นายอัศวิน เตชะเจริญวิกุล ประธานเจ้าหน้าที่บริหารและกรรมการผู้จัดการใหญ่ บริษัท บิ๊กซี ซูเปอร์เซ็นเตอร์ จำกัด (มหาชน) ได้เกียรติรับเชิญจากหน่วยงาน Hong Kong Talent Engage ของรัฐบาลฮ่องกง โดยนายคริส ซัน รัฐมนตรีกระทรวงแรงงานและสวัสดิการฮ่องกง ให้การต้อนรับในโอกาสเข้าร่วมเป็นวิทยากรเสวนาในหัวข้อ “International Talent Forum” เพื่อแบ่งปันข้อมูลเชิงลึกและประสบการณ์ในฐานะผู้นำองค์กรที่มีธุรกิจหลากหลายใน 9 ประเทศทั่วเอเชีย รวมถึงฮ่องกงด้วย โดยแสดงวิสัยทัศน์เกี่ยวกับภาพรวมการพัฒนาผู้มีความสามารถระดับโลกและกลยุทธ์การได้มาซึ่งผู้มีความสามารถ
สำหรับการประชุม Global Talent Summit จัดขึ้นเป็นครั้งแรกที่ศูนย์การประชุมและนิทรรศการฮ่องกง โดยมีนายจอห์น ลี ผู้ว่าการเขตบริหารพิเศษฮ่องกง และนางหวัง เสี่ยวผิง รัฐมนตรีกระทรวงทรัพยากรมนุษย์และประกันสังคมของจีน และผู้ชมโดยทั่วไปเข้าร่วมงานอย่างท่วมท้นอีกกว่า 1,500 คน
เอ็น.ซี.ซี. เปิดงาน PET EXPO THAILAND 2024 อย่างยิ่งใหญ่ฉลองครบรอบ 24 ปีของการจัดงาน รวบรวมเหล่าสัตว์เลี้ยงมาประชันโฉมในธีมโจรสลัดสุดน่ารัก รับกระแส Petsumer และเทรนด์ Pet Humanization - Pet Celebrity ทำตลาดสัตว์เลี้ยงเติบโตแรงต่อเนื่อง คาดตลอดระยะเวลาการจัดงานจะมีเงินสะพัดไม่น้อยกว่า 1,000 ล้านบาท
นายสุรพล อุทินทุ กรรมการผู้จัดการ บริษัท เอ็น.ซี.ซี. แมนเนจเม้นท์ แอนด์ ดิเวลลอปเม้นท์ จำกัด เปิดเผยว่า ปัจจุบันเทรนด์การดูแลสัตว์เลี้ยงเสมือนสมาชิกในครอบครัว (Pet Humanization) ยังคงเป็นกระแสยอดนิยม และขยายตัวอย่างต่อเนื่องเป็นประจำทุกปี นอกจากกระแสของ Pet Humanization แล้ว สัตว์เลี้ยงบางตัวอาจพัฒนาบทบาทจากลักษณะนิสัยส่วนตัวที่สามารถยกระดับจากสมาชิกในครอบครัวปกติ จนกลายเป็นสมาชิกในครอบครัวที่สามารถสร้างรายได้ ผ่านรูปแบบลักษณะเฉพาะของสัตว์เลี้ยงที่สามารถดึงดูดความสนใจจากคนในสังคมวงกว้าง หรือ “Pet Celebrity” ส่งผลให้ภาพรวมตลาดสัตว์เลี้ยงของไทยยังมีการเติบโตเฉลี่ยต่อปีประมาณ 5-10% อย่างต่อเนื่อง โดยปี 2567 นี้คาดการณ์ว่าตลาดสัตว์เลี้ยงจะมีมูลค่ากว่า 5 หมื่นล้านบาท มูลค่ายอดใช้จ่ายของเจ้าของสัตว์เลี้ยงเฉลี่ยต่อคนที่สูงถึง 10,000 - 20,000 บาทต่อปี
นอกจากมูลค่าตลาดสัตว์เลี้ยงในไทยที่ขยายตัวจากเทรนด์การเลี้ยงที่เปลี่ยนไปดังกล่าว รูปแบบการเลี้ยงนี้ยังส่งผลทางอ้อมไปยังธุรกิจและบริการที่สามารถรองรับมูลค่าที่ขยายตัวนี้ได้ เช่น กลุ่มโรงแรมที่เป็นมิตรกับสัตว์เลี้ยง ธุรกิจรับฝึกสัตว์เลี้ยงให้กลายเป็น Petfluencer รวมถึงธุรกิจเกี่ยวกับบริการรักษาสัตว์ที่อาจมีการขยายขอบเขตบริการ Veterinary Telemedicine หรือ Virtual Vet ที่อาจเข้ามาตอบโจทย์กรณีเจ็บป่วยเล็กน้อยที่เจ้าของอาจไม่สะดวกเดินทางพาสัตว์เลี้ยงเข้ารับการรักษา เป็นต้น
ทั้งนี้ เพื่อตอบโจทย์ของการเลี้ยงสัตว์ที่เปลี่ยนไป เจ้าของจะเลือกสรรสิ่งที่ดีที่สุดให้กับสัตว์เลี้ยงของตัวเองมากขึ้น เอ็น.ซี.ซี.ฯ จึงได้จัดงาน PET EXPO THAILAND 2024 งานแสดงสินค้าและบริการ ด้านสัตว์เลี้ยงที่ดีที่สุด เพื่อเพื่อนที่ดีที่สุดของคุณ จัดขึ้นระหว่างวันที่ 9-12 พฤษภาคม 2567 ณ ฮอลล์ 5-8 ศูนย์การประชุมแห่งชาติสิริกิติ์ ซึ่งเป็นการจัดต่อเนื่องเป็นปีที่ 24 ภายในงานยังได้เตรียมกิจกรรมสนุกๆ ไว้มากมาย โดยปีนี้จัดขึ้นในธีมโจรสลัดสุดน่ารัก “Friendship Treasure ขุมทรัพย์เพื่อนรักสุดขอบฟ้า” โดยได้รวบรวมสินค้าและบริการ สำหรับสัตว์เลี้ยงจากหลากหลายแบรนด์ชั้นนำกว่า 300 บริษัท 700 บูธ
“ด้วยปีนี้เราได้จัดงานต่อเนื่องเป็นปีที่ 24 เพื่อตอกย้ำความเป็นผู้นำการจัดแสดงงานด้านสัตว์เลี้ยง เราได้รวบรวมสินค้าจากทั้งไทยและต่างประเทศ ซึ่งเป็นแบรนด์สินค้าชั้นนำมาจัดรายการในราคาสุดพิเศษ พร้อมทั้งได้มีกิจกรรมให้คนรักสัตว์ได้ร่วมสนุกตลอดทั้ง 4 วัน โดยเชื่อว่าตลอดการจัดงานนี้จะมีเงินสะพัดภายในงานไม่น้อยกว่า 1,000 ล้านบาท” นายสุรพล กล่าว
สำหรับไฮไลท์ภายในงาน PET EXPO THAILAND 2024 ได้รวบรวมกิจกรรมการแข่งขันและการประกวดชิงรางวัลสนุก ๆ ของเพื่อนสัตว์เลี้ยงตัวน้อย พร้อมของรางวัลแบบจัดเต็มตลอดระยะเวลา 4 วัน รวมถึงการโชว์ตัวครั้งแรกในประเทศไทยของ Blue Holicer Rabbit กระต่ายพันธุ์ใหม่ล่าสุด ลำดับที่ 52 ของโลก และยังมีเหล่าผู้ประกอบธุรกิจด้านสัตว์เลี้ยงที่พาเหรดยกทัพสินค้าและบริการจากแบรนด์ชั้นนำมาให้ผู้รักสัตว์เลี้ยงได้เลือกซื้ออย่างจุใจ พร้อมโปรโมชั่นพิเศษ ทั้งกลุ่มอาหารสัตว์ เวชภัณฑ์ อาหารเสริม แชมพูและผลิตภัณฑ์บำรุงขน อุปกรณ์ตัดแต่งขน เสื้อผ้าและเครื่องประดับ และอุปกรณ์และของเล่นพัฒนาทักษะ นอกจากนี้ภายในงานยังมีบริการมากมาย โดยเฉพาะบริการทางด้านสุขภาพสัตว์เลี้ยงจากโรงพยาบาลสัตว์ชั้นนำของไทยมาให้เลือกใช้บริการ และรับคำปรึกษา แนะนำจากสัตวแพทย์อย่างใกล้ชิด
นอกจากนี้ในวันเสาร์ที่ 11 และวันอาทิตย์ที่ 12 พฤษภาคม 2567 ในโซนกระต่าย ท่านจะได้ชมการประกวดกระต่ายระดับโลกมาตรฐานสายพันธุ์ ARBA การประกวดหนูเควี่ และหนูแฮมเตอร์ ตัดสินโดยกรรมการ 3 ท่านจากสหรัฐอเมริกา
ส่วน โซนสัตว์ Exotic Pet หรือโซนสัตว์พิเศษได้รวบรวมสัตว์ต่างๆ สำหรับผู้ที่ชื่นชอบสัตว์พิเศษที่หาดูได้ยาก เช่น งูหลามบอล ทามารินมือทอง ตุ๊กแกหางอ้วนแอฟริกา จิ้งจอกทะเลทราย สกั๊งค์ กบต้นไม้ ตัวกินมด หนูไร้ขน หมาน้ำ แมงมุมทารันทูล่า และสัตว์อื่นๆ อีกมากมาย พร้อมทั้งยังมีการประกวดแมงมุม Thailand's Grand Tarantulas ครั้งที่ 1 ในวันที่ 11 พฤษภาคม 2567, การประกวดงูใหญ่ Thailand Giant Snake Contest 2024 วันอาทิตย์ที่ 12 พฤษภาคม 2567
ในขณะที่ โซน Pet Village ท่านจะได้พบกับคาพิบาร่า วัววาตูซี จิ้งโจ้แคระ แพะแองโกล่า แกะคาทาดิน White Face Owl นกแก้วซันคอนัว และอีกมากมาย
“ภายในงานยังมีกิจกรรมการแข่งขันบริเวณลานกิจกรรมพร้อมของรางวัลมากมาย อาทิ เกมฮาเฮ เหมียวหม่ำๆ เหมียวยอดนักตบ ด่านกำแพงใสไหนทางออก การแข่งขันหมาน้อยลมกรด การแข่งขัน My Dog Anywhere การแข่งขัน Dog Agility เป็นต้น โดยตลอดระยะเวลา 4 วันของการจัดงาน คาดว่าจะมีผู้เข้าชมงานกว่า 180,000 คน” นายสุรพล กล่าว
สำหรับผู้ที่สนใจกิจกรรมต่างๆ รวมทั้งต้องการเลือกชมสินค้าและบริการเกี่ยวกับสัตว์เลี้ยง สามารถเข้าชมได้ภายในงาน “PET EXPO THAILAND 2024” จะมีขึ้นในระหว่างวันที่ 9-12 พฤษภาคม 2567 ณ ฮอลล์ 5-8 ศูนย์การประชุมแห่งชาติสิริกิติ์ โดยสามารถติดตามข่าวสาร และดูรายละเอียดเพิ่มเติมได้ที่ www.petexpothailand.net หรือ เฟซบุ๊ก Petexpoclub หรือช่องทางทวิตเตอร์ @PetexpoclubTH1 หรือแอดไลน์เพื่อติดตามทุกความเคลื่อนไหวของงานและโปรโมชั่นเด็ด ๆ ก่อนใครได้ที่ @petexpoclub
สตาร์ทอัพไทยปั้น “ปันปัน” แอปพลิเคชันมาร์เก็ตเพลส บนแพลตฟอร์มอีคอมเมิร์ซ รายล่าสุดของไทย แอปฯ ตลาดออนไลน์สัญชาติไทยเพื่อคนไทย เผยพร้อมเดินตามแนวคิด CSV เพื่อสร้างธุรกิจที่ยั่งยืนไปด้วยกันกับปันปัน ทั้งพาร์ทเนอร์ และลูกค้า
บจก.ปันปันเวิร์ล นำโดย นายกิตติพันธ์ ศรีฉันทะมิตร กรรมการบริหาร พร้อมด้วย ธวัลพร เหล่าวณิชย์วิทย์ ผู้บริหารฝ่ายการตลาด นายสุเมธ ศรีฉันทะมิตร ที่ปรึกษาบริษัทฯ จัดกิจกรรมแนะนำสตาร์อัพไทยน้องใหม่ “ปันปัน” โดยมี ครูรัก-ศรัทธา ศรัทธาทิพย์ นักแสดงและผู้กำกับชื่อดัง อ.ป๊อป-ปรีดี นุกุลสมปรารถนา อาจารย์และที่ปรึกษาด้านการตลาดและการสร้างแบรนด์ ร่วมเป็นเกียรติในงาน
นายกิตติพันธ์ ศรีฉันทะมิตร กรรมการบริหาร บริษัท ปันปันเวิร์ล จำกัด เปิดเผยว่า ในช่วง 1-2 ปีที่ผ่านมาตลาดอีคอมเมิร์ซของประเทศไทยเติบโตคึกคักเป็นอย่างมาก โดยข้อมูล Priceza ระบุในบทวิเคราะห์ Thailand E-Commerce Landscape 2024 ว่าตลาดอีคอมเมิร์ซของไทย ในปี 2023 แตะอยู่ที่ 932,000 ล้านบาท เติบโตประมาณ 14% เมื่อเทียบกับ 2022 อยู่ที่ 818,000 ล้านบาท ซึ่งทำให้เห็นว่าตลาดอีคอมเมิร์ซยังเติบโตอย่างต่อเนื่อง
จากโอกาสทางธุรกิจตลาดอีคอมเมิร์ซที่ยังสามารถเติบโตอย่างต่อเนื่องนั้น ทำให้แบรนด์“ปันปัน” แอปพลิเคชันมาร์เก็ตเพลส ในฐานะสตาร์ทอัพผู้เข้าสู่วงการตลาดอีคอมเมิร์ซรายล่าสุด มั่นใจว่า ตลาดอีคอมเมิร์ซ ยังมีพื้นที่สำหรับ “ปันปัน” โดยแรกเริ่ม ปี 2022 ปันปัน ก่อตั้งในรูปแบบเว็บไซต์ และพัฒนามาสู่แอปพลิเคชันในปี 2023 เพื่อตอบโจทย์การใช้งานที่สะดวกและคล่องตัวสำหรับพาร์ทเนอร์และลูกค้ามากขึ้น
แอปพลิเคชัน “ปันปัน” เหมาะสำหรับร้านค้า เจ้าของธุรกิจรายย่อย ขนาดเล็ก ขนาดกลาง ที่มีสินค้าถูกกฎหมายทุกประเภท โดยต้องเป็นผู้ที่จดทะเบียนการค้ากับหน่วยงานรัฐ และกำลังหาช่องทางการจำหน่ายสินค้าที่ไม่ต้องการแบกรับค่าส่วนแบ่งทางการตลาด(GP) ที่สูงมากตามกลไกของตลาดอีคอมเมิร์ซ
“ปันปัน” มีรูปแบบการดำเนินธุรกิจ คือ ปันที่1 ร้านค้าและเจ้าของธุรกิจ (Partner Shop) ที่เปิดร้านกับ “ปันปัน” จะได้รับการปันรายได้บางส่วนจาก “ปันปัน” ในทุกยอดการสั่งซื้อ ตลอดอายุการใช้งาน ปันที่2 ปันสู่สังคม “ปันปัน” เป็นแพลตฟอร์มอีคอมเมิร์ซ ที่พร้อมเปิดพื้นที่ มอบโอกาสทางการตลาดให้มีการซื้อ-ขายในทุกมิติ ตั้งแต่ต้นน้ำจนถึงปลายน้ำให้กับคนไทยทั้งที่เป็นผู้ผลิต ผู้จำหน่ายรายเล็ก รายย่อย รวมถึงขนาดกลางและใหญ่ เพื่อให้คนไทยมีรายได้มั่นคงยั่งยืนไปพร้อมกับ “ปันปัน”
ลูกค้าที่ช้อปผ่าน แอปพลิเคชัน “ปันปัน” จะได้พบกับสินค้าอุปโภค บริโภค ที่มีให้เลือกหลากหลายนานาชนิด และได้อุดหนุนร้านค้า เจ้าของธุรกิจ ผู้ผลิต ผู้จำหน่ายคนไทยที่เป็นพาร์ทเนอร์ปันปันด้วย และภายในปี 2567 นี้จะมีสินค้ามากกว่า 1,000 ชิ้น ทั้งนี้สินค้าที่อยู่ในแอปพลิเคชัน “ปันปัน” เป็นสินค้าที่มีอยู่จริง เชื่อถือได้ โดย “ปันปัน” จะจัดให้มีโปรโมชั่นสินค้าอย่างต่อเนื่องเพื่อกระตุ้นให้เกิดการซื้อขายที่คึกคัก ด้านการจัดส่งสินค้าลูกค้ามั่นใจได้ในความว่องไวทันใจ
นายกิตติพันธ์ กล่าวในตอนท้ายว่า ด้วยรูปแบบการดำเนินธุรกิจดังกล่าว “ปันปัน” ยังได้เตรียมความพร้อมในการดำเนินธุรกิจอย่างยั่งยืนตามแบบแนวคิด CSV (Creating Shared Value) เพื่อให้พาร์ทเนอร์และลูกค้าร่วมสร้างธุรกิจที่ยั่งยืนไปด้วยกันกับ “ปันปัน” โดย “ปันปัน” สตาร์ทอัพแอปพลิเคชันอีคอมเมิร์ซ มีความมั่นใจว่า CSV สามารถเพิ่มศักยภาพการดำเนินธุรกิจได้ในทุกมิติทุกระดับ ทั้ง ด้านสังคม (Social) เศรษฐกิจ (Economic) และสิ่งแวดล้อม (Environment) ซึ่งหมายถึงธุรกิจของ “ปันปัน” จะเป็นธุรกิจที่แบ่งปันคุณค่าอย่างแท้จริง
sacit เชิญ 9 กูรูผู้เชี่ยวชาญในงานศิลปหัตถกรรมไทย มาระดมสมองมองไปในอนาคต เพื่อกำหนดแนวทางการพัฒนาสินค้าศิลปหัตถกรรมไทยให้ตรงกับความต้องการของตลาดโลก และสร้างสรรค์งานศิลปหัตถกรรมไทยให้เผยแพร่ไปในระดับสากล และเกิดการเติบโตอย่างยั่งยืน
นางสาวนฤดี ภู่รัตนรักษ์ ผู้อำนวยการสำนักวิจัยและพัฒนาผลิตภัณฑ์ศิลปหัตถกรรม และรักษาการแทนผู้อำนวยการสถาบันส่งเสริมศิลปหัตถกรรมไทย (องค์การมหาชน) หรือ sacit เปิดเผยว่า sacit ในฐานะที่เป็นหน่วยงานที่รับผิดชอบในการพัฒนาส่งเสริมศิลปหัตถกรรมไทย ได้จัดประชุมเสวนา “sacit Craft Power” SACIT The Future of Crafts : Guru Panel ระดมสมองผู้เชี่ยวชาญในงานศิลปหัตถกรรมไทยในด้านต่าง ๆ มาร่วมหารือถึงแนวโน้มอุตสาหกรรมศิลปหัตถกรรมในตลาดโลก เพื่อให้เห็นแนวทางความต้องการของตลาดในอนาคต ซึ่งจะเป็นส่วนสำคัญในการพัฒนาสินค้าศิลปหัตถกรรมไทยให้เติบโตขยายในตลาดโลกได้มากขึ้น
โดยการประชุมเสวนาในครั้งนี้ sacit ได้เชิญผู้เชี่ยวชาญด้านศิลปหัตถกรรมไทย 9 ท่าน มาแสดงความคิดเห็น ได้แก่ ตัวแทน Unseen Craft 2 ท่าน คือ ศาสตราจารย์เกียรติคุณวิบูลย์ ลี้สุวรรณ ราชบัณฑิต ประเภทวิชาวิจิตรศิลป์ สาขาวิชาจิตรกรรม ราชบัณฑิตยสภา และครูมีชัย แต้สุจริยา ศิลปินแห่งชาติสาขาทัศนศิลป์ (ทอผ้า) / ครูศิลป์ของแผ่นดิน ปี 2559 (ผ้ากาบบัว) นอกจากนี้ ยังมีตัวแทน Thainess 3 ท่าน ได้แก่ ม.ล.ภาวินี สันติศิริ กรรมการผู้จัดการ, บริษัท อโยธยาเทรด(93) จำกัด และ บริษัท สหัสชา (1993) จำกัด, รศ.ดร.สุภาวี ศิรินคราภรณ์ อาจารย์ประจำภาควิชาออกแบบเครื่องประดับ คณะมัณฑนศิลป์ มหาวิทยาลัยศิลปากร และ อาจารย์ ดร.ไพโรจน์ พิทยเมธี อาจารย์ประจำภาควิชาการออกแบบนิเทศศิลป์ คณะมัณฑนศิลป์ มหาวิทยาลัยศิลปากร และเชี่ยวชาญเฉพาะเรื่องการนำศิลปะไทยต่อยอดสู่ออกแบบร่วมสมัย และเรื่องสี “ไทยโทน”
รวมทั้งตัวแทน Soft Power 4 ท่าน ได้แก่ นางสาวชลดา สิทธิวรรณ ผู้อำนวยการกลุ่มงานอำนวยการด้านนโยบายและแผน การท่องเที่ยวแห่งประเทศไทย (ททท.), นายอาสา ผิวขำ ผู้อำนวยการสำนักพัฒนาธุรกิจและนวัตกรรม (CEA), นายพิติรัตน์ วงศ์สุทินวัฒนา หัวหน้างานยกระดับการท่องเที่ยวโดยชุมชน สำนักท่องเที่ยวโดยชุมชน (อพท.), ดร.สิริกร มณีรินทร์ ผู้อำนวยการสถาบันช่างศิลป์ท้องถิ่น สำนักบริหารวิทยสถานสังคมศาสตร์ มนุษยศาสตร์ และศิลปกรรมศาสตร์แห่งประเทศไทย (ธัชชา)
ทั้งนี้ ผู้เชี่ยวชาญทั้ง 9 ท่าน ล้วนแต่เป็นผู้มีความรู้ความเชี่ยวชาญในแต่ละด้านที่สำคัญ โดยผลที่ได้จากการประชุมเสวนาในครั้งนี้ จะนำไปรวบรวม และสังเคราะห์ความคิดเห็นจากผู้เชี่ยวชาญ และผู้ทรงคุณวุฒิ ซึ่งมีประสบการณ์ และเกี่ยวข้องกับการสร้างคุณค่า และสร้างมูลค่าเพิ่มแก่งานศิลปหัตถกรรมในบริบทต่างๆ เพื่อที่จะนำไปจัดทำกรอบแนวคิด SACIT The Future of Craft, Trends Forecast 2025
โดยผลที่ได้จากการจัดทำ Trends Forecast 2025 จะช่วยให้งานศิลปหัตถกรรมไทยก้าวหน้าไปในทุกมิติ และมีความยั่งยืน รวมทั้งยังช่วยส่งเสริมสนับสนุนให้มีการพัฒนา และเพิ่มทักษะการประกอบอาชีพ รวมไปถึงการพัฒนาคุณภาพ และมาตรฐานของผลิตภัณฑ์ ความคิดสร้างสรรค์ และภูมิปัญญาท้องถิ่นมาประยุกต์ใช้ในการพัฒนาผลิตภัณฑ์ นอกจากนี้ยังเป็นการสืบสานและยกย่องเชิดชู รักษา พัฒนา และเผยแพร่ ถ่ายทอดองค์ความรู้เกี่ยวกับภูมิปัญญางานศิลปหัตถกรรมไทยให้เผยแพร่ในระดับสากล และสร้างผลิตภัณฑ์ศิลปหัตถกรรมไทยให้เติบโตในเวทีโลกต่อไปในอนาคต
ทีเอ็มบีธนชาต หรือ ทีทีบี ประกาศความสำเร็จด้านดิจิทัล คว้ารางวัล Best Institution for Digital CX บนเวทีระดับสากล Digital CX Awards 2024 โดยมีนายนริศ อารักษ์สกุลวงศ์ ประธานกลุ่ม งานกลยุทธ์องค์กรและดิจิทัล ทีทีบี เป็นผู้รับมอบรางวัล ตอกย้ำความโดดเด่นของแอปพลิเคชัน ttb touch ในการผสมผสานนวัตกรรมดิจิทัลและการออกแบบที่เน้นลูกค้าเป็นศูนย์กลาง มีฟีเจอร์การจัดการทางการเงินที่ใช้งานง่าย และสร้างประสบการณ์ที่สุดเอ็กซ์คลูซีฟแบบรายบุคคล (Personalized Message) ซึ่งพัฒนาโดยทีมดิจิทัล “ttb spark” ในฐานะศูนย์กลางดิจิทัลของทีทีบี เพื่อขับเคลื่อนธนาคารสู่ทุกความเป็นไปได้ ด้วยดิจิทัลโซลูชันที่เป็นมิตรและรู้ใจ ภายใต้แนวคิด Humanized Digital Banking เพื่อให้ลูกค้าทุกกลุ่มมีชีวิตทางการเงินที่ดีขึ้น ทั้งนี้ การมอบรางวัลจัดขึ้น ณ โรงแรมมาริน่า เบย์ แซนด์ ประเทศสิงคโปร์ เมื่อเร็ว ๆ นี้
กรุงศรี (ธนาคารกรุงศรีอยุธยา จำกัด (มหาชน)) เปิดโครงการ “Krungsri ESG Awards” ต่อเนื่องเป็นปีที่สอง โดยได้รับเกียรติจากองค์กรพันธมิตรผู้ทรงคุณวุฒิและมีวิสัยทัศน์ด้าน ESG เพื่อยกย่องและส่งเสริมผู้ประกอบการ SME ที่ดำเนินธุรกิจตามแนวคิดด้านสิ่งแวดล้อม (Environment) สังคม (Social) และ ธรรมาภิบาล (Governance) หรือ ESG พร้อมต่อยอดด้วยการเปิดหลักสูตรอบรมพิเศษ “Krungsri ESG Academy 2024” โดยผู้เชี่ยวชาญระดับประเทศขึ้นเป็นครั้งแรก เพื่อถ่ายทอดองค์ความรู้เรื่อง ESG ให้กับผู้ประกอบการ ในการสร้างแผนเปลี่ยนผ่านธุรกิจสู่ความยั่งยืนตามกรอบ ESG และนำไปสู่การเปลี่ยนแปลงให้กับธุรกิจในระยะยาว
นางสาวดวงกมล ลิมป์พวงทิพย์ ประธานคณะเจ้าหน้าที่ด้านลูกค้าธุรกิจ SME ธนาคารกรุงศรีอยุธยา จำกัด (มหาชน) กล่าวว่า “ในฐานะส่วนหนึ่งของภาคการเงินที่มีบทบาทสำคัญในการขับเคลื่อนการเติบโตอย่างยั่งยืนของประเทศ กรุงศรีตระหนักถึงความเร่งด่วนและความจำเป็นในการสนับสนุนลูกค้าธุรกิจให้ปรับตัวและเปลี่ยนแปลงสู่เส้นทางของความยั่งยืน โดยเราพร้อมยืนหยัดเคียงข้างผู้ประกอบการ SME ผ่านการสนับสนุนทางการเงินและกิจกรรมส่งเสริมการพัฒนาธุรกิจด้าน ESG ด้วยเป้าหมายสำคัญสามประการ คือ 1. ส่งเสริมความรู้เพื่อให้ผู้ประกอบการเข้าใจถึงความสำคัญของ ESG และเห็นแนวทางในการสร้างความยั่งยืนซึ่งเป็นเรื่องง่ายและใกล้ตัวกว่าที่คิด 2. ให้การช่วยเหลือธุรกิจในกลุ่มอุตสาหกรรมเป้าหมายเพื่อพัฒนาแผนการเปลี่ยนผ่านธุรกิจสู่ความยั่งยืนที่นำไปใช้ได้จริง 3. ขยายโอกาสให้ธุรกิจเข้าถึงเครือข่ายผู้เชี่ยวชาญด้านความยั่งยืน เพื่อสร้างพันธมิตรในการต่อยอดด้าน ESG ได้ครบทุกมิติ”
“อย่างไรก็ตาม การลงมือปฏิบัติเพื่อสร้างการเปลี่ยนผ่านให้เกิดขึ้นจริง นับเป็นอีกหนึ่งความท้าทายสำหรับผู้ประกอบการ SME ซึ่งครอบคลุมตั้งแต่การมีความรู้ ความเข้าใจที่ครบถ้วนในทุกมิติ การพัฒนาแผนธุรกิจที่นำไปสู่การวัดผลได้จริง รวมไปถึงการเข้าถึงเครือข่ายที่จะช่วยต่อยอดการพัฒนาธุรกิจอย่างยั่งยืน ในปีนี้ กรุงศรีจึงได้สานต่อโครงการ Krungsri ESG Awards เป็นปีที่สอง เพื่อเป็นแพลตฟอร์มในการเชิดชูเกียรติธุรกิจที่ให้ความสำคัญกับการทำงานด้าน ESG และนำแนวทางไปปรับใช้กับธุรกิจจนเกิดผลสำเร็จ ซึ่งเรามุ่งหวังให้รางวัลนี้เป็นแรงกระตุ้นให้ผู้ประกอบการที่ลงมือทำ ESG อยู่แล้ว ดำเนินการอย่างต่อเนื่อง ขณะเดียวกันก็ช่วยสร้างแรงบันดาลใจให้กับผู้ประกอบการรายอื่นๆ เห็นว่า ESG สามารถทำได้จริงและจำเป็นต้องทำ พร้อมกันนี้ กรุงศรีได้ร่วมมือกับศูนย์วิจัยและสนับสนุนเป้าหมายการพัฒนาที่ยั่งยืน (SDG Move) คณะเศรษฐศาสตร์ มหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์ เปิดหลักสูตรอบรมพิเศษ Krungsri ESG Academy 2024 โดยจะเน้นการถ่ายทอดความรู้เรื่อง ESG ให้กับผู้ประกอบการอย่างเข้มข้น เพื่อช่วยสร้างแผนเปลี่ยนผ่านธุรกิจที่นำไปใช้ได้จริง และนำไปสู่การเปลี่ยนแปลงให้กับธุรกิจในระยะยาว” นางสาวดวงกมล กล่าวเสริม
สำหรับโครงการ Krungsri ESG Awards 2024 ได้รับเกียรติจากองค์กรพันธมิตรผู้ทรงคุณวุฒิและมีวิสัยทัศน์ด้าน ESG มากมาย ได้แก่ สภาอุตสาหกรรมแห่งประเทศไทย หอการค้าไทยและสภาหอการค้าไทยแห่งประเทศไทย สมาคมธุรกิจเพื่อสังคม กรมพัฒนาธุรกิจการค้า องค์การบริหารจัดการก๊าซเรือนกระจก สำนักงานส่งเสริมวิสาหกิจขนาดกลางและขนาดย่อม และมหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์ มาร่วมแนะนำแนวทางในการปรับตัวให้กับธุรกิจ และเข้าร่วมเป็นคณะกรรมการพิจารณาและตัดสินรางวัล ซึ่งแบ่งออกเป็นสองประเภท ได้แก่
โดยในปีนี้ มีกิจการที่ได้รับคัดเลือกเข้าร่วมโครงการกว่า 60 องค์กร ประกอบไปด้วย ลูกค้าธุรกิจ SME ลูกค้าธุรกิจญี่ปุ่น สมาชิกของสมาคมธุรกิจเพื่อสังคม (SE Thailand) รวมถึงผู้ประกอบการที่ไม่ได้เป็นลูกค้าของกรุงศรี ซึ่งผู้ประกอบการทั้งหมดจะได้เข้าร่วมหลักสูตรอบรมพิเศษ Krungsri ESG Academy 2024 เพื่อเรียนรู้เกี่ยวกับการดำเนินธุรกิจตามกรอบ ESG อย่างครบทุกมิติจากผู้เชี่ยวชาญระดับประเทศ ตลอดระยะเวลาสี่เดือน ซึ่งครอบคลุมตั้งแต่วิธีการบริหารจัดการห่วงโซ่อุปทาน การจัดการด้านสภาพภูมิอากาศ การบริหารความเสี่ยงและภาวะวิกฤต รวมถึงแนวทางการดำเนินการธุรกิจหรือกิจกรรมสีเขียวตามนิยาม Thailand Taxonomy และได้ลงมือพัฒนาแผนในการปรับเปลี่ยนธุรกิจตามกรอบ ESG (Transition Plan) ร่วมกับผู้เชี่ยวชาญจากพันธมิตรและกรุงศรี ทั้งนี้ ผู้เข้าร่วมโครงการจะได้รับโอกาสการเข้าถึงเครือข่าย ESG ที่น่าเชื่อถือจากเครือข่ายพันธมิตรของกรุงศรี เพื่อสร้างโอกาสธุรกิจทั้งในและต่างประเทศ
“นับเป็นความน่ายินดีที่กรุงศรีได้รับความร่วมมือจากพันธมิตรผู้เชี่ยวชาญในวงการ ESG มาร่วมสานต่อในการผลักดันธุรกิจและเศรษฐกิจของประเทศไทยสู่การพัฒนาอย่างยั่งยืน ซึ่งนอกจากการสนับสนุนผ่านโครงการดี ๆ อย่าง Krungsri ESG Awards และ Krungsri ESG Academy แล้ว กรุงศรียังได้ตั้งเป้าให้การสนับสนุนสินเชื่อเพื่อส่งเสริมความยั่งยืน (Sustainable Finance) สำหรับกลุ่มลูกค้า SME ไว้ที่จำนวนกว่า 4,500 ล้านบาท และด้วยการสนับสนุนของกรุงศรีที่ครอบคลุมทั้งด้านการเงิน การพัฒนาธุรกิจ และเครือข่ายที่แข็งแกร่ง เราเชื่อมั่นว่าจะสามารถช่วยส่งเสริมสนับสนุนการมีส่วนร่วมของผู้ประกอบการ SME ในการเปลี่ยนผ่านธุรกิจสู่ความยั่งยืนได้มากยิ่งขึ้นในอนาคต และช่วยให้ทุกธุรกิจอยู่รอดต่อไปได้ โดยไม่มีใครถูกทิ้งไว้ข้างหลัง” นางสาวดวงกมล กล่าวปิดท้าย
การแข่งขัน Huawei ICT Competition ระดับเอเชียแปซิฟิก ครั้งที่ 8 ประจำปี 2023-2024 (พ.ศ. 2566-2567) ประกาศผลผู้ชนะเป็นที่เรียบร้อยแล้ว ภายในงานพิธีประกาศผลรางวัลซึ่งจัดขึ้นโดยความร่วมมือระหว่างหัวเว่ยและมูลนิธิอาเซียน (ASEAN Foundation) ที่สำนักงานเลขาธิการอาเซียน ในกรุงจาการ์ตา ประเทศอินโดนีเซีย การแข่งขันระดับภูมิภาคภายใต้คอนเซ็ปต์ ‘Connection, Glory, and Future’ ครั้งนี้ ได้รับความสนใจเข้าร่วมอย่างล้นหลามจากนักเรียนนักศึกษากว่า 6,400 คน จาก 14 ประเทศและเขตการปกครองทั่วทั้งภูมิภาคเอเชียแปซิฟิก รวมไปถึงตัวแทนนักศึกษา 4 ทีมจากประเทศไทย ซึ่ง 2 ทีมสามารถคว้ารางวัลจากการแข่งขันประเภท Network Track และ AI Track รวมทั้งได้รับสิทธิ์ในการเข้าร่วมชิงแชมป์ต่อในรอบตัดสินของการแข่งขัน Huawei ICT Competition ระดับโลก ณ เมืองเซินเจิ้น สาธารณรัฐประชาชนจีน ซึ่งจะจัดขึ้นในระหว่างวันที่ 23-26 พฤษภาคม พ.ศ. 2567 โดบพิธีประกาศผลรางวัลนี้ยังได้รับเกียรติจาก ฯพณฯ เกา กึมฮวน เลขาธิการสมาคมประชาชาติแห่งเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ (ASEAN) เป็นประธานพิธีเปิดงาน พร้อมด้วยคณะผู้แทนประจำอาเซียนและตัวแทนจากองค์การระหว่างประเทศเข้าร่วมในพิธีอย่างคับคั่ง
นายไซมอน หลิน ประธานกรรมการบริหาร หัวเว่ย ประจำภูมิภาคเอเชียแปซิฟิก ได้กล่าวเกี่ยวกับการแข่งขันว่า “เริ่มตั้งแต่ปี พ.ศ. 2566 มานี้ เราได้เพิ่มการแข่งขันในหมวด Computing Track เข้ามาอีกหนึ่งประเภท นอกเหนือไปจากประเภท Network Track, Cloud Track และ Innovation Track เรายังได้ออกแบบกิจกรรมที่เน้นการปฏิสัมพันธ์ระหว่างกันมากขึ้น เพื่อเสริมสร้างทักษะเรื่องความเป็นผู้นำและทักษะเพื่อการทำงานให้กับนักเรียน และด้วยความร่วมมือจากพันธมิตรจากภาครัฐ ภาคอุตสาหกรรม และสถาบันทางการศึกษา โดยเราหวังที่จะได้เพาะบ่มผู้นำ ผู้เชี่ยวชาญ และนักนวัตกรรมในอนาคตให้กับภูมิภาคนี้”
ผู้ชนะรางวัลสูงสุดในแต่ละประเภทของการแข่งขันระดับเอเชียแปซิฟิกในปีนี้ ประกอบด้วย สถาบัน Cebu Institute of Technology ประเทศฟิลิปปินส์ สำหรับประเภท Innovation Track สถาบัน Institut Teknologi Bandung ประเทศอินโดนีเซีย สำหรับประเภท Network Track สถาบัน Singapore Polytechnic สำหรับประเภท Cloud Track และสถาบัน i-Academy ประเทศฟิลิปปินส์ สำหรับประเภท Computing Track ที่เพิ่มเข้ามาใหม่ ไม่เพียงเท่านั้น ยังมีอีก 16 ทีมจากทั่วภูมิภาค ซึ่งรวมถึงทีมนักศึกษาไทยจากสถาบันเทคโนโลยีพระจอมเกล้าคุณทหารลาดกระบังและจากมหาวิทยาลัยเชียงใหม่ ที่ได้รับรางวัลอันดับหนึ่ง อันดับสอง และอันดับสาม พร้อมด้วยสิทธิ์ในการเป็นตัวแทนของภูมิภาคเอเชียแปซิฟิกเพื่อเข้าร่วมการแข่งขัน Huawei ICT Competition รอบตัดสินในระดับโลก
นายมากิ คัตสึโนะ-ฮายาชิคาวา ผู้อำนวยการและตัวแทนจากสำนักงานยูเนสโก (UNESCO) ส่วนภูมิภาค ประจำกรุงจาการ์ตา กล่าวแสดงความชื่นชมหัวเว่ยสำหรับความตั้งใจในฐานะที่เป็น “พันธมิตรในโครงการ Global Skills Academy (GSA) ของยูเนสโก ซึ่งหัวเว่ยได้แสดงถึงความมุ่งมั่นในการสนับสนุนการฝึกอบรมออนไลน์แบบไม่เสียค่าใช้จ่ายให้กับนักเรียนนักศึกษาทั่วโลกโดยผ่านทางโครงการ Huawei ICT Academy เพื่อเป็นการบ่มเพาะบุคลากรด้านไอซีที”
ดร. ปิติ ศรีแสงนาม ผู้อำนวยการบริหาร มูลนิธิอาเซียน กล่าวย้ำถึงความจำเป็นของทักษะการมีองค์ความรู้ด้านดิจิทัล (Digital Literacy) ว่า “ในภูมิภาคอาเซียนและเอเชียแปซิฟิก ความรู้และความเชี่ยวชาญในการใช้งานเทคโนโลยีดิจิทัลไม่ใช่แค่ทักษะที่ควรติดตัวไว้ แต่คือทักษะที่มีความจำเป็นต่อการเติบโตทางเศรษฐกิจ การพัฒนาทางสังคม และการเพิ่มความสามารถทางการแข่งขันบนเวทีโลก”
การแข่งขัน Huawei ICT Competition เปิดเวทีให้นักเรียนนักศึกษาได้เข้ามาร่วมแข่งขันและแลกเปลี่ยนความคิดเห็นกันอย่างสร้างสรรค์ ควบคู่ไปกับการเพาะบ่มองค์ความรู้ด้านไอซีทีและเสริมทักษะด้านการปฏิบัติจริง นับตั้งแต่การเปิดตัวครั้งแรกในปี พ.ศ. 2559 ครั้งนี้เป็นครั้งที่ 8 แล้ว ที่มีการจัดการแข่งขันขึ้นในระดับภูมิภาคเอเชียแปซิฟิก โดยกิจกรรมที่จัดขึ้นไม่เพียงเพื่อมุ่งยกระดับความสามารถด้านนวัตกรรมของนักเรียนที่เข้าร่วมเท่านั้น แต่ยังมีบทบาทสำคัญในการลดช่องว่างด้านบุคลากรดิจิทัล หัวเว่ย มีความมุ่งมั่นที่จะขยายการสนับสนุนด้านการศึกษา ด้วยแผนการจัดตั้งสถาบันฝึกอบรม Huawei ICT Academy จำนวน 500 แห่ง เพื่อบ่มเพาะนักศึกษากว่า 200,000 คน ภายในปี พ.ศ. 2568
ทีมนักศึกษาไทยจากสถาบันเทคโนโลยีพระจอมเกล้าคุณทหารลาดกระบังและมหาวิทยาลัยเชียงใหม่ ซึ่งได้รับรางวัลอันดับ 3 ในการแข่งขันประเภท Network Track และ AI Track ตามลำดับ โดยสามารถคว้าชัยชนะด้วยผลงานแอปพลิเคชันเทคโนโลยีสุดล้ำที่ช่วยยกระดับคุณภาพชีวิตให้กับผู้คนในสังคม
จากการแข่งขันระดับประเทศของนักศึกษาไทยจำนวน 317 คน จากมหาวิทยาลัย 14 แห่งทั่วประเทศ คัดเลือกเหลือเพียง 4 ทีมเพื่อเข้าแข่งขันต่อในระดับภูมิภาคเอเชียแปซิฟิก หลังเสร็จสิ้นพิธีประกาศรางวัลรอบเอเชียแปซิฟิก นักเรียนไทยผู้ชนะทั้ง 2 ทีม ได้แสดงความรู้สึกดีใจที่ได้ผ่านเข้าสู่รอบสุดท้ายในระดับโลก และเปิดเผยว่าการแข่งขันได้ให้ประสบการณ์มากมาย ได้เรียนรู้ทักษะทางเทคนิคเพิ่มเติมในสาขาวิชาที่ศึกษาอยู่ รวมไปถึงได้เรียนรู้วิธีที่เหมาะสมมากขึ้นในการสื่อสารกับเพื่อนร่วมทีม โดยทั้งสองทีมยังได้เผยแผนการต่อยอดโครงการสำหรับการแข่งขันในระดับโลกและหวังที่จะคว้ารางวัลสูงสุดกลับมาเช่นกัน
หัวเว่ย มุ่งมั่นที่จะส่งเสริมการพัฒนาทางด้านดิจิทัลให้กับประเทศไทย สอดคล้องกับพันธกิจที่มีต่อประเทศไทย ในการ ‘เติบโตในประเทศไทย สนับสนุนประเทศไทย’ และพันธกิจต่อภูมิภาคอาเซียนในการ ‘นำทุกฝ่ายก้าวไปข้างหน้า โดยไม่ทิ้งใครไว้เบื้องหลัง’ ในอนาคต หัวเว่ยจะยังคงเดินหน้าส่งมอบโซลูชันล้ำสมัยและส่งเสริมการพัฒนาทางด้านบุคลากรผ่านโครงการต่าง ๆ ต่อไป เพื่อเสริมสร้างการเติบโต ยกระดับประสิทธิภาพ และเพิ่มความสามารถทางการแข่งขัน ตลอดจนการร่วมมือกับพันธมิตรในแต่ละประเทศเพื่อขับเคลื่อนเทคโนโลยี อำนวยความสะดวกในการเปลี่ยนผ่านสู่ยุคดิจิทัล และสนับสนุนการเติบโตทางเศรษฐกิจของประเทศไทย พร้อมเป็นอีกหนึ่งกำลังในการผลักดันให้ประเทศไทยก้าวขึ้นเป็นศูนย์กลางทางด้านดิจิทัลแห่งภูมิภาคอาเซียน