องค์การส่งเสริมการท่องเที่ยวเกาหลีจับมือเคทีซี วางกลยุทธ์ระยะยาว กระตุ้นคนไทยวางแผนท่องเที่ยวเกาหลีมากขึ้น หลังปีที่ผ่านมาประสบความสำเร็จเกินเป้าหมาย เปิดตัวแคมเปญ “Korea Everything” ทุกสิ่งเป็นจริงที่เกาหลี นำเสนอแกนการท่องเที่ยวเกาหลีใน 3 มิติ : K – Food   K – Fun และ K – Culture  ให้อิสระนักท่องเที่ยวเลือกวางแผนตามไลฟ์สไตล์ ด้านเคทีซีจัดเต็มสิทธิพิเศษสำหรับสมาชิก รับคะแนน KTC FOREVER สูงสุด 10 เท่า / เลือกผ่อนชำระ 0% นาน 6 เดือน หรือใช้คะแนน KTC FOREVER แลกรับส่วนลด พร้อมลุ้นรับแพ็กเกจท่องเที่ยว 5 วัน 3 คืน เส้นทางปูซานฟรี !!! เพียงมียอดใช้จ่ายผ่านบัตรเครดิตเคทีซีสูงสุดที่ KTC World Travel Service หรือห้างสรรพสินค้าที่ร่วมรายการ

นายลี ซาง อู ผู้อำนวยการองค์การส่งเสริมการท่องเที่ยวเกาหลี KTO (Korea Tourism Organization) เปิดเผยว่า ในปี 2566 ที่ผ่านมา มีจำนวนนักท่องเที่ยวจากประเทศไทยเดินทางไปยังเกาหลีราว 380,000 คน สะท้อนให้เห็นว่าการท่องเที่ยวฟื้นตัวเทียบเท่ากับช่วงก่อนวิกฤตโควิดแล้ว โดยเกาหลีและรัฐบาลไทยได้ร่วมกันเปิดโครงการ Korea – Thailand Visit Year 2566 - 2567 เพื่อส่งเสริมให้นักท่องเที่ยวเกาหลี และนักท่องเที่ยวไทยเดินทางท่องเที่ยวระหว่างสองประเทศมากขึ้น องค์การส่งเสริมการท่องเที่ยวเกาหลีจึงได้จัดแคมเปญ Korea Everywhere พร้อมกัน 4 สถานที่ทั่วกรุงเทพมหานคร ด้วยโปรโมชันครั้งยิ่งใหญ่ในปีที่ผ่านมา

สำหรับในปี 2567 นี้ KTO ได้จัดงานอีเว้นท์ YES, Korea Travel เมื่อเดือนมีนาคมที่ผ่านมาใน 3  หัวเมืองหลัก ได้แก่ กรุงเทพมหานคร เชียงใหม่ และภูเก็ต ซึ่งได้รับการตอบรับด้วยดีจากนักท่องเที่ยวชาวไทยที่ต้องการสัมผัสวัฒนธรรมเกาหลี รวมถึงวางแผนที่จะเดินทางท่องเที่ยวไปยังเกาหลี และ KTO ยังมีแผนจะเปิดตัวอีกหลายโครงการโดยยึดธีมเรื่องวัฒนธรรมเกาหลีและเน้นเรื่องการใช้สื่อโซเชียลเป็นหลัก หนึ่งในโครงการที่กำลังจะเกิดขึ้นก็คือ  “Korea-Thailand Food Travel Week” ซึ่งได้ร่วมมือกับการท่องเที่ยวแห่งประเทศไทย จัดอีเว้นท์เกี่ยวกับอาหารทั้งในประเทศไทยและเกาหลีช่วงเดือนพฤษภาคมและเดือนกรกฎาคม โดยเชฟไทยชื่อดังระดับโลก “เจ๊ไฝ” จะเข้าร่วมงานอีเว้นท์ที่เกาหลีเพื่อสัมผัสประสบการณ์อาหารเกาหลีถึงถิ่น และ “เจ๊ไฝ” ยังจะได้รับการแต่งตั้งเป็นตัวแทนของ Korea-Thailand Visit Year อีกด้วย นอกจากนี้ KTO ยังให้การสนับสนุนตัวแทนสำนักงานท่องเที่ยวและสื่อมวลชนด้วยการเชิญไปสัมผัสประสบการณ์การท่องเที่ยวที่เกาหลี รวมถึงให้บริการข้อมูลข่าวสารที่น่าสนใจของการท่องเที่ยวเกาหลี เพื่อใช้ประชาสัมพันธ์ให้กับกลุ่มนักท่องเที่ยวชาวไทย

นางสาวอริญชยา เลิศวัฒนชัย ผู้จัดการฝ่ายการตลาดองค์การส่งเสริมการท่องเที่ยวเกาหลี KTO (Korea Tourism Organization) กล่าวว่า ปัจจุบันเทรนด์การท่องเที่ยวเกาหลีของนักท่องเที่ยวไทยมีการปรับเปลี่ยนรูปแบบจากการซื้อแพ็กเกจทัวร์เป็นการวางแผนเดินทางด้วยตนเอง หรือที่เรียกว่า FIT (Free Independent Travelers) โดยนิยมเดินทางเป็นกลุ่มเล็กๆ เช่น กลุ่มเพื่อนหรือสมาชิกในครอบครัว เนื่องจากเกาหลีเป็นประเทศที่มีความสะดวกสบาย นักท่องเที่ยวสามารถวางแผนเดินทางเองได้  เช่น สำรองที่นั่งสายการบิน ที่พัก หรือกิจกรรมต่างๆ ผ่านช่องทางของเคทีซี ได้แก่ KTC World Travel Service  เว็บจองโรงแรม หรือ OTA (Online Travel Agent) ซึ่งถือเป็นการให้บริการแบบ One Stop Service  จากพฤติกรรมดังกล่าว KTO จึงได้วางกลยุทธ์การตลาดสำหรับปี 2567 ด้วยการจับมือกับเคทีซี เปิดตัวแคมเปญ “Korea Everything” ทุกสิ่งเป็นจริงที่เกาหลี นำเสนอมิติการท่องเที่ยว 3 แกนหลัก ได้แก่ K-Food K-Fun และ K-Culture เปิดโอกาสให้นักท่องเที่ยวสามารถเลือกกิจกรรมตามไลฟ์สไตล์หรือความชอบที่แตกต่างโดยไฮไลท์ที่ 2 เส้นทางหลัก ได้แก่ โซลและปูซาน

K-Food: ลิ้มลองเมนูพิเศษอย่าง ฮันจองซิก อาหารชุดเกาหลีที่มีต้นกําเนิดมากจากพระราชวังและ บ้านขุนนางในสมัยก่อน  หรือเมนูซีฟู้ดหม้อไฟทะเลซึ่งปูซานมีความโดดเด่นมากในด้านความสดใหม่ของอาหารทะเล

K-Fun: สนุกกับความน่ารักของอัลปาก้า ที่อัลปาก้าเวิลด์ โซล หรือ นั่งรถไฟปูซาน สกาย แคปซูล เทรนด์  ขบวนรถสีสันสุดน่ารักที่วิ่งเรียบชายหาดเเฮอุนแด

K-Culture: สัมผัสประวัติศาสตร์อันยาวนานของหมู่บ้านบุกชอนฮันอก ซึ่งเดิมเป็นย่านที่อยู่อาศัย ของข้าราชการระดับสูงและขุนนางตั้งแต่สมัยราชวงศ์โชซอน หรือหมู่บ้านวัฒนธรรมคัมซอน เมืองปูซาน ที่มีลักษณะการสร้างบ้านเรือนเรียงรายไปตามภูเขาเป็นขั้นบันได บ้านและหลังคามีสีสันสลับไปมา กลายเป็นเอกลักษณ์จนได้ฉายาว่า “มาซูปิกชูแห่งปูซาน”   

นางประณยา นิถานานนท์ ผู้บริหารสูงสุด สายงานการตลาดบัตรเครดิต “เคทีซี” หรือ บริษัท บัตรกรุงไทย จำกัด (มหาชน) กล่าวว่า ตลอดปี 2566ที่ผ่านมาอุตสาหกรรมการท่องเที่ยวกลับมาคึกคักอย่างมาก ยอดการใช้จ่ายผ่านบัตรเครดิตเคทีซีในหมวดท่องเที่ยวก็ปรับตัวสูงขึ้นเช่นกัน โดยเฉพาะเส้นทางเกาหลีในช่วงครึ่งปีหลัง 2566 เคทีซีได้ร่วมกับองค์การส่งเสริมการท่องเที่ยวเกาหลี (KTO) ออกแคมเปญ Korea Everywhere ส่งผลให้ยอดรวมการใช้จ่ายผ่านบัตรเครดิตเคทีซีที่เกาหลีเติบโตขึ้น 35% เมื่อเปรียบเทียบกับครึ่งปีหลังของปี 2565 มีจำนวนสมาชิกบัตรฯ ที่เดินทางไปใช้จ่ายที่เกาหลีเพิ่มขึ้น 38% และยอดเฉลี่ยการใช้จ่ายต่อสมาชิกอยู่ที่ 17,500 บาท ในส่วนของ KTC World Travel Service มีจำนวนสมาชิกบัตรเครดิตเคทีซีที่ใช้บริการสำรองบัตรโดยสารสายการบิน ที่พัก และแพ็กเกจเส้นทางเกาหลีในปี 2566 เพิ่มขึ้น 378% (เทียบกับปี 2565) ซึ่งถือว่ากลับมาใกล้เคียงกับช่วงปี 2562 ก่อนเกิดการระบาดของโควิด19

สำหรับในปี 2567 นี้ เคทีซียังคงร่วมมือกับ KTO วางกลยุทธ์การตลาดเพื่อกระตุ้นให้สมาชิกบัตรเครดิต

เคทีซีเลือกเกาหลีเป็นจุดหมายในการเดินทาง ด้วยการออกแคมเปญ “Korea Everything” ทุกสิ่งเป็นจริงที่เกาหลี มอบความคุ้มค่าและสร้างประสบการณ์ที่หลากหลายให้กับสมาชิกใน 3 มิติ ประกอบด้วย K-Food / K-Fun และ  K-Culture โดย KTC World Travel Service ได้ออกแบบแพ็กเกจท่องเที่ยวในราคาพิเศษ 5 วัน 3 คืน “K-Everything in Seoul” เริ่มต้นที่ 41,900 บาท / ท่าน และ “K-Everything in Busan” เริ่มต้นที่ราคา 32,900 บาท / ท่าน (รวมบัตรโดยสารสายการบิน ที่พัก และกิจกรรม) หรือสมาชิกที่ชอบท่องเที่ยวแบบอิสระ สามารถเลือกใช้บริการสำรองบัตรโดยสารสายการบินราคาพิเศษ บริการรถรับส่ง บัตรเข้าชมกิจกรรมต่างๆ ได้ตามไลฟ์สไตล์ของตนเอง ทั้งในกรุงโซล อินชอน เมืองใกล้เคียง และปูซาน และทุกยอดการใช้จ่ายในเส้นทางเกาหลี สมาชิกยังได้สิทธิ์รับคะแนน KTC FOREVER สูงสุด 10 เท่า / เลือกผ่อนชำระ 0% นาน 6 เดือน หรือใช้คะแนน KTC FOREVER ทุก 1,000 คะแนนแลกรับส่วนลด 130 บาท นอกจากนี้ เคทีซียังได้ร่วมมือกับสายการบินโคเรียนแอร์ (Korean Air) เอเชียน่าแอร์ไลน์ (Asiana Airlines) และการบินไทย (Thai Airways) มอบสิทธิพิเศษส่วนลดและสิทธิพิเศษอื่นๆเมื่อสำรองบัตรโดยสารสายการบินตรงกับเว็ปไซต์สายการบิน ตั้งแต่วันที่ 1 พฤษภาคม 2567 – 30 พฤศจิกายน 2567

พิเศษ! ลุ้นเป็นคู่ผู้โชคดี รับฟรีแพ็กเกจท่องเที่ยว 5 วัน 3 คืน “Korea Everything in Pusan” สัมผัสประสบการณ์เกาหลีที่แตกต่างทั้ง K-Food K-Fun และ K-Culture เส้นทางปูซาน จำนวน 4 รางวัลๆ ละ 2 ท่าน มูลค่ากว่า 640,000 บาท เพียงมียอดใช้จ่ายผ่านบัตรเครดิตเคทีซีสูงสุด ที่ KTC World Travel Service และห้างสรรพสินค้าชั้นนำที่ร่วมรายการ

นายปภพ สุวรรณวิศลกิจ เจ้าของเพจ Megamaxx Journey  กล่าวว่า เกาหลีเป็นประเทศที่สามารถท่องเที่ยวได้ทุกฤดูกาล เพราะแต่ละช่วงเวลาจะมีไฮไลท์ และจุดเด่นของแต่ละสถานที่แตกต่างกันออกไป ล่าสุดเพิ่งได้มีโอกาสเดินทางไปท่องเที่ยวที่เมืองปูซาน ประเทศเกาหลี เพื่อชมเทศกาลดอกซากุระ (Cherry Blossom Season) ซึ่งได้สัมผัสประสบการณ์ใหม่ด้วยการเช่ารถยนต์เพื่อขับท่องเที่ยวเองเป็นครั้งแรก ซึ่งมีข้อดีแตกต่างจากการนั่งรถสาธารณะ เพราะสามารถวางแผนการท่องเที่ยวได้ด้วยตนเอง แวะชมสถานที่ท่องเที่ยวใหม่ๆ ได้ตลอดเส้นทาง ซึ่งทริปนี้ได้มีขับรถไปถึงเมืองอุลซาน ซึ่งเป็นเมือง Unseen ที่มีความน่าสนใจ แต่ยังไม่เป็นที่รู้จักของนักท่องเที่ยวมากนัก

ผู้สนใจสิทธิพิเศษด้านการเดินทางท่องเที่ยวสามารถสอบถามรายละเอียดเพิ่มเติมได้ที่ KTC World Travel Service โทรศัพท์ 02 123 5050 หรือดูรายละเอียดเพิ่มเติมได้ที่ลิงค์ https://www.ktc.co.th/KoreaEverything  สำหรับผู้ที่ต้องการสมัครสมาชิกบัตรเครดิตเคทีซี สามารถคลิกดูรายละเอียดได้ที่ลิงค์ https://ktc.today/apply-card หรือติดต่อศูนย์บริการสมาชิก “เคทีซี ทัช” ทุกสาขาทั่วประเทศ


หมายเหตุ : บัตรเครดิตใช้เท่าที่จำเป็นและชำระคืนได้ตามกำหนดจะได้ไม่เสียดอกเบี้ย 16% ต่อปี

เครือเจริญโภคภัณฑ์ ร่วมกับ บริษัท เจริญโภคภัณฑ์อาหาร จำกัด (มหาชน) หรือซีพีเอฟ มอบผลิตภัณฑ์อาหารคุณภาพ สนับสนุนโครงการ “สานใจไทย สู่ใจใต้” รุ่นที่ 42 ร่วมสร้างโอกาสการเรียนรู้แก่เยาวชนจากพื้นที่ 5 จังหวัดชายแดนใต้ มุ่งพัฒนาทัศนคติแนวคิด สู่การพัฒนาตนเองและครอบครัว สู่การเป็น “คนดีของสังคม” พร้อมนำความรู้ไปต่อยอดสร้างโอกาสทางการศึกษาในอนาคต ณ สโมสรทหารบก (ส่วนกลาง) วิภาวดี กรุงเทพมหานคร

โครงการ “สานใจไทย สู่ใจใต้” รุ่นที่ 42 ได้รับเกียรติจาก พลเอก สุรยุทธ์ จุลานนท์ นายกมูลนิธิ "สานใจไทย สู่ใจใต้" เป็นประธานในพิธีเปิดโครงการฯ พร้อมด้วย นายอารีย์ วงศ์อารยะ ประธานกรรมการบริหารมูลนิธิฯ โดยมี นายจอมกิตติ ศิริกุล ผู้บริหารสูงสุด สายงานด้านบริหารกิจการสัมพันธ์ เครือเจริญโภคภัณฑ์ และผู้ช่วยบริหารสำนักประธานคณะกรรมการบริหาร ซีพีเอฟ เป็นผู้แทนบริษัท ร่วมด้วยหัวหน้าส่วนราชการ ผู้นำศาสนา ครอบครัวอุปถัมภ์ เยาวชนผู้ร่วมโครงการฯ และครูพี่เลี้ยง เข้าร่วมกิจกรรมรวมกว่า 350 คน

พลเอก สุรยุทธ์ จุลานนท์ กล่าวว่า “สานใจไทย สู่ใจใต้” ชื่อโครงการนี้ได้แสดงออกถึงความร่วมมือของทุกคนในประเทศไทย ที่ได้ร่วมแรงร่วมใจกันช่วยเหลือดูแล ส่งเสริม ให้ความอนุเคราะห์แก่เยาวชนในจังหวัดชายแดนภาคใต้ มีโอกาสได้รับสิ่งที่พวกเขาใฝ่ฝันไว้ นอกจากนี้ ขอฝากถึงเยาวชนให้จดจำดำริของ พลเอก เปรม ติณสูลานนท์ ที่ว่า "ความเป็นไทย และความเป็นธรรม" ความเป็นไทย หมายถึง ความรัก ความผูกพัน โอบอ้อมอารี โดยไม่จำเป็นว่าจะต้องมีความเชื่อเหมือนกัน แต่เมื่อมารวมกันเป็นคนไทยแล้ว ก็จะมีสิ่งนั้นอยู่ในความรู้สึกอยู่ในความคิดของทุกคน และเมื่อมีความเป็นไทย มีความผูกพันกันแล้ว การให้ "ความเป็นธรรม" ก็เกิดขึ้นได้ไม่ยาก จากความยุติธรรม มีความเท่าเทียมกัน ภายใต้กรอบวัฒนธรรมและกฎหมายของสังคม

ด้าน นายจอมกิตติ ศิริกุล กล่าวว่า ซีพีและซีพีเอฟ โดยมูลนิธิเจริญโภคภัณฑ์ ให้การสนับสนุนการจัดกิจกรรมโครงการ “สานใจไทย สู่ใจใต้” ต่อเนื่องเป็นปีที่ 20 สำหรับโครงการฯในรุ่น 42 นี้ บริษัทมอบผลิตภัณฑ์อาหาร ไข่ไก่สดซีพี และข้าวตราฉัตร ให้แก่เยาวชนและพี่เลี้ยง จำนวน 350 คน สำหรับนำไปประกอบอาหารบริโภคตลอดช่วงที่พักอาศัยกับครอบครัวอุปถัมภ์  ในระหว่างวันที่ 17 เมษายน – 27 พฤษภาคม 2567 ตลอดระยะเวลาการจัดกิจกรรมเยาวชนที่เข้าร่วมโครงการฯ จะได้ร่วมกิจกรรมเสริมสร้างความรู้ ประสบการณ์ทักษะอาชีพ และได้พำนักกับครอบครัวอุปถัมภ์ ในพื้นที่กรุงเทพมหานครและจังหวัดใกล้เคียง ได้พัฒนาทัศนคติแนวคิด สู่การพัฒนาตนเองและครอบครัว เพื่อเป็นคนดีของสังคม พร้อมนำความรู้ที่ได้ไปต่อยอดสร้างโอกาสทางการศึกษาต่อไปในอนาคต

ทางด้าน อาวาตีฟ โชติจันทร์ ตัวแทนเยาวชน กล่าวถึงสาเหตุที่ตัดสินใจสมัครเข้าร่วมโครงการ “สานใจไทย สู่ใจใต้” ว่าต้องการพัฒนาตนเอง และออกจากกรอบ ประกอบกับอยากลองทำสิ่งใหม่ๆ โดยหวังว่าจะได้นำประสบการณ์ที่ได้รับไปพัฒนาในด้านต่างๆ และโครงการฯ นี้ถือเป็นโอกาสที่ดีและเป็นประสบการณ์ที่ไม่อาจหาได้จากที่อื่น

กิจกรรมในครั้งนี้ เป็นการจัดในนาม มูลนิธิ “สานใจไทย สู่ใจใต้” เป็นครั้งแรก โดยมูลนิธิฯ มีเป้าหมาย สนับสนุนให้เยาวชนไทยได้เรียนรู้การอยู่ร่วมกันในสังคมพหุวัฒนธรรมเดียวกัน มีความเป็นธรรม ความเป็นไทยเท่าเทียมกัน โดยโครงการ “สานใจไทย สู่ ใจใต้” เกิดขึ้นจากดำริของพลเอก เปรม ติณสูลานนท์ อดีตประธานองคมนตรี และรัฐบุรุษ

หัวเว่ยจัดงาน Digital Sustainable University Day อัพเดทเทรนด์เทคโนโลยีและโซลูชันไฮไลต์เพื่อการเตรียมพร้อมโครงสร้างพื้นฐานด้านเทคโนโลยีสำหรับปรับตัวในยุคดิจิทัลของสถานศึกษา โดยได้รับความร่วมมือจากมหาวิทยาลัยราชภัฏเชียงราย และลานนาคอม จัดขึ้นเป็นครั้งแรก ณ มหาวิทยาลัยราชภัฏเชียงราย

นายวิลเลี่ยม จาง ประธานธุรกิจเอ็นเตอร์ไพรส์ บริษัท หัวเว่ย เทคโนโลยี่ (ประเทศไทย) จำกัด กล่าวว่า เทคโนโลยีเป็นสิ่งที่หลีกเลี่ยงไม่ได้สำหรับภาคธุรกิจต่างๆ โดยเฉพาะหน่วยงานด้านการศึกษา ซึ่งเป็นรากฐานสำคัญของการพัฒนาในทุกๆด้าน และยังมีแนวโน้มที่จะมีพัฒนาการด้านความอัจฉริยะมากขึ้นทั้งการเรียน การสอน การวิจัยทางวิทยาศาสตร์ ตลอดจนถึงการจัดการระบบ ซึ่งเป็นช่วงเวลาแห่งการเปลี่ยนแปลงครั้งใหญ่

กิจกรรมการเรียนการสอนได้เปลี่ยนจากการใช้กระดานดำแบบดั้งเดิมมาเป็นเครื่องมือมัลติมีเดีย จากการเรียนรู้เริ่มทำได้ไร้ข้อจำกัด และจากการบรรยายแบบทางเดียวไปสู่การเรียนรู้ที่เน้นนักเรียนเป็นศูนย์กลางมากขึ้นในฐานะผู้ให้บริการด้าน ICT ชั้นนํา หัวเว่ยมุ่งมั่นที่จะนําเครือข่ายแคมปัสอัจฉริยะ ศูนย์ข้อมูล การประมวลผลคลาวด์ ห้องเรียนอัจฉริยะ และเทคโนโลยีอื่น ๆ มาใช้ในการพัฒนาบุคลากรด้านนวัตกรรมในการศึกษาระดับอุดมศึกษาและอาชีวศึกษา เร่งให้เกิดนวัตกรรมในการวิจัยทางวิทยาศาสตร์ และลดความเหลื่อมล้ำทางดิจิทัล

โดยจากการจัดอันดับของ QS World University Rankings มหาวิทยาลัยกว่า 30 แห่งจาก 100 อันดับแรกของโลกได้เลือกให้หัวเว่ยเป็นพันธมิตรในการนำเทคโนโลยีเข้าไปประยุกต์ใช้เพื่อเปลี่ยนผ่านสู่ดิจิทัลในการปรับปรุงคุณภาพการศึกษา ประสิทธิภาพในการวิจัย และความสามารถด้านนวัตกรรม

"การจัดงานเทคโนโลยีในครั้งนี้ ไม่เพียงแต่เป็นงานด้านเทคโนโลยีแบบฮาร์ดคอร์เท่านั้น แต่ยังเป็นโอกาสอันดีที่เราจะได้พบปะกันเพื่อแลกเปลี่ยนความคิดเห็นและรับฟังสิ่งที่ผู้ใช้ต้องการจริงๆ เพื่อพัฒนาความร่วมมือให้ดียิ่งขึ้น โดยเฉพาะอย่างยิ่ง มหาวิทยาลัยราชภัฏเชียงราย ซึ่งเป็นสถานที่สําหรับการขับเคลื่อนการพัฒนาอย่างยั่งยืนในระดับแถวหน้าของโลก หากเราสามารถใช้ข้อได้เปรียบของเทคโนโลยีสมัยใหม่เพื่อสร้างคุณค่ามากมาย"

ในโอกาสนี้ยังได้จัดให้มีพิธีลงนามความร่วมมือในโครงการหัวเว่ย ไอซีที อะคาเดมี่ (Huawei ICT Academy) เพื่อร่วมกันผลักดันการพัฒนาความรู้ความสามารถในด้านเทคโนโลยีขั้นสูง ตลอดจนเตรียมความพร้อมในเทคโนโลยีเฉพาะทาง เพื่อเป็นการบ่มเพาะบุคลากรในอนาคตให้มีทักษะความสามารถด้านดิจิทัลตรงกับความต้องการของอุตสาหกรรม

โดยผู้ที่ได้รับการฝึกอบรมผ่านโครงการหัวเว่ย ไอซีที อะคาเดมี่ จะได้รับประกาศนียบัตรมาตรฐานวิชาชีพของหัวเว่ย ซึ่งเป็นการรับรองที่ได้รับการยอมรับในอุตสาหกรรมระดับโลก อีกทั้งยังช่วยเพิ่มโอกาสในการสมัครงานของนิสิตนักศึกษา รวมไปถึงโอกาสฝึกงานกับบริษัท หัวเว่ย ประเทศไทย ตลอดจนอาจได้เป็นพนักงานของหัวเว่ยหรือบริษัทในเครือพันธมิตร ซึ่งปัจจุบัน มีมหาวิทยาลัยและวิทยาลัยเข้าร่วมในโครงการหัวเว่ย ไอซีที อะคาเดมี่แล้วมากกว่า 2,200 แห่งทั่วโลก

ผู้ช่วยศาสตราจารย์ ดร.ศรชัย มุ่งไธสง อธิการบดีมหาวิทยาลัยราชภัฏเชียงราย กล่าวว่า “มหาวิทยาลัยราชภัฏเชียงราย มีความยินดีเป็นอย่างยิ่งที่ได้ร่วมมือกับหัวเว่ย ซึ่งก็ถือเป็นผู้พัฒนาเทคโนโลยีที่ได้รับการยอมรับในระดับโลก เพื่อร่วมกันพัฒนาอุตสาหกรรมที่ไม่ได้โฟกัสเพียงเทคโนโลยีเท่านั้น แต่ยังให้ความสำคัญกับการพัฒนาทักษะของบุคลากรและนักศึกษา รวมถึงโครงสร้างพื้นฐานด้านเทคโนโลยี ซึ่งสอดคล้องกับแนวทางการพัฒนาของมหาวิทยาลัยในการขับเคลื่อนสู่การเป็น CRRU Smart University อีกด้วย และเชื่อว่าความร่วมมือดังกล่าวจะช่วยส่งเสริมการจัดการเรียนการสอนในยุคดิจิทัล และเกิดประโยชน์แก่ทั้งนักศึกษา อาจารย์ บุคลากร รวมถึงการให้บริการสังคมแก่พี่น้องประชาชนทุกคนอย่างแน่นอน”

วันนี้ เอสเอพี (SAP) ประกาศความร่วมมือกับ บริษัท เจริญโภคภัณฑ์อาหาร จำกัด (มหาชน) หรือ ซีพีเอฟ ประยุกต์ใช้ชุดโซลูชันอันหลากหลายของ เอสเอพี ขับเคลื่อนการเติบโต ความได้เปรียบทางการแข่งขันในตลาด และเพื่อความยั่งยืนของผลิตภัณฑ์และองค์กรในอนาคต

ซีพีเอฟ เป็นผู้นำธุรกิจเกษตรอุตสาหกรรมและอาหารครบวงจรระดับโลก ผู้ผลิต หมู ไก่ กุ้ง และปลา  ดำเนินธุรกิจใน 17 ประเทศ ส่งออกผลิตภัณฑ์อาหารไปยังกว่า 50 ประเทศ เข้าถึงผู้บริโภคมากกว่า 4 พันล้านคนทั่วโลก ซีพีเอฟกำลังดำเนินการด้านการเปลี่ยนแปลงทางดิจิทัลด้วยการประยุกต์ใช้โซลูชัน RISE with SAP, SAP Sustainability Footprint Management, SAP Sustainability Control Tower, และ SAP Environment Management เพื่อธุรกิจที่พร้อมสำหรับอนาคตและรับข้อมูลเชิงลึกเกี่ยวกับผลกระทบด้านความยั่งยืนของผลิตภัณฑ์ กระบวนการผลิต และโครงสร้างพื้นฐานทั่วโลก

ความมุ่งมั่นสู่เป้าหมายการปล่อยก๊าซเรือนกระจกสุทธิเป็นศูนย์

เพื่อให้บรรลุเป้าหมายของซีพีเอฟ มุ่งสู่การเป็น “ครัวของโลกที่ยั่งยืน”  ซีพีเอฟเป็นบริษัทผลิตอาหารบริษัทแรกในโลกที่ได้รับอนุมัติทั้งเป้าหมายระยะสั้นและระยะยาว สอดคล้องตามมาตรฐาน Forest, Land and Agriculture (FLAG) ซึ่งเป็นมาตรฐานเฉพาะสำหรับภาคเกษตรและอาหาร จากองค์กร the Science Based Targets initiative (SBTi) การประยุกต์ใช้โซลูชันด้านความยั่งยืนของ เอสเอพี เพื่อบันทึก รายงาน และดำเนินการกับข้อมูลด้านความยั่งยืน จะสามารถช่วยในการขับเคลื่อนการบัญชีคาร์บอน ทั้งในระดับองค์กรและผลิตภัณฑ์ ทั้งนี้ ซีพีเอฟ มุ่งมั่นที่จะบรรลุเป้าหมายการปล่อยก๊าซเรือนกระจกสุทธิเป็นศูนย์ (Net-Zero)  ด้วยการลดการปล่อยก๊าซเรือนกระจกขอบเขต 1 และ 2 ลง 42% และขอบเขตที่ 3 ลง 30.3% ให้ได้ภายในปี พ.ศ. 2573  และภายในปี พ.ศ. 2593 บริษัทมุ่งมั่นที่จะลดการปล่อยก๊าซขอบเขต 1 และ 2 ลง 90% และขอบเขต 3 ลง 72%

ประสิทธิ์ บุญดวงประเสริฐ ประธานคณะผู้บริหาร ซีพีเอฟ กล่าวว่าการปล่อยก๊าซเรือนกระจกสุทธิเป็นศูนย์ เป็นเพียงทางออกเดียวในการแก้ไขปัญหาการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศ ซีพีเอฟตระหนักและมุ่งมั่นมีส่วนร่วมช่วยลดผลกระทบที่มีต่อโลกใบนี้ มุ่งมั่นผลิตอาหารที่ปลอดภัยและมีคุณค่าทางโภชนาการสำหรับผู้บริโภค เป็นมิตรต่อสิ่งแวดล้อม และดีต่อโลก ตลอดห่วงโซ่อุปทาน ตั้งแต่การทำปศุสัตว์ จนถึงการผลิตอาหาร ไปสู่อาหารบนจานของผู้บริโภคก่อให้เกิดการปล่อยก๊าซเรือนกระจก ด้วยโซลูชัน RISE with SAP และ SAP sustainability solutions ช่วยให้ซีพีเอฟสามารถบันทึกและผู้บริหารได้รับรายงานข้อมูลเชิงลึกเกี่ยวกับการปล่อยก๊าซเรือนกระจกที่เกิดขึ้นโดยอัตโนมัติแบบเรียลไทม์ ช่วยให้ซีพีเอฟสามารถตัดสินใจทางธุรกิจได้อย่างรวดเร็ว มีข้อมูลครบถ้วน และช่วยในการดำเนินงานที่ยั่งยืนเพื่อโลกของเรา”

เทคโนโลยี เอสเอพี ช่วยสนับสนุน ซีพีเอฟ ในการปฏิบัติตามกฎระเบียบคาร์บอนในอนาคตที่กำลังจะมีขึ้นในตลาดต่างๆ รวมถึง มาตรการปรับคาร์บอนก่อนเข้าพรมแดนของสหภาพยุโรป (EU C-BAM) หรือ SEC climate risk disclosures ของสหรัฐอเมริกาด้วย

หัวใจสำคัญในการลดการปล่อยก๊าซเรือนกระจกจะเน้นไปที่ลดการปล่อยก๊าซในห่วงโซ่อุปทาน หรือ ขอบเขตที่ 3 ของซีพีเอฟ ซึ่งมีสัดส่วนการปล่อยก๊าซเรือนกระจก การทำงานร่วมกับ SAP Services, YASH Technologies เพื่อใช้ความเชี่ยวชาญด้านความยั่งยืนของบริษัท และทำการโฮสต์บน Amazon Web Services (AWS) ซีพีเอฟจะสามารถใช้โซลูชันด้านความยั่งยืนของ เอสเอพี เพื่อบันทึกและรายงานผลการปล่อยก๊าซเรือนกระจกขอบเขตที่ 1 และ 2 ในประเทศไทย และบันทึกขอบเขตที่ 3 (3.1 และ 3.4) สำหรับธุรกิจอาหารสัตว์ในประเทศไทย ซึ่งครอบคลุมทั้งการปล่อยก๊าซเรือนกระจกทั้งแบบ FLAG และ non-FLAG และในช่วงระยะต่อไปของการดำเนินการก็จะขยายขอบเขตให้ครอบคลุมไปทั้งการดำเนินงานทั่วโลก

ความยั่งยืนของคลาวด์ 

พอล แมริออท ประธานกรรมการ เอสเอพี ประจำภาคพื้นเอเชียแปซิฟิกและญี่ปุ่น กล่าวว่า “ความยั่งยืนคือโอกาสอันยิ่งใหญ่สำหรับธุรกิจทั่วเอเชีย การใช้ RISE with SAP และโซลูชันด้านความยั่งยืนของเราจะช่วยให้ ซีพีเอฟ ก้าวนำหน้ากฎระเบียบด้านการปล่อยก๊าซเรือนกระจกในอนาคตเท่านั้น และช่วยผลักดันธุรกิจเตรียมพร้อมสำหรับอนาคต ด้วยการใช้ข้อมูลเพื่อการตัดสินใจทางธุรกิจที่ยั่งยืนมากขึ้น และสามารถใช้ข้อมูลเชิงลึกเหล่านี้ขับเคลื่อนประสิทธิภาพการดำเนินงานที่ดีมากขึ้น เพิ่มประสิทธิภาพห่วงโซ่อุปทาน และสร้างความแตกต่างทางธุรกิจกับคู่แข่งได้”

เยี่ยมชมศูนย์ข่าว SAP News Center หรือติดตาม เอสเอพี ได้ที่ @SAPNews

หรืออ่านข้อมูลเพิ่มเติมได้ที่ https://www.cpfworldwide.com/en/media-center/list/sustainability  

 

ทีเอ็มบีธนชาต หรือ ทีทีบี ขอเชิญผู้ประกอบการธุรกิจอาหาร เครื่องดื่ม และคอนซูมเมอร์ โปรดักส์ เข้าร่วมสัมมนาเสริมองค์ความรู้เพื่อการวางแผนธุรกิจอย่างยั่งยืน ในงาน finbiz connect the future for growth เชื่อมเทรนด์ธุรกิจอนาคต..สู่กลยุทธ์การเติบโตยั่งยืน ในวันอังคารที่ 14 พฤษภาคม 2567 เวลา 13:00 – 17:00 น. ณ โรงแรมคาร์ลตัน กรุงเทพฯ สุขุมวิท ภายใต้โครงการ finbiz by ttb โครงการเสริมความรู้สำหรับ SME เพื่อสนับสนุนให้ลูกค้าธุรกิจได้นำองค์ความรู้ต่าง ๆ ไปปรับใช้เพื่อรับมือกับเทรนด์ธุรกิจอนาคต พร้อมวางแผนธุรกิจให้ประสบความสำเร็จและเติบโตอย่างยั่งยืน 

ผู้ประกอบการจะได้พบกับเทรนด์อุตสาหกรรมในอนาคต เพื่อนำมาเชื่อมต่อกับการปรับตัวขององค์กร การวางแผนการเงินและภาษี พร้อมแนวทางกลยุทธ์ธุรกิจให้พร้อมเติบโตอย่างยั่งยืน โดยมีเนื้อหาที่น่าใจ ได้แก่

  • เจาะลึกเทรนด์อุตสาหกรรม และพฤติกรรมผู้บริโภคในอนาคต
  • ถอดบทเรียนความสำเร็จ แนวทางดำเนินธุรกิจเติบโตแบบยั่งยืน ทั้งในประเทศและต่างประเทศจากเจ้าของธุรกิจโดยตรง
  • เทคนิควางแผนภาษีธุรกิจ เพื่อสร้างรากฐานการเงินที่แข็งแรง
  • เพิ่มประสิทธิภาพให้ธุรกิจคล่องตัวด้วยดิจิทัลโซลูชันทางการเงิน

ผ่านมุมมองของนักธุรกิจ Mentor ของ finbiz มากประสบการณ์ พร้อมทีมผู้เชี่ยวชาญ ได้แก่

  • คุณสุรนาม พานิชการ ผู้ก่อตั้งแบรนด์โทฟุซัง และซีอีโอ บริษัท โทฟุซัง จำกัด
  • คุณถนอม เกตุเอม ผู้เชี่ยวชาญเรื่องความรู้ภาษี เจ้าของเพจ TAXBugnoms
  • คุณปรมา ทิพย์ธนทรัพย์ ผู้อำนวยการศูนย์วิจัยคอนเซปต์แห่งอนาคต บารามีซี่ แล็บ (Baramizi Lab)
  • คุณวรงค์นาฏ ตรงคงสิน หัวหน้าผลิตภัณฑ์ธุรกรรมทางการเงินภายในประเทศ ทีเอ็มบีธนชาต

สำหรับผู้ประกอบการธุรกิจนิติบุคคลที่อยู่ในอุตสาหกรรมอาหาร เครื่องดื่ม และคอนซูมเมอร์ โปรดักส์ ที่มียอดขาย 50 ล้านบาท - 400 ล้านบาทต่อปี สามารถลงทะเบียนผ่าน https://www.ttbbank.com/web/event1 ได้ภายในวันที่ 8 พฤษภาคม 2567 หรือติดต่อ คุณทิพานันท์ สิขัณฑกสมิตร โทรศัพท์ 08 1172 1166  อีเมล This email address is being protected from spambots. You need JavaScript enabled to view it. เพื่อเข้าร่วมงานสัมมนาฟรี (ไม่มีค่าใช้จ่าย) ขอสงวนสิทธิ์สำหรับผู้ได้รับอีเมลยืนยันการเข้าร่วมงานเท่านั้น

ดร.รักษ์ วรกิจโภคาทร กรรมการผู้จัดการ ธนาคารเพื่อการส่งออกและนำเข้าแห่งประเทศไทย (EXIM BANK) เปิดเผยว่า EXIM BANK ประกาศปรับลดอัตราดอกเบี้ย Prime Rate 0.25% ต่อปี จาก 6.60% เหลือ 6.35% ต่อปี (อัตราดอกเบี้ยเงินกู้ที่ EXIM BANK ใช้สำหรับลูกค้าทั่วไปและลูกค้า SMEs เทียบเท่าอัตราดอกเบี้ยเงินกู้ลูกค้ารายย่อยชั้นดีหรือ MRR ของธนาคารพาณิชย์) นับเป็นอัตราดอกเบี้ยเงินกู้ลูกค้ารายย่อยชั้นดีที่ต่ำที่สุดในระบบ เป็นเวลา 6 เดือน เพื่อเป็นการขานรับนโยบายของนายกรัฐมนตรี ในการให้ความช่วยเหลือผู้ประกอบการกลุ่มเปราะบางและ SMEs โดยให้มีผลตั้งแต่วันที่ 30 เมษายน 2567 เป็นต้นไป

ทั้งนี้ การปรับลดอัตราดอกเบี้ย Prime Rate ในครั้งนี้เป็นการปรับลดอัตราดอกเบี้ยเพิ่มเติมจากการปรับลดอัตราดอกเบี้ย 0.15% ต่อปีเมื่อวันที่ 18 เมษายน 2567 เพื่อเป็นของขวัญแก่ผู้ประกอบการในช่วงเทศกาลสงกรานต์ที่ผ่านมา และเมื่อรวมกับการปรับลดอัตราดอกเบี้ยในครั้งนี้ EXIM BANK จึงได้ปรับลดอัตราดอกเบี้ยรวม 0.40% ต่อปี เพื่อช่วยลดภาระให้กับผู้ประกอบการ โดยเฉพาะกลุ่มเปราะบาง และ SMEs สอดคล้องกับภารกิจของ EXIM BANK ในการสนับสนุนผู้ประกอบการไทยให้มีสภาพคล่องในการดำเนินธุรกิจ บรรเทาภาระหนี้และต้นทุนทางธุรกิจ และสามารถปรับตัวให้แข่งขันในเวทีโลกได้อย่างยั่งยืนในสภาวะที่เศรษฐกิจไทยเติบโตในอัตราที่ช้าลง ในขณะที่อัตราดอกเบี้ยในตลาดการเงินยังอยู่ในระดับสูง

เครื่องดื่มเป๊ปซี่ โดยบริษัท ซันโทรี่ เป๊ปซี่โค เบเวอเรจ (ประเทศไทย) จำกัด นำโดย นายอนวัช สังขะทรัพย์ ประธานเจ้าหน้าที่ฝ่ายการตลาด และนางลัดดาวรรณ เลิศวศิน ผู้จัดการอาวุโส ฝ่ายการตลาดเครื่องดื่มเป๊ปซี่ เดินหน้าเสิร์ฟความสดชื่น ท้าทายแสงแดดอันร้อนแรงของเมืองไทย ผ่านกลยุทธ์   มิวสิกมาร์เก็ตติ้งเต็มกำลัง ตอกย้ำภาพลักษณ์แบรนด์สุดซ่าขวัญใจวัยรุ่นเมืองไทย พร้อมครีเอตความสนุกจัดเต็มแบบทำถึง ต่อยอดคอนเซปต์ Thirsty For More “ซ่าหน่อยมั้ย” ด้วยการเปิดตัวซัมเมอร์แคมเปญสุดฮอต “ถ้าใจว่าใช่ก็ต้องซ่าหน่อยมั้ย” ที่ขอชวนเหล่า Gen Z ออกมาระเบิดพลังความซ่า ปล่อยจอยความสนุกไปกับทุกจังหวะที่ใจว่าใช่! รับซัมเมอร์กันแบบยกแก๊ง กับกิจกรรมสุดซ่าที่เตรียมยกขบวนมาสร้างสีสันให้ใจฟูอย่างต่อเนื่อง นำทีมโดย 6 หนุ่มสุดฮอตวง PROXIE ซึ่งร่วมงานกับแบรนด์เป็นปีที่ 2 และเพิ่มความซ่า สดใสกับอีก 1 ศิลปินสาวชื่อดังระดับเอเชีย NENE (เนเน่ พรนับพัน) ในฐานะพรีเซนเตอร์ของแคมเปญอย่างเป็นทางการ เพื่อร่วมทีมปลุกความซ่าให้ทุกโมเมนต์ฮอตรับหน้าร้อน ประเดิมจังหวะซ่าเซอร์ไพรส์แรกด้วยซิงเกิลพิเศษรับซัมเมอร์ “ใจว่าใช่ (100% You)” ที่รับประกันความฟินฉ่ำถึงใจแน่นอน ดู MV ฉบับเต็ม ที่ทำถึงแบบสุด ๆ ได้ทาง YouTube: Pepsi Thailand แล้วมาออกสตาร์ตจังหวะซ่าแบบจัดเต็มไปกับเป๊ปซี่และเป๊ปซี่ไม่มีน้ำตาลพร้อมกันในเดือนเมษายน 2567 นี้

นางลัดดาวรรณ เลิศวศิน ผู้จัดการอาวุโส ฝ่ายการตลาดเครื่องดื่มเป๊ปซี่ บริษัท ซันโทรี่ เป๊ปซี่โค เบเวอเรจ (ประเทศไทย) จำกัด กล่าวว่า “ในปีนี้ เป๊ปซี่ เตรียมพาทุกคนเปิดประตูความซ่า พร้อมรีเฟรชความ  สดชื่น เพื่อก้าวสู่โลกใบใหม่ของเป๊ปซี่นิวลุค ภายใต้คอนเซปต์ ‘ซ่าหน่อยมั้ย’ อย่างต่อเนื่อง เพื่อสะท้อนภาพลักษณ์ของทั้งเป๊ปซี่และเป๊ปซี่ไม่มีน้ำตาลที่เต็มไปด้วยความอร่อย ซ่า สดชื่น ไม่หยุดทำตามแพสชันที่ฝันไว้ และเข้ากับทุกกิจกรรมที่ชื่นชอบได้เป็นอย่างดี ซึ่งล่าสุดเราเปิดตัวซัมเมอร์แคมเปญ ‘ถ้าใจว่าใช่ก็ต้องซ่าหน่อยมั้ย’ เพื่อสร้างสีสันในช่วงหน้าร้อนของเมืองไทยอย่างยิ่งใหญ่ โดยในปีนี้เราได้หนุ่ม ๆ วง PROXIE มารับหน้าที่เป็นพรีเซนเตอร์ของแคมเปญเป็นปีที่ 2  ร่วมด้วย NENE (เนเน่ พรนับพัน) ที่จะมาช่วยเพิ่มความสนุก ความสดใส ปล่อยจอยความซ่า และชวนแฟน ๆ มาสนุกไปกับการคอลแลบเพลงสุดพิเศษ ‘ใจว่าใช่ (100% You)’ ที่พร้อมปล่อยให้ฟังกันในช่วงสงกรานต์ที่ผ่านมา และสานต่อความสนุกสุดมันส์ด้วยกิจกรรมทางการตลาดที่ครอบคลุมทุกแพลตฟอร์ม   ทั้งดิจิทัลแคมเปญ กิจกรรมออนกราวน์ สื่อ ณ จุดขาย อินฟลูเอนเซอร์ ทั่วประเทศ และกิจกรรมต่าง ๆ อีกมากมาย ที่จะมีมาให้ได้กรี๊ดกันตลอดซัมเมอร์นี้อย่างแน่นอน ซึ่งแฟน ๆ สามารถติดตามความเคลื่อนไหวของทุกกิจกรรมซ่ากับทางเป๊ปซี่ได้เพิ่มเติมทาง Facebook: PepsiThai ตลอดหน้าร้อนนี้”

โดยเพลงพิเศษ ใจว่าใช่ (100% You) เป็นการคอลแลบกันระหว่าง 6 หนุ่มวง PROXIE อย่าง กัน, คิม, โชกุน, อองรี, กร และวิคเตอร์ กับ NENE (เนเน่ พรนับพัน) ที่โดดมาร่วมปล่อยพลังความซ่ารับซัมเมอร์กับเครื่องดื่มเป๊ปซี่แบบเต็มตัวเป็นครั้งแรก เพื่อถ่ายทอดความน่ารัก สดใส ของเหล่าวัยซนที่มุ่งมั่นและเต็มที่กับทุกแพสชันที่เลือกในทุกบทบาทกับคอนเซปต์ Thirsty For More “ซ่าหน่อยมั้ย” ที่ถ้าใจว่าใช่ อย่าลังเล หรือกลัวอะไร งานนี้ถ้าชัวร์แล้วก็ลุยเลย เพราะเป๊ปซี่พร้อมซัปพอร์ตอยู่ข้าง ๆ ทุกคนเสมอ พร้อมเดินหน้าเชียร์อัพ ส่งต่อเอนเนอร์จีความมั่นใจให้แก่คนรอบข้างด้วยเสียงเพลงเพราะ ๆ ในบรรยากาศสนุกสนานของซัมเมอร์ที่ทุกคนรอคอย ซึ่งเรียกว่าได้รับกระแสตอบรับที่ดีจากแฟน ๆ อย่างล้นหลามในทุกแพลตฟอร์ม ตั้งแต่เปิดตัวครั้งแรกเมื่อต้นเดือนเมษายน 2567 ที่ผ่านมา เล่นเอาทั้ง 7 คนปลื้มปริ่มและใจฟู หายเหนื่อยกันแบบสุด ๆ พร้อมการันตีด้วยว่าเพลงนี้น่ารัก สดใส สนุก ซ่า แสบ ซน และมั่นใจว่าติดหูแฟน ๆ อย่างแน่นอน ซึ่งแฟน ๆ สามารถรับฟังได้จากทุกสตรีมมิ่งแพลตฟอร์มชั้นนำตั้งแต่วันนี้เป็นต้นไป

แล้วอย่าลืมชวนเดอะแก๊งค์สุดซี้ มาเปิดตี้สุดมันส์ พร้อมเปลี่ยนโลกมุมมองใหม่ไปกับเป๊ปซี่และเป๊ปซี่ไม่มีน้ำตาล ไปกับจังหวะซ่าในสไตล์ของคุณได้ตลอดซัมเมอร์นี้ พร้อมเกาะติดกิจกรรมสุดเอกซ์คลูซิฟของ PROXIE และ NENE ที่ยังรอเซอร์ไพรส์แฟน ๆ อีกเพียบ ติดตามรายละเอียดเพิ่มเติมได้ทาง Facebook: PepsiThai LINE Official Account: @Pepsi Twitter: Pepsi-Cola และ YouTube: Pepsi Thailand   

นางฐาปณี เตชะเจริญวิกุล กรรมการ เลขานุการ และเหรัญญิก มูลนิธิ บีเจซี บิ๊กซี พร้อมด้วยคณะผู้บริหาร ให้การต้อนรับ นางคยองซอน คิม ผู้อำนวยการองค์การยูนิเซฟ ประเทศไทย และคณะ เพื่อร่วมประชุมเชิงปฏิบัติการ Workshop ครั้งที่ 1 หารือแนวทางการทำงานร่วมกัน พร้อมนำเสนอแผนพัฒนาเด็กปฐมวัยในประเทศไทย อย่างมีคุณภาพ ทั่วถึง และเท่าเทียม อันเนื่องมาจากการลงนามบันทึกความเข้าใจระหว่าง มูลนิธิ บีเจซี บิ๊กซี และ องค์การยูนิเซฟ ประเทศไทย “ด้านการพัฒนาเด็กปฐมวัย (Early Childhood Development: ECD)” ณ อาคารบีเจซี เฮ้าส์

นอกจากนี้ กลุ่มบีเจซี บิ๊กซี ยังเล็งเห็นความสำคัญของสถาบันครอบครัว และบทบาทการเป็นพ่อแม่ เพราะเด็กจะเติบโตได้ดีเมื่อรู้สึกปลอดภัย ได้รับความรักและการดูแลเอาใจใส่จากพ่อแม่ ตลอดจนการสร้างสายสัมพันธ์ที่แน่นแฟ้นในครอบครัว จึงได้มีสวัสดิการสำหรับดูแลพนักงานทั้งด้านสุขภาพกายและสุขภาพใจที่ขยายครอบคลุมไปถึงครอบครัวของพนักงาน เพื่อสร้างสมดุลระหว่างการใช้ชีวิตส่วนตัวและการทำงาน ไม่ว่าจะเป็น สิทธิ์การลาคลอดสำหรับพนักงานหญิงและการลาเลี้ยงดูบุตรสำหรับพนักงานชาย ห้อง Kids Zone และ “ห้องอิ่มอุ่น” หรือห้องให้นมบุตร ค่ารักษาพยาบาลที่ครอบคลุมไปถึงคู่สมรสและบุตรพนักงาน ทุนการศึกษาสำหรับบุตรพนักงาน ตลอดจน Long Vacation Leave ส่งเสริมการใช้สิทธิลาพักผ่อนประจำปีต่อเนื่อง

สิ้นสุดการรอคอยงาน PET EXPO THAILAND 2024 ประกาศจัดยิ่งใหญ่ฉลองครบรอบ 24 ปีของการจัดงาน รวบรวมเหล่าสัตว์เลี้ยงมาประชันโฉมในธีมโจรสลัดสุดน่ารัก รับกระแส Petsumer และเทรนด์ Pet Humanization - Pet Celebrity ทำตลาดสัตว์เลี้ยงเติบโตแรงต่อเนื่อง พร้อมจัดกิจกรรมการประกวดมากมายตลอด 4 วัน รวมทั้งโซนสัตว์น่ารักที่ยกขบวนมาโชว์แบบใกล้ชิด ส่วนสายช้อปห้ามพลาดกับสินค้าและบริการจากแบรนด์ชั้นนำกว่า 700 บูธภายในงาน ระหว่างวันที่ 9-12 พฤษภาคม 2567 ณ ฮอลล์ 5-8 ศูนย์การประชุมแห่งชาติสิริกิติ์

นายสุรพล อุทินทุ กรรมการผู้จัดการ บริษัท เอ็น.ซี.ซี. แมนเนจเม้นท์ แอนด์ ดิเวลลอปเม้นท์ จำกัด เปิดเผยว่า ปัจจุบันเทรนด์การดูแลสัตว์เลี้ยงเสมือนสมาชิกในครอบครัว (Pet Humanization) ยังคงเป็นกระแสยอดนิยม และขยายตัวอย่างต่อเนื่องเป็นประจำทุกปี อีกทั้งยังมีข้อมูลที่น่าสนใจจากศูนย์วิเคราะห์เศรษฐกิจ ทีทีบี หรือ ttb analytics ระบุว่า นอกจากกระแสของ Pet Humanization แล้ว สัตว์เลี้ยงบางตัวอาจพัฒนาบทบาทจากลักษณะนิสัยส่วนตัวที่สามารถยกระดับจากสมาชิกในครอบครัวปกติ จนกลายเป็นสมาชิกในครอบครัวที่สามารถสร้างรายได้ ผ่านรูปแบบลักษณะเฉพาะของสัตว์เลี้ยงที่สามารถดึงดูดความสนใจจากคนในสังคมวงกว้าง หรือ “Pet Celebrity”

เห็นได้จากสัตว์เลี้ยง Celebrity ที่มีชื่อเสียงมากมายที่กลายเป็น Petfluencer มีผู้ติดตามผ่านโซเชียลมีเดียหลักแสน และสามารถสร้างรายได้ผ่าน Content ต่างๆ ที่ผู้เลี้ยงได้นำเสนอออกมาสู่โลกออนไลน์ ประกอบกับผู้ประกอบการก็ต่างพัฒนาสินค้าและบริการ รวมถึงนวัตกรรมต่างๆ มาใช้ เพื่อให้ตอบโจทย์ความต้องการของผู้บริโภคขั้นสุด ซึ่งเป็นส่วนสำคัญที่ทำให้กลุ่ม Petsumer หรือผู้บริโภคสินค้าบริการเกี่ยวกับสัตว์เลี้ยงขยายตัวอย่างรวดเร็ว สิ่งเหล่านี้ถือว่าเป็นปัจจัยหนึ่งที่ช่วยขับเคลื่อนให้ธุรกิจตลาดของสัตว์เลี้ยงในภาพรวมเติบโตขึ้นอย่างต่อเนื่อง

สำหรับในปี 2567 ทาง เอ็น.ซี.ซี.ฯ เตรียมจัดงาน PET EXPO THAILAND 2024 งานแสดงสินค้าและบริการ ด้านสัตว์เลี้ยงที่ดีที่สุด เพื่อเพื่อนที่ดีที่สุดของคุณ ภายในงานยังมีกิจกรรมสนุกๆ ไว้มากมาย งานจัดขึ้นเป็นครั้งที่ 24 ตอบรับกระแสของตลาดและธุรกิจที่เกี่ยวข้องกับสัตว์เลี้ยงยังคงขยายตัวอย่างต่อเนื่อง โดยปีนี้จัดขึ้นในธีมโจรสลัดสุดน่ารัก “Friendship Treasure ขุมทรัพย์เพื่อนรักสุดขอบฟ้า” ภายในงานได้รวบรวมสินค้าและบริการ สำหรับสัตว์เลี้ยงจากหลากหลายแบรนด์ชั้นนำกว่า 300 บริษัท 700 บูธ ซึ่งงานจะจัดขึ้นในช่วงระหว่างวันที่ 9-12 พฤษภาคม 2567 ณ ฮอลล์ 5-8 ศูนย์การประชุมแห่งชาติสิริกิติ์

“ที่ผ่านมา ภาพรวมตลาดสัตว์เลี้ยงของไทยยังมีการเติบโตเฉลี่ยต่อปีประมาณ 5-10% อย่างต่อเนื่อง โดยปี 2567 นี้คาดการณ์ว่าตลาดสัตว์เลี้ยงจะมีมูลค่ากว่า 5 หมื่นล้านบาท มูลค่ายอดใช้จ่ายของเจ้าของสัตว์เลี้ยงเฉลี่ยต่อคนที่สูงถึง 10,000 - 20,000 บาทต่อปี” นายสุรพล กล่าว

สำหรับไฮไลท์ภายในงาน PET EXPO THAILAND 2024 ได้รวบรวมกิจกรรมการแข่งขันและการประกวดชิงรางวัลสนุก ๆ ของเพื่อนสัตว์เลี้ยงตัวน้อย พร้อมของรางวัลแบบจัดเต็มตลอดระยะเวลา 4 วัน รวมถึงการโชว์ตัวครั้งแรกในประเทศไทยของ Blue Holicer Rabbit กระต่ายพันธุ์ใหม่ล่าสุด ลำดับที่ 52 ของโลก และยังมีเหล่าผู้ประกอบธุรกิจด้านสัตว์เลี้ยงที่พาเหรดยกทัพสินค้าและบริการจากแบรนด์ชั้นนำมาให้ผู้รักสัตว์เลี้ยงได้เลือกซื้ออย่างจุใจ พร้อมโปรโมชั่นพิเศษ ทั้งกลุ่มอาหารสัตว์ เวชภัณฑ์ อาหารเสริม แชมพูและผลิตภัณฑ์บำรุงขน อุปกรณ์ตัดแต่งขน เสื้อผ้าและเครื่องประดับ และอุปกรณ์และของเล่นพัฒนาทักษะ นอกจากนี้ภายในงานยังมีบริการมากมาย โดยเฉพาะบริการทางด้านสุขภาพสัตว์เลี้ยงจากโรงพยาบาลสัตว์ชั้นนำของไทยมาให้เลือกใช้บริการ และรับคำปรึกษา แนะนำจากสัตวแพทย์อย่างใกล้ชิด

โซนกระต่าย และสัตว์ฟันแทะ ในปีนี้ก็มีความน่าสนใจไม่แพ้ปีก่อนๆ โดยโซนกระต่าย และสัตว์ฟันแทะ ได้ยกขบวนความน่ารัก ของเจ้าแก๊งโจรสลัดขนฟูนุ่มนิ่ม มาไว้ที่โซนสัตว์ฟันแทะ ทั้งเจ้ากระต่ายสุดน่ารัก หลากหลายสายพันธุ์ เจ้าหนูเควี่สีสันแปลกตา เจ้าหนูแฮมสเตอร์พันธุ์ขนหยิก และเจ้าก้อนชินชิล่า นอกจากนี้ในวันเสาร์ที่ 11 และวันอาทิตย์ที่ 12 พฤษภาคม 2567 ท่านจะได้ชมการประกวดกระต่ายระดับโลกมาตรฐานสายพันธุ์ ARBA การประกวดหนูเควี่ และหนูแฮมเตอร์ ตัดสินโดยกรรมการ 3 ท่านจากสหรัฐอเมริกา

โซนสัตว์ Exotic Pet หรือโซนสัตว์พิเศษได้รวบรวมสัตว์ต่างๆ สำหรับผู้ที่ชื่นชอบสัตว์พิเศษที่หาดูได้ยาก เช่น งูหลามบอล ทามารินมือทอง ตุ๊กแกหางอ้วนแอฟริกา จิ้งจอกทะเลทราย สกั๊งค์ กบต้นไม้  ตัวกินมด หนูไร้ขน หมาน้ำ แมงมุมทารันทูล่า และสัตว์อื่นๆ อีกมากมาย พร้อมทั้งยังมีการประกวดแมงมุม Thailand's Grand Tarantulas ครั้งที่ 1  ในวันที่ 11 พฤษภาคม 2567

โซน Pet Village ท่านจะได้พบกับคาพิบาร่า วัววาตูซี จิ้งโจ้แคระ แพะแองโกล่า แกะคาทาดิน White Face Owl นกแก้วซันคอนัว และอีกมากมาย

นอกจากนี้ ภายในงานยังมีกิจกรรมการแข่งขันบริเวณลานกิจกรรมพร้อมของรางวัลมากมาย อาทิ เกมฮาเฮ เหมียวหม่ำๆ เหมียวยอดนักตบ ด่านกำแพใสไหนทางออก การแข่งขันหมาน้อยลมกรด การแข่งขัน My Dog Anywhere การแข่งขัน Dog Agility เป็นต้น โดยตลอดระยะเวลา 4 วันของการจัดงาน คาดว่าจะมีผู้เข้าชมงานกว่า 180,000 คน

สำหรับผู้ที่สนใจกิจกรรมต่างๆ รวมทั้งต้องการเลือกชมสินค้าและบริการเกี่ยวกับสัตว์เลี้ยง สามารถเข้าชมได้ภายในงาน “PET EXPO THAILAND 2024” จะมีขึ้นในระหว่างวันที่ 9-12 พฤษภาคม 2567 ณ ฮอลล์ 5-8 ศูนย์การประชุมแห่งชาติสิริกิติ์ โดยสามารถติดตามข่าวสาร และดูรายละเอียดเพิ่มเติมได้ที่ www.petexpothailand.net หรือ เฟซบุ๊ก Petexpoclub หรือช่องทางทวิตเตอร์ @PetexpoclubTH1 หรือแอดไลน์เพื่อติดตามทุกความเคลื่อนไหวของงานและโปรโมชั่นเด็ด ๆ ก่อนใครได้ที่ @petexpoclub

ตอกย้ำความสำเร็จ Ultherapy นวัตกรรมเครื่องยกกระชับผิว ครบ 2.6 ล้าน ทรีตเมนต์ทั่วโลก

Page 1 of 605
X

Right Click

No right click