×

Warning

JUser: :_load: Unable to load user with ID: 7637

สถาบันอาหาร แจงโครงการสนับสนุนเครือข่าย SME ปี 2561  ในกลุ่มอุตสาหกรรมมะพร้าวและกล้วย  คืบหน้าไปมาก ได้เครือข่ายครบ 17 กลุ่มจากทั่วประเทศ  ภาพรวมเน้นส่งเสริมการแปรรูปผลิตภัณฑ์ใหม่ สร้างมูลค่าเพิ่มด้วยเทคโนโลยี นวัตกรรม    เผยแผนยุทธศาสตร์กลุ่มเครือข่ายมะพร้าวทับสะแก  หนุนปลูกมะพร้าวอินทรีย์   และแปรรูปน้ำมะพร้าวผลแก่เป็น “ผงชงพร้อมดื่ม”  ชูจุดเด่นที่มีเกลือแร่ต่างๆปริมาณสูง  เจาะกลุ่มผู้เสียเหงื่อ และนักกีฬา ระยะยาวตั้งเป้าพัฒนากระบวนการผลิตให้ได้มาตรฐาน GMP และ HALAL เพื่อการส่งออก

นางนิตยา  พิระภัทรุ่งสุริยา รองผู้อำนวยการสถาบันอาหาร กระทรวงอุตสาหกรรม เผยความคืบหน้าการดำเนินงานตามที่ได้รับมอบหมายจากสำนักงานส่งเสริมวิสาหกิจขนาดกลางและขนาดย่อม(สสว.)  ภายใต้โครงการนับสนุนเครือข่าย SME ปี 2561  ในกลุ่มอุตสาหกรรมมะพร้าวและกล้วยว่า ขณะนี้กลุ่มเครือข่ายต่างๆ โดยผู้นำเครือข่ายและผู้ประสานงานเครือข่าย(CDA) ของแต่ละกลุ่ม อยู่ระหว่างดำเนินการจัดทำแผนพัฒนาเครือข่ายเพื่อเป็นยุทธศาสตร์ใช้ในการวางแผนพัฒนาและสนับสนุนการดำเนินงานของเครือข่ายให้ครบ 17 แผน มีจำนวน CDA รวมทั้งสิ้น 54 คน จากกลุ่มมะพร้าว 33 คน และจากกลุ่มกล้วย 21 คน

โดยมีสมาชิกจากกลุ่มเครือข่ายมะพร้าว 10 กลุ่มทั่วประเทศ ได้แก่ 1)ทับสะแก  2)บางสะพานน้อย  3)พะงัน  4)ชุมพร(มะพร้าวสองเล)  5)สมุทรสงคราม สมุทรสาคร เพชรบุรี(สสพ.มะพร้าว)         6)สระบุรี ฉะเชิงเทรา นครนายก(มะพร้าวมิตรภาพ)  7)ราชบุรี สามร้อยยอด กรุงเทพฯ  8)หนองคาย เลย นครสวรรค์ ร้อยเอ็ด  9)นครปฐม(มะพร้าวน้ำหอมสามพราน) และ10)ปราจีนบุรี   ส่วนกลุ่มเครือข่ายกล้วย 7 กลุ่ม ได้แก่ 1)สกลนคร  2)กาญจนบุรี(กล้วยกาญจ์)  3)ปทุมธานี  4)กำแพงเพชร พิจิตร นครสวรรค์ สุโขทัย อุทัยธานี พิษณุโลก ตาก  5)มหาสารคาม  6)ปัตตานี  และ7)ชุมพร

“ล่าสุดกลุ่มเครือข่ายมะพร้าวทับสะแก ซึ่งเป็นพื้นที่ที่มีผลผลิตมะพร้าวแกงเป็นหลัก ได้สรุปแผนยุทธศาสตร์ของกลุ่มเครือข่ายว่า ในระยะกลางและระยะยาวจะเน้นส่งเสริมการปลูกมะพร้าวให้เป็นการปลูกแบบอินทรีย์(Organic)  โดยจะนำผลผลิตมะพร้าวมาสร้างสรรค์ผลิตภัณฑ์แปรรูปให้ได้มากที่สุด  และเกิดประโยชน์สูงสุดกับสมาชิก เพื่อสร้างมูลค่าเพิ่มทดแทนการสูญเสียจากสถานการณ์แมลงศัตรูพืชระบาด ทั้งนี้จะนำน้ำมะพร้าวแก่สด มาแปรรูปเป็น “ผงชงพร้อมดื่ม” ด้วยเห็นว่าคุณค่าของน้ำมะพร้าวแก่นั้นมีเกลือแร่ต่างๆในปริมาณสูง เช่น โพแทสเซียม ซึ่งเหมาะกับผู้ที่เสียเหงื่อ และนักกีฬา มีกลุ่มเป้าหมายทางการตลาดชัดเจน และจะพัฒนากระบวนการผลิตให้ได้มาตรฐาน GMP และ HALAL สร้างช่องทางการตลาดเพื่อการส่งออกต่อไป  ส่วนแผนระยะสั้นทางกลุ่มได้ให้การสนับสนุนจังหวัดประจวบคีรีขันธ์ในการขอขึ้นทะเบียนสิ่งบ่งชี้ทางภูมิศาสตร์(GI)  ให้กับมะพร้าวทับสะแก ซึ่งถือเป็นแหล่งเพาะปลูกมะพร้าวแกงที่มีคุณภาพ มีความโดดเด่นเฉพาะตัว คือ เนื้อหนา กะลาบาง ผลใหญ่ ผลดก และมีความมันของกะทิสูงกว่ามะพร้าวจากแหล่งอื่น เพื่อควบคุมคุณภาพการผลิต และช่วยเพิ่มมูลค่าทางการค้า”

คณะศิลปศาสตร์ สถาบันเทคโนโลยีพระจอมเกล้าเจ้าคุณทหารลาดกระบัง นำโดย คณบดี รศ. ดร.จิราภา วิทยาภิรักษ์ จัดโครงการถวายเทียนพรรษาและนิทรรศการ

การปลูกฝังและเปิดโอกาสให้เยาวชนได้ทำความรู้จักและเรียนรู้เกี่ยวกับอาชีพต่างๆ ตั้งแต่เนิ่นๆ เป็นสิ่งสำคัญและเป็นรากฐานที่ดีให้พวกเขาได้ค้นหาและรู้จักตัวเอง ตลอดจนเตรียมตัวใฝ่หาทักษะความรู้ที่จำเป็นจากทั้งในและนอกห้องเรียน เพื่อให้พร้อมต่อการมุ่งสู่อาชีพที่ใช่และเหมาะสมกับตนเองต่อไป โครงการสนับสนุนการศึกษาเพื่อการพัฒนาที่ยั่งยืน” (Banpu Education for Sustainability หรือ BES) ที่ริเริ่มขึ้นตั้งแต่ปี 2547 โดย บริษัท บ้านปู จำกัด (มหาชน) ผู้นำธุรกิจด้านพลังงานแบบครบวงจรแห่งเอเชีย-แปซิฟิก จึงสานต่อ กิจกรรม Career Dayเปิดโลกอาชีพ ปูเส้นทางสู่อนาคต ในปีที่ 2 สำหรับนักเรียนระดับชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 3 และ 4 ของโรงเรียน 6 แห่งทางภาคเหนืออันเป็นพื้นที่ที่บ้านปูฯ เคยดำเนินธุรกิจ ได้แก่ โรงเรียนเชียงม่วนวิทยาคม และโรงเรียนบ้านสระ จังหวัดพะเยา โรงเรียนสบปราบพิทยาคม โรงเรียนแม่ทะพัฒนศึกษา และโรงเรียนแม่ทะวิทยา จังหวัดลำปาง โรงเรียนเวียงเจดีย์วิทยา จังหวัดลำพูน รวมทั้งสิ้นกว่า 1,000 คน เพื่อแบ่งปันความรู้ในสาขาวิชาชีพต่างๆ และสร้างแรงบันดาลใจในการค้นพบตัวเองพร้อมกรุยทางสู่อาชีพที่ตรงใจ

นางอุดมลักษณ์ โอฬาร ผู้อำนวยการสายอาวุโส - องค์กรสัมพันธ์ บริษัท บ้านปู จำกัด (มหาชน) กล่าวว่า “การเลือกสายการเรียนต่อหรือการคิดฝันถึงอาชีพในอนาคตของเด็กๆ ที่ไม่ได้เล่าเรียนในเมืองใหญ่นั้นเป็นเรื่องที่ตัดสินใจไม่ง่ายเลย อาชีพใกล้ตัวหรือพบเห็นในท้องถิ่นเองก็ไม่หลากหลาย 
ถ้าลองไปถามเด็กว่าโตขึ้นหนูอยากเป็นอะไร อาชีพที่พวกเขาพอจะนึกออกได้ก็คือ ครู ทหาร หมอ เป็นต้น บ้านปูฯ จึงจัดกิจกรรม Career Day: เปิดโลกอาชีพ ปูเส้นทางสู่อนาคต เพื่อให้เขามีโอกาสได้รู้จักกับอาชีพที่มีอยู่มากมาย รวมไปถึงอาชีพใหม่ๆ ที่เกิดขึ้นจากการเปลี่ยนแปลงทางนวัตกรรมและเทคโนโลยีใหม่ๆ ของโลกในปัจจุบัน สำหรับกิจกรรมนี้จัดเป็นปีที่ 2 แล้ว ก็มีการปรับกิจกรรมหลายๆ ตัวเพื่อดึงดูดให้เด็กๆ เพลิดเพลินกับการค้นหาตัวเอง มีกิจกรรมที่น่าสนใจและสนุกสนานมากขึ้น พี่ต้นแบบอาชีพที่มาแบ่งปันประสบการณ์ก็มีถึง 10 อาชีพ ซึ่งหลากหลายและเข้มข้นน่าสนใจยิ่งขึ้น”

กิจกรรม Career Day: เปิดโลกอาชีพ ปูเส้นทางสู่อนาคต ปีที่ 2 ได้สร้างสรรค์กิจกรรมที่มีทั้งเนื้อหาและความสนุก เริ่มด้วยเกม ‘สร้างเมือง’ ซึ่งใช้พื้นที่สร้างเมืองจำลองขนาดย่อมขึ้นแล้วนำการ์ดเกมมาประกอบการเล่น เพื่อช่วยละลายพฤติกรรมพร้อมๆ กับเพิ่มพูนความรู้ในด้านทักษะและสายการเรียนที่จำเป็นสำหรับแต่ละอาชีพ กิจกรรมนี้ทำให้เด็กนักเรียนตื่นตัวกับอาชีพที่หลากหลาย มีคลังความรู้เรื่องอาชีพมากขึ้น ปูพื้นฐานสู่การค้นหาอาชีพที่เข้ากับตัวเอง และเลือกเข้าฟังแนะแนวอาชีพที่ตรงกับสายการเรียนและความถนัดของตัวเองที่สุด ก่อนเข้าสู่ช่วงกิจกรรมแนะแนวอาชีพที่ได้เชิญพี่ต้นแบบอาชีพ 10 คน 10 อาชีพ ซึ่งล้วนมีความสามารถและมีใจรักในอาชีพของตน มาร่วมถ่ายทอดประสบการณ์ในวิชาชีพ แนวทางการทำงาน รวมถึงทักษะความรู้ความสามารถที่จำเป็นต่อการประกอบอาชีพอย่างเป็นกันเอง

แต่ละอาชีพต้นแบบที่นำมาแบ่งปันให้แก่เด็กๆ ผ่านการคัดสรรโดยคำนึงถึงความหลากหลายที่จะส่งเสริมให้เด็กๆ จากทั้ง 6 โรงเรียน เห็นโลกอาชีพที่กว้างขึ้น นอกจากอาชีพทั่วไปที่เด็กรู้จักและให้ความสนใจ อาทิ พยาบาล แล้ว บ้านปูฯ ยังเฟ้นหาอาชีพที่อยู่นอกเหนือจากบทเรียน เช่น นักวิชาการป่าไม้ปฏิบัติการ นักกายภาพบำบัด และแพทย์แผนไทย เป็นต้น รวมถึงอาชีพแห่งศตวรรษ 21 ที่มาจากการเปลี่ยนแปลงทางนวัตกรรมและเทคโนโลยีต่อยอดกับความชอบหรือความถนัดจนเกิดเป็นอาชีพ ได้แก่ นักพัฒนาแพลตฟอร์มซื้อขายสินค้า เกษตรกรยุคใหม่ และนักเขียนเชิงท่องเที่ยว โดยพี่ต้นแบบอาชีพได้นำเสนอเรื่องราวอาชีพของตนเพื่อให้เด็กๆ เข้าใจรายละเอียดการทำงานและคุณสมบัติที่จำเป็นของแต่ละอาชีพ อีกทั้งสร้างแรงบันดาลใจให้เยาวชนค้นหาอาชีพที่เกิดจากใจรัก ลงมือสานฝันตามเส้นทางอาชีพด้วยความสร้างสรรค์ และมุ่งมั่นที่จะทำให้สำเร็จด้วย

นอกเหนือจากความรู้ด้านอาชีพแล้ว ทักษะชีวิตและระบบความคิดเชิงบวกคือสิ่งที่บ้านปูฯ ต้องการบ่มเพาะและปลูกฝัง เพื่อให้เด็กพร้อมเปิดรับ คิดวิเคราะห์ และตัดสินใจได้ด้วยตนเอง “ผมรู้สึกขอบคุณพี่ต้นแบบมากๆ ครับที่มาให้ความรู้ในวันนี้ เพราะช่วยเปลี่ยนความคิดของผมโดยสิ้นเชิง จากเดิมคิดว่าเกษตรกรเป็นอาชีพที่จน ต้องทำงานหนัก ตากแดดตัวดำ ไม่เคยคิดอยากจะทำเลย พอฟังพี่ต้นแบบเกษตรกรแล้วทำให้ผมคิดใหม่ว่าจริงๆ แล้วคนทำเกษตรก็หาเงินเยอะได้ ถ้าเรารู้จักนำภูมิปัญญาในท้องถิ่นมาใช้คู่กับความรู้และเทคโนโลยีสมัยใหม่ และเกษตรกรยังเป็นอาชีพที่น่าภูมิใจอีกด้วย” นายศราวุธ อินมณี นักเรียนชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 4 โรงเรียนเวียงเจดีย์วิทยา จ.ลำพูน เผยความรู้สึกหลังร่วมกิจกรรม

“บ้านปูฯ เชื่อในศักยภาพของคนและการสร้างคนโดยการให้โอกาสในการเรียนรู้ เพราะว่าความรู้จะอยู่ติดตัวของเรา การเรียนรู้นั้นไม่มีที่สิ้นสุดทั้งในห้องเรียน นอกห้องเรียน และทักษะชีวิตต่างๆ ซึ่งจะช่วยให้เราก้าวทันตามโลกยุคใหม่และดูแลตัวเองได้ อันเป็นรากฐานที่ดีแก่ทั้งตัวเองและสังคม ดังความเชื่อของบ้านปูฯ ที่ว่า “พลังความรู้ คือ พลังแห่งการเปลี่ยนแปลงและพัฒนา” และแน่นอนว่าอนาคตนับจากนี้จะมีความรู้ใหม่ๆ รวมถึงอาชีพแปลกใหม่เกิดขึ้นอีกมากมาย บ้านปูฯ คาดหวังว่าเยาวชนยุคใหม่จะใฝ่รู้และพยายามขวนขวายหาข้อมูล เพื่อให้มีความรู้เพียงพอต่อการตัดสินใจ โดยเฉพาะการเลือกอาชีพที่ใช่ให้กับตนเอง” นางอุดมลักษณ์กล่าวปิดท้าย

ตลาดทุนและตลาดเงินของไทยในช่วงครึ่งหลังของปีต้องเผชิญความผันผวนที่เพิ่มขึ้นจากเงินทุนที่เคลื่อนย้ายอย่างรวดเร็ว โดยเฉพาะอย่างยิ่ง การไหลออกของเงินทุนจากต่างประเทศ จากความกังวลเกี่ยวกับสงครามการค้า และสภาพคล่องที่ลดลงจากการใช้นโยบายการเงินที่ตึงตัวขึ้นของสหรัฐฯ ที่อาจส่งผลให้ต้นทุนการกู้ยืมและความผันผวนของค่าเงินบาทเพิ่มสูงขึ้น นักลงทุนและผู้ประกอบการจึงควรเตรียมรับมือ

หลังจากวิกฤติการเงินปี 2008 ธนาคารกลางใหญ่ๆ ทั่วโลกเลือกใช้นโยบายการเงินที่ผ่อนคลายโดยการลดดอกเบี้ยนโยบายจนอยู่ในระดับต่ำสุดเป็นประวัติการณ์ และอัดฉีดสภาพคล่องผ่านโปรแกรม QE ทำให้เกิดสภาวะสภาพคล่องล้นตลาด นักลงทุนจึงเลือกที่จะเอาเงินไปลงในสินทรัพย์ที่ความเสี่ยงสูงขึ้นเพื่อให้ได้ผลตอบแทนที่สูงขึ้น เกิดเป็นพฤติกรรม Search for Yields ทำให้มีเงินทุนจำนวนมากไหลเข้ามาในตลาดเกิดใหม่ ทั้งในพันธบัตรรัฐบาล ตราสารหนี้ที่ออกโดยภาคเอกชน และตลาดหุ้น ทำให้ spread ของหุ้นกู้เอกชนลดลง ในขณะที่ตลาดหุ้นปรับตัวสูงขึ้น โดย spread ของหุ้นกู้ BBB rating ของไทยลดต่ำลง จากที่ระดับกว่า 300bps ก่อนที่จะมีมาตรการ QE ในปี 2009 ลงมาอยู่ที่ระดับ 170bps หลังเฟดยกเลิกมาตรการ QE ในปี 2014 ในขณะที่ SET Index ก็ปรับเพิ่มขึ้นจาก 500 จุด ไปเป็น 1600 จุด

ดังนั้น ตอนนี้ธนาคารกลางที่เคยเป็นคนเพิ่มสภาพคล่องให้ระบบ กลายเป็นคนที่ดูดสภาพคล่องของระบบออกไป โดยการยกเลิกการทำ QE และเริ่มลดขนาดงบดุล ประกอบกับการขึ้นดอกเบี้ยของเฟดที่ทำให้สินทรัพย์ของสหรัฐฯน่าดึงดูดมากขึ้น ทำให้ที่ผ่านมามีเงินทุนไหลออกจากตลาดเกิดใหม่ค่อนข้างรุนแรง โดยเฉพาะประเทศที่พื้นฐานทางเศรษฐกิจด้านต่างประเทศยังไม่แข็งแกร่ง เช่น เงินสำรองระหว่างประเทศต่ำ ในขณะที่ขาดดุลบัญชีเดินสะพัด อย่างเช่น อาร์เจนตินา บราซิล ตุรกี และอินโดนีเซีย ทำให้ค่าเงินอ่อนลงไปตั้งแต่6% ถึง กว่า 30% จากเงินทุนที่ไหลออกรุนแรง จนทำให้ประเทศเหล่านี้ ต้องปรับขึ้นดอกเบี้ยนโยบายเพื่อลดความกดดันจากค่าเงินที่อ่อนค่าจากเงินทุนไหลออกและเงินเฟ้อที่ทยอยปรับขึ้น

นอกจากจะได้รับผลกระทบจากนโยบายการเงินที่ตึงตัวขึ้นของเฟดแล้ว ตลาดเกิดใหม่เหล่านี้ก็ยังถูกกระทบจากความกังวลเกี่ยวกับสงครามการค้าระหว่างสหรัฐฯและจีน แม้ผลกระทบต่อภาคเศรษฐกิจจริงยังไม่ชัดเจนก็ตาม โดยหลังจาก Trump เริ่มประกาศสงครามการค้ากับจีนตั้งแต่วันที่ 23 มีนาคม 2561 มีเงินไหลออกจากตลาดหุ้นเอเชีย (ไม่รวมญี่ปุ่น) ค่อนข้างรุนแรง จนค่าเงินในตลาดเอเชียอ่อนค่าลงโดยเฉลี่ยกว่า 5%

สำหรับประเทศไทย แม้จะมีเสถียรภาพด้านต่างประเทศที่ดี เงินสำรองระหว่างประเทศอยู่ในระดับสูง และเกินดุลบัญชีเดินสะพัด ประกอบกับการขยายตัวทางเศรษฐกิจอยู่ในเกณฑ์ดี ทำให้เงินทุนยังไม่ไหลออกรุนแรงเมื่อเทียบกับตลาดเกิดใหม่อื่นๆ แต่หากนับจากช่วงต้นปีนี้ ตลาดทุนและตลาดเงินไทยก็มีเงินไหลออกสุทธิรวมกันแล้วกว่า 8 หมื่นล้านบาท เทียบกับช่วงเวลาเดียวกันของปี 2016 และ ปี 2017 ที่มีเงินทุนต่างชาติไหลเข้าสุทธิกว่า 2.8 แสนล้านบาทโดยเฉลี่ยต่อปี  ที่ประเทศไทยมีเงินทุนต่างชาติไหลเข้าสุทธิมาโดยตลอด ทำให้ค่าเงินบาทผันผวนมาก โดยตั้งแต่ช่วงต้นปีจนถึงตอนนี้ เคลื่อนไหวอยู่ในกรอบ 31.10 ถึง 33.50 บาทต่อดอลลาร์สหรัฐ และอ่อนค่าจากต้นปีแล้วกว่า 2.2%

ความผันผวนในตลาดทุนและตลาดเงินจึงเป็นสิ่งที่หลีกเลี่ยงไม่ได้  โดยเฉพาะอย่างยิ่งหากเฟดขึ้นดอกเบี้ยได้เร็วกว่าที่ตลาดมอง จากตลาดแรงงานที่ร้อนแรงขึ้น เมื่อความต้องการแรงงาน 6.7 ล้านตำแหน่งสูงกว่าจำนวนคนว่างงาน 6.1 ล้านคน กดดันให้เงินเฟ้อสูงขึ้นเร็วกว่าที่ตลาดคาด ซึ่งอาจทำให้เกิด market correction รุนแรง เงินทุนไหลออก มูลค่าสินทรัพย์ลดลง ซึ่งจะส่งผลให้ต้นทุนการเงินเพิ่มสูงขึ้นอย่างรวดเร็ว และอัตราแลกเปลี่ยนผันผวนมาก ดังนั้นทั้งนักลงทุนและผู้ประกอบการ จึงควรเตรียมป้องกันความเสี่ยงในอนาคต ไว้ด้วย

คุณสมภพ ศักดิ์พันธ์พนม (ที่ 2 จากขวา) ประธานกรรมการ บริษัท แอสเซท โปร แมเนจเม้นท์ จำกัด (APM) พร้อมทีมงานได้เข้าเยี่ยมชมและหารือแนวโน้มการขยายตัวของธุรกิจกาแฟ กับท่านสีนุก สีสมบัติ (กลาง) ประธานบริษัท สีนุก คอฟฟี่ จำกัด เมื่อเร็วๆนี้

เป็นที่รู้กันดีอยู่แล้วว่า เห็ดหลินจือแดง มีสรรพคุณทางยาเปรียบดั่งของขวัญจากสวรรค์ ช่วยปรับสมดุลในร่างกายและต้านโรคจากไลฟ์สไตล์ผิดๆ ของคนยุคนี้ จึงเป็นที่ต้องการของตลาดอย่างมาก ซึ่งส่วนใหญ่มักนำเข้าจากต่างประเทศ ทั้งที่ความจริงแล้วเมืองไทยเราก็เป็นฐานการผลิตเห็ดหลินจือแดงคุณภาพสูงเช่นกัน หนึ่งในนั้นคือ เห็ดหลินจือแดง AU Farm ธุรกิจพลิกชีวิต อุ๊-มนัสนันท์  หิรัญรัตนากร จากนางฟ้าสู่อาชีพเกษตรกรเต็มตัว เธอมุ่งมั่นสร้างสรรค์ผลิตภัณฑ์ต่อยอดจากพื้นฐานธุรกิจฟาร์มของครอบครัว เดินหน้าค้นคว้าเก็บเกี่ยวภูมิรู้ เต็มไปด้วยความใส่ใจลงลึกรายละเอียดและเข้าใจในตัวสินค้าอย่างจริงจัง ส่งผลให้เห็ดหลินจือแดง AU Farm กลายเป็นผลิตภัณฑ์สุขภาพในดวงใจคนไทยหลายครัวเรือน

อุ๊-มนัสนันท์  หิรัญรัตนากร ผู้ก่อตั้งแบรนด์ เห็ดหลินจือแดง AU Farm ภายใต้ บริษัท ทัดช์ อินสไป จำกัด เผยถึงที่มาก่อนเข้าสู่แวดวงเกษตรกรรมเต็มตัวนั้น เธอเคยทำงานเป็นแอร์โฮสเตสสายการบินแห่งหนึ่งมากว่า 5 ปี จนวันหนึ่งได้รับแรงบันดาลใจมุ่งสู่การเป็นผู้ประกอบการหน้าใหม่ โดยอาศัยธุรกิจฟาร์มไก่ ส่งออกของครอบครัวเป็นแรงผลักดัน เธอพบที่ดินว่างเปล่าบางส่วนในบริเวณพื้นที่ฟาร์ม บวกกับการเป็นคนดูแลตัวเอง ชอบรับประทานอาหารออแกนิคอยู่แล้ว จึงตัดสินใจศึกษาหาข้อมูลเพิ่มเติม จนกระทั่งสะดุดตากับคอร์สอบรมเพาะปลูกเห็ดหลินจือแดง จึงได้เข้าร่วมอบรม ยิ่งได้เรียน ก็ยิ่งได้รู้ถึงสรรพคุณมากมาย จนศรัทธาในความวิเศษของเห็ดชนิดนี้ พร้อมตั้งใจว่าจะนำความรู้ และที่ดินว่างเปล่ามาเพาะเลี้ยงเห็ดหลินจือแดงที่ดี มีคุณภาพราคาไม่แพง ส่งมอบให้แก่ประชาชนคนไทยได้บริโภค สืบสานปณิธานเดินตามรอยพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว รัชกาลที่ 9   

AU Farm เลือกสรรเห็ดหลินจือแดงสายพันธุ์ G2 (Garnoderma Lucidum) ซึ่งได้รับการพัฒนาจากโครงการส่วนพระองค์สวนจิตรลดา เนื่องจากมีผลวิจัยรับรองว่ามีสารออกฤทธิ์ทางยาสูงที่สุด ใช้กระบวนการเพาะปลูกในรูปแบบออแกนิค อยู่ในสภาพแวดล้อมควบคุม ตั้งแต่อากาศ แหล่งน้ำ วัสดุในการทำก้อนเชื้อเห็ด โรงเรือน การแปรรูป โดยกระบวนการทั้งหมดปราศจากการปนเปื้อนสารเคมี ปุ๋ยเคมี และยาฆ่าแมลง ผลิตภัณฑ์ของ AU Farm จึงผ่านมาตรฐานเกษตรอินทรีย์ จากกรมวิชาการเกษตร กระทรวงเกษตรและสหกรณ์

ตลอดจนมาตรฐาน GMP ในการควบคุมตั้งแต่การเพาะปลูก ซึ่งใช้เวลารวมเก็บทั้งสิ้น 120 วัน โดยแบ่งเป็นการเตรียมอาหารเขี่ยเชื้อ นำเห็ดเข้าโรงประมาณ 20 วัน และ ใช้เวลา 90 วัน ซึ่งเป็นเวลาที่เหมาะสมในการเก็บเห็ดหลินจือแดงเพื่อให้ได้สารสำคัญในเห็ดหลินจือแดงสูงที่สุด ทั้งยังปลูกในห้องควบคุมอุณหภูมิอยู่ที่ 25-30 องศา ซึ่งเป็นอุณหภูมิที่เห็ดหลินจือแดงเจริญเติบโตได้ดี รวมถึงตรวจสอบและควบคุมคุณภาพของพนักงาน จึงมั่นใจได้ว่าผลิตภัณฑ์ AU Farm มีความสะอาด ปลอดภัย สามารถส่งต่อประสิทธิภาพทางยาได้เต็มเปี่ยม

ผลิตภัณฑ์ภายใต้แบรนด์ AU Farm ประกอบด้วย เห็ดหลินจือแดงอบแห้ง ซึ่งความพิเศษอยู่ที่การจำหน่ายชนิดเต็มดอก  อีกนำเสนอเห็ดหลินจือแดงสกัดเข้มข้นชนิดแคปซูล ไม่ผสมวิตามิน และสมุนไพรชนิดอื่น เหมาะกับการบำรุงร่างกาย ลดน้ำตาลและไขมันในเลือด ปรับความดันโลหิตให้สมดุล ฟื้นฟูระบบเลือดให้สะอาด ฟื้นฟูระบบไตให้ทำงานเป็นปกติ เหมาะสำหรับบำรุงร่างกาย

นอกจากนั้นยังมุ่งมั่นพัฒนาผลิตภัณฑ์ใหม่ควบคู่กันออกสู่ตลาด นั่นคือ เห็ดหลินจือแดงผสมถั่งเช่าสีทอง ส่วนผสมของ 2 ราชาสมุนไพรที่ลงตัวสำหรับเสริมสร้างภูมิต้านทานโรคให้กับร่างกาย ลดอาการการเกิดภูมิแพ้ ทำให้ปอดสะอาด ลดอาการหอบหืด เสริมสร้างสมรรถภาพ รวมทั้งผลิตภัณฑ์กาแฟเห็ดหลินจือแดงผสมถั่งเช่าสีทอง ด้วยส่วนผสมหลักที่ดีต่อสุขภาพ โดยครีมเทียมสกัดจากถั่วเหลือง ความหวานได้จากสารแทนความหวาน ซูคราโรส ซึ่งผู้ป่วยเบาหวานสามารถบริโภคได้ ดังนั้นการรับประทานกาแฟเพื่อสุขภาพ จึงช่วยลดความเสี่ยงในการเกิดโรคไขมันอุดตันในเส้นเลือดและช่วยลดน้ำตาลในเลือดที่จะก่อโรคเบาหวานได้  

ผู้รักสุขภาพที่กำลังมองหาผลิตภัณฑ์บำรุงร่างกายชั้นเลิศ สามารถหาซื้อผลิตภัณฑ์จากเห็ดหลินจือแดง AU Farm ได้ที่ร้านขายยาทั่วไป อาทิ ร้านตำรับไทย ร้านขายยาฟาร์แม๊ก และฟาสซิโน ตลอดจนสั่งซื้อผ่านช่องทางออนไลน์และสอบถามรายละเอียดเพิ่มเติมได้ที่ www.au-farm.com และfacebook.com/auaufarm

โดยทั่วไปการเผาไหม้ถ่านหินจะปล่อยคาร์บอนมากกว่าการเผาไหม้น้ำมันถึงร้อยละ 29 ปล่อยก๊าซคาร์บอนไดออกไซด์ต่อหน่วยพลังงานที่ได้มากกว่าการเผาไหม้ก๊าซธรรมชาติถึงร้อยละ 80 อีกทั้งยังก่อให้เกิดมลพิษหลักอีก 2 กลุ่ม

การยอมรับการเกิดขึ้นและมีอยู่ของสภาวะโลกร้อนทำให้หลายประเทศทั่วโลกเกิดการตื่นตัวและให้ความสำคัญกับปัญหาสิ่งแวดล้อมเพิ่ม

ท่านผู้อ่านรู้สึกคุ้นเคยกับตัวเลข “4.0” บ้างไหมครับ ไม่ว่าจะเป็น Industry 4.0 / Education 4.0 / Marketing 4.0 ตัวเลขดังกล่าวแสดงถึงวิวัฒนาการหรือการเปลี่ยนผ่านที่เกิดขึ้นกับวงการหรือกิจกรรมต่างๆ นั่นเอง

Better Living

July 12, 2018

แรงขับเคลื่อนของสมการ CSR + [PER] = การพัฒนาที่ยั่งยืน อาจไม่เพียงพอที่จะพาเราไปสู่ ENV 4.0 ได้ ดังนั้นเราจึงต้องมีองค์ประกอบอื่นๆ ที่ช่วยทำให้เราไปถึงเป้าหมาย นั่นคือ Integration = บูรณาการเพื่อสิ่งแวดล้อม

Page 6 of 8
X

Right Click

No right click