ปิดฉากอย่างงดงามสมเป็นงานใหญ่แห่งปี Smart SME EXPO 2019 ที่บริษัท พีเอ็มจี คอร์ปอเรชั่น จำกัด สานแนวร่วมภาครัฐ ภาคเอกชน เหล่าธนาคาร และหน่วยงาน พันธมิตร จัดขึ้นเพื่อร่วมกันผลักดันและขับเคลื่อนผู้ประกอบการเอสเอ็มอีและเศรษฐกิจไทยให้เติบโตในโลกยุคดิจิทัล ภายใต้แนวคิด "ที่เดียวจบพบทางรวย"  โดยในปีนี้ได้รับความสนใจจากผู้เข้าเยี่ยมชมงานเกินความคาดหมาย รวมยอดคนเข้างาน 110,250 คน หนุนให้ยอดจองสินเชื่อในงานทะลุ  2,051.79 ล้านบาท   สร้างเงินสะพัดในงานได้มากถึง  2,685 .ล้านบาท

คุณพิสิษฐ์  ประกิจวรพงษ์ กรรมการผู้จัดการ บริษัท พีเอ็มจี คอร์ปอเรชั่น จำกัด กล่าวว่า "การจัดงาน Smart SME EXPO 2019 ในปีนี้ได้รับการตอบรับจากผู้เข้าชมงานอย่างล้นหลาม โดยการจัดงานทั้ง 4 วันมียอดคนเข้าร่วมงานทั้งสิ้น 110,250 คน เรียกว่าเกินความคาดหมาย โดยส่วนใหญ่ตั้งใจเข้ามาเลือกซื้อ

แฟรนไชส์ในงาน ทำให้ยอดขายแฟรนไชส์สร้างมูลค่าถึง 127,389,844 บาท แฟรนไชส์ที่ได้รับความนิยมคือ แฟรนไชส์คลังน้ำมันออสซี่ออยล์  ชายสี่บะหมี่เกี๊ยว และ คัฟฟ่า คอฟฟี่เมคเกอร์  นอกจากนี้ยอดขอสินเชื่อในงานก็ทำยอดทุบสถิติเช่นกัน โดยยอดรวมขอสินเชื่อในงานสูงถึง 2,051,790,002 บาท  ซึ่งปีนี้ธนชาตครองแชมป์มียอดขอสินเชื่อสูงถึง 642 ล้านบาท, ออมสิน 466.48 ล้านบาท,  SME D Bank 356.91 ล้านบาท, กสิกรไทย 209.60 ล้านบาท, Exim Bank 161.20 ล้านบาท, ทีเอ็มบี 60 ล้านบาท, ธนาคารกรุงเทพ 53 ล้านบาท, ธ.ก.ส. 42.60 ล้านบาท ส่วน บสย.มียอดค้ำสินเชื่อ 203.70 ล้านบาท และ.พิเศษในงานนี้ ธอส. ยังได้ยอดจองสินเชื่อบ้านดอกเบี้ยต่ำสูงถึง 3,096.27 ล้านบาทในงานอีกด้วย

สำหรับการเจรจาจับคู่ธุรกิจภายในงานได้รับเสียงตอบรับเป็นอย่างดีจากผู้ประกอบการที่มีการเตรียมความพร้อมในการพัฒนาคุณภาพสินค้าเพื่อเข้าสู่ตลาดใหญ่ในประเทศและตลาด CLMV ซึ่งสินค้าที่ได้รับความนิยมในการเจรจาจับคู่ธุรกิจทั้งในประเทศและ CLMV เป็นกลุ่มสินค้าอาหารและเครื่องดื่ม โดยยอดเจรจาจับคู่ธุรกิจภายในงานมูลค่ารวมอยู่ที่ 350 ล้านบาท ส่วนการสัมมนาให้ความรู้และอบรมอาชีพภายในงานมีผู้สนใจเข้าร่วมกว่า 1,245 คน โดยหัวข้อที่ได้รับความนิยมสูงสุด คือความรู้ในเรื่องการใช้สื่อโซเชียลมีเดียมาประยุกต์ใช้ในการทำธุรกิจ ซึ่งสอดรับกับการทรานฟอร์มธุรกิจให้ทันโลกยุค 4.0 ในปัจจุบัน

จากภาพรวมการจัดงาน Smart SME EXPO 2019 สะท้อนให้เห็นว่าแม้เศรษฐกิจโดยรวมของประเทศจะชะลอตัว  แต่คนส่วนใหญ่กลับตื่นตัวและให้ความสนใจในเรื่องลงทุนทำธุรกิจอย่างคึกคัก ช่วยกระตุ้นเศรษฐกิจของประเทศกลับมามีชีวิตชีวา  เป็นไปตามความมุ่งหมายของผู้จัดงานที่ต้องการให้ Smart SME EXPO 2019 เป็นเวทีกลางในการเชื่อมโยงหน่วยงานภาครัฐ และเอกชน รวมทั้งหน่วยงานต่าง ๆ ในการสนับสนุนส่งเสริมผู้ประกอบการไทยให้เติบโตอย่างยั่งยืนในทุกมิติ” คุณพิสิษฐ์ทิ้งท้าย

ธนชาต เดินหน้ารักษาความเป็นธนาคารชั้นนำ ชูแนวคิด “ให้ชีวิตก้าวหน้าได้ทุกวัน : Your Everyday Progress” มุ่งพัฒนาอย่างไม่หยุดยั้ง เพื่อเป็นขุมพลังขับเคลื่อนให้ชีวิตลูกค้า “ก้าวหน้า” และไปถึง “เป้าหมาย” ที่วางไว้ได้สำเร็จ ด้วยผลิตภัณฑ์และบริการที่ตอบโจทย์ทุกความต้องการตลอดเส้นทางชีวิต พร้อมเปิดตัวภาพยนตร์โฆษณา “ก้าว” กำกับโดย ต่อ-ธนญชัย ศรศรีวิชัย ผู้กำกับภาพยนตร์โฆษณาชื่อดัง สะท้อนความมุ่งมั่น-ใส่ใจของพนักงานที่เป็นแรงสนับสนุน-ผลักดันให้ลูกค้าก้าวหน้าไปถึงเป้าหมายของชีวิต

นายประพันธ์ อนุพงษ์องอาจ ประธานเจ้าหน้าที่บริหารและกรรมการผู้จัดการใหญ่ ธนาคารธนชาต จำกัด (มหาชน) กล่าวว่า ในยุคที่ความก้าวหน้าของเทคโนโลยีเข้ามามอบความสะดวกสบายและความรวดเร็วให้กับผู้บริโภค ธนาคารธนชาตตั้งคำถามกับตัวเองว่า อะไรคือสิ่งสำคัญที่ธนาคารควรมอบให้กับลูกค้า คำตอบที่พบคือ ไม่ว่าพฤติกรรมการเข้าถึงผลิตภัณฑ์และบริการทางการเงินของผู้บริโภคจะเปลี่ยนไปตามยุคสมัยอย่างไร แต่สิ่งที่ทุกคนมีเหมือนกันไม่เปลี่ยนคือ เป้าหมายที่วาดหวังไว้ และไม่ว่าเป้าหมายนั้นจะเป็นแบบใด จะเล็กหรือใหญ่ ก็ล้วนมีค่า มีความสำคัญ และต้องการแรงเสริมเพื่อก้าวไปให้ถึงทั้งสิ้น ดังนั้น เป้าหมายของธนชาตที่จะมอบให้กับลูกค้าคือการเป็นแรงผลักดันส่งเสริมให้ชีวิตของลูกค้าก้าวหน้าไปสู่เป้าหมายนั้นได้สำเร็จ

“เรามีความเชื่อว่า ก้าวเล็กๆ ในทุกวัน นำไปสู่ก้าวที่ยิ่งใหญ่เสมอ ก้าวสำคัญของธนชาตในวันนี้ จึงเป็นการนำพาให้ชีวิตของลูกค้าก้าวหน้าได้ทุกวันเพื่อให้ทุกคนไปถึงเป้าหมายที่ตั้งไว้ ด้วยพลังสุดความสามารถของเรา ทั้งจากผลิตภัณฑ์ บริการ และพนักงาน เพราะในวันที่เราเห็นเป้าหมายของลูกค้าเป็นจริง นั่นคือวันที่ธนาคารธนชาตเข้าใกล้เป้าหมายของตัวเองเช่นกัน” นายประพันธ์กล่าว

จากรากฐานความเป็นธนชาตที่ “ริเริ่ม” ความคิดสร้างสรรค์สิ่งใหม่ๆ เพื่อ “เติมเต็ม” ทุกความต้องการของลูกค้าด้วยนโยบายยึดลูกค้าเป็นศูนย์กลาง ธนาคารธนชาตเดินหน้าไปอีกก้าวเพื่อใกล้ชิดกับลูกค้ามากขึ้น และมุ่งมั่นที่จะมอบความก้าวหน้าให้กับลูกค้าในทุกเป้าหมายของชีวิต ในฐานะที่ธนชาต คือ ธนาคารที่มอบความก้าวหน้าให้ลูกค้าได้ทุกๆ วัน หรือ “Your Everyday Progress” ผ่านทางผลิตภัณฑ์และบริการด้านความก้าวหน้าต่างๆ อาทิ

  • Auto Loan – Drive Your Progress: บริการสินเชื่อรถยนต์ ที่จะขับเคลื่อนความก้าวหน้าได้ทุกวัน ไม่ว่าจะเป็นการมอบความก้าวหน้าอีกขั้นของความสะดวกสบายในชีวิต หรือความก้าวหน้าทางธุรกิจในวันที่ลูกค้าต้องการปัจจัยให้ธุรกิจก้าวต่อไปได้โดยไม่มีสะดุด
  • Saving/Investment – Invest for Progress: ผลิตภัณฑ์เงินฝาก/การลงทุนในหลักทรัพย์ ที่จะช่วยให้ทุกการลงทุนของลูกค้ามีกำไรงอกเงยก้าวหน้าได้ทุกวัน
  • Home Loan – Live with Progress: บริการสินเชื่อที่อยู่อาศัย ให้ลูกค้าได้เติมเต็มความอบอุ่นในชีวิตด้วยบ้านในฝัน โดยที่โอกาสความก้าวหน้าไม่ถูกปิดกั้นด้วยภาระผ่อนบ้าน
  • Personal Loan – Experience of Progress: ผลิตภัณฑ์บัตรเครดิต บัตรเดบิตและบัตรกดเงินสดที่ให้ทุกการใช้จ่ายคือประตูให้ลูกค้าก้าวไปสู่ประสบการณ์ใหม่ๆ ของชีวิต

ธนาคารธนชาต จะสื่อสารแนวคิด “ให้ชีวิตก้าวหน้าได้ทุกวัน : Your Everyday Progress” ในทุกช่องทางการสื่อสาร พร้อมถ่ายทอดความมุ่งมั่นและส่งผ่านความเข้าใจผ่านภาพยนตร์โฆษณาเรื่อง “ก้าว” ที่กำกับโดย ต่อ-ธนญชัย ศรศรีวิชัย ผู้กำกับภาพยนตร์โฆษณาชื่อดัง เพื่อสร้างแรงบันดาลใจและผลักดันให้ลูกค้าได้ “ก้าวหน้า” ไปสู่เป้าหมายที่ตั้งไว้ได้สำเร็จ โดยสามารถรับชมภาพยนตร์โฆษณา “ก้าว” ได้ที่เว็บไซต์ www.thanachartbank.co.th เฟซบุ๊ก www.facebook.com/thanachartbank และยูทูบ Thanachart Bank

#ธนาคารธนชาตให้ชีวิตก้าวหน้าได้ทุกวัน #YourEverydayProgress

นางสาวรวิสรา เลิศปัญญาโรจน์ รองกรรมการผู้จัดการ บริษัท ไอแอมไชน่าทาวน์ จำกัด ร่วมแสดงความยินดีกับ นายวิเชียร อัศววรฤทธิ์ กรรมการผู้จัดการ บริษัท บีโซไซตี้ จำกัด ผู้รับสิทธิ์จำหน่ายและทำการตลาดแบรนด์ Yi Fang (อี้ ฟาง) เครื่องดื่มชาผลไม้อันดับหนึ่งของประเทศไต้หวัน ในโอกาสที่ Yi Fang เตรียมเปิดสาขาใหม่ที่ โครงการ I’m Chinatown ศูนย์การค้าที่ใหญ่สุดของย่านเยาวราช

Yi Fang เป็นแบรนด์เครื่องดื่มชาจากประเทศไต้หวันที่มีการเติบโตรวดเร็วที่สุด สามารถขยายสาขาไปทั่วโลกได้ กว่า 1,400 แห่งภายในเวลาเพียง 3 ปี ทั้งในสหรัฐอเมริกา แคนาดา จีน อังกฤษ ญี่ปุ่น ฮ่องกง มาเก๊า ออสเตรเลีย รวมถึงแถบอาเซียน ได้แก่ ฟิลิปปินส์ สิงคโปร์ และเวียดนาม ทั้งยังกำลังจะเปิดสาขาในตลาดใหม่อื่นๆ อาทิ นิวซีแลนด์ มาเลเซีย กัมพูชา เกาหลีใต้ ฝรั่งเศส และไทย โดย Yi Fang ได้รับความนิยมจากนักดื่มชาผลไม้จากทั่วโลก เนื่องจากใช้ส่วนผสมจากธรรมชาติ จึงให้ทั้งรสชาติที่หอมหวานจากผลไม้และความสดชื่น

สำหรับ Yi Fang ที่กำลังจะเปิดตัวที่โครงการ I’m Chinatown จะเป็นสาขาที่มีขนาดใหญ่ที่สุดในไทย โดยนอกจากจะมีสินค้าเครื่องดื่มครบทุกเมนู ทั้งชาผลไม้ ชานม ชาไข่มุกแล้ว ยังมีของหวานนำเข้าจากประเทศไต้หวันมาจำหน่าย เพื่อเอาใจนักท่องเที่ยวทั้งชาวไทยและต่างชาติ รวมถึงผู้อาศัยในย่านไชน่าทาวน์และนักดื่มชาชาวไทย

เตรียมพบกับ Yi Fang และโปรโมชั่นสุดพิเศษในช่วงเปิดสาขาที่ชั้น G โครงการ I'm Chinatown ได้เร็วๆ นี้

กระทรวงพาณิชย์ โดยกรมการค้าภายใน ร่วมกับบริษัท นูเรมเบิร์ก เมสเซ่ จำกัด ประเทศเยอรมนี ร่วมจัดพิธีเปิดงาน BIOFACH Southeast Asia 2019 และ Natural Expo Southeast Asia 2019 ครั้งที่ 2 อย่างเป็นทางการ ระดมผู้ผลิตและผู้ประกอบการที่ได้รับการรับรองมาตรฐานด้านเกษตรอินทรีย์ และมาตรฐานเกี่ยวกับสินค้าธรรมชาติทั้งในประเทศและระดับสากล เข้าร่วมออกบูธแสดงและจำหน่ายสินค้ามากกว่า 300 ราย หรือกว่า 400 บูธ พร้อมร่วมประชุมและการเจรจาธุรกิจ (Business Matching) โชว์ศักยภาพไทยผู้นำด้านการผลิต การค้า และการบริโภคสินค้าระดับสากล ภายใต้แนวคิดการจัดงาน “Organic Gateway to Southeast Asia” ระหว่าง 11 - 14 กรกฎาคมนี้ ณ ฮอลล์ 7 - 8 ศูนย์แสดงสินค้าและการประชุมอิมแพ็ค เมืองทองธานี

นายบุณยฤทธิ์ กัลยาณมิตร ปลัดกระทรวงพาณิชย์ กล่าวว่า งาน BIOFACH Southeast Asia 2019 และ Natural Expo Southeast Asia 2019 เป็นงานแสดงและจำหน่ายสินค้าอินทรีย์และสินค้าธรรมชาติที่ใหญ่ที่สุดในเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ อีกทั้งเป็นเวทีแห่งการเจรจาธุรกิจระดับสากล โดยภายในงานได้รวมเหล่าเกษตรกร ผู้ผลิต และผู้ประกอบการอินทรีย์ของไทยไว้มากที่สุด เสมือนเป็นตลาดการค้าเกษตรอินทรีย์ที่ใหญ่ที่สุดของอาเซียนครั้งที่ 2 โดยความร่วมมือพันธมิตรระหว่างผู้นำด้านการจัดงานแฟร์ออร์แกนิคใหญ่ระดับโลก บริษัท นูเรมเบิร์ก เมสเซ่ จำกัด ประเทศเยอรมนี ภายใต้ความมุ่งหวังปลุกกระแสผู้บริโภคในปัจจุบันให้หันมาบริโภคสินค้าจากธรรมชาติและออร์แกนิคเพื่อสุขภาพที่ดี อีกทั้งยังเป็นการกระตุ้นรากฐานเศรษฐกิจโดยการสนับสนุนเกษตรกรอินทรีย์ไทยให้มีรายได้เพิ่มรวมทั้งมีคุณภาพชีวิตที่ดีขึ้น นอกจากนี้ งานในครั้งนี้ยังถือเป็นการยกระดับสินค้าอินทรีย์ให้ได้มาตรฐานสากล ขณะเดียวกันยังโชว์ศักยภาพความพร้อมของประเทศไทยทั้งทางด้านการเป็นผู้นำด้านการผลิต การค้า และการบริโภคสินค้าอินทรีย์ เพื่อก้าวสู่การเป็นศูนย์กลางการเชื่อมโยง และพัฒนาเกษตรอินทรีย์ในอาเซียนอย่างครบวงจร

สำหรับการจัดแสดงสินค้าในปีนี้ มีจำนวนบูธทั้งสิ้นกว่า 400 บูธ ครอบคลุมสินค้าอินทรีย์ทุกกลุ่มเหมาะสมกับทุกเพศทุกวัย ทั้งอาหาร ผลิตภัณฑ์บำรุงผิว เส้นผม และเครื่องสำอาง, ผลิตภัณฑ์สำหรับแม่และเด็ก, ผลิตภัณฑ์เพื่อสุขภาพสัตว์เลี้ยง, ภาชนะและบรรจุภัณฑ์, สารสกัดสะเดากำจัดแมลงศัตรูพืช, ปุ๋ยอินทรีย์, สินค้าไบโอออร์แกนิคสำหรับใช้ในบ้านแทนสารเคมี รวมทั้งบริการอินทรีย์ เช่น ร้านอาหาร โรงแรม ร้านสปา และสถานที่ท่องเที่ยว โดยปีนี้ได้แบ่งบูธและการจัดพื้นที่ออกเป็น 6 โซน ได้แก่ 1) โซนสินค้าอินทรีย์มาตรฐานสากล 2) โซนสินค้าอินทรีย์มาตรฐานภายในประเทศ 3) โซนสินค้าธรรมชาติ 4) โซนร้านอาหารอินทรีย์ เช่น Lemon Farm, รังสิตฟาร์ม, อริยะ ออร์แกนิค คาเฟ่, กินดีเฮลตี้ปิ่นโต, เพาะรักฟู้ดโปรดักส์, บจก.ฮาร์โมนี ไลฟ์ อินเตอร์เนชั่นแนล และบจก.คิงด้อม ออร์แกนิค เนทเวิร์ค (ไทยแลนด์) โดยมาพร้อมกับเมนูเด็ด ได้แก่ น้ำพริกเผาลูกหม่อน, บะหมี่ผักโมโรเฮยะปรุงสำเร็จ, ข้าวเหนียวอัญชันหมูหลุมทอด, ขนมจีบ ซาลาเปา ออร์แกนิค, ข้าวอบธัญพืช, รวมทั้งเมนูมังสวิรัติและเครื่องดื่มเพื่อสุขภาพอีกเพียบ 5) โซนคลินิกให้คำปรึกษาแนะนำจากหน่วยงานภาครัฐและเอกชนกว่า 10 หน่วยงาน และ 6) คูหาพิเศษ เช่น คูหามูลนิธิแก้วเกษตร, Organic Village ที่จำหน่ายสินค้าท้องถิ่นจากชุมชนหมู่บ้าน, กรมการค้าต่างประเทศ, ASEAN Pavilion, Sacict เป็นต้น

นายบุณยฤทธิ์ กล่าวต่อว่า “ในปีนี้มีสินค้านวัตกรรมที่น่าสนใจ อาทิ ผลิตภัณฑ์จากข้าวอินทรีย์ เช่น เส้นพาสต้า, สปาเก็ตตี้, น้ำนมข้าวยาคูออร์แกนิค, อาหารเสริมสำหรับเด็ก, น้ำส้มสายชูหมักจากน้ำกะทิไขมันต่ำอินทรีย์, ซอสปรุงรสจากมะพร้าวอินทรีย์, เวชสำอางออร์แกนิคจาก สะเดาเพื่อรักษาอาการจากโรคผิวหนัง, ผลิตภัณฑ์ Superfood (ธัญพืชสกัด), Energy Gel (เจลให้พลังงานสกัดผลไม้ เช่น องุ่น, สตรอว์เบอร์รี), เครื่องสำอางออร์แกนิค และผลิตภัณฑ์จากกาบหมาก ภาชนะบรรจุภัณฑ์ เป็นต้น ทั้งยังมีกิจกรรมที่น่าสนใจมากมาย อาทิ การสัมมนาทางวิชาการด้านการตลาดสินค้าอินทรีย์ ซึ่งเป็นกิจกรรมหัวใจสำคัญของงาน เพื่อสร้างความแข็งแกร่งทางเครือข่ายการค้า และให้ความรู้ที่ทันสมัยด้านเกษตรอินทรีย์แก่ผู้เข้าร่วมงาน โดยมีหัวข้อที่น่าใจ เช่น ความท้าทายของธุรกิจออร์แกนิคในประเทศไทย, สถานการณ์ด้านธุรกิจผลิตภัณฑ์ออร์แกนิคเพื่อความงามและสุขภาพในประเทศไทย เป็นต้น จากเหล่ากูรูผู้เชี่ยวชาญในแวดวงเกษตรอินทรีย์ทั้งไทยและต่างประเทศ อีกทั้งยังมีเวิร์คช้อปสร้างอาชีพเสริมรายได้ เช่น สาธิตการจัดทำมอสบอล (โคเคดามะ), จัดสวนขวด, กำยานออร์แกนิค, ลิปบาล์มออร์แกนิค, ยาย้อมผมสีผมออร์แกนิค, ถุงผ้ามัดย้อม เป็นต้น นอกจากนี้ เป็นอีกครั้งที่ภายในงานจัดให้มีวันเจรจาธุรกิจ (Trade day) สำหรับ  ผู้ที่สนใจธุรกิจออร์แกนิคอีกด้วย

ปลัดกระทรวงพาณิชย์ ยังเปิดเผยถึงสถานการณ์ตลาดสินค้าออร์แกนิคโดยภาพรวมว่า “ปัจจุบันความนิยมในการบริโภคสินค้าออร์แกนิคจึงยิ่งแผ่ขยายวงกว้างขึ้นเรื่อยๆ จนกลายเป็นเทรนด์ของโลก ซึ่งจากแนวโน้มดังกล่าวทำให้ตลาดออร์แกนิคโลกมีมูลค่าสูงถึง 104,000 ล้านเหรียญสหรัฐฯ โดยมีอัตราการขยายตัวประมาณปีละ 20% ยุโรปและอเมริกาเหนือ ถือเป็นตลาดเกษตรอินทรีย์ที่ใหญ่ที่สุด ซึ่งมีมูลค่าตลาดรวมกันร้อยละ 90 โดยแบ่งเป็น ตลาดสหรัฐอเมริกา มีมูลค่าประมาณ 45,200 ล้านดอลล่าร์สหรัฐ (สัดส่วนร้อยละ 44) รองลงมาคือ ตลาดเยอรมนี มีมูลค่าประมาณ 10,040 ล้านดอลล่าร์สหรัฐ (สัดส่วนร้อยละ 10) นอกจากนี้ยังมีตลาดโซนอื่นๆ เช่น เอเชีย จีน และออสเตรเลีย ส่วนตลาดสำคัญในภูมิภาคอาเซียน ได้แก่ สิงคโปร์ มาเลเซีย ฟิลิปปินส์ และไทย โดยเฉพาะไทยมีมูลค่าตลาดภายในประเทศประมาณ 3,000 ล้านบาท และมูลค่าการส่งออกประมาณ 2.1 พันล้านบาท และมีอัตราการเติบโตประมาณ 10% ต่อปี”

สำหรับพื้นที่เพาะปลูกเกษตรอินทรีย์ของประเทศไทยจากเดิม 357,091 ไร่ เพิ่มขึ้นมา 83% หรือคิดเป็น 0.652 ล้านไร่ ซึ่งมีพื้นที่ผลิตเกษตรอินทรีย์มากที่สุดเป็นลำดับที่ 3 ในกลุ่มอาเซียน รองจากอินโดนิเชีย และฟิลิปปินส์

ด้านนายวิชัย โภชนกิจ อธิบดีกรมการค้าภายใน กระทรวงพาณิชย์ กล่าวเสริมว่า ด้วยเป้าหมายแห่งการผลักดันออร์แกนิคไทยสู่ประตูการค้าโลก และมุ่งหวังในการเป็นศูนย์กลางการเชื่อมโยงและพัฒนาเกษตรอินทรีย์ในอาเซียน ทางกรมการค้าภายใน กระทรวงพาณิชย์ ได้มีนโยบายจัดทำแผนยุทธศาสตร์การพัฒนาตลาดสินค้าอินทรีย์ตั้งแต่ปี 2560 - 2564 โดยกำหนดยุทธศาสตร์สำคัญไว้ 4 ยุทธศาสตร์ อันได้แก่ 1) การสร้างการรับรู้ของผู้เกี่ยวข้องตลอดห่วงโซ่อุปทาน 2) ผลักดันมาตรฐานและระบบการรับรองเกษตรอินทรีย์ 3) พัฒนาและขยายตลาดสินค้าและบริการอินทรีย์ และ 4) พัฒนาสร้างมูลค่าสินค้าและบริการอินทรีย์ ซึ่งจะเป็นการเพิ่มมูลค่าของสินค้าอินทรีย์ไทยให้มากขึ้น ดังนั้นการร่วมมือกับทางบริษัท นูเรมเบิร์ก เมสเซ่ จำกัด ประเทศเยอรมนี จัดงาน BIOFACH Southeast Asia 2019 และ Natural Expo Southeast Asia 2019 งานแสดงและจำหน่ายสินค้าอินทรีย์และสินค้าธรรมชาติที่ใหญ่ที่สุดในเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ ครั้งที่ 2 จึงเป็นการต่อยอดความสำเร็จจากแนวคิดการจัดงานในปี 2018 : Southeast Asia ; Home of Organic ที่ผ่านมา อีกทั้งไทยเป็นประเทศที่มีศักยภาพในการผลิตอาหารที่มีคุณภาพ  และได้มาตรฐานเป็นที่ต้องการของประชากรโลก บวกกับความพร้อมด้านภูมิศาสตร์และการขนส่งที่ดี จึงมีความได้เปรียบสูงที่จะก้าวขึ้นเป็นผู้นำเกษตรอินทรีย์ของอาเซียน ซึ่งด้วยองค์ประกอบดังกล่าวจะช่วยสร้างความแตกต่างทางด้านคุณภาพให้กับสินค้าออร์แกนิคของไทย และช่วยขยายตลาด ตลอดจนเพิ่มมูลค่าการส่งออกในทุกปีอย่างแน่นอน

ทั้งนี้กรมการค้าภายใน กระทรวงพาณิชย์ คาดว่าตลอดระยะเวลา 4 วัน จะมีผู้เข้าร่วมงานมากกว่า 50,000 คน อีกทั้งจะสามารถสร้างมูลค่าการจำหน่ายสินค้าได้ไม่ต่ำกว่า 72 ล้านบาท หรือเพิ่มขึ้น 97% ดังนั้นเพื่อเป็นการร่วมส่งเสริม ผลักดัน พร้อมร่วมเปิดโอกาสทางการค้าและการส่งออกสินค้าเกษตรอินทรีย์ไปตลาดในภูมิภาคและทั่วโลก จึงขอเชิญชวนผู้สนใจสามารถร่วมชมงาน “BIOFACH Southeast Asia 2019 และ Natural Expo Southeast Asia 2019” ได้ในระหว่างวันที่ 11 - 14 ก.ค. 62 ณ ฮอลล์ 7 - 8 ศูนย์แสดงสินค้าและการประชุมอิมแพ็ค เมืองทองธานี โดยวันเจรจาธุรกิจ B2B (Trade day) วันที่ 11 - 12 กรกฎาคม เวลา 10.00 - 12.30 น. และสำหรับผู้เข้าชมทั่วไป วันที่ 11 - 12 กรกฎาคม เวลา 12.30 - 20.00 น. วันที่ 13 กรกฎาคม เวลา 10.00 - 20 .00 น. และวันที่ 14 กรกฎาคม เวลา 10.00 - 19.00 น. สามารถติดตามข้อมูลได้ทางเว็บไซต์ http://th.biofach-southeastasia.com หรือทาง Facebook Fanpage : Organic & Natural Expo หรือโทร.02-507-5723

สำนักงานสลากกินแบ่งรัฐบาล โดย นายธนวรรธน์ พลวิชัย กรรมการและโฆษกคณะกรรมการสลากกินแบ่งรัฐบาล พร้อมด้วย พันตำรวจเอกบุญส่ง จันทรีศรี ผู้อำนวยการสำนักงานสลากกินแบ่งรัฐบาล และคณะผู้บริหาร จัดงานแถลงข่าวโครงการสลากสรรค์สร้างเพื่อชุมชน ปี 2562

เมื่อเร็วๆ นี้ ณ ศาลาสายลมจอย ตลาดคลองลัดมะยม เขตตลิ่งชัน กรุงเทพมหานคร นายธนวรรธน์ พลวิชัย ในฐานะโฆษกคณะกรรมการสลากกินแบ่งรัฐบาล กล่าวต่อผู้สื่อข่าวว่า "วัตถุประสงค์เพื่อส่งเสริมเศรษฐกิจ สร้างงานสร้างอาชีพให้กับสมาชิกในชุมชนที่มีสมาชิกหลากหลายทั้งผู้พิการ ผู้สูงอายุ เด็กและเยาวชน โดยสำนักงานสลากฯ ทำหน้าที่เป็นส่วนหนึ่งของสังคม ด้วยการนำความรู้ด้านการตลาด และวิชาการต่างๆ ที่เหมาะสมกับแต่ละชุมชน"

สำหรับการดำเนินการนั้น ได้มีการเปิดรับสมัครชุมชนที่มีเอกลักษณ์ของภูมิปัญญาท้องถิ่น มีศักยภาพการบริหารจัดการชุมชน การผลิตสินค้าและบริการของชุมชน และมีสภาพแวดล้อม วิถีชีวิตที่เอื้อต่อการส่งเสริมการท่องเที่ยว ในพื้นที่ชุมชนใกล้เคียงสำนักงานฯ (สนามบินน้ำ) ชุมชนใกล้เคียงสำนักงาน (สำนักการพิมพ์ เอกมัย) และชุมชนในพื้นที่ภาคกลาง ซึ่งมีชุมชนที่สนใจส่งใบสมัครเข้าร่วมโครงการทั้งหมด 31 ชุมชน ได้ทำการคัดเลือกชุมชนที่มีความพร้อมในการเข้าร่วมโครงการ 7 ชุมชน ได้แก่

 ⁃ ชุมชนใกล้เคียงสำนักงานฯ (สนามบินน้ำ) ได้แก่ ชุมชนคนบางกรวย (ปลายบาง) จังหวัดนนทบุรี

 ⁃ ชุมชนใกล้เคียงสำนักงาน (สำนักการพิมพ์ เอกมัย) ได้แก่ ชุมชนชุมกลุ่มคลองพระโขนง กรุงเทพมหานคร

 ⁃ ชุมชนตลาดบางหลวง ร.ศ. 122 จังหวัดนครปฐม

 ⁃ ชุมชนย่านเก่าวังกรด จังหวัดพิจิตร

 ⁃ ชุมชนท่องเที่ยว OTOP นวัตวิถี ตลาดริมน้ำเมืองแพรก จังหวัดชัยนาท

 ⁃ ชุมชนพิกุลทองสามัคคี จังหวัดสิงห์บุรี

 ⁃ ชุมชนพุน้ำร้อน จังหวัดสุพรรณบุรี

หลังจากนี้ จะส่งทีมผู้เชี่ยวชาญลงไปในพื้นที่เพื่อวิเคราะห์จัดทำแผนการพัฒนาชุมชน ทั้ง 7 ชุมชน และดำเนินการตามแผนที่วางไว้ โดยจะจัดทำโลโก้รวมถึงสโลแกนของชุมชน จัดทำป้ายบอกทาง จัดทำป้ายบอกเส้นทางท่องเที่ยวในชุมชน จัดทำแผ่นผับประชาสัมพันธ์ การท่องเที่ยวชุมชน ฝึกการประชาสัมพันธ์ข่าวสารของชุมชนผ่านสื่อออนไลน์ อาทิ FACEBOOK และพัฒนาผลิตภัณฑ์และบรรจุภัณฑ์ของสินค้าชุมชน รวมถึงการพัฒนาทักษะคนในชุมชนให้สามารถผลิตผลิตภัณฑ์ และบรรจุภัณฑ์ที่พัฒนาขึ้นได้ด้วยตนเอง พร้อมทั้ง  นำเรื่องราวการพัฒนาชุมชนของทั้ง 7 ชุมชน มาผลิตเป็นรายการโทรทัศน์ชื่อ "รายการสลากสรรค์สร้างเพื่อชุมชน" และเผยแพร่ออกอากาศทางสถานีโทรทัศน์ช่องอมรินทร์ทีวี ช่อง 34 ทุกวันอาทิตย์ เวลา 14.00 -14.30 น เริ่มออกอากาศตอนแรกวันอาทิตย์ที่ 29 กันยายน 2562 นี้ และสามารถติดตามความคืบหน้าในการดำเนินโครงการสลากสรรค์สร้างเพื่อชุมชน ได้ที่ facebook สลากสรรค์สร้างเพื่อชุมชน

 

โฆษกคณะกรรมการสลากฯ กล่าวในตอนท้ายว่า โครงการสลากสรรค์สร้างเพื่อสังคมนี้ จะสามารถเติมเต็มความรู้ด้านวิชาการระหว่างหน่วยงานของรัฐและชุมชนซึ่งมีทรัพยากร และความมุ่งมั่น ตลอดจนสร้างการรับรู้ในศักยภาพของแต่ละชุมชน และต่อยอดให้ชุมชนเข้มแข็งอย่างยั่งยืน ซึ่งจะส่งผลให้สมาชิกมีการงานอาชีพ มีรายได้ มีความสุขจากความภาคภูมิใจในอัตลักษณ์ของชุมชน สามารถแก้ไขปัญหาสังคม ไม่ว่าจะเป็นปัญหายาเสพติดหรือการเล่นพนันออนไลน์ในเด็กและเยาวชน รวมถึงการพนันอื่นๆ  ซึ่งสำนักงานสลากฯ มีความแน่วแน่ในการไม่สนับสนุนให้เล่นการพนันทุกประเภทอยู่แล้ว

X

Right Click

No right click