ออกคำสั่งนายทะเบียนให้บริษัทประกันวินาศภัย/บริษัทประกันชีวิต ส่งงบการเงินคู่ขนานและรายงานเกี่ยวกับฐานะการเงินและกิจการคู่ขนาน (Parallel Run) สำหรับข้อมูลประจำไตรมาส 1/2567 ภายในเดือนสิงหาคม 2567

สำนักงานคณะกรรมการกำกับและส่งเสริมการประกอบธุรกิจประกันภัย (สำนักงาน คปภ.) ได้จัดทำร่างประกาศกระทรวงการคลัง เรื่อง หลักเกณฑ์ วิธีการ และเงื่อนไขหรือเงื่อนเวลาการขอผ่อนผันและการผ่อนผันให้มีบุคคลผู้ไม่มีสัญชาติไทยถือหุ้นได้เกินกว่าร้อยละสี่สิบเก้าของจำนวนหุ้นที่มีสิทธิออกเสียงและจําหน่ายได้แล้วทั้งหมด หรือมีกรรมการเป็นบุคคลซึ่งไม่มีสัญชาติไทยได้เกินกว่ากึ่งหนึ่งของจำนวนกรรมการทั้งหมด ในกรณีที่บริษัทประกันชีวิตมีฐานะหรือการดำเนินการอยู่ในลักษณะอันอาจเป็นเหตุให้เกิดความเสียหายแก่ผู้เอาประกันภัยหรือประชาชน พ.ศ. .... ซึ่งการดำเนินการดังกล่าว เป็นไปเพื่อให้เกิดความครบถ้วนของการออกกฎหมายลำดับรองตามพระราชบัญญัติประกันชีวิต พ.ศ. 2535 และที่แก้ไขเพิ่มเติม และเป็นไปตามมาตรา 22 วรรคสอง แห่งพระราชบัญญัติหลักเกณฑ์การจัดทำร่างกฎหมายและการประเมิน ผลสัมฤทธิ์ของกฎหมาย พ.ศ. 2562

การจัดทำร่างประกาศกระทรวงการคลังฯ ในครั้งนี้ มีจุดประสงค์เพื่อเป็นการเตรียมความพร้อมล่วงหน้ารองรับเหตุการณ์ที่ไม่คาดคิด ซึ่งอาจจะเกิดขึ้นในอนาคตและอาจจะส่งผลต่อฐานะการเงินของบริษัทประกันชีวิตได้ โดยประกาศฉบับนี้จะทำให้บริษัทรวมถึงสำนักงาน คปภ. มีเครื่องมือในการแก้ไขปัญหาให้ผ่านลุล่วงไปได้

โดยขณะนี้ สำนักงาน คปภ. อยู่ระหว่างการเปิดรับฟังความคิดเห็นต่อร่างประกาศกระทรวงการคลังฉบับดังกล่าว  เพื่อนำความคิดเห็นและข้อเสนอแนะมาปรับปรุงร่างประกาศต่อไป โดยสามารถดาวน์โหลดร่างประกาศทั้งฉบับได้ที่ https://www.oic.or.th/th/public-hearing/ 

สำนักงานคณะกรรมการกำกับและส่งเสริมการประกอบธุรกิจประกันภัย (สำนักงาน คปภ.) ได้รับเกียรติจาก นายลวรณ แสงสนิท ปลัดกระทรวงการคลัง เป็นประธานในพิธีเปิดการศึกษาอบรมหลักสูตรวิทยาการประกันภัยระดับสูง (วปส.) รุ่นที่ 12 ประจำปี 2567 ณ โรงแรมเซ็นทาราแกรนด์ เซ็นทรัลพลาซา ลาดพร้าว กรุงเทพมหานคร โดยหลักสูตรนี้มีวัตถุประสงค์เพื่อให้ผู้บริหารระดับสูงจากภาคส่วนต่าง ๆ ได้มีความรู้ความเข้าใจเกี่ยวกับระบบประกันภัย ทั้งการประกันชีวิต การประกันวินาศภัย การบริหารจัดการความเสี่ยงภัยพัฒนาการในด้านต่าง ๆ ของระบบประกันภัย ปัญหาและอุปสรรคที่เกี่ยวข้อง รวมทั้งเสริมสร้างการเป็นผู้นำที่มีคุณธรรม จริยธรรม การบริหารจัดการเชิงสร้างสรรค์ การนำองค์กรไปสู่ความสำเร็จโดยสอดคล้องกับสภาวการณ์การเปลี่ยนแปลงทางการเมือง เศรษฐกิจและสังคมของโลก ตลอดจนการระดมความคิดเห็นจากประสบการณ์ที่หลากหลาย ซึ่งจะเป็นประโยชน์อย่างยิ่งต่อการพัฒนาระบบประกันภัยให้มีประสิทธิภาพยิ่งขึ้น

ในโอกาสนี้ นายลวรณ แสงสนิท ปลัดกระทรวงการคลัง ได้กล่าวปาฐกถาพิเศษในหัวข้อ “บทบาทการประกันภัยกับการส่งเสริมและสร้างความแข็งแกร่งให้กับระบบเศรษฐกิจและสังคมของประเทศอย่างยั่งยืน” โดยมีใจความสำคัญตอนหนึ่งว่า การปรับตัวและการเรียนรู้จากประสบการณ์ในอดีตเป็นสิ่งสำคัญในการทำให้องค์กรเติบโตและประสบความสำเร็จในสภาวะที่เปลี่ยนแปลงอย่างรวดเร็วและต่อเนื่อง โดยเฉพาะหน่วยงานกำกับและส่งเสริมการประกอบธุรกิจประกันภัย ต้องเผชิญกับความท้าทายหลัก 5 ประการ คือ ประการแรก การเติบโตและความผันผวนของเศรษฐกิจ เช่น การเปลี่ยนแปลงของอัตราดอกเบี้ย การเติบโตของ GDP การขยายตัวของการประกันภัยรถไฟฟ้า (EV) ประการที่ 2 สังคมผู้สูงอายุและชีวิตหลังเกษียณ ซึ่งประเทศไทยเข้าสู่สังคมผู้สูงวัยระดับสุดยอด (Super-Aged Society) ในปี 2575 ถือเป็นโอกาสของภาคธุรกิจประกันภัยที่จะออกแบบผลิตภัณฑ์ประเภทต่าง ๆ เช่น ประกันภัยสุขภาพ ประกันชีวิตแบบบำนาญ เพื่อรองรับความต้องการของตลาดผู้สูงอายุ ประการที่ 3 ความก้าวหน้าทางเทคโนโลยีและการเข้าถึงลูกค้า โดยสามารถตอบโจทย์ความต้องการที่เฉพาะเจาะจงของลูกค้าได้มากขึ้น ดูแลลูกค้าได้อย่างเหมาะสม และเป็นไปตามหลักเกณฑ์ที่กำหนด ประการที่ 4 การนำหลักการการพัฒนาอย่างยั่งยืน (ESG) ไปใช้ในกระบวนการต่าง ๆ ของบริษัทประกันภัย และ ประการที่ 5 การปรับปรุงกฎหมายต่าง ๆ ที่เกี่ยวข้องเพื่อให้สอดรับกับมาตรฐานสากล และบริบทที่เปลี่ยนแปลงไป ดังนั้น สิ่งสำคัญที่หน่วยงานกำกับและภาคธุรกิจประกันภัยจะต้องให้ความสำคัญอย่างมาก คือ ธุรกิจประกันภัยต้องมีความยืดหยุ่น คำนึงถึงความยั่งยืน ปรับตัวให้เท่าทันความเสี่ยงและสภาพแวดล้อม ประชาชนและภาคเอกชน เข้าใจ เข้าถึง และเชื่อมั่นระบบประกันภัย โดยสร้างความแข็งแกร่ง มั่นคง และความน่าเชื่อถือให้กับระบบประกันภัย เพื่อสร้างความมั่นใจและสร้างศรัทธาให้กับประชาชน ในการยกระดับมาตรฐานการกำกับความมั่นคงและการตรวจสอบบริษัทประกันภัย โดยธุรกิจประกันภัยต้องมีมาตรฐานและโครงสร้างพื้นฐานที่เพียงพอเหมาะสม สามารถพัฒนาผลิตภัณฑ์ประกันภัยที่ยั่งยืน หลากหลาย และสะท้อนความเสี่ยงเฉพาะราย ในขณะเดียวกันธุรกิจประกันภัยเติบโตอย่างยั่งยืน ด้วยระบบนิเวศด้านเทคโนโลยีดิจิทัล ฐานข้อมูล และโครงสร้างพื้นฐานที่เหมาะสม ธุรกิจประกันภัยจึงมีบทบาทสำคัญที่จะช่วยขับเคลื่อนเศรษฐกิจของประเทศผ่านกลไกที่มีความหลากหลายและครอบคลุมความเสี่ยงในทุกมิติ ภายใต้การมีส่วนร่วมระหว่างภาครัฐ และภาคเอกชนในการผลักดันและขับเคลื่อนนโยบายสำคัญต่าง ๆ ที่จะเป็นประโยชน์ต่อประชาชน และนำไปสู่การพัฒนาเศรษฐกิจของประเทศที่ยั่งยืน

ทั้งนี้ ได้รับเกียรติจาก นางนวลพรรณ ล่ำซำ กรรมการผู้จัดการและประธานเจ้าหน้าที่บริหาร บริษัท เมืองไทยประกันภัย จำกัด (มหาชน) นายกสมาคมกีฬาฟุตบอลแห่งประเทศไทย ในพระบรมราชูปถัมภ์ และศิษย์เก่าหลักสูตร วปส. รุ่นที่ 1 ให้การต้อนรับอย่างเป็นกันเอง พร้อมให้คำแนะนำเกี่ยวกับการเข้าอบรมในหลักสูตร วปส. รวมถึงเน้นย้ำถึงความสำคัญและคุณค่าของธุรกิจประกันภัยแก่นักศึกษา วปส. รุ่นที่ 12

นายชูฉัตร ประมูลผล เลขาธิการคณะกรรมการกำกับและส่งเสริมการประกอบธุรกิจประกันภัย กล่าวเพิ่มเติมว่า สำหรับการศึกษาอบรมในหลักสูตร วปส. รุ่นที่ 12 ได้มีการปรับปรุงเนื้อหาวิชา จัดหมวดหมู่วิชาใหม่ให้สอดคล้องกับสถานการณ์ในปัจจุบัน ตลอดจนการทำรายงานการศึกษากลุ่มเพื่อให้ผู้เข้ารับการศึกษาอบรมได้ร่วมกันระดมความคิดเห็นจากประสบการณ์ที่หลากหลายในประเด็นที่เกี่ยวข้องกับการประกันภัยที่น่าสนใจ และได้กำหนดให้ผู้ทรงคุณวุฒิ ทั้งจากภายนอกและภายในองค์กรมาร่วมเป็นอาจารย์ที่ปรึกษา ซึ่งจากการปรับปรุงและพัฒนาหลักสูตรอย่างต่อเนื่อง ทำให้หลักสูตร วปส. ได้รับความสนใจเป็นอย่างมาก โดยมีผู้บริหารระดับสูงจากหน่วยงานทั้งภาครัฐ ภาคเอกชน ภาคการเงิน และภาคธุรกิจประกันภัย เข้าร่วมรับการอบรมจำนวนทั้งสิ้น 144 คน ที่จะร่วมกันระดมความคิดเห็นจากประสบการณ์ที่หลากหลายเพื่อช่วยให้ข้อเสนอแนะและพัฒนาระบบประกันภัยให้มีประสิทธิภาพยิ่งขึ้น

พร้อมนำเสนอประสบการณ์แบบ One Stop Service เพื่อส่งเสริมความรู้และยกระดับความเชื่อมั่นของประชาชนต่ออุตสาหกรรมประกันภัยไทย

จากกรณีรถกระบะ หมายเลขทะเบียน ผห 5347 เชียงใหม่ เฉี่ยวชนรถตู้โรงพยาบาลพร้าว หมายเลขทะเบียน จง 8142 เชียงใหม่ บริเวณถนนทางหลวงหมายเลข 1001 เชียงใหม่-พร้าว หมู่ 6 ตำบลโหล่งขอด อำเภอพร้าว จังหวัดเชียงใหม่ เป็นเหตุทำให้มีผู้เสียชีวิต 4 ราย และบาดเจ็บ 6 ราย เมื่อวันที่ 9 พฤษภาคม 2567 สำนักงานคณะกรรมการกำกับและส่งเสริมการประกอบธุรกิจประกันภัย (สำนักงาน คปภ.) โดยสายคุ้มครองสิทธิประโยชน์ สายส่งเสริมและประกันภัยภูมิภาค สำนักงาน คปภ. ภาค 1 (เชียงใหม่) และสำนักงาน คปภ. จังหวัดเชียงใหม่ ในฐานะเจ้าของพื้นที่เกิดเหตุได้ตรวจสอบข้อมูลการทำประกันภัย พร้อมทั้งติดตามรายงานความเสียหายอย่างเร่งด่วนผ่าน Platform การรายงานข้อมูลกรณีอุบัติภัยกลุ่มหรือรายใหญ่ด้วยระบบอิเล็กทรอนิกส์ รวมทั้งลงพื้นที่เพื่ออำนวยความสะดวกด้านประกันภัยให้กับครอบครัวของผู้ประสบภัยอย่างเต็มที่ เพื่อให้ระบบประกันภัยช่วยบรรเทาความเดือดร้อนให้กับครอบครัวของผู้เสียชีวิตและบาดเจ็บได้อย่างมีประสิทธิภาพและเป็นธรรม

ทั้งนี้ สำนักงาน คปภ. จังหวัดเชียงใหม่ ได้ลงพื้นที่ทันทีและจากการตรวจสอบเบื้องต้นพบว่า รถกระบะ หมายเลขทะเบียน ผห 5347 เชียงใหม่ จัดทำประกันภัยรถยนต์ภาคบังคับ (พ.ร.บ.) ไว้กับบริษัท บางกอกสหประกันภัย จำกัด (มหาชน) เริ่มคุ้มครองวันที่ 7 มีนาคม 2567 ถึงวันที่ 24 กุมภาพันธ์ 2568 กรมธรรม์ให้ความคุ้มครองกรณีเสียชีวิต หรือทุพพลภาพถาวรสิ้นเชิง 500,000 บาทต่อคน กรณีบาดเจ็บค่ารักษาสูงสุดไม่เกิน 80,000 บาทต่อคน กรณีสูญเสียอวัยวะ 200,000-500,000 บาทต่อคน กรณีทุพพลภาพอย่างถาวร 300,000 บาทต่อคน และกรณีเข้ารักษาในสถานพยาบาลในฐานะคนไข้ในจะได้รับค่าชดเชยรายวัน 200 บาทต่อวัน รวมกันไม่เกิน 20 วัน

ในส่วนของรถตู้โรงพยาบาล หมายเลขทะเบียน จง 8142 เชียงใหม่ จััดทำประกันภัยรถยนต์ภาคบังคับ (พ.ร.บ.) ไว้กับบริษัท กรุงเทพประกันภัย จำกัด (มหาชน) เริ่มคุ้มครองวันที่ 15 สิงหาคม 2566 ถึงวันที่ 15 สิงหาคม 2567 กรมธรรม์ให้ความคุ้มครองกรณีเสียชีวิต หรือทุพพลภาพถาวรสิ้นเชิง 500,000 บาทต่อคน กรณีบาดเจ็บค่ารักษาสูงสุดไม่เกิน 80,000 บาทต่อคน กรณีสูญเสียอวัยวะ 200,000-500,000 บาทต่อคน กรณีทุพพลภาพอย่างถาวร 300,000 บาทต่อคนและกรณีเข้ารักษาในสถานพยาบาลในฐานะคนไข้ในจะได้รับค่าชดเชยรายวัน 200 บาทต่อวัน รวมกันไม่เกิน 20 วัน นอกจากนี้มีการทำประกันภัยรถยนต์ภาคสมัครใจ (ประเภท 1) ไว้กับบริษัท กรุงเทพประกันภัย จำกัด (มหาชน) เริ่มความคุ้มครองวันที่ 15 สิงหาคม 2566 ถึงวันที่ 15 สิงหาคม 2567 โดยกรมธรรม์ให้ความคุ้มครองต่อความเสียหายต่อชีวิต ร่างกาย หรืออนามัยของบุคคลภายนอก จำนวน 1,000,000 บาทต่อคน 10,000,000 บาทต่อครั้ง ความเสียหายต่อทรัพย์สินบุคคลภายนอก 5,000,000 บาทต่อครั้ง ความเสียหายต่อรถยนต์ 980,000 บาท รถยนต์สูญหาย/ไฟไหม้ 980,000 บาท สำหรับความคุ้มครองอุบัติเหตุส่วนบุคคลตามเอกสารแนบท้ายกรมธรรม์ กรณีเสียชีวิต สูญเสียอวัยวะ ทุพพลภาพถาวร (ร.ย. 01) ผู้ขับขี่/ผู้โดยสาร 6 คน ๆ ละ  2,000,000 บาท และค่ารักษาพยาบาล (ร.ย. 02) จำนวน 500,000 บาทต่อคน ประกันตัวผู้ขับขี่ (ร.ย. 03) 200,000 บาทต่อครั้ง

สำหรับการติดตามค่าสินไหมทดแทนให้กับครอบครัวของผู้เสียชีวิตจากเหตุการณ์ครั้งนี้ ขณะนี้ผลคดีอยู่ระหว่างการสืบสวนสอบสวนของพนักงานสอบสวน โดยเบื้องต้นทายาทโดยธรรมของผู้ประสบอุบัติเหตุที่เสียชีวิต จำนวน 4 ราย จะได้รับความคุ้มครองจากกรมธรรม์ประกันภัย ดังนี้

  1. ผู้ขับขี่รถกระบะมีสิทธิได้รับค่าเสียหายเบื้องต้นเป็นค่าปลงศพ จากกรมธรรม์ประกันภัยรถยนต์ภาคบังคับ (พ.ร.บ.) จำนวน 35,000 บาท
  2. ผู้โดยสารรถกระบะที่เสียชีวิต จำนวน 2 ราย มีสิทธิได้รับค่าสินไหมทดแทนจากกรมธรรม์ประกันภัยรถยนต์ภาคบังคับ (พ.ร.บ.) รายละ 500,000 บาท
  3. ผู้โดยสารรถตู้โรงพยาบาลที่เสียชีวิต จำนวน 1 ราย มีสิทธิได้รับค่าสินไหมทดแทนจากกรมธรรม์ประกันภัยรถยนต์ภาคบังคับ (พ.ร.บ.) จำนวน 500,000 บาท และจากกรมธรรม์ประกันภัยรถยนต์ภาคสมัครใจ ประเภท 1 กรณีความคุ้มครองอุบัติเหตุส่วนบุคคลตามเอกสารแนบท้ายกรมธรรม์ กรณีเสียชีวิต สูญเสียอวัยวะ ทุพพลภาพ รายละ 2,000,000 บาท รวมเป็นเงินที่ทายาทจะได้รับรายละ 2,500,000 บาท
  4. ผู้บาดเจ็บที่รักษาตัวอยู่ที่โรงพยาบาลแม่แตง โรงพยาบาลพร้าว โรงพยาบาลสันทราย โรงพยาบาลนครพิงค์ สำนักงาน คปภ. จังหวัดเชียงใหม่ ได้ประสานกับบริษัทประกันภัยเข้าไปอำนวยความสะดวกและรับรองสิทธิค่ารักษาพยาบาลกับโรงพยาบาลโดยตรง โดยผู้บาดเจ็บไม่ต้องสำรองจ่ายค่ารักษาตามสิทธิแต่อย่างใด

ต่อมาเมื่อวันที่ 10 พฤษภาคม 2567 สำนักงาน คปภ. ภาค 1 (เชียงใหม่) และสำนักงาน คปภ. จังหวัดเชียงใหม่ ได้ประสานงานกับบริษัท บางกอกสหประกันภัย จำกัด (มหาชน) บริษัท กลางคุ้มครองผู้ประสบภัยจากรถ จำกัด สาขาเชียงใหม่ และบริษัท กรุงเทพประกันภัย จำกัด (มหาชน) เพื่อรวบรวมเอกสารและอำนวยความสะดวกเพื่อดำเนินการชดใช้ค่าสินไหมทดแทนอย่างรวดเร็วแล้ว ซึ่งขณะนี้อยู่ระหว่างรอทายาทโดยธรรมจัดเตรียมเอกสารให้แก่บริษัทประกันภัย

นอกจากนี้ สำนักงาน คปภ. อยู่ระหว่างบูรณาการร่วมกับสมาคมประกันชีวิตไทย และสมาคมประกันวินาศภัยไทย เพื่อตรวจสอบเพิ่มเติมว่า ผู้ประสบภัยหรือผู้เสียชีวิตในเหตุการณ์ครั้งนี้มีการทำประกันภัยเพิ่มเติมนอกเหนือจากนี้อีกหรือไม่ หากตรวจสอบพบว่ามีการทำประกันภัยก็จะได้รับสิทธิตามสัญญาประกันภัยที่ระบุไว้ทุกประการ

Page 1 of 23
X

Right Click

No right click