กล่าวว่า จากสถานการณ์การแพร่ระบาดของโควิด-19 ระลอกใหม่ในช่วงปี 2564 รวมถึงสายพันธุ์โอไมครอนที่กำลังแพร่ระบาดอยู่ในขณะนี้ บริษัทฯยังคงยืนยันว่าสามารถควบคุมค่าสินไหมจากกรมธรรม์ประกันภัยโควิด-19 ในปัจจุบันได้ เนื่องจากกรมธรรม์ที่บริษัทฯขายอยู่ให้ความคุ้มครองเฉพาะการเจ็บป่วยด้วยภาวะโคม่าเท่านั้น และบริษัทฯไม่เคยขายกรมธรรม์ประกันโควิดแบบเจอจ่ายจบ อย่างไรก็ดีในส่วนของการให้บริการลูกค้านั้น บริษัทฯยังคงมุ่งมั่นที่จะให้บริการอย่างสุดความสามารถ เพื่อบรรเทาผลกระทบของลูกค้าที่ได้รับผลกระทบจากการแพร่ระบาดของโควิด-19 นอกจากนี้เพื่อเป็นการอำนวยความสะดวกให้กับลูกค้า บริษัทฯยังได้พัฒนาระบบการเคลมหรือติดตามสถานะ ผ่าน แอปพลิเคชัน TIP flash claim , Facebook , Line OA ของทิพยประกันภัย ดังนั้นขอให้มั่นใจว่าบริษัทฯพร้อมให้การดูแลลูกค้าและประชาชนที่ถือกรมธรรม์ของบริษัทฯ ตามเงื่อนไขที่กำหนดไว้ในกรมธรรม์และสอดคล้องกับแนวทางปฏิบัติทางการแพทย์ในการดูแลผู้ป่วยโควิด-19 รูปแบบผู้ป่วยในของกระทรวงสาธารณสุข ทุกกรมธรรม์
ดร.สมพร กล่าวต่อว่า ในส่วนของฐานะทางการเงิน อัตราส่วนความเพียงพอของเงินกองทุน (Capital Adequacy Ratio : CAR) ณ ไตรมาส 3/64 ของบริษัททิพยประกันภัยอยู่ที่ 253 % ซึ่งสูงกว่าที่กำหนดไว้ตามเกณฑ์ของ คปภ. ที่มาก ทำให้บริษัทฯยังคงสถานะที่แข็งแกร่ง สามารถรับมือกับสถานการณ์ที่เกิดขึ้นในปัจจุบันได้อย่างแน่นอน และเราก็มีความมุ่งมั่นตั้งใจ ที่จะดูแลและบรรเทาความเดือดร้อนให้กับลูกค้าที่ถือกรมธรรม์โควิด-19 ของบริษัทฯทุกท่าน โดยได้มีการบริหารจัดการในทุกภาคส่วน รวมถึงการพิจารณาสินไหมทดแทนอย่างดีที่สุดขอให้ลูกค้าและประชาชนมั่นใจได้ว่าจะได้รับความคุ้มครองตามเงื่อนไขตลอดอายุของกรมธรรม์ที่ซื้อไว้อย่างแน่นอน
“ในส่วนของภาพใหญ่ภายใต้แผนการดำเนินธุรกิจของ บมจ. ทิพย กรุ๊ป โฮลดิ้งส์ หรือ TIPH บริษัทฯ ยังคงเดินหน้าตามแผนที่ได้รับการอนุมัติจากผู้ถือหุ้นไว้ หลังจากที่ในเดือน ม.ค.2565 ได้ประกาศเข้าซื้อกิจการรวดเดียวไปแล้ว 2 บริษัทในธุรกิจสนับสนุนประกันภัย (Insurance Supported Business) ได้แก่ บริษัท อะมิตี้ อินชัวร์รันซ์ โบรคเกอร์ จำกัด หรือ Amity ซึ่งประกอบธุรกิจตัวแทนและนายหน้าประกันวินาศภัยครบวงจร และ บริษัท ดีพี เซอร์เวย์ แอนด์ลอว์ จำกัด หรือ DP Survey ซึ่งประกอบธุรกิจสำรวจอุบัติเหตุและประเมินความเสียหายในธุรกิจประกันวินาศภัยครบวงจร ขณะที่ก้าวต่อไปของ TIPH คือการเดินหน้าการศึกษาความเป็นไปได้ในการเข้าซื้อกิจการของบริษัทประกันภัย เพื่อรองรับการแยกหน่วยธุรกิจประกันภัยที่มีศักยภาพของบริษัทในกลุ่ม ออกเป็นบริษัทประกันภัยใหม่ (Spin-Off) อย่างน้อย 1 บริษัทในปีนี้ ซึ่งผมเชื่อมั่นว่าบริษัทประกันภัยใหม่ที่กำลังจะเกิดขึ้นภายใต้แผนของบริษัทฯ จะสร้างมิติใหม่ให้กับวงการประกันภัยในประเทศไทยได้อย่างแน่นอน” ดร.สมพร กล่าวทิ้งท้าย