทศอินโดนีเซีย และภูมิภาคเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ โดยเฉพาะที่ประเทศฟิลิปปินส์ ที่รู้ใจตั้งเป้าขยายกิจการแบบ Organic Growth ควบคู่ไปกับการเติบโตในด้านของการควบรวมและเข้าซื้อกิจการ

การเข้าถึงอินเทอร์เน็ตและพฤติกรรมการซื้อขาย การช็อปปิง ผ่านสมาร์ตโฟนกำลังเติบโตอย่างต่อเนื่องในเอเชียตะวันออกเฉียงใต้1 ประกอบกับผู้บริโภคยังคงมีความต้องการในผลิตภัณฑ์ประกันภัย และรู้ใจมีความมุ่งมั่นที่จะนําเสนอผลิตภัณฑ์ประกันภัยที่เรียบง่าย ราคาดี และเชื่อถือได้ด้วยวิธีการแบบ mobile-first ส่งผลให้มีการเติบโตอย่างสม่ำเสมอทุกปีแม้ในช่วงวิกฤตโรคระบาด ซึ่ง รู้ใจ กำลังยกระดับเข้าสู่ตลาดเอเชียด้วยการใช้นวัตกรรมทางด้านเทคโนโลยีและรูปแบบธุรกิจที่ยึดลูกค้าเป็นศูนย์กลาง

นิโคลัส ฟาเกต์ ประธานเจ้าหน้าที่บริหารและผู้ก่อตั้ง รู้ใจกรุ๊ป กล่าวว่า “เรามีความยินดีที่ได้ต้อนรับ HDI ในฐานะผู้ถือหุ้นรายใหญ่ของเรา ที่จะเข้ามาช่วยยกระชับความสัมพันธ์ของเรากับ Talanx Group ให้แน่นแฟ้นมากยิ่งขึ้น หลังจาก 4 ปีของความร่วมมือกับ Hannover Re นับเป็นข้อพิสูจน์ว่าการให้ความสําคัญกับปัจจัยพื้นฐานด้านประกันภัยอย่างต่อเนื่องตลอดระยะเวลา 6 ปีที่ผ่านมาของรู้ใจ เป็นกุญแจสําคัญในการดึงดูดนักลงทุนที่มีคุณภาพ ซึ่งจะช่วยให้เราขยายฐานธุรกิจไปยังพื้นที่อื่น ๆ ในเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ได้มากขึ้น โดยการพัฒนาและเติบโตของเรายังคงยึดลูกค้าเป็นศูนย์กลางเช่นเดิม”

ทางด้าน HDI ผู้ลงทุนรายใหม่ กล่าวว่า “เรามีความยินดีเป็นอย่างยิ่งที่ได้เป็นผู้ถือหุ้นรายใหญ่ในการระดมทุนรอบ Series B ใครั้งนี้ โดย รู้ใจ ถือเป็นอินชัวร์เทครุ่นใหม่ที่เติบโตอย่างรวดเร็วและมีความเชี่ยวชาญในด้านดิจิทัลโซลูชัน เรารู้สึกตื่นเต้นที่จะได้ร่วมในเส้นทางการเติบโตของ รู้ใจ ทั้งในประเทศไทยและการขยายธุรกิจไปยังเอเชียตะวันออกเฉียงใต้”

https://www.insiderintelligence.com/content/upside-internet-user-growth-remains-high-southeast-asia

เลแวน ชาแลมเบอริดซ์ หัวหน้าสายงานการเงินและอินชัวร์เทค ประจำภูมิภาคเอเชียตะวันออก บรรษัทเงินทุนระหว่างประเทศ กล่าวว่า “รู้ใจ เป็นบริษัทในพอร์ตฯ ของเราที่แสดงให้เห็นว่าเป็นบริษัทฯ ที่สามารถขับเคลื่อนการเปลี่ยนแปลงทางดิจิทัลและการทำธุรกิจประกันภัยในประเทศไทยได้ผ่านโมเดลธุรกิจแบบ ‘Digital first’ เรายินดีที่ได้ร่วมงานกับ HDI เพื่อสนับสนุน รู้ใจ ให้พัฒนาบริการที่ดีเลิศ เป็นผลิตภัณฑ์ประกันภัยที่เรียบง่ายและเข้าถึงได้ ในประเทศไทยและเอเชียตะวันออกเฉียงใต้”

อรินแคร์ (ARINCARE) สตาร์ทอัพผู้ให้บริการแพลตฟอร์มร้านขายยาออนไลน์สำหรับเภสัชกรและร้านขายยา ประกาศปิดดีล Series B มูลค่า 4,000,000 ดอลล่าสหรัฐฯ เดินหน้ายกระดับและต่อยอดระบบนิเวศ Health Tech ไทย คว้ากลุ่มโรงพยาบาลจุฬารัตน์ (CHG) เชื่อมต่อบริการดูแลสุขภาพผู้ป่วยนอกและผู้ป่วยในเป็นหนึ่งเดียว และ บมจ. พีทีจี เอ็นเนอยี (PTG) ร่วมผนึกกำลังลงทุนใน Health Tech แตกไลน์ต่อยอดธุรกิจและบริการครบวงจร ชี้ 2 ทุนช่วยเติมเต็มระบบนิเวศ อุดช่องโหว่การดูแลสุขภาพในระดับชุมชน เพิ่มโอกาสเข้าถึงยาและบริการดูแลสุขภาพ เผยปี 2565 เติบโต 100% เตรียมเดินหน้าเข้าจดทะเบียนในตลาดหลักทรัพย์ ตั้งเป้า IPO ในปี 2569 ปัจจุบันมีร้านขายยาใช้บริการกว่า 3,000 รายทั่วประเทศ ย้ำ ARINCARE มุ่งมั่นดำเนินงานภายใต้แนวคิด ‘Make Healthcare Affordable’ หรือ ทำให้บริการดูแลสุขภาพมีราคาที่เข้าถึงได้สำหรับทุกคน เสริมแกร่งให้เภสัชกรและร้านขายยาชุมชนที่เป็นด่านหน้าสามารถดูแลผู้ป่วยได้รวดเร็วในราคาที่ประหยัดกว่า ยกระดับคุณภาพชีวิตความเป็นอยู่สังคมไทยที่ยั่งยืน

 

นายธีระ กนกกาญจนรัตน์ ผู้ร่วมก่อตั้งและประธานเจ้าหน้าที่บริหาร บริษัท อรินแคร์ จำกัด เผย การร่วมระดมทุนปิดดีล Series B ผนึกกำลังครั้งสำคัญจาก 2 พาร์ทเนอร์ใหญ่ ด้วยเงินทุนมูลค่า 4,000,000 ดอลล่าสหรัฐฯ โดยมีกลุ่มโรงพยาบาลจุฬารัตน์ (CHG) เป็นผู้ร่วมลงทุนหลัก รวมทั้งได้เงินทุนสนับสนุนจาก PTG ในครั้งนี้ นับเป็นแรงอัดฉีดเสริมแกร่ง เพิ่มแรงขับเคลื่อนสู่การเดินหน้ายกระดับและต่อยอดระบบนิเวศ Health Tech ไทยตามโรดแมปที่ตั้งไว้ โดยปีที่ผ่านมาจากสถานการณ์ต่าง ๆ ที่เกิดขึ้น ทั้งโรคอุบัติใหม่ในยุคโควิด-19 การแพร่ระบาดของโรคภัยไข้เจ็บอื่น ๆ รวมไปถึงการเตรียมความพร้อมและรับมือกับยุคการเปลี่ยนผ่านเข้าสู่สังคมผู้สูงอายุของไทยในปัจจุบัน ส่งผลให้ผู้บริโภคหันมาให้ความสำคัญเรื่องการดูแลสุขภาพตนเองและครอบครัวเพิ่มมากขึ้น บวกกับไลฟ์สไตล์การใช้ชีวิตยุคดิจิทัล กระตุ้นการพัฒนาบริการแพลตฟอร์ม ARINCARE มาอย่างต่อเนื่อง เพื่อตอบโจทย์และเกิดประโยชน์สำหรับร้านขายยาและเภสัชกร รวมถึงผู้บริโภคอย่างสูงสุด ทำให้ ARINCARE สามารถขยายตลาดเข้าถึงกลุ่มเป้าหมายมากขึ้น ด้วยภาพรวมปี 2565 ที่ผ่านมา มีการเติบโตกว่า 100%

ทั้งนี้ จากภาพรวมปีที่ผ่านมาทำให้เห็นพฤติกรรมและความต้องการผู้บริโภคที่เปลี่ยนไป โดยวางกลยุทธ์ปี 2566 เดินหน้าขยายตลาดไปพร้อมกับความร่วมมือครั้งสำคัญกับกลุ่มโรงพยาบาลจุฬารัตน์ (CHG) บนทิศทางการมุ่งสร้าง Healthcare ecosystem ที่สมบูรณ์ระหว่างโรงพยาบาลและหน่วยบริการสุขภาพท้องถิ่น เชื่อมโยงไปถึงเภสัชกร

ในร้านยาชุมชนบนเครือข่าย ARINCARE มากกว่า 3,000 ราย เข้ากับทีมการแพทย์ของ CHG เพื่อเพิ่มขีดความสามารถในการดูแลสุขภาพคนในชุมชนได้อย่างครอบคลุมทั่วประเทศ พร้อมกันนี้ยังร่วมจับมือกับ MaxCard ของ PTG ซึ่งเป็นเครือข่ายที่เข้าถึงผู้บริโภคคนไทยได้มากที่สุด เสริมแกร่งให้กับเภสัชกรและร้านยาชุมชนที่เป็น SME ท้องถิ่นให้เข้มแข็ง เพิ่มการดูแลและบริการด้านสุขภาพให้กับคนไทยผ่าน MaxCard พร้อมเดินเกมรุก เป้าหมายเตรียมเข้าจดทะเบียนในตลาดหลักทรัพย์ IPO ในปี 2569

ปัจจุบันประเทศไทยมีร้านขายยากว่า 20,000 ร้านทั่วประเทศ โดย 80% เป็น SME และมีเพียง 20 % เป็นของแฟรนไชส์หรือผู้ประกอบการรายใหญ่ ในปี 2562 มีมูลค่า 35,000 ล้านบาท เติบโตเฉลี่ย 7% แต่มูลค่าตลาดที่เกี่ยวกับเทรนด์สุขภาพเติบโตอย่างมากหลังการระบาดของโควิด-19 และเชื่อว่าจะยังเติบโตต่อเนื่องเฉลี่ยปีละ 13-17% ในปี 2565 มีมูลค่าราว 40,000 ล้านบาท เพราะคนไทยให้ความสำคัญกับการดูแลสุขภาพเพิ่มขึ้นอย่างต่อเนื่อง ประกอบกับประเทศไทยได้ก้าวสู่สังคมผู้สูงอายุแล้ว ช่องว่างบริการสาธารณสุขไทยจึงเป็นโอกาสของธุรกิจ Health Tech ในประเทศไทย ประกอบกับระบบบริการสาธารณะสุขของรัฐฯ ไม่เพียงพอต่อความต้องการของประชาชน ในขณะที่บริการสาธารณสุขของเอกชน คลินิก และโรงพยาบาลกระจุกตัวในเมืองหรือชุมชนขนาดใหญ่ และมาพร้อมค่าบริการที่สูง ร้านขายยาและเภสัชกรชุมชนคือประตูเปิดให้คนเข้าถึงบริการสาธารณสุขได้ดีขึ้น และเมื่อเกิดการเชื่อมโยงระบบนิเวศเกี่ยวกับบริการสาธารณสุขบนแพลตฟอร์มก็จะช่วยแก้ปัญหาความเหลื่อมล้ำ ทำให้คนไทยสามารถเข้าถึงระบบสาธารณสุขด้วยเทคโนโลยีได้อย่างทั่วถึงมากขึ้น” นายธีระกล่าว

การร่วมผนึกกำลังครั้งสำคัญนี้ เป็นอีกหนึ่งก้าวของการสร้างระบบนิเวศสาธารณสุขไทย เพราะนอกจากการปิดดีลด้านธุรกิจแล้ว ทุกฝ่ายยังมีเป้าหมายและความตั้งใจในทิศทางเดียวกัน โดยมุ่งมั่นสร้างโอกาสการมีคุณภาพชีวิตและสุขภาพที่ดีของคนไทย โดยยึดชุมชน ผู้บริโภค และผู้ป่วยเป็นจุดศูนย์กลาง เพื่อเพิ่มโอกาสการเข้าถึงการดูแลรักษาครอบคลุมทั่วประเทศ ซึ่งสอดคล้องกับกรอบแนวคิดของ ARINCARE ที่มุ่งมั่นพัฒนาบริการด้วยแนวคิด ‘Make Healthcare Affordable’ ให้ทุกคนในพื้นที่สามารถเข้าถึงบริการสุขภาพได้ง่ายในราคาที่สมเหตุสมผลมาอย่างต่อเนื่อง มุ่งยกระดับ Supply Chain ลดความเหลื่อมล้ำการเข้าถึงระบบสาธารณสุข การดูแลรักษาสุขภาพ รวมถึงอุปกรณ์การแพทย์ และยารักษาในราคาที่ยุติธรรม นอกจากนี้ ยังมุ่งเสริมแกร่งให้ผู้ประกอบการเจ้าของร้านยา ทั้งร้านขายยาขนาดกลาง ถึงขนาดเล็ก ที่เป็น SME รวมทั้งเภสัชกร ได้มีเครื่องมือที่ช่วยบริหารธุรกิจและบริการผู้ป่วยได้อย่างมีประสิทธิภาพ และเชื่อมโยงการทำงานด้านการดูแลผู้ป่วยระหว่างแพทย์ และเภสัชกร เพื่อยกระดับบริการสาธารณสุขประเทศ สอดรับกับเทรนด์ใหม่ในการมีสุขภาพดีอย่างยั่งยืน และพร้อมรับมือกับการแข่งขันทางธุรกิจ ท่ามกลางภาวะเศรษฐกิจกำลังฟื้นตัว

 

นพ.กำพล พลัสสินทร์ ประธานกรรมการบริหาร กลุ่มโรงพยาบาลจุฬารัตน์ (CHG) กล่าวว่า ด้วยแนวคิดและทิศทางธุรกิจของ ARINCARE ที่สอดรับกับวิสัยทัศน์ของทาง CHG ทำให้เล็งเห็นถึงโอกาสของการต่อยอดธุรกิจ ที่มุ่งไปในทิศทางเดียวกัน ในการร่วมสนับสนุนธุรกิจด้านการดูแลสุขภาพให้เข้าถึงในระดับชุมชน ต่อยอดการเติบโตระบบนิเวศของ Health Tech ยกระดับปรับโครงสร้างระบบสาธารณสุข ให้มีผู้ป่วยเป็นศูนย์กลางมากขึ้น เพื่อโอกาสการเข้าถึงในการดูแลผู้ป่วยใน (IPD) และผู้ป่วยนอก (OPD) เข้าด้วยกัน ยกระดับบริการแบบไร้รอยต่อ สู่คุณภาพชีวิตที่ดี โดยการนำเทคโนโลยีที่อยู่บนแพลตฟอร์ม ARINCARE โดยเฉพาะระบบ e-prescription ซึ่งเป็นการแชร์ข้อมูลของผู้ป่วยให้กับบุคลากรทางการแพทย์เพื่อการดูแลรักษาที่ต่อเนื่อง โดยการนำเทคโนโลยี AI เข้ามาช่วยประมวลผลการวินิจฉัยให้รวดเร็วและมีประสิทธิภาพมากขึ้น เพื่อช่วยให้การดูแลผู้ป่วยในพื้นที่ห่างไกลให้สามารถเข้าถึงการรักษาและรับยาได้สะดวกขึ้น ลดปัญหาการใช้ใบสั่งยาที่คลาดเคลื่อน ใบสั่งยาปลอม การแอบนำไปใช้ซ้ำ รวมถึงสามารถติดตามตรวจสอบผลการดูแลรักษาผู้ป่วย ดูประวัติใบสั่งยา ข้อมูลยาที่ผู้ป่วยได้รับใช้งานง่ายและไม่มีค่าใช้จ่ายใด ๆ เพิ่มเติม

 

นายพิทักษ์ รัชกิจประการ ประธานเจ้าหน้าที่บริหารและกรรมการผู้จัดการใหญ่ บริษัท พีทีจี เอ็นเนอยี จำกัด (มหาชน) (PTG) เผยว่า การร่วมลงทุนกับ ARINCARE นับเป็นโอกาสดีในการร่วมต่อยอดและเติมเต็ม Health Tech Ecosystem ของไทย และหนึ่งในเป้าหมายของ PTG ในการร่วมลงทุนครั้งนี้ นับเป็นการเข้าลงทุนเชิงกลยุทธ์ในธุรกิจสตาร์ทอัพที่มีศักยภาพสูง โดยผ่าน MAX Ventures ผูกพันธมิตรทางธุรกิจ สร้างโอกาสเป็น New S-Curve รวมถึงการสร้างความแข็งแกร่งและต่อยอดธุรกิจในเครือข่ายของ PTG เพื่อความอยู่ดีมีสุขของคนไทย ซึ่งจากภาพรวมตลาดในไทยหลายปีที่ผ่าน พบหนึ่งเทรนด์ธุรกิจที่มาแรงและเติบโตแบบก้าวกระโดด คือ Healthcare ปัจจุบันขึ้นแท่นอุตสาหกรรมอนาคตที่มีโอกาสสร้าง New S-curve ให้กับผู้ลงทุน โดยเฉพาะกลุ่มธุรกิจที่เกี่ยวข้องกับอุปกรณ์การแพทย์ เวชภัณฑ์ และยา ขณะเดียวกันพบพฤติกรรมผู้บริโภคยุคใหม่เน้นให้ความสำคัญด้านสุขภาพเพิ่มมากขึ้น ทำให้เกิดเทรนด์ใหม่ในการมีสุขภาพดีที่ยั่งยืนในยุคดิจิทัล ทำให้ PTG มองเห็นโอกาสแตกไลน์ต่อยอดธุรกิจและบริการ เสริมศักยภาพให้สถานี PT ทั่วประเทศ ที่จากเดิมมุ่งมั่นเป็นมากกว่าสถานีให้บริการน้ำมัน แต่คาดหวังเป็นสถานีบริการที่ตอบโจทย์ทุกความต้องการรอบด้าน ทั้งร้านค้า และร้านขายยาโดย NEXX Pharma ที่บริการทั้งจำหน่ายยา เวชภัณฑ์ และอุปกรณ์การแพทย์ โดยเภสัชกรผู้มีประสบการณ์ วางแผนให้บริการครอบคลุมทั่วประเทศ

อย่างไรก็ดี การร่วมผนึกกำลังครั้งใหญ่ร่วมกับกลุ่มโรงพยาบาลจุฬารัตน์ (CHG) เชื่อมต่อบริการดูแลสุขภาพผู้ป่วยนอกและผู้ป่วยในเป็นหนึ่งเดียว และกับ บริษัท พีทีจี เอ็นเนอยี จำกัด (มหาชน) (PTG) เพื่อแตกไลน์ต่อยอดธุรกิจและบริการครบวงจรยิ่งขึ้นในครั้งนี้ นับเป็นการตอกย้ำความมุ่งมั่นในการดำเนินงานของ ARINCARE

ภายใต้แนวคิด ‘Make Healthcare Affordable’ หรือ ทำให้บริการดูแลสุขภาพมีราคาที่เข้าถึงได้สำหรับทุกคน ให้เภสัชกรและร้านขายยาในชุมชนที่เป็นด่านหน้าสามารถดูแลผู้ป่วยได้รวดเร็วในราคาที่ประหยัดกว่า ยกระดับคุณภาพชีวิตความเป็นอยู่ของสังคมไทยที่ยั่งยืน

จับมือ 2 พาร์ทเนอร์ยักษ์ใหญ่ กรุงศรี ฟินโนเวต และ เทค แมทริกซ์ เร่งพัฒนาโซลูชั่นขยายตลาด มุ่งสู่การเป็นเทคสตาร์ทอัพที่เติบโตอย่างยั่งยืน

X

Right Click

No right click