พฤกษาผู้นำอันดับหนึ่งในวงการอสังหาริมทรัพย์ไทย คว้ารางวัล “BCI Asia Top 10 Developer Awards” ในงาน BCI Asia Awards 2019 ต่อเนื่องเป็นปีที่ 9 ติดต่อกัน โดยมีเกณฑ์การพิจารณาตัดสินจากคณะกรรมการผู้ทรงคุณวุฒิจากภาพรวมของโครงการ แนวคิดการออกแบบโครงการที่โดดเด่น และความคุ้มค่าของโครงการ ซึ่งในปีนี้มีโครงการคอนโดมิเนียมของพฤกษาได้รับการคัดเลือกให้ได้รับรางวัลทั้งหมด 3 โครงการ ได้แก่ เดอะรีเซิร์ฟ 61 ไฮด์อะเวย์, แชปเตอร์ วัน โฟลว์ บางโพ และพลัมคอนโด ราม 60 อินเตอร์เชนจ์

โดย นายประเสริฐ แต่ดุลยสาธิต ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร กลุ่มธุรกิจพฤกษา เรียลเอสเตท - พรีเมียม บริษัท พฤกษา เรียลเอสเตท จำกัด (มหาชน) เป็นผู้แทนของบริษัทฯ เข้ารับมอบรางวัลจาก BCI Asia ซึ่งเป็นศูนย์กลางข้อมูลธุรกิจก่อสร้างในภูมิภาคเอเชียแปซิฟิค และ FuturArc Journal รางวัลนี้ถือเป็นเครื่องการันตีด้านการใส่ใจคุณภาพการก่อสร้างที่อยู่อาศัยของพฤกษามาอย่างต่อเนื่อง

บริษัท พีเอ็มจี คอร์ปอเรชั่น จำกัด ผนึกความร่วมมือหน่วยงานภาครัฐ เอกชน และหน่วยงานพันธมิตร จัดงาน Smart SME EXPO 2019 ภายใต้แนวคิด "ชี้ช่องรวย ที่เดียวจบพบทางรวย" รวบรวมไฮไลท์ 5 โซนธุรกิจเด่น ทั้งแฟรนไชส์ธุรกิจน่าลงทุน  ความงามและสุขภาพ ร้านอาหารและเครื่องดื่มชื่อดัง  นวัตกรรมเทคโนโลยี  และการเงิน  ที่ยกทัพแบบจัดเต็มกับแคมเปญพิเศษ พร้อมกิจกรรมเจรจาจับคู่ธุรกิจกับคู่ค้าทั้งในและต่างประเทศ อีกทั้งยังยกขบวนสินเชื่อดอกเบี้ยต่ำจากธนาคารกว่า 10 แห่ง เพื่อสนับสนุนเอสเอ็มอีให้เติบโตและต่อยอดได้  คาดเงินสะพัดในงานไม่ต่ำกว่า 500 ล้านบาท และมีความต้องการสินเชื่อ SMEs ไม่ต่ำกว่า 2,000 ล้านบาท

 

ดร.อุตตม สาวนายน อดีตรัฐมนตรีว่าการกระทรวงอุตสาหกรรม กล่าวถึงโลกยุคดิจิทัลซึ่งส่งผลกระทบต่อภาคธุรกิจเอสเอ็มอีว่า “ขณะนี้โลกของเราได้ก้าวเข้าสู่โลกยุคดิจิทัลอย่างเต็มรูปแบบ ซึ่งจะมีผลทำให้เกิดการเปลี่ยนแปลงอย่างมากทั้งในเรื่องของเศรษฐกิจและสังคม เอสเอ็มอีไทยจึงจำเป็นต้องปรับตัวเพื่อรองรับการเปลี่ยนผ่าน 1 ก้าวเข้าสู่เวทีการค้าในโลกยุคใหม่ได้อย่างมั่นคงและแข็งแรง ขอชื่นชมผู้จัดงาน Smart SME EXPO 2019 ในครั้งนี้ ที่ได้บุกเบิก ก่อตั้ง สานต่อ และผลักดันให้เอสเอ็มอีไทยได้มีเวทีเป็นของตัวเอง และยังเป็นตัวกลางเชื่อมโยงหน่วยงานภาครัฐ เอกชน และหน่วยงานพันธมิตร นำโซลูชั่นดี ๆ เพื่อสนับสนุนช่วยเหลือผู้ประกอบการไทย ดังคอนเซปท์ที่ผู้จัดงานนำมาใช้ในปีนี้คือ รวมสุดยอดธุรกิจแห่งปี ภายใต้แนวคิด “ที่เดียวจบพบทางรวย”  ซึ่งเป็นการรวมทุกองค์ประกอบที่เกี่ยวข้องกับเอสเอ็มอี ในการเชื่อมโยงเพื่อมุ่งไปสู่การ “Transforms” ธุรกิจของตนเองไปสู่การใช้เทคโนโลยีดิจิทัลเพื่อก้าวสู่การแข่งขันในตลาดโลกได้อย่างยั่งยืน”    

ด้านนายพิสิษฐ์  ประกิจวรพงษ์ กรรมการผู้จัดการ  บริษัท พีเอ็มจี คอร์ปอเรชั่น จำกัด  กล่าวถึงกิจกรรมเด่นในงาน Smart SME EXPO 2019 ในครั้งนี้ว่า "สำหรับปีนี้ Smart SME EXPO 2019 คัดสรรธุรกิจเด่นน่าลงทุนให้คุณเลือกช็อปแบบเต็มพื้นที่ ไม่ว่าจะเป็น  ตู้เติมน้ำมันออสซี่ ออยล์, ซีพี รีเทลลิงค์, ชายสี่หมี่เกี๊ยว, โรงงานรับผลิตเครื่องสำอาง ชาร์ม เนเชอรัล โปรดักส์ แอนด์ สปา , Zaza by charm ,ลาลามูฟ, แอพจองคิว QueQ, Milk Land โดยไทยเดนมาร์ก, คัฟฟ่าคอฟฟี่เมคเกอร์   นอกจากนี้กรมพัฒนาธุรกิจการค้า กระทรวงพาณิชย์ ยังส่งแฟรนไชส์ในสังกัด 40 แบรนด์หลากหลายประเภทธุรกิจเข้าร่วมอีกด้วย"

อีกทั้งยังมีกิจกรรม Business Matching ที่เปิดโอกาสให้ผู้ประกอบการได้พบช่องทางในการจับคู่ธุรกิจกับคู่ค้าชื่อดังของไทยและต่างประเทศ พิเศษปีนี้เราใช้เครื่องมือ Mobile Application ภายใต้ชื่อ SMART SME เป็นตัวช่วยสนับสนุนทางการตลาดและการขายสำหรับผู้ประกอบการในงาน Smart SME EXPO 2019 โดยนำเสนอสินค้าหรือบริการ ร่วมในแคมเปญส่งเสริมการขายในชื่อ “โปรว้าว” และ “โปรพ้อยท์” โดยผู้ใช้จะสามารถเลือกซื้อสินค้าและบริการภายในงานได้ในราคาโปรโมชั่นพิเศษ และยังเป็นการดึงดูดลูกค้าให้เพิ่มการจับจ่ายใช้สอย และช็อปธุรกิจในงานมากยิ่งขึ้น โดยคาดว่าปีนี้จะมีเงินสะพัดในงานไม่ต่ำกว่า 500 ล้านบาท 

ด้านธนาคารและสถาบันการเงินก็พร้อมใจส่งสินเชื่อแคมเปญเด็ดคัดพิเศษสำหรับเอสเอ็มอีรวม 10 แห่ง ไม่ว่าจะเป็น บสย.อาสาเป็นหมอหนี้ช่วย SMEs, ธนาคารออมสินบริการสินเชื่อเพื่อเอสเอ็มอีและสตาร์ทอัพในอัตราพิเศษ, ธนาคารกรุงเทพร่วมมือ บสย. จัดสินเชื่อสำหรับผู้ประกอบการรายเล็ก ไม่มีหลักประกัน ผ่อนได้ยาว 5 ปี , SME D Bank คัดสินเชื่ออัตรดอกเบี้ยพิเศษ 3-5 % ต่อปี, กสิกรไทยจัดโปรโมชั่นพิเศษเมื่อสมัครสินเชื่อ SME, ทีเอ็มบีชวนผู้ประกอบการตรวจเช็คสุขภาพธุรกิจ, ธนชาตพาเหรดสินเชื่อเข้าถึง SMEs ทุกกลุ่มในอัตรดอกเบี้ยพิเศษ, ธ.ก.ส.เสนอสินเชื่อ SMEs ทางการเกษตร ดอกเบี้ย 4% ต่อปี, ยูโอบีสนับสนุนสินเชื่อให้ SMEs ที่ไม่มีหลักประกัน วงเงินกู้สูงสุด 5 ล้านบาท ผ่อนได้ยาว 4 ปี, ธ.อ.ส. เสนอโครงการสร้างบ้านสร้างอาชีพ ในอัตราดอกเบี้ยพิเศษ โดยในปีนี้คาดว่าจะมีความต้องการสินเชื่อ SMEs ไม่ต่ำกว่า 2,000 ล้านบาท 

งาน Smart SME EXPO 2019 ยังจัดต่อเนื่องตั้งแต่วันนี้ -7 กรกฎาคม 2562 ณ ฮอลล์ 7-8 อิมแพ็คเมืองทองธานี โดยผู้สนใจสามารถเข้าร่วมงานฟรีไม่มีค่าใช้จ่าย

การประชุมวิชาการ บริษัท กรุงเทพดุสิตเวชการ จำกัด (มหาชน) ประจำปีพุทธศักราช 2562 "ในโลกยุคดิจิตัล ที่มีการพัฒนานวัตกรรมสิ่งประดิษฐ์ที่ทันสมัยมากมาย และเป็นส่วนนึงของชีวิตประจำวันของผู้คนทั่วโลก ที่สำคัญ คือ เทคโนโลยีและปัญญาประดิษฐ์ต่าง ๆ ที่ปัจจุบันนี้ มีการนำมาใช้ในทางการแพทย์ พยาบาล ทันตกรรม และ การสาธารณสุข อันส่งผลให้มีการรักษา การเข้าถึง และ การตอบสนองที่รวดเร็ว ส่งเสริมประสิทธิภาพทางการแพทย์ให้เพิ่มขึ้น ซึ่งเทคโนโลยีและปัญญาประดิษฐ์ทางการแพทย์ในโลกปัจจุบันเป็นสิ่งที่จำเป็นที่เราต้องรับรู้ เรียนรู้ และเข้าใจเพื่อนำไปประยุกต์ใช้ในด้านการแพทย์ และสาธารณสุข"

บริษัท กรุงเทพดุสิตเวชการ จำกัด (มหาชน) พร้อมทั้งคณะผู้บริหาร แพทย์ ทันตแพทย์ เภสัชกร พยาบาล นักกายภาพบำบัด และบุคลากรทางการแพทย์ ได้จัดงานประชุมวิชาการในปีนี้ เพื่อเป็นส่วนหนึ่งในการพัฒนาความรู้ และเทคโนโลยีทางด้านการดูแลสุขภาพและการแพทย์ด้วยนวัตกรรม เทคโนโลยีและปัญญาประดิษฐ์ที่ทันสมัย กอปรกับการใส่ใจดูแลและเอาใจใส่ด้วยจิตใจที่โอบอ้อมอารีและมีคุณธรรม ภายใต้แนวคิดการจัดงานคือ BDMS Academic Annual Meeting 2019 “The Trusted Healthcare Network: The Era of Artificial Intelligence and Advanced Technology” ระหว่างวันที่ 14-16 สิงหาคม 2562 ณ โรงแรมอินเตอร์คอนติเนนตัล กรุงเทพ โดยได้รับพระกรุณาธิคุณจาก สมเด็จพระกนิษฐาธิราชเจ้า กรมสมเด็จพระเทพรัตนราชสุดา ฯ สยามบรมราชกุมารี เสด็จทรงเปิดงานในวันพุธที่ 14 สิงหาคม 2562 เวลา 9.00 น.

จึงขอเรียนเชิญ แพทย์ ทันตแพทย์ เภสัชกร พยาบาล และบุคลากรทางการแพทย์ เข้าร่วมประชุมวิชาการและร่วมรับเสด็จ สมเด็จพระกนิษฐาราชเจ้า กรมสมเด็จพระเทพรัตนราชสุดาฯ สยามบรมราชกุมารี ในพิธีเปิดงานประชุมวิชาการฯ ในวันพุธที่ 14 สิงหาคม 2562 เวลา 09.00 น.

สอบถามรายละเอียดเพิ่มเติมได้ที่


www.bdmsannualmeeting.com
Email: This email address is being protected from spambots. You need JavaScript enabled to view it.

บนข้อเท็จจริงที่ว่าการแข่งขันทางธุรกิจในโลกยุคปัจจุบันได้กำหนดให้องค์กรยุคใหม่ต้องหาเครื่องมือเพื่อเพิ่มขีดความสามารถทางการแข่งขัน เพื่อความเท่าทันและไม่ตกยุค และบล็อกเชนก็เป็นหนึ่งในเทคโนโลยีที่เข้ามาเปลี่ยนภูมิทัศน์ทางธุรกิจ เพราะการประยุกต์ใช้บล็อกเชนไม่ได้ถูกจำกัดเฉพาะการใช้งานด้านการเงินหรือการทำธุรกรรม แต่ยังเป็นเครื่องมือสำคัญในการบันทึก จัดเก็บข้อมูล และการตรวจสอบติดตามเพื่อความโปร่งใสและเพิ่มประสิทธิภาพในการบริหารองค์กรยุคใหม่ รวมถึงการทำความรู้จักกับระบบนิเวศทางธุรกิจยุคใหม่ที่ใช้บล็อกเชนเป็นกลไกสำคัญ แม้แต่ Social Network ระดับโลกอย่าง Facebook ก็ยังนำมาใช้งาน

บทบาทของเทคโนโลยีบล็อกเชนได้กลายเป็นหนึ่งกลไกสำคัญในการขับเคลื่อนองค์กรไปสู่ยุคดิจิทัล หรือ Digital Transformation และภายใต้การเล็งเห็นประเด็นสำคัญในเรื่องนี้ คณะบริหารธุรกิจ สถาบันบัณฑิตพัฒนบริหารศาสตร์ (นิด้า) ได้ร่วมมือกับบริษัท SIAM ICO  บริษัทที่ปรึกษาและออกแบบการพัฒนาธุรกิจและการลงทุนด้านดิจิทัล โดยกำหนดเปิดหลักสูตรพิเศษ Blockchain for Enterprise Transformation เพื่อให้ความรู้และพัฒนาผู้บริหารขององค์กรทั้งภาครัฐและเอกชนที่มีความตั้งใจ หรือสนใจที่จะพัฒนากลยุทธ์ด้านดิจิทัลให้กับองค์กร โดยอาศัยเทคโนโลยีบล็อกเชนเป็นกลไกสำคัญ

ภายใต้ความร่วมมือในครั้งนี้ ผู้บริหารของสององค์กร ได้ร่วมกันจัดแถลงความร่วมมือและแนะนำถึงสาระสำคัญของหลักสูตร ตลอดจนผู้บรรยายอันประกอบไปด้วยนักวิชาการและผู้เชี่ยวชาญที่ทรงคุณวุฒิและอยู่ในอุตสาหกรรมจริง

การแถลงข่าวครั้งนี้ประกอบด้วย 

- รศ.ดร.ธัชวรรณ กนิษฐ์พงศ์ คณบดี คณะบริหารธุรกิจ สถาบันบัณฑิตพัฒนบริหารศาสตร์ (นิด้า)

- ปฐม อินทโรดม กรรมการผู้จัดการและผู้ร่วมก่อตั้ง บริษัท สยาม ไอซีโอ จำกัด

- คณิต ศาตะมาน ซีอีโอ ไนท์ อะคาเดเมีย

- ปกรณ์ ลี้สกุล ซีอีโอฟินีมา

นอกจากนั้น การแถลงความร่วมมือในครั้งนี้ยังได้รับเกียรติจาก รศ.ดร.จงสวัสดิ์ จงวัฒน์ผล รองอธิการบดีฝ่ายวิจัยและบริการวิชาการ สถาบันบัณฑิตพัฒนบริหารศาสตร์ (นิด้า)  เข้าร่วมเป็นสักขีพยานและให้ความเห็นในการสัมภาษณ์ในโอกาสนี้ด้วย


รศ.ดร.ธัชวรรณ กนิษฐ์พงศ์ คณบดี คณะบริหารธุรกิจ  สถาบันบัณฑิตพัฒนบริหารศาสตร์ (นิด้า)

เป็นหนึ่งในเป้าหมายและความตั้งใจของ รศ.ดร.ธัชวรรณ  ซึ่งเพิ่งก้าวเข้ามารับตำแหน่งคณบดี ของคณะบริหารธุรกิจเมื่อเดือนพฤษภาคมที่ผ่านมา  โดยเป็นหนึ่งในวิสัยทัศน์ของผู้นำของคณะฯ ที่ให้ความสำคัญกับเรื่อง disruption  และเทคโนโลยีใหม่ๆ ไม่ว่าจะเป็นด้าน AI, Blockchain ตลอดจน Fintech ที่คนไทยยังต้องการการเสริมสร้างความรู้ความเข้าใจเป็นอย่างมาก

“โดยส่วนตัวคือต้องการพัฒนาหลักสูตรเหล่านี้อยู่แล้ว เมื่อได้คุยกับทาง SIAM ICO ซึ่งมีเป้าหมายที่ไปในแนวทางเดียวกัน จึงเป็นที่มาของความร่วมมือ เพราะเรื่อง Blockchain มันเป็นภาพใหญ่ หลายคนรู้จัก Bitcoin  รู้จักคริปโตเคอเรนซี่ แต่ข้อเท็จจริงๆ แล้วบล็อกเชนเป็นเทคโนโลยีที่สามารถประยุกต์มาทำอะไรได้มากกับองค์กรหรือสถาบัน ไม่ใช่เพียงออก Coin หรือ Currency เท่านั้น แต่บล็อกเชนทำอะไรได้มากกว่านั้น  แม้กระทั่งตอนนี้ เราได้พูดกันถึง Digital certificate หรือใบประกาศดิจิตอล ในบล็อกเชนที่ไม่สามารถปลอมได้ พูดถึงเงินที่ไม่สามารถปลอมได้ ซึ่งมันดีนะ และเชื่อว่าบล็อกเชนจะนำพาเราไปสู่สิ่งอื่นๆ อีกหลายๆเรื่องได้ อาทิ Supply Chain หรือ ระบบการจัดเก็บประวัติการรักษาพยาบาล หรือ เก็บข้อมูล Tourism ซึ่งต่อไปใช้การใช้จะกว้างออกไปอย่างมาก”

รศ.ดร.ธัชวรรณ ยังย้ำถึงความสำคัญของการพัฒนาเรื่อง บล็อกเชนเป็นหลักสูตรว่า “นอกจากประโยชน์ของบล็อกเชนที่กล่าวมา  เทคโนโลยีบล็อกเชนยังสามารถประยุกต์ใช้ในการพัฒนาองค์กรไปสู่ความเป็นดิจิทัลได้ อย่างที่เป็นกระแสอยู่ในขณะนี้คือเรื่อง Digital Transformation ซึ่งน่าสนใจมาก  โดยหลักสูตร Blockchain for Enterprise Transformation ที่กำลังจะเปิดร่วมกับ บริษัท SIAM ICO นี้ถือได้ว่าเป็นที่แรกที่เปิดคอร์ส วิชานี้ โดยเราจะเปิดเป็นสาธารณะโดยให้บุคคลภายนอกเข้ามารับการอบรม หลังจากนั้นก็จะหลอมรวมวิชานี้เข้าไปอยู่ในหลักสูตรMBA ของทางนิด้าในเวลาต่อไป ซึ่งเชื่อว่านักศึกษาจะให้ความสนใจและได้รับประโยชน์จากคอร์สนี้อย่างมาก”

คณบดีหญิงคนแรกของ NIDA Business School อยากเชิญชวนให้ศิษย์เก่า ตลอดผู้บริหารองค์กรของทั้งภาครัฐและเอกชนมาลงคอร์สนี้ ซึ่งได้รับการออกแบบให้มีความเหมาะสมและสอดคล้องกับผู้เรียนที่ต้องการความกระชับในเรื่องเวลา เพียง 3 วันใน 3 สัปดาห์ของเดือนสิงหาคม  โดยที่วันสุดท้ายของหลักสูตรจะจัดให้มีเวิร์กชอป โดยที่ทางนิด้าเรานำหลักของ Design Thinking เข้ามาผสมผสานในการจัดอบรมเพื่อให้ผู้เรียนได้ประโยชน์ควบคู่ทั้งในเรื่องบล็อกเชนและ Design Thinking ไปพร้อมๆกัน อีกด้วย


ปฐม  อินทโรดม กรรมการผู้จัดการและผู้ร่วมก่อตั้ง บริษัท SIAM ICO  จำกัด

ความเป็นมาของหลักสูตร Blockchain for Enterprise Transformation  เกิดจากคำถามที่ทั้งสยามไอซีโอและนิด้าได้รับอยู่เสมอในช่วงปีที่ผ่านมาคือ เรื่องบล็อกเชน และ Digital Transformation  และเมื่อได้มีโอกาสได้หารือถึงเป้าหมายและความเป็นไปได้ในเรื่องความร่วมมือเพื่อพัฒนาเป็นหลักสูตรนี้เกิดขึ้นมา โดยผูกเอา 2 เรื่องไว้ด้วยกัน 

“ถ้าคุณสนใจเรื่องบล็อกเชน คุณจะได้เรื่อง Digital Transformation เป็นของแถม และคุณอาจจะพบว่าจะปรับเปลี่ยนองค์กรเป็นดิจิทัลไม่ต้องใช้บล็อกเชนก็ได้ มีแนวทางมากมาย หรืออาจจะใช่คุณก็ลุยต่อได้เต็มที่ ก็จะมีหลักสูตรอื่นๆ เพิ่มเติมที่จะตามมาในอนาคตเจาะลึกเรื่องเหล่านี้ลงไป หรือถ้าคุณสนใจเรื่องDigital Transformation นอกจากจะได้รู้กระบวนการ  ยังมีเวิร์กช้อป ที่เราจะสอนเรื่องการปรับเปลี่ยนองค์กรว่าต้องรู้จักแกนหลักขององค์กร องค์ประกอบภายนอกมีอะไรบ้าง มีกรณีศึกษาจากกรณีทั้งไทยและต่างประเทศอะไรที่นำมาใช้ได้ และได้เรื่องบล็อกเชนเสริมเข้าไปด้วย ซึ่งบล็อกเชนคุณอาจจะรู้เพื่อไปปรับกระบวนการทำงานหรือไปใช้ในเรื่องการระดมทุนจะทำ STO ICO  ต่อไปในอนาคตได้”         

ปฐม เผยว่าหลักสูตรนี้เหมาะกับผู้บริหารองค์กรภาครัฐและเอกชนตั้งแต่ขนาดกลางขึ้นไปที่มีความตั้งใจจะพัฒนากลยุทธ์ด้านดิจิทัลให้กับองค์กรโดยอาศัยเทคโนโลยีบล็อกเชนเป็นหัวใจสำคัญ และที่รับทราบเรื่องบล็อกเชนและ Digital Transformation มาระยะหนึ่งแล้ว อยากรู้ว่าจะนำไปปรับใช้กับองค์กรของตนเองได้อย่างไร โดยเป็นหลักสูตรที่เน้นในการถ่ายทอดความรู้ และการนำไปประยุกต์ใช้ในโลกความเป็นจริงอย่างเต็มที่

“สิ่งที่ผู้เข้าร่วมอบรมจะได้รับกลับไปคือ “Digital Transformation คือเราพูดถึงภาพรวมของเทคโนโลยีทั้งหมด เจาะลึกเทรนด์ที่จะมีผลกระทบในอนาคต สยามไอซีโอเราเชี่ยวชาญเรื่องไฮบริด  เช่น ธุรกิจโลจิสติกส์ ตอนเวิร์กช้อป คุณรู้หรือไม่ว่าIOTมารวมกับบล็อกเชนได้ รถขนส่งสามารถเอาเซนเซอร์ใส่เข้าไปวัดอุณหภูมิ มีจีพีเอสวัดว่าอยู่ที่จุดไหนแล้ว บวกกับSmart Contact ของบล็อกเชนทำให้ลูกค้าของคุณจ่ายเงินได้ทันทีเมื่อรู้ว่าคุณขนอาหารไปส่งถึงเป้าหมายโดยที่อุณหภูมิไม่เปลี่ยนแปลงจากที่กำหนดไว้ เป็นการเชื่อมโยงเทคโนโลยีเข้าด้วยกัน”

การนำเทคโนโลยีหลายอย่างมาประสานกันจนเกิดโซลูชันเป็นเป้าหมายเบื้องต้นที่คุณปฐมคาดหวังให้ผู้เข้าร่วมอบรมได้รับกลับไป และหากสามารถมองไปไกลได้ถึงการคิดแพลตฟอร์มดิจิทัลออกมาใช้ได้จริง ก็จะเป็นเป้าหมายสูงสุดที่หลักสูตรนี้ต้องการ


สนใจรายละเอียดหลักสูตร Blockchain for Enterprise Transformation คลิ๊ก

 

 

ลาซาด้า เปิดตัวแบรนด์แคมเปญใหม่ Go Where Your Heart Beats - มีทุกสิ่งที่ใจค้นหา” ด้วยแนวคิดของแบรนด์ที่เปี่ยมไปด้วยอารมณ์ความรู้สึก และสื่อถึงความเป็นแพลตฟอร์มอีคอมเมิร์ซชั้นนำของเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ในยุคใหม่ โดยแบรนด์แคมเปญใหม่นี้ เปิดตัวโดยใช้ภาพยนตร์โฆษณาสามเรื่องที่บอกเล่าถึงการเดินทางตามเส้นทางชีวิตของคนสามคน ซึ่งเรื่องราวเหล่านี้สะท้อนให้เห็นว่าการทำตามความต้องการของหัวใจ ไม่ว่าจะเป็นเรื่องเล็กหรือเรื่องใหญ่นั้น สามารถจุดประกายความเป็นไปได้ใหม่ๆ ได้เสมอ

ทั้งนี้ แบรนด์แคมเปญใหม่ของลาซาด้า Go Where Your Heart Beats บ่งบอกถึงตัวตนของแบรนด์ตามวิสัยทัศน์ที่ลาซาด้าที่ได้ประกาศไปเมื่อเดือนมีนาคมที่ผ่านมา โดยลาซาด้ามุ่งมั่นที่จะเร่งขับเคลื่อนความก้าวหน้าของภูมิภาคเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ด้วยการค้าและเทคโนโลยี และนับเป็นการรีเฟรชแบรนด์ครั้งแรกของลาซาด้าในรอบห้าปี นับตั้งแต่ที่ลาซาด้าได้มีการอัพเดทแท็กไลน์ (Tagline) เมื่อปี 2557

ปิแอร์ ปัวยอง ประธานเจ้าหน้าที่บริหารของ ลาซาด้า กรุ๊ป กล่าวว่า “ลาซาด้าเปิดตัวในภูมิภาคเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ ในฐานะผู้บุกเบิกอีคอมเมิร์ซในภูมิภาคนี้ โดยได้นำเสนอการช้อปปิ้งออนไลน์ที่ทำได้โดยง่ายดายและสะดวกสบาย และในเวลาเพียงเจ็ดปี เราได้กลายเป็นผู้นำด้านอีคอมเมิร์ซในภูมิภาค ที่ตั้งเป้าให้บริการลูกค้ากว่า 300 ล้านคนภายในปี 2573 ทั้งนี้ บทบาทของลาซาด้านั้นไม่ใช่เป็นเพียงแค่แพลตฟอร์มสำหรับการทำธุรกรรมช้อปปิ้ง แต่เราได้ยกระดับบทบาทของลาซาด้าสู่การเป็นจุดหมายปลายทางด้านไลฟ์สไตล์ ที่สามารถจะสร้างสรรค์และผลักดัน ความหวัง ความฝัน และความปรารถนาของทั้งของผู้ค้าและผู้ซื้อ”

สำหรับการปรับตำแหน่งทางการตลาดใหม่ของแบรนด์ลาซาด้าในครั้งนี้ มีกลยุทธ์หลักคือ “ช้อปเปอร์เทนเม้นท์” (Shoppertainment) ที่มีการยกระดับประสบการณ์ของนักช้อปอย่างต่อเนื่อง รวมไปถึงความพยายามของลาซาด้าในการเพิ่มขีดความสามารถของผู้ค้า เพื่อผลักดันบรรดาแบรนด์และร้านค้าสู่การเป็นสุดยอด eBusinesses และการเดินหน้าทำงานร่วมกับชุมชนท้องถิ่นอย่างต่อเนื่อง อาทิ กลุ่มคุณแม่นักธุรกิจ หรือ Mumpreneurs และกลุ่มผู้ค้าในจังหวัดต่างๆ ทั่วประเทศ เป็นต้น

นอกจากการเปิดตัวแบรนด์แคมเปญแบรนด์ใหม่ในครั้งนี้  ลาซาด้ายังได้เผยโฉมอัตลักษณ์ใหม่ของแบรนด์ที่สะท้อนถึงความเป็นหนุ่มสาว มีพลัง และมีชีวิตชีวา โดยองค์ประกอบสำคัญในอัตลักษณใหม่นี้ คือโลโก้รูปหัวใจ ที่นำเสนอด้วยตัวอักษร “แอล” (L) ซึ่งหมายถึงลาซาด้าในรูปแบบของกล่องสามมิติ กล่องดังกล่าวยังเป็นตัวแทนหัวใจของธุรกิจลาซาด้า และยังสามารถสื่อถึงความหมายอื่นๆ ได้อีกหลากหลาย นอกจากนี้ เรายังมีโลโก้ใหม่ที่สื่อถึงความเป็นหนุ่มสาวในยุคดิจิทัล โดยสีสันใหม่ของ  แบรนด์ยังสะท้อนถึงความมีชีวิตชีวาของการช้อปปิ้งอีกด้วย

แมรี่ โจว ประธานเจ้าหน้าที่การตลาดของ ลาซาด้า กรุ๊ป กล่าวว่า “ในฐานะที่เป็นแพลตฟอร์มอีคอมเมิร์ซชั้นนำของเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ ทั้งในด้านของขนาดธุรกิจและการเข้าถึงกลุ่มลูกค้า ลาซาด้าได้ศึกษาพฤติกรรมผู้บริโภคในภูมิภาค รวมถึงการมีส่วนร่วมและตอบสนองต่อแพลตฟอร์ม ขณะเดียวกันลาซาด้าก็มีส่วนกระตุ้นธุรกิจอีคอมเมิร์ซของภูมิภาค จากการที่เป็นผู้บุกเบิกอีคอมเมิร์ซที่มอบประสบการณ์ใหม่ๆ ให้กับผู้ซื้อและผู้ขายออนไลน์ ด้วยนวัตกรรมของฟีเจอร์และเครื่องมือใช้งานอันล้ำหน้าอย่างต่อเนื่อง”

แบรนด์แคมเปญใหม่ของลาซาด้าเปิดตัวพร้อมกันในหกประเทศทั่วเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ ตั้งแต่วันที่ 20 มิถุนายนนี้ ซึ่งรวมถึงคลิปภาพยนตร์โฆษณา 60 วินาทีหนึ่งเรื่อง, คลิปภาพยนตร์โฆษณา 30 วินาทีอีกจำนวนสามเรื่อง และชุดโฆษณาภาพนิ่ง บอกเล่าเรื่องราวการแสวงหาตัวตนและความสำเร็จที่เป็นไปได้ด้วยลาซาด้า โดยเรื่องแรกเป็นเรื่องราวของพนักงานออฟฟิศที่ไล่ล่าความฝันในเส้นทางนักดนตรีเพลงร็อค เรื่องที่สองเป็นเรื่องของหญิงสาวที่ได้รับแรงบันดาลใจจาก Livestreaming บนแพลตฟอร์มของลาซาด้าและได้นำแรงบันดาลใจนี้ไปสร้างสรรค์งานศิลปะบนเรียวเล็บ และเรื่องสุดท้ายเป็นเรื่องราวของผู้หญิงที่นำความชื่นชอบคุกกี้ในสมัยวัยเยาว์ของเธอมาเปลี่ยนเป็นแรงผลักดัน ให้เธอได้กลายมาเป็นเชฟขนมอบในที่สุด

สำหรับแบรนด์แคมเปญใหม่ของลาซาด้า เกิดจากแนวคิดและการสร้างสรรค์โดยเอเจนซี่ระดับแนวหน้า Wunderman Thompson Singapore ส่วนอัตลักษณ์ใหม่ของแบรนด์ลาซาด้านั้นได้รับการพัฒนาโดย Superunion Singapore

X

Right Click

No right click