ตอกย้ำการเป็นพันธมิตรเคียงข้างเอสเอ็มอีและลูกค้าธุรกิจ เติบโตอย่างยั่งยืน

กรุงศรี (ธนาคารกรุงศรีอยุธยา จำกัด (มหาชน)) สานต่อคำมั่นสัญญาในการยืนหยัดเคียงข้างผู้ประกอบการ SME ไทยในทุกการก้าวผ่าน เผยกลยุทธ์กลุ่มงานลูกค้าธุรกิจ SME ในปี 2567 มุ่งมั่นสนับสนุนลูกค้าในการสร้างมูลค่าควบคู่กับการเติบโตอย่างยั่งยืนให้กับธุรกิจผ่านกลยุทธ์ 3GO ประกอบด้วย ‘GO Green, GO Digital และ GO Beyond’ นำเสนอโซลูชันที่ตอบโจทย์ครอบคลุมทั้งการดำเนินธุรกิจตามกรอบ ESG การใช้เทคโนโลยีดิจิทัลและนวัตกรรม รวมถึงแพลตฟอร์มที่ช่วยสร้างโอกาสธุรกิจ เพื่อเตรียมความพร้อมให้ผู้ประกอบการสามารถปรับตัวรับโอกาสการเติบโตสู่ก้าวที่ยั่งยืนต่อไป

นางสาวดวงกมล ลิมป์พวงทิพย์ ประธานคณะเจ้าหน้าที่ด้านลูกค้าธุรกิจ SME ธนาคารกรุงศรีอยุธยา จำกัด (มหาชน) กล่าวว่า “ด้วยโอกาสและความท้าทายในหลากหลายมิติในช่วงปีที่ผ่านมา กรุงศรียังคงยืนหยัดเคียงข้างผู้ประกอบการในการรับมือกับความท้าทายที่เกิดขึ้นผ่านโซลูชันที่ครบวงจร และองค์ความรู้ต่างๆ ที่สอดคล้องกับความต้องการและกระแสของโลกธุรกิจ โดยในปี 2566 ยอดสินเชื่อกลุ่มลูกค้าธุรกิจ SME มีอัตราเติบโตอยู่ที่ 11% เมื่อเทียบกับปีก่อนหน้า สอดคล้องกับการฟื้นตัวของเศรษฐกิจที่กลับสู่ระดับก่อนเกิดการระบาดของโควิด และมียอดสินเชื่อคงค้างกว่า 339,000 ล้านบาท ซึ่งในจำนวนดังกล่าวเป็นยอดสินเชื่อที่เชื่อมโยงกับนโยบายด้านความยั่งยืน (ESG Finance) ของกลุ่มลูกค้า SME มีมูลค่ารวมกว่า 6,100 ล้านบาทในปีที่ผ่านมา”

สำหรับทิศทางการดำเนินงานและกลยุทธ์ในปี 2567 นี้ กรุงศรีพร้อมเดินหน้าส่งเสริมและสนับสนุนธุรกิจ SME ไทย ด้วยการสร้างมูลค่าเพิ่ม พร้อมผลักดันการดำเนินธุรกิจบนกรอบการพัฒนาอย่างยั่งยืน ผ่านกลยุทธ์ “3GO” โดยมีรายละเอียดดังนี้

  • GO Green: มุ่งสนับสนุน SME ในการเปลี่ยนผ่านธุรกิจสู่ความยั่งยืน ด้วยการนำเสนอผลิตภัณฑ์ทางการเงินที่ตอบโจทย์ความต้องการด้านการดูแลสิ่งแวดล้อม โดยมีวัตถุประสงค์หลักเพื่อลดการปล่อยก๊าซเรือนกระจก นอกจากนี้ กรุงศรี SME ยังคงมุ่งส่งเสริมความรู้ ความเข้าใจ ถึงแนวทางการพัฒนาอย่างยั่งยืน (ESG) ผ่านเวทีสัมมนาต่างๆ อย่างต่อเนื่องตลอดทั้งปี เพื่อให้ลูกค้าได้ตระหนักถึงความสำคัญในเรื่อง ESG และมีโอกาสได้พบกับพันธมิตรหรือเครือข่ายที่สามารถช่วยส่งเสริมในเรื่องดังกล่าว ซึ่งจากผลตอบรับที่ดีในปีที่ผ่านมา กิจกรรม Krungsri ESG Awards ยังคงเกิดขึ้นอย่างต่อเนื่องเป็นปีที่สอง รวมถึงยังได้เตรียมเปิดโครงการ Krungsri ESG Academy เป็นปีแรกอีกด้วย อีกทั้งในปีนี้ กรุงศรี ร่วมกับ MUFG จัดงาน Krungsri-MUFG ESG Symposium 2024 มุ่งสร้างพลังเครือข่ายความร่วมมือระหว่างองค์กรพันธมิตรที่มีวิสัยทัศน์และพันธกิจด้าน ESG ทั้งในและต่างประเทศ ในการให้คำปรึกษา แนะนำ ส่งต่อแนวคิด และการนำมาปรับใช้อย่างเป็นรูปธรรมให้แก่ลูกค้าธุรกิจของธนาคาร
  • GO Digital: ปลดล็อกศักยภาพธุรกิจด้วยโซลูชันและนวัตกรรมดิจิทัลที่ช่วยเสริมสร้างขีดความสามารถในการแข่งขัน พร้อมช่วยอำนวยความสะดวกให้กับลูกค้า SME ในการทำธุรกรรมต่างๆ ผ่านแพลตฟอร์ม Krungsri Biz Online ซึ่งในปีนี้ ธนาคารมีแผนจะพัฒนาฟีเจอร์ต่างๆ ให้มีประสิทธิภาพและปลอดภัยมากยิ่งขึ้น อาทิ การขยายเครือข่ายการให้บริการโอนเงินระหว่างประเทศ Peer-to-Peer Cross Border แบบเรียลไทม์ ให้ครอบคลุมในกลุ่มประเทศอาเซียนมากยิ่งขึ้น โดยในปีนี้มีแผนที่จะขยายการบริการไปยังประเทศเวียดนาม รวมถึงการยกระดับโซลูชันสำหรับร้านค้าในยุคสังคมไร้เงินสด อาทิ Krungsri EDC Plus บริการรับชำระค่าสินค้าหรือบริการด้วยบัตรเครดิต และบัตรเดบิต ที่มีสัญลักษณ์ VISA MasterCard JCB และ UPI จากทุกสถาบันการเงินทั่วโลก พร้อมรองรับการรับชำระเงินออนไลน์ผ่านแอป กรุงศรี มั่งมี ช้อป เป็นต้น
  • GO Beyond: นอกเหนือจากบริการทางเงิน ธนาคารมุ่งเสริมสร้างโอกาสทางธุรกิจให้กับลูกค้า SME ที่มีความพร้อมและศักยภาพในการขยายตลาดทั้งในประเทศและต่างประเทศ โดยเฉพาะในภูมิภาคอาเซียนและประเทศญี่ปุ่น ซึ่งกรุงศรี และ MUFG มีเครือข่ายที่แข็งแกร่ง ซึ่งเป็นจุดแข็งที่สำคัญของกรุงศรี ที่ช่วยให้ลูกค้า SME ได้มีคู่ค้าที่น่าเชื่อถือ ผ่านแพลตฟอร์มจับคู่ธุรกิจ Krungsri Business Link ซึ่งปัจจุบันมีสมาชิกกว่า 2,000 บริษัท โดยปีนี้เราจะมีกิจกรรมออกบูธทั้งในกรุงเทพและต่างจังหวัด เพื่อแนะนำบริการนี้ให้กับธุรกิจทั่วไปอีกด้วย เสริมด้วยกิจกรรมจับคู่ธุรกิจ Krungsri Business Matching กิจกรรมศึกษาดูงาน ณ ประเทศญี่ปุ่น Krungsri Business Journey และ บริการที่ปรึกษาสำหรับลูกค้าที่ต้องการขยายธุรกิจสู่อาเซียน Krungsri ASEAN LINK

“ท่ามกลางสภาวะทางเศรษฐกิจที่เริ่มฟื้นตัวอย่างช้าๆ ประกอบกับปัจจัยการเติบโตทางเศรษฐกิจของไทยที่ยังคงมีความ ท้าทายอยู่อย่างต่อเนื่อง ในปีนี้เราจึงตั้งเป้าการเติบโตของสินเชื่อธุรกิจ SME ที่ระดับ 2-3% และกรุงศรีจะยังคงสานต่อการส่งมอบผลิตภัณฑ์และบริการที่เป็นมากกว่าสถาบันการเงิน ยืนหยัดเคียงข้างผู้ประกอบการให้สามารถดำเนินธุรกิจในทุกวันได้อย่างมีประสิทธิภาพ และพร้อมคว้าโอกาสการเติบโตสู่ก้าวที่ยั่งยืนต่อไป” นางสาวดวงกมล กล่าวปิดท้าย

พลิกทำเลทอง สู่ศูนย์ค้าส่งวัตถุดิบอาหารขนาดใหญ่ ปลุกกำลังซื้อผู้ประกอบการคึกคัก

โฮม่า (HOMA) คอมมิวนิตี้อพาร์ตเมนต์ ผู้นําที่อยู่อาศัยภายใต้แนวคิดการอยู่อาศัยแบบชุมชนในราคาที่เอื้อมถึงได้ สร้างสถิติใหม่ด้วยการประหยัดเงินทุนประมาณ 4 ล้านบาท และลดการปล่อยก๊าซเรือนกระจกลง 950 เมตริกตันในปี 2566 ภายใต้วิสัยทัศน์สู่การพัฒนาอย่างยั่งยืนด้านสิ่งแวดล้อม นำร่องนวัตกรรมการก่อสร้างอาคารและการใช้ชีวิตอย่างยั่งยืน

โฮม่า นำพาอาคารสิ่งปลูกสร้างไปสู่มิติใหม่แห่งการขับเคลื่อนเชิงสิ่งแวดล้อม โดยการบูรณาการมาตรฐานการรับรองอาคารที่ยั่งยืนระดับโลก ยกระดับความรับผิดชอบด้านสิ่งแวดล้อม สังคม และธรรมาภิบาล (ESG) และการตลาดแบบ 'สีเขียว' เพื่อตอบสนองความต้องการและการเติบโตอย่างรวดเร็วของสาธารณชนต่อผลิตภัณฑ์และบริการที่ยั่งยืน

ในปี 2566 โฮม่าสาขาภูเก็ตทาว์น เปิดตัวเป็นสาขาแรกในจังหวัดภูเก็ต พร้อมกับโครงการสิ่งแวดล้อม เช่น การรีไซเคิลและการจัดการขยะอย่างครอบคลุม นำเสนอนวัตกรรมการอนุรักษ์น้ำระบบอัจฉริยะ พลังงานหมุนเวียนจากแผงโซลาร์เซลล์ และเครื่องใช้ไฟฟ้าประหยัดพลังงาน ซึ่งต่อมาที่โฮม่าสาขาที่สองในจังหวัดภูเก็ตที่สาขาเชิงทะเลเปิดให้บริการอย่างเป็นทางการในเดือนมกราคมที่ผ่านมา โดยคาดการณ์การประหยัดเงินสูงถึง 2.5 ล้านบาทในปี 2567

คุณลูก้า ดอตติ ผู้ก่อตั้งและกรรมการผู้จัดการ HOMA กล่าวว่า “ในการพัฒนาโฮม่าเชิงทะเล เราได้นำกลยุทธ์ที่ประสบความสำเร็จจากสาขาภูเก็ตทาว์นมาปรับปรุงให้มีประสิทธิภาพมากขึ้น ประกอบด้วยการติดตั้งเครื่องฟอกอากาศสำหรับคุณภาพอากาศที่ดียิ่งขึ้น และฉนวนกันเสียงที่มีประสิทธิภาพยิ่งขึ้น มอบสภาพแวดล้อมที่ดีที่สุดให้กับผู้เข้าพัก ความมุ่งมั่นนี้ไม่เพียงช่วยเสริมสร้างความพึงพอใจสูงสุดให้กับลูกบ้านและลูกค้าเท่านั้น แต่ยังแสดงถึงการพัฒนาอย่างไม่หยุดยั้งและการเรียนรู้จากประสบการณ์สำหรับความเชี่ยวชาญที่ยั่งยืน”

3 เสาหลักกลยุทธ์ความยั่งยืนของโฮม่า ได้แก่ การบูรณาการจัดหาเงินทุนที่เป็นไปตามหลัก ESG ซึ่งเน้นการพัฒนาที่ใส่ใจต่อสิ่งแวดล้อม ความรับผิดชอบต่อสังคม และการบริหารจัดการที่มีธรรมาภิบาล รวมไปถึงการทำการตลาด 'สีเขียว' และการใช้โซลูชันที่เป็นรูปธรรม โครงการอพาร์ตเมนต์ของโฮม่าทุกแห่งได้รับการรับรองมาตรฐานอาคารสีเขียวระดับสากล LEED และ EDGE โดยความมุ่งมั่นนี้เสริมสร้างความยั่งยืนและเป็นปัจจัยสำคัญที่ทำให้โฮม่าได้รับการสนับสนุนจากธนาคารอย่างต่อเนื่อง

คุณลูก้า กล่าวเสริมว่า “การเป็นธุรกิจที่ได้รับมาตรฐานด้านสิ่งแวดล้อมและความยั่งยืนแสดงถึงความมุ่งมั่นของเราในการอนุรักษ์ อีกทั้งยังเป็นการสร้างความน่าเชื่อถือและการยอมรับในกลุ่มลูกค้า หุ้นส่วน และแหล่งเงินทุน ถือเป็นข้อได้เปรียบที่ทำให้โฮม่าเป็นผู้เล่นที่โดดเด่นในอุตสาหกรรมที่มีการแข่งขันสูง”

การเงินเพื่อความยั่งยืน: ปัจจัยใหม่ในการดึงดูดหุ้นส่วนการพัฒนา

โฮม่า ฉลองความสำเร็จของสินเชื่อสีเขียว หรือสินเชื่อเพื่อโครงการที่เป็นประโยชน์ต่อสิ่งแวดล้อมมูลค่า 675 ล้านบาท ตอกย้ำความเป็นผู้นำด้านความยั่งยืนในธุรกิจอสังหาริมทรัพย์เอเชีย นับเป็นก้าวย่างสำคัญจากการสนับสนุนของ UOB Real Estate Sustainable Finance Framework ในการร่วมมือครั้งแรกกับธนาคารในสิงคโปร์ ซึ่งปูทางให้โฮม่าโดดเด่นในเวทีการลงทุนด้วยการดำเนินการแบบ 'สีเขียว' ที่นำมาซึ่งการเพิ่มมูลค่าทรัพย์สินและการลดต้นทุนการดำเนินงาน นับเป็นการยืนยันถึงการลงทุนที่มีความยั่งยืนและเป็นกลยุทธ์ระยะยาวสำหรับนักลงทุนที่มองเห็นความเสี่ยงจากการเปลี่ยนแปลงของสภาพภูมิอากาศ

ผู้บริโภคหันมาให้ความสนใจธุรกิจสีเขียว: แนวโน้มใหม่ที่กำลังเป็นที่นิยม

ผู้บริโภคให้ความสำคัญต่อการเป็นมิตรต่อสิ่งแวดล้อมมากขึ้น โดย 80% ของผู้บริโภครุ่นใหม่หันมาสนับสนุนผลิตภัณฑ์และบริการที่ยั่งยืน แม้ความยั่งยืนอาจไม่ใช่ปัจจัยหลักในการเลือกที่อยู่อาศัย แต่โฮม่าค้นพบว่า การนำแนวปฏิบัติที่เป็นมิตรต่อสิ่งแวดล้อมเป็นกุญแจสำคัญในการสร้างความภักดี และเป็นเหตุผลที่ดีในการแชร์ประสบการณ์เกี่ยวกับโฮม่า ซึ่งช่วยรักษาและดึงดูดลูกค้าได้อย่างมีประสิทธิภาพ

ความยั่งยืนที่ปฏิบัติได้จริง

โฮม่า นำร่องเป็นที่อยู่อาศัยหลายครอบครัวแห่งแรกในประเทศไทยที่ได้รับการรับรองทั้ง LEED และ EDGE ควบคู่ไปกับการสนับสนุนทางการเงินจาก UOB ทำให้โฮม่าสาขาภูเก็ตทาวน์ได้มีการติดตั้งแผงโซลาร์เซลล์กว่า 240 kWp บนหลังคาและลานจอดรถ แนวคิดความยั่งยืนถูกประยุกต์ใช้ทุกมุมด้วยตู้กดน้ำบนทุกชั้นอาคาร การเก็บน้ำฝนและการนำน้ำสีเทากลับมาใช้ รวมถึงก๊อกน้ำและสุขภัณฑ์ประหยัดน้ำ ห้องพักติดตั้งเครื่องซักผ้า Energy Star ใช้ไฟ LED และกระจกประหยัดพลังงาน นอกจากนี้ อาคารยังได้รับการออกแบบให้ระบายอากาศตามธรรมชาติ พร้อมมีหม้อต้มน้ำแบบอินเวอร์เตอร์และหน่วย AC ที่ประหยัดไฟ ทั้งหมดนี้ล้วนเป็นการช่วยลดค่าใช้จ่ายให้กับผู้อยู่อาศัย ในขณะที่ยกระดับความสะดวกสบายและสนับสนุนวิถีชีวิตที่ยั่งยืนต่อโลก

โฮม่า ขับเคลื่อนชุมชนสู่ความยั่งยืน นำชาวบ้านและผู้อยู่อาศัยร่วมมือทำความสะอาดชายหาดเดือนละครั้ง เพื่อชายหาดที่สะอาดและปลอดภัยมากยิ่งขึ้น ซึ่งกิจกรรมนี้ยังถือเป็นโอกาสให้ทุกคนในชุมชนได้มาพูดคุยและสร้างความสัมพันธ์กัน โครงการนี้แสดงถึงความพยายามของโฮม่าในการทำงานร่วมกับชุมชนและธุรกิจใกล้เคียง เพื่อให้บริเวณรอบ ๆ สะอาด และยังช่วยรวมเงินบริจาคให้กับองค์กรการกุศลในท้องถิ่น สร้างความสามัคคีและสนับสนุนจิตวิญญาณชุมชนไปพร้อมกัน

“การมุ่งเน้นความยั่งยืนในโครงการต่าง ๆ ช่วยให้เราลดต้นทุนการดำเนินงานได้อย่างชัดเจน ซึ่งเพิ่มกำไรและทำให้ที่อยู่อาศัยของเรามีคุณภาพสูงยิ่งขึ้น การดำเนินงานของเรายังส่งผลให้เกิดชุมชนที่แข็งแกร่งและมีส่วนร่วมมากขึ้น การเป็นส่วนหนึ่งของชุมชนที่เราดำเนินงานอยู่นั้นมีความสำคัญอย่างยิ่ง โดยเฉพาะเมื่อเห็นผู้คนมารวมตัวกันเพื่อแสดงความใส่ใจต่อสิ่งแวดล้อมและชุมชน เรามีความดีใจและตื่นเต้นอย่างยิ่งที่ได้เห็นความร่วมมือนี้จากทุกฝ่าย” คุณลูก้า กล่าว

รองรับลูกค้าที่ถือครองเลขหมายเกินกว่า 6 ซิมขึ้นไป ยืนยันตัวตนที่ทรูช็อป และดีแทคช็อป ทุกสาขาทั่วประเทศ

ดร.บุนเหลือ สินไซวอระวง ผู้ว่าการธนาคารแห่ง สปป.ลาว (Bank of the Lao PDR : BOL) ดร.เศรษฐพุฒิ สุทธิวาทนฤพุฒิ ผู้ว่าการธนาคารแห่งประเทศไทย (ธปท.) นางสาวมรกต ศรีสวัสดิ์ เอกอัครราชทูต ณ เวียงจันทน์ และนายอาลุน บุนยง หัวหน้ากรมคุ้มครองธนาคารธุรกิจ BOL ร่วมเป็นสักขีพยานกิตติมศักดิ์ในพิธีลงนามในบันทึกความเข้าใจ (MOU) ระหว่างธนาคารเพื่อการส่งออกและนำเข้าแห่งประเทศไทย (EXIM BANK) และธนาคารการค้าต่างประเทศลาว มหาชน (Banque Pour Le Commerce Exterieur Lao Public : BCEL) โดยมี ดร.รักษ์ วรกิจโภคาทร กรรมการผู้จัดการ EXIM BANK และนางสายสะหมอน จันทะจัก ผู้อำนวยการใหญ่ BCEL เป็นผู้ลงนาม เพื่อสนับสนุนผู้ประกอบการไทยที่เข้าไปลงทุนใน สปป.ลาว โดยเฉพาะโครงการลงทุนที่ใช้เงินสกุลกีบในการดำเนินกิจการเป็นเงินสกุลหลัก และต้องการเงินสกุลกีบไว้ใช้หมุนเวียนในกิจการ เพื่อลดความเสี่ยงจากการบริหารความเสี่ยงด้านอัตราแลกเปลี่ยน ณ เมืองหลวงพระบาง สปป.ลาว เมื่อวันที่ 3 เมษายน 2567 ในโอกาสการประชุมรัฐมนตรีว่าการกระทรวงการคลังและผู้ว่าการธนาคารกลางอาเซียน (ASEAN Finance Ministers and Central Bank Governors’ Meeting: AFMGM) ครั้งที่ 11 ระหว่างวันที่ 2-5 เมษายน 2567

EXIM BANK ในฐานะธนาคารเฉพาะกิจของรัฐภายใต้การกำกับดูแลของกระทรวงการคลัง ขยายความร่วมมือกับ BCEL ในครั้งนี้ โดยสอดคล้องเป้าหมายของ EXIM BANK สู่การเป็น Green Development Bank ยกระดับขีดความสามารถในการแข่งขันของผู้ประกอบการไทยในเวทีโลกในระยะยาว ส่งเสริมการพัฒนาอุตสาหกรรมใหม่และขับเคลื่อนการพัฒนาอย่างยั่งยืน โดยมีกลุ่มประเทศ CLMV (กัมพูชา สปป.ลาว เมียนมา และเวียดนาม) เป็นพันธมิตรเชิงยุทธศาสตร์ของไทย ซึ่งปัจจุบัน EXIM BANK ได้จัดตั้งสำนักงานผู้แทนใน CLMV ครบถ้วนแล้ว เพื่อเป็นส่วนหนึ่งของทีมประเทศไทยในการทำงานร่วมกับภาครัฐและภาคเอกชนใน CLMV โดยสำนักงานผู้แทนของ EXIM BANK ในเวียงจันทน์เปิดดำเนินงานอย่างเป็นทางการตั้งแต่ปี 2561

EXIM BANK พร้อมสานพลังพันธมิตรภาครัฐและเอกชนใน สปป.ลาว เพิ่มมูลค่าการค้าและการลงทุนระหว่างทั้งสองประเทศ รวมทั้งผลักดันโครงการลงทุนของไทยใน สปป.ลาว โดย สปป.ลาว ถือเป็น Land Link เชื่อมโยงเส้นทางคมนาคมขนส่งทางบกระหว่างไทย จีน และเวียดนาม ผ่านสะพานข้ามแม่น้ำโขง ประกอบกับอัตราค่าแรงขั้นต่ำใน สปป.ลาว อยู่ที่ 1.6 ล้านกีบต่อเดือนหรือประมาณ 2,700 บาท ความอุดมสมบูรณ์ของทรัพยากรธรรมชาติ นโยบายการเป็นแบตเตอรี่แห่งอาเซียน สิทธิพิเศษด้านภาษีและการลงทุนในเขตเศรษฐกิจพิเศษ สิทธิพิเศษทางการค้ากับต่างประเทศ จึงเป็นปัจจัยดึงดูดนักลงทุนจากหลายประเทศ โดยเฉพาะไทย เข้าไปลงทุนในสปป.ลาว อย่างต่อเนื่องและมากเป็นอันดับ 2 รองจากจีน โครงการลงทุนของไทยส่วนใหญ่อยู่ในธุรกิจพลังงาน การเกษตร ปศุสัตว์ การท่องเที่ยว และธุรกิจบริการ ในปี 2566 การค้าระหว่างไทยและ สปป.ลาว มีมูลค่ารวมกว่า 7,634.39 ล้านดอลลาร์สหรัฐ แบ่งเป็นการส่งออกของไทยไป สปป.ลาว  4,647.38 ล้านดอลลาร์สหรัฐ และไทยนำเข้าจาก สปป.ลาว 2,987.01 ล้านดอลลาร์สหรัฐ สินค้าส่งออกสำคัญของไทยไป สปป.ลาว ได้แก่ น้ำมันสำเร็จรูป น้ำตาลทราย รถยนต์ อุปกรณ์และส่วนประกอบ เคมีภัณฑ์ เครื่องสำอาง สบู่ และผลิตภัณฑ์ดูแลผิว ขณะที่สินค้านำเข้าจาก สปป.ลาว ได้แก่ เชื้อเพลิง ผักผลไม้ เครื่องจักรไฟฟ้าและส่วนประกอบ ปุ๋ยและยากำจัดศัตรูพืช และปูนซีเมนต์

“การขยายความร่วมมือระหว่าง EXIM BANK และ BCEL ในครั้งนี้เพื่อร่วมกันสนับสนุนทั้งด้านความรู้ โอกาส และเงินทุน ให้เกิดความแข็งแกร่งของ Supply Chain การค้าและการลงทุนระหว่างไทยกับ สปป.ลาว เชื่อมโยงกับ Global Supply Chain โดยคำนึงถึงสิ่งแวดล้อม สังคม และการกำกับดูแลกิจการที่ดี เพื่อต่อยอดการพัฒนาอย่างยั่งยืนในระดับประเทศ อนุภูมิภาคลุ่มแม่น้ำโขง อาเซียน และโลกโดยรวม สร้างโอกาสการเติบโตของภาคธุรกิจในทุกระดับ รวมทั้งความกินดีอยู่ดีของประชาชน และการอนุรักษ์ทรัพยากรธรรมชาติอย่างยั่งยืน“ ดร.รักษ์ กล่าว

เอไอเอ ประเทศไทย นำโดย นางสาวรพีพร วงศ์ทองคำ ผู้อำนวยการฝ่ายสื่อสารองค์กรและภาพลักษณ์ เป็นตัวแทนเข้ารับรางวัลผู้ทำคุณประโยชน์ให้แก่กระทรวงศึกษาธิการ ประจำปี 2567 โดยมี พลตำรวจเอก เพิ่มพูน ชิดชอบ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงศึกษาธิการ (รมว.ศธ.) เป็นประธานในพิธี พร้อมด้วย นายสุรศักดิ์ พันธ์เจริญวรกุล รัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงศึกษาธิการ (รมช.ศธ.) ผู้บริหาร และข้าราชการ สังกัดกระทรวงศึกษาธิการ เข้าร่วม ณ หอประชุมคุรุสกา กระทรวงศึกษาธิการ

 

โดยเอไอเอ ประเทศไทยได้รับรางวัลในฐานะผู้ทำคุณประโยชน์ให้แก่กระทรวงศึกษาธิการ ผ่านหลากหลายกิจกรรมอย่างต่อเนื่อง ไม่ว่าจะเป็นโครงการสุดยอดโรงเรียนสุขภาพดี (AIA Healthiest Schools) โครงการเพื่อส่งเสริมและพัฒนาศูนย์การเรียนรู้โค้ดดิ้ง (AIA Coding school) โครงการเอไอเอ ฟุตบอล คลินิก รวมไปถึงการสนับสนุนในด้านต่าง ๆ ให้โรงเรียน คุณครู บุคลากร รวมถึงเด็กนักเรียนมีสุขภาพและชีวิตที่ดีขึ้น สอดคล้องกับพันธกิจของเอไอเอที่มุ่งสนับสนุนให้คนไทยมีสุขภาพและชีวิตที่ดีขึ้น ตามคำมั่นสัญญา 'Healthier, Longer, Better Lives'

บมจ.กรุงไทย-แอกซ่า ประกันชีวิต ในฐานะผู้นำด้านบริษัทประกันที่ใส่ใจสิ่งแวดล้อม หรือ Green Insurer คว้ารางวัล “2023-2024 Thailand’s Most Admired Company” ในสาขาบริษัทที่มีความรับผิดชอบต่อสังคมน่าเชื่อถือสูงสุด ในกลุ่มธุรกิจประกันชีวิต จากนิตยสาร BrandAge โดยมี คุณสุกัญญา อิสรานุวัฒน์ชัย รองประธานอาวุโส ฝ่ายสื่อสารการตลาดและภาพลักษณ์องค์กร เป็นตัวแทนเข้ารับมอบรางวัล ซึ่งรางวัลนี้เป็นอีกหนึ่งความภาคภูมิใจ และตอกย้ำความมุ่งมั่นของบริษัทฯ ในการช่วยเหลือสังคมไทย และใส่ใจสิ่งแวดล้อมอย่างต่อเนื่อง และยั่งยืนตลอดมา ซึ่งสอดคล้องเป้าหมายหลักของบริษัทฯ ที่มุ่งมั่นเคียงข้างทุกความเชื่อมั่น ดูแลกันตลอดไป 

ทั้งนี้รางวัล “2023-2024 Thailand’s Most Admired Company” เป็นผลสำรวจจากผู้บริโภคทั่วประเทศด้วยความโปร่งใสตามหลักการวิจัยอย่างมีมาตรฐานผ่านความร่วมมือกับอาจารย์ผู้ทรงคุณวุฒิในมหาวิทยาลัยชั้นนำของประเทศไทยในทุกภูมิภาค เพื่อยกย่องแบรนด์ที่ได้รับความเชื่อมั่น และความไว้วางใจจากผู้บริโภค

ชูไอเดีย “ชุมชนแกร่ง ไทยแกร่ง” รุดปักหมุด “เชียงใหม่” ที่แรก!!

มั่นใจรักษาแชมป์สุขภัณฑ์และก๊อกน้ำ อันดับ 1 ตามเป้า ด้วยยอดขายกว่า 5 พันล้านบาท

X

Right Click

No right click