ทีเอ็มบีธนชาต หรือ ทีทีบี แนะผู้ประกอบการนำเข้า-ส่งออก รับมือความผันผวนของเงินตราต่างประเทศ ด้วยบริการจัดการธุรกิจผ่านสกุลเงินท้องถิ่น (Local Currency Solutions) โดยตั้งแต่เดือนเมษายน ปี 2567 ทางธนาคารได้เพิ่มสกุลเงินท้องถิ่นอีก 3 สกุลเงิน ได้แก่ เวียดนามดอง เกาหลีวอน และฟิลิปปินส์เปโซ ซึ่งครอบคลุม  สกุลเงินท้องถิ่นของประเทศคู่ค้าสำคัญของไทยกว่า 90% พร้อมด้วยโซลูชันบริหารความเสี่ยงที่ครบครันสำหรับผู้นำเข้า-ส่งออก

นางสาวบุษรัตน์ เบญจรงคกุล รองประธานเจ้าหน้าที่บริหาร หัวหน้าธุรกิจตลาดเงินและธุรกรรมระหว่างประเทศ ทีเอ็มบีธนชาต เปิดเผยว่า การค้าระหว่างประเทศมีบทบาทสำคัญต่อเศรษฐกิจไทยอย่างต่อเนื่อง โดยในปี 2566 การนำเข้าและส่งออกของไทยมีสัดส่วนมากถึง 111.80% ของ GDP ซึ่งเป็นการซื้อขายกับประเทศคู่ค้าในภูมิภาคเอเชียสูงถึง 36% เมื่อเทียบกับการซื้อขายกับสหรัฐอเมริกาซึ่งมีสัดส่วนเพียง 10.80% อย่างไรก็ตามสัดส่วนการใช้สกุลดอลลาร์สหรัฐในการชำระเงินระหว่างประเทศยังมีสัดส่วนที่สูงถึง 77.4% ซึ่งความผันผวนของค่าเงินดอลลาร์สหรัฐที่ผ่านมาทำให้ผู้ประกอบการเผชิญกับการควบคุมต้นทุนได้ยาก และส่งผลให้ต้นทุนของผู้ประกอบการสูงขึ้น ทีทีบีจึงแนะนำให้ผู้ประกอบการเปลี่ยนมาใช้ Local Currency Solutions เพื่อบริหารความเสี่ยงต้นทุนที่เกิดจากค่าเงินได้อย่างมีประสิทธิภาพมากขึ้น โดยในปี 2566 สกุลเงินหยวนจีนและสกุลเงินท้องถิ่นอื่น ๆ มีการปรับตัวไปในทิศทางเดียวกับค่าเงินบาทหรือปรับตัวอยู่ไม่เกิน 3% เมื่อเทียบกับสกุลเงินดอลลาร์สหรัฐที่ปรับตัวสูงถึง 9% นอกจากนี้สถานการณ์ต่าง ๆ ของโลกปัจจุบัน ไม่ว่าจะเป็นนโยบายดอกเบี้ยของธนาคารกลางสหรัฐ ภาวะสงคราม ภัยธรรมชาติ การเมืองและการค้าโลก ล้วนส่งผลต่อความผันผวนของอัตราแลกเปลี่ยนโดยเฉพาะดอลลาร์สหรัฐ

“ทีทีบีมีโซลูชันเพื่อให้ผู้ประกอบการพร้อมรับมือกับความผันผวนของอัตราแลกเปลี่ยนที่มีการคาดเดาได้ยาก ครอบคลุมทั้งบริการ Local Currency Solutions และบริการการค้าระหว่างประเทศ (Trade Finance) ประกอบกับธนาคารแห่งประเทศไทยได้สนับสนุนการใช้เงินสกุลท้องถิ่นในการค้าขายระหว่างประเทศ ซึ่งจะช่วยผลักดันให้เกิดระบบนิเวศใหม่ของอัตราแลกเปลี่ยน (New FX Ecosystem) ดังนั้นจำเป็นอย่างยิ่งที่ผู้นำเข้า-ส่งออกจะต้องรับมือกับความผันผวนเงินตราต่างประเทศให้ได้อย่างมีประสิทธิภาพ“ นางสาวบุษรัตน์ กล่าว

ธนาคารมุ่งมั่นในการพัฒนาโซลูชันบริหารความเสี่ยงที่สามารถตอบโจทย์ผู้นำเข้า-ส่งออก ด้วยบริการ Local Currency Solutions เพื่อช่วยผู้ประกอบการบริหารจัดการธุรกิจด้วยสกุลเงินท้องถิ่นซึ่งครอบคลุมเงินสกุลท้องถิ่นของประเทศคู่ค้าสำคัญของไทยกว่า 90% อาทิ  สกุลหยวนจีน อินเดียรูปี มาเลเซียริงกิต โดยมี 3 สกุลเงินใหม่ที่เพิ่มเข้ามา ได้แก่ เวียดนามดอง เกาหลีวอน และ ฟิลิปปินส์เปโซ  โดยทีทีบี ถือเป็นผู้นำด้านการบริหารจัดการความเสี่ยงด้านอัตราแลกเปลี่ยน ไม่ว่าจะเป็น

  • Yuan Pro Rata Forward” เพื่อลดความผันผวน และเพิ่มประสิทธิภาพการป้องกันความเสี่ยงจากบริการรับจองอัตราแลกเปลี่ยนด้วยสกุลหยวนจีน โดยทีทีบี เป็นธนาคารแรกที่ให้บริการ
  • บัญชีสำหรับบริหารหลายสกุลเงิน (ttb multi-currency account) สะดวก คล่องตัว ด้วยการบริหารจัดการเงินสกุลหลักและสกุลเงินท้องถิ่นของประเทศคู่ค้าสำคัญของไทยรวม 11 สกุลเงิน เพียงใช้บัญชีเดียวสามารถใช้ซื้อ ขาย รับ จ่ายได้ทั้งในประเทศและต่างประเทศ สะดวกมากยิ่งขึ้นเมื่อใช้ควบคู่ไปกับธนาคารดิจิทัลอย่าง ทีทีบี บิสสิเนสวัน (ttb business one)
  • สามารถเบิกใช้วงเงินกู้ Trade Finance ได้ทั้งสกุลเงินหลักและท้องถิ่นได้ถึง 13 สกุลเงิน รวมถึงสกุลหยวนจีน ซึ่งจะช่วยลดความเสี่ยงด้านอัตราแลกเปลี่ยน ลดค่าใช้จ่ายดอกเบี้ย และค่าใช้จ่ายในการแลกเปลี่ยนสกุลเงินกับคู่ค้า

ทีทีบีมุ่งหวังว่า Local Currency Solutions จะสามารถช่วยให้ผู้ประกอบการบริหารต้นทุนธุรกิจและลดความเสี่ยงจากความผันผวนของค่าเงินได้อย่างมีประสิทธิภาพยิ่งขึ้น ลดค่าใช้จ่ายในการดำเนินธุรกิจลง รวมถึงเพิ่มโอกาสขยายตลาดไปยังเป้าหมายใหม่และเจรจาการค้าได้ง่ายขึ้น โดยธนาคารยังคงเดินหน้าพัฒนาบริการและโซลูชันที่มุ่งตอบโจทย์ผู้นำเข้า-ส่งออกอย่างต่อเนื่อง เพื่อช่วยลดต้นทุนและความเสี่ยงในการทำการค้าระหว่างประเทศ พร้อมสนับสนุนให้ลูกค้าสามารถขับเคลื่อนธุรกิจได้ในทุกสถานการณ์ ก้าวผ่านความท้าทายต่าง ๆ จนประสบความสำเร็จและเติบโตได้อย่างยั่งยืน

สำหรับผู้ประกอบการที่ดำเนินธุรกิจระหว่างประเทศ สนใจบริการ Local Currency Solutions และบริการด้านการค้าระหว่างประเทศอื่น ๆ สามารถสอบถามรายละเอียดและขอคำปรึกษาเรื่องการบริหารความเสี่ยงได้ที่ เจ้าหน้าที่การตลาดธุรกิจตลาดเงินของท่าน หรือติดต่อ 0 2676 8008 หรือ 0 2676 8188 สำหรับลูกค้าธุรกิจ และติดต่อ 0 2676 8084 หรือ 0 2676 8088 สำหรับลูกค้าธุรกิจเอสเอ็มอี

ดร.จารุวรรณ โชติเทวัญ ประธานสายการตลาดต่างประเทศ บัญชี การเงิน และเลขานุการประธานกรรมการบริหาร บริษัท สหฟาร์ม จำกัด (SAHA FARMS) ได้รับมอบหมาย ทำหน้าที่เป็นตัวแทนประธานใหญ่แห่งสหฟาร์ม ดร.ปัญญา โชติเทวัญ ประธานกรรมการบริหาร บริษัท สหฟาร์ม จำกัด และบริษัทในเครือ นำครอบครัว ผู้บริหารระดับสูง บุคลากรพนักงาน จัดพิธีทำบุญเสริมสิริมงคล บวงสรวงอนุสาวรีย์ไก่ โรงงานเพชรบูรณ์ ครั้งที่ 21 และโรงงานลพบุรี ครั้งที่ 32 ประเพณีอันเก่าแก่ วัฒนธรรมองค์กรอันทรงคุณค่าและสำคัญอย่างยิ่งของสหฟาร์ม ภายใต้วัตถุประสงค์เพื่อระลึก ทดแทนคุณ และอุทิศส่วนกุศลให้แก่ผู้มีพระคุณ (ไก่) และเพื่อสร้างความเป็นสิริมงคลและความเจริญรุ่งเรือง

ดร.จารุวรรณ โชติเทวัญ ประธานสายการตลาดต่างประเทศ บัญชี การเงิน และเลขานุการประธานกรรมการบริหาร บริษัท สหฟาร์ม จำกัด (SAHA FARMS) เปิดเผยว่า ในปี 2567 นี้ บริษัท สหฟาร์ม ได้ดำเนินธุรกิจย่างเข้าปีที่ 55 บนปณิธานอันแน่วแน่ของ ดร.ปัญญา โชติเทวัญ ในการผลิตสินค้าที่ดีและมีคุณภาพเพื่อมวลมนุษยชาติ จนทำให้ สหฟาร์ม มีชื่อเสียงและเป็นที่ยอมรับจากลูกค้านานานับประเทศ อีกในปีที่ผ่านมานี้ สหฟาร์มกลับมาท็อปฟอร์มในฐานะผู้ส่งออกไก่สดแช่แข็งอันดับ 1 ของประเทศได้สำเร็จ โดยสามารถทำยอดส่งออกไก่รวม 170,000 ตัน ซึ่งเป็นนิวไฮของบริษัทฯ ซึ่งในหลายทศวรรษที่ผ่านมา สหฟาร์มยังคงยืนหยัดในมาตรฐานทั้งส่วนของฟาร์มที่อยู่ภายใต้เกณฑ์มาตรฐานที่ดีระดับโลก อีกทั้งโรงงานแปรรูป โรงงานอาหารสำเร็จรูป บนพื้นที่ 5,000 ไร่ ของสหฟาร์ม ในจังหวัดเพชรบูรณ์ และบนพื้นที่ 3,000 ไร่ ในจังหวัดลพบุรี ก็ยังถือเป็นโรงงานที่ใหญ่ที่สุดระดับโลกเช่นกัน นอกจากนี้สหฟาร์มยังมุ่งส่งเสริมบุคลากร และทรัพยากรทั้งในพื้นที่และชุมชน ให้เกิดความยังยืน ด้วยการเลือกใช้ความเชี่ยวชาญในฝีมือของคนงานท้องถิ่น เนื่องจากเป็นหนึ่งในนโยบายการสร้างงาน สร้างรายได้ให้กับชุมชนท้องถิ่น ซึ่งทำให้สินค้าของสหฟาร์มถือเป็น Handcrafted มีความประณีตมากและเป็นที่นิยมในลูกค้าต่างชาติ ซึ่งจากวิสัยทัศน์อันกว้างไกลของผู้นำองค์กรเหล่านี้ จึงเป็นเหตุผลสำคัญที่สามารถทำให้ลูกค้าจากนานาประเทศหลั่งไหลมาซื้อสินค้าไทย และนำเงินตราเข้าประเทศปีละหลายหมื่นล้านบาท ตลอดจนเกิดการกระตุ้นเศรษฐกิจของประเทศ

สหฟาร์ม ถือเป็นบริษัทแรกและบริษัทเดียวในโลกที่จัดตั้งอนุสาวรีย์ไก่ และประกอบพิธีทำบุญ บวงสรวงอนุสาวรีย์ไก่ เพื่อระลึก ตระหนักถึงคุณค่าของชีวิตไก่ที่เสียสละชีวิตให้ทุกคนได้อิ่มท้อง มีงานทำ มีรายได้เลี้ยงครอบครัว โดยพิธีดังกล่าวได้จัดขึ้น ณ โรงงานแปรรูปการณ์ผลิต จังหวัดเพชรบูรณ์ และโรงงานแปรรูปการณ์ผลิต จังหวัดลพบุรี เมื่อวันที่ 3-4 พฤษภาคมที่ผ่านมา

RÊVERSHARGER” ตอกย้ำเบอร์ 1 EV Ecosystem Operator ครบวงจร จับมือ บัตรเครดิต “เคทีซี” นำจุดแข็งของทั้งสองแบรนด์ จัดแคมเปญสุดเอ็กซ์คลูซีฟเอาใจผู้ใช้รถ EV ชาร์จครบ-สะดวก-สบายทั้งในและนอกบ้าน มอบส่วนลด 10% ค่าบริการชาร์จ-แลกคะแนน KTC FOREVER รับโค้ดส่วนลด-ซื้อและติดตั้ง EV Charger ผ่อน 0% 10 เดือน รุกขยายฐานเจ้าของรถ EV เสริมแกร่ง EV Charging Ecosystem สู่เป้าหมายยอดผู้ใช้แอปพลิเคชัน 200,000 ราย

นายพีระภัทร ศิริจันทโรภาส ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร บริษัท ชาร์จ แมเนจเม้นท์ จำกัด ผู้ให้บริการสถานีชาร์จภายใต้แบรนด์ RÊVERSHARGER และผู้นำ EV Ecosystem Operator ครบวงจร เพื่อตอบโจทย์ไลฟ์สไตล์การใช้ชีวิตอย่างยั่งยืน กล่าวว่า RÊVERSHARGER ร่วมกับ “เคทีซี หรือ บริษัท บัตรกรุงไทย จำกัด (มหาชน) จัดแคมเปญยกระดับประสบการณ์ขับขี่ให้กับผู้ใช้ยานยนต์ไฟฟ้า (EV) ด้วยการมอบเอกสิทธิ์พิเศษให้ผู้ถือบัตรเครดิตเคทีซี สามารถชาร์จพลังงานไฟฟ้าได้ง่ายในราคาที่คุ้มค่า ครอบคลุมทั้งภายในที่อยู่อาศัยและสถานีชาร์จระหว่างทางทั่วประเทศ ต่อยอดแนวคิด RÊVERSHARGER ครบ-สะดวก-สบาย” ของบริษัท มุ่งให้บริการด้าน EV ที่ครบทุกความต้องการชาร์จ สถานีชาร์จครอบคลุมสะดวกทุกเส้นทาง และออกแบบบริการทุกขั้นตอนให้ใช้ง่ายและสบายสำหรับผู้ใช้งานมากที่สุด

“นอกจากพัฒนาเทคโนโลยีและขยายจำนวนสถานีชาร์จแล้ว ในปีนี้เรายังเดินหน้าจับมือกับพันธมิตรชั้นนำ ขยาย EV Charging Ecosystem เพื่อมอบบริการชาร์จที่ตอบโจทย์ไลฟ์สไตล์ผู้ใช้รถ EV แต่ละกลุ่มให้มากที่สุด ครั้งนี้เราได้ร่วมมือกับเคทีซี ซึ่งเป็นพันธมิตรบัตรเครดิตรายแรกที่อยู่กับเรามาอย่างยาวนาน ทั้งยังมีฐานสมาชิกในไทยมากกว่า 2.6 ล้านรายครอบคลุมทั่วประเทศ ในการคัดสรรดีลโปรโมชันที่ตรงใจและตอบโจทย์การใช้งานจริงของผู้ใช้รถ EV สำหรับการชาร์จไฟฟ้าทั้งในและนอกบ้าน เราเชื่อว่าแคมเปญนี้จะผสานฐานลูกค้าของทั้ง 2 บริษัท ช่วยผลักดันยอดผู้ใช้งานแอปพลิเคชันสู่ 200,000 รายภายในสิ้นปี และสร้างความผูกพันระหว่าง RÊVERSHARGER กับกลุ่มผู้ใช้รถ EV ยิ่งขึ้น” นายพีระภัทร กล่าว

ที่ผ่านมา RÊVERSHARGER มุ่งมั่นยกระดับการบริการด้านการชาร์จรถยนต์ไฟฟ้าแบบครบวงจรอย่างต่อเนื่อง ด้วยจุดแข็งในหลากหลายมิติ ได้แก่ 1.การชาร์จภายในที่อยู่อาศัย เลือกให้บริการติดตั้งแบรนด์ EV Charger คุณภาพสูงจากผู้ผลิตรายใหญ่ระดับโลก เช่น ABB, Autel พร้อมทีมผู้เชี่ยวชาญที่พร้อมให้บริการติดตั้งทั่วประเทศ ให้ความปลอดภัยทุกการชาร์จ 2.การชาร์จระหว่างทาง มีเครือข่ายสถานีชาร์จขนาดใหญ่เตรียมให้บริการครบ 2,012 หัวชาร์จภายในปีนี้ ครอบคลุมการเดินทางไปยังทุกภูมิภาค ทุกระยะ 160 กม. มีสถานีชาร์จความเร็วสูงสุดถึง 360kW ที่ชาร์จเพียง 10 นาที วิ่งได้ไกลสุด 100 กม. 3.แอปพลิเคชัน REVERSHARGER ที่มีฟีเจอร์ Plug & Charge แค่จอดเสียบชาร์จได้ทันที พร้อมสิทธิพิเศษจากพันธมิตร มาช่วยอำนวยความสะดวกให้แก่ผู้ใช้งาน ประกอบกับภาพรวมยอดขายรถ EV ในงาน Motor Show ครั้งล่าสุดยังแข็งแกร่ง และคาดการณ์ว่าจะมียอดจดทะเบียนรถยนต์ไฟฟ้าแบตเตอรี่ (BEV) สะสมทะลุ 200,000 คันในสิ้นปีนี้ บริษัทจึงเชื่อมั่นว่า แคมเปญร่วมกับ เคทีซี จะช่วยรองรับความต้องการของผู้ใช้งานรถ EV ที่มองหา EV Charger สำหรับติดตั้งในบ้าน และสถานีบริการนอกบ้านได้

 

นายสุวัฒน์ เทพปรีชาสกุล ผู้บริหารสูงสุด ฝ่ายการตลาดบัตรเครดิต “เคทีซี” หรือ บริษัท บัตรกรุงไทย จำกัด (มหาชน) กล่าวว่า บัตรเครดิตเคทีซีร่วมส่งเสริมสังคมไทยเปลี่ยนผ่านสู่การใช้รถ EV เพื่อลดการปล่อยก๊าซคาร์บอนไดออกไซด์ และสร้างสิ่งแวดล้อมที่ดี ด้วยการผนึกกำลังกับพันธมิตรด้านยานยนต์ไฟฟ้า ส่งมอบบริการที่ครอบคลุมความต้องการของผู้ใช้รถ EV และสามารถใช้บัตรเครดิตเคทีซีในการผ่อนชำระค่าจอง-ดาวน์รถ ซื้อประกันภัยรถ EV ไปจนถึงใช้คะแนนแลกรับส่วนลดการติดตั้งเครื่องชาร์จ ซึ่งปี 2566 ที่ผ่านมา มียอดการใช้จ่ายผ่านบัตรเครดิตเคทีซีในหมวดรถ EV เติบโตขึ้นอย่างต่อเนื่อง และคาดว่าในปี 2567 จะเติบโตเพิ่มขึ้น ตามการขยายตัวของจำนวนผู้ใช้รถ EV ซึ่งจะช่วยเสริมความแข็งแกร่งให้กับหมวดใช้จ่ายด้านรถยนต์ของเคทีซีได้เป็นอย่างดี

“กลุ่มผู้ใช้รถยนต์ EV เป็นกลุ่มที่มีแนวโน้มเพิ่มขึ้นอย่างต่อเนื่องและมีกำลังซื้อค่อนข้างสูง การออกแคมเปญนี้ร่วมกับ RÊVERSHARGER ซึ่งเป็นผู้ให้บริการที่มีจำนวนสถานีชาร์จและเครือข่ายผู้ใช้บริการขนาดใหญ่ คาดว่าจะช่วยกระตุ้นให้เกิดการใช้จ่ายของสมาชิกบัตรฯ เพิ่มมากขึ้น” นายสุวัฒน์ กล่าว

สำหรับความร่วมมือระหว่าง RÊVERSHARGER และเคทีซี ในการมอบสิทธิประโยชน์ให้ผู้ใช้รถ EV ครอบคลุมทุกไลฟ์สไตล์การชาร์จ มีดังนี้

1. สิทธิประโยชน์สำหรับใช้บริการที่สถานีชาร์จในเครือข่าย RÊVERSHARGER ทั่วประเทศ

1.1 มอบโค้ดส่วนลด 10% ไม่มีขั้นต่ำ โดยใช้เพียง 1 คะแนน KTC FOREVER ในการแลกรับผ่านแอป KTC Mobile (จำนวนจำกัด) ในสถานีที่ร่วมรายการ ตั้งแต่วันนี้ - 30 มิถุนายน 2567

1.2 ใช้ 1,000 คะแนน KTC FOREVER แลกรับ e-Coupon ส่วนลด 130 บาท ผ่านแอป KTC Mobile ตั้งแต่วันนี้ - 31 กรกฎาคม 2567

2. สิทธิประโยชน์สำหรับบริการติดตั้ง EV Charger ภายในที่อยู่อาศัย รับสิทธิ์ผ่อนชำระ 0% นานสูงสุด 10 เดือน เมื่อติดตั้ง RÊVERSHARGER ภายในที่อยู่อาศัย สำหรับผู้ใช้รถทุกแบรนด์ ตั้งแต่วันนี้ - 31 กรกฎาคม 2567

ผู้สนใจสามารถสอบถามรายละเอียดเพิ่มเติมได้ที่ KTC โทร. 02 123 5000 หรือติดตามโปรโมชัน ของเคทีซีได้ที่ https://www.ktc.co.th/promotion/gas-auto ทั้งนี้ผู้ถือบัตรเครดิตควรใช้เท่าที่จำเป็นและชำระคืนได้เต็มจำนวนตามกำหนด จะได้ไม่เสียดอกเบี้ย 16% ต่อปี  

ผู้สนใจติดตั้ง EV Charger สามารถสอบถามรายละเอียดเพิ่มเติมได้ที่ Facebook: ReverSharger หรือ Line OA: @sharge.thailand โทร. 02 114 7571  และผู้สนใจค้นหาสถานีชาร์จรถยนต์ไฟฟ้า สามารถดาวน์โหลดแอปพลิเคชัน REVERSHARGER ได้ที่ https://sharge.page.link/ib87 

ศูนย์ส่งเสริมสุขภาพไวทัลไลฟ์ (VitalLife Scientific Wellness Center) ในเครือโรงพยาบาลบำรุงราษฎร์ จัดงานเสวนาสุขภาพ “Health Talk” เพื่อสร้างความรู้ความเข้าใจในการดูแลสุขภาพอย่างถูกต้อง และเพื่อเป็นการเตรียมความพร้อมก่อนการเปิดตัวอย่างเป็นทางการที่จังหวัดภูเก็ตภายในเดือนกรกฎาคม 2567 โดยมี นพ. สุธี ศิริเวชฎารักษ์ Chief Administrative Officer และ พญ. สุวรรณา สุวรรณพงษ์ Cardiology, Internal Medicine, Anti-Aging and Regenerative Medicine จากศูนย์ส่งเสริมสุขภาพไวทัลไลฟ์ ร่วมบรรยาย ในหัวข้อ “ไขความลับสู่การมีอายุยืนยาว” และ หัวข้อ “อายุยืนยาวอย่างเยาว์วัยด้วยหัวใจที่แข็งแรง” ซึ่งได้รับความสนใจและกระแสตอบรับอย่างล้นหลามจากเหล่าอินฟลูเอนเซอร์ พันธมิตร และองค์กรชั้นนำในจังหวัดภูเก็ต

ไวทัลไลฟ์ เป็นศูนย์ส่งเสริมสุขภาพแห่งแรกของภูมิภาคเอเชีย ที่ให้บริการผู้ป่วยทั้งชาวไทยและชาวต่างชาติกว่า 150 ประเทศมานานกว่าสองทศวรรษ ซึ่งเน้นการวางแผนเพื่อดูแลสุขภาพเชิงป้องกันและเวชศาสตร์เพื่อการมีอายุยืน ภายใต้การดูแลของทีมแพทย์เฉพาะทาง ไวทัลไลฟ์มุ่งหวังที่จะเป็นหมุดหมายแห่งนวัตกรรมด้านสุขภาพในเอเชีย โดยมุ่งมั่นที่จะยืดอายุสุขภาพและเสริมสร้างคุณภาพชีวิต ผ่านการผสมผสานของวิทยาศาสตร์การแพทย์ที่ล้ำสมัยและการดูแลเฉพาะบุคคลตามมาตรฐานระดับสากล

ไวทัลไลฟ์ ภูเก็ต เริ่มต้นขึ้นจากการบุกเบิกด้านเวชศาสตร์เพื่อการมีอายุยืน ร่วมกับผู้เชี่ยวชาญกว่า 20 ท่าน การเปิดตัวอย่างเป็นทางการของศูนย์ส่งเสริมสุขภาพในภูเก็ตที่กำลังจะมีขึ้นภายในเดือนกรกฎาคมนี้ ถือเป็นการบุกเบิกครั้งสำคัญของการเปิดตัวโรงพยาบาลบำรุงราษฎร์ ภูเก็ต ที่จะมีขึ้นในปี 2569 ซึ่งแสดงให้เห็นถึงความมุ่งมั่นอย่างแน่วแน่ในการยกระดับมาตรฐานการดูแลสุขภาพและการส่งเสริมสุขภาวะความเป็นอยู่ที่ดีอย่างยั่งยืน ที่พร้อมให้บริการแก่ชาวภูเก็ต ผู้คนในจังหวัดใกล้เคียง และนักเดินทางจากทั่วโลก

โดยจะนำเสนอบริการและผลิตภัณฑ์เฉพาะทางที่หลากหลาย ซึ่งถูกออกแบบมาเพื่อตอบสนองความต้องการของแต่ละบุคคล ได้แก่

  1. การทดสอบอายุทางชีวภาพ เป็นการวิเคราะห์ข้อมูลเชิงลึกเกี่ยวกับสถานะสุขภาพโดยรวม
  2. การบำบัดดูแลเพื่อการมีอายุยืนยาว ด้วยโปรแกรมที่สร้างขึ้นโดยเฉพาะ โดยเน้นมาตรการป้องกัน การปรับเปลี่ยนรูปแบบการใช้ชีวิต รวมถึงการบำบัดดูแลทางการแพทย์
  3. การประเมินอย่างต่อเนื่อง เพื่อติดตามและปรับเปลี่ยนแผนการดูแลรักษา โดยใช้ประโยชน์จากเทคโนโลยีความก้าวหน้าทางการแพทย์

การเปิดตัวของไวทัลไลฟ์ ภูเก็ต ไม่ได้เป็นเพียงการจัดตั้งศูนย์ส่งเสริมสุขภาพ แต่แสดงถึงนวัตกรรมของการเปลี่ยนแปลงด้านสุขภาพและการมีอายุยืนยาว ด้วยการบูรณาการวิทยาศาสตร์การแพทย์ที่ล้ำสมัยเข้ากับการดูแลเฉพาะบุคคลอย่างไร้รอยต่อ เพื่อผลลัพธ์การรักษาที่มีประสิทธิภาพภายใต้มาตรฐานและคุณภาพระดับสากล สู่การกำหนดนิยามใหม่ให้กับวงการสุขภาวะและการดูแลสุขภาพในเอเชีย

ชูกิจกรรมอาสา Upcycle สร้างความตระหนักรู้ด้านสิ่งแวดล้อม ร่วมขับเคลื่อนความยั่งยืน

คว้ารางวัล  Best Social Media Advertising Campaign จาก HASHTAG ASIA AWARDS 2024 ประเทศสิงคโปร์

กับแคมเปญ “The Talkable Bus Shelter ป้ายรถเมล์พูดได้” ครีเอทีฟโซลูชั่นเพื่อผู้พิการทางสายตา

นางสาวพิมพักตรา มุ่งธัญญา ผู้อำนวยการฝ่ายกิจการสาขา 2 บริษัท ทิพยประกันภัย จำกัด (มหาชน) เข้ารับเกียรติบัตรผู้ร่วมสนับสนุนสิทธิประโยชน์ SMEs ประจำปี 2567 ด้านการเพิ่มผลิตภาพและลดต้นทุน จากสำนักงานส่งเสริมวิสาหกิจขนาดกลางและขนาดย่อม (สสว.) โดยได้รับเกียรติจากรองศาสตราจารย์ ดร.วีระพงศ์ มาลัย มาเป็นประธานในงานและมอบเกียรติบัตร  ณ หอศิลป์บ้านจิมทอมป์สัน กรุงเทพฯ

โดยทิพยประกันภัย ได้จับมือกับสำนักงานส่งเสริมวิสาหกิจขนาดกลางและขนาดย่อม (สสว.) ส่งเสริมสนับสนุนผนึกพลังสร้างหลักประกัน และความเชื่อมั่นให้แก่ผู้ประกอบการธุรกิจ จัดทำโครงการ “ทิพย@สสว.ประกันภัย SME ยิ้มได้” เพื่อมอบหลักประกัน สร้างความเชื่อมั่น รวมถึงให้คำปรึกษาเรื่องการประกันภัย พร้อมส่งเสริมศักยภาพผู้ประกอบการทั่วประเทศ

จากเหตุการณ์แผ่นดินไหวพื้นที่ชายฝั่งทางตะวันออกของไต้หวัน เมื่อวันที่ 3 เมษายนที่ผ่านมา ไซโก้ เอปสัน คอร์ปอเรชั่น ได้แถลงแสดงความเสียใจต่อผู้ที่ได้รับผลกระทบจากเหตุการณ์ครั้งนี้ พร้อมได้ทำการบริจาคเงินจำนวน 5 ล้านเยน หรือราว 1.2 ล้านบาท เพื่อช่วยเหลือผู้คนและพื้นที่ที่ได้รับผลกระทบจากภัยพิบัติครั้งนี้ผ่านสภากาชาดญี่ปุ่น นอกจากนี้ บริษัท เอปสัน ไต้หวัน เทคโนโลยี แอนด์ เทรดดิ้ง จำกัด ยังมีบริการซ่อมแซมเครื่องพิมพ์และโปรเจคเตอร์เอปสันที่เสียหายจากแผ่นดินไหวในราคาพิเศษอีกด้วย

รัฐมนตรีว่าการกระทรวงอุตสาหกรรม นิคมอุตฯ มาบตาพุด จ.ระยอง ผู้บริหารบริษัทฯ ลงพื้นที่ชุมชน ติดตามและพบคุณภาพอากาศอยู่ในเกณฑ์ปกติ ไม่กระทบต่อชุมชน และน้ำจากการดับเพลิงไม่รั่วไหลสู่สิ่งแวดล้อม เนื่องจากมีเขื่อนกั้นบริเวณรอบถัง สามารถรองรับน้ำจากการดับเพลิงได้ 100% พร้อมเปิดศูนย์ให้ความช่วยเหลือ 24 ชั่วโมง โทร. 085-650-4049 ส่วนผู้ได้รับบาดเจ็บ ขณะนี้กลับบ้านแล้ว 2 ราย และ 3 ราย อยู่ในความดูแลแพทย์ใกล้ชิด 

นางสาวพิมพ์ภัทรา วิชัยกุล รัฐมนตรีว่าการกระทรวงอุตสาหกรรม เปิดเผยภายหลังรับฟังความคืบหน้าเหตุเพลิงไหม้ บริษัท มาบตาพุด แทงค์ เทอร์มินัล จำกัด เช้าวันนี้ว่า จากการลงตรวจพื้นที่พบว่า สถานการณ์เข้าสู่ภาวะปกติแล้ว โดยการนิคมอุตสาหกรรมแห่งประเทศไทย (กนอ.) และบริษัทฯ ได้ทำการควบคุมเพลิงไว้ได้อย่างเด็ดขาด แต่ขณะเดียวกันยังทำการฉีดโฟมหล่อเย็นไว้ เพื่อควบคุมอุณหภูมิจากสภาวะอากาศที่มีอุณหภูมิสูง ด้านการดูแลประชาชนในพื้นที่โดยรอบนั้น ได้อพยพประชาชนไปยังที่ทำการชุมชนตากวนอ่าวประดู่ จ.ระยอง รวมทั้งประสานกับสำนักงานหลักประกันสุขภาพแห่งชาติ (สปสช.) และจุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย โดยคณะสหเวชศาสตร์ เพื่อส่งทีมแพทย์เข้ามาดูแลสุขภาพ และตรวจรักษาให้กับพี่น้องประชาชนแล้ว

ส่วนการตรวจวัดคุณภาพน้ำชุมชนโดยรอบพื้นที่ โดยรถโมบายของสำนักงานนิคมอุตสาหกรรมมาบตาพุด (สนพ.) จำนวน 2 จุด ได้แก่ คลองชากหมาก และบริเวณบริษัท ไทยพลาสติกเคมีภัณฑ์ พบว่าคุณภาพน้ำอยู่ในเกณฑ์มาตรฐาน ขณะที่คุณภาพในบรรยากาศพบว่า ผลการตรวจวัดคุณภาพอากาศจำนวน 3 จุด ได้แก่ จุดตรวจสถานีอนามัยตากวน จุดตรวจสถานีหนองเสือเกือก และจุดตรวจสถานีเทศบาลเมืองมาบตาพุด อยู่ในเกณฑ์ปกติ”

นายวีริศ อัมระปาล ผู้ว่าการ กนอ. กล่าวว่า กนอ. จะตรวจวิเคราะห์หาสาเหตุของเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นโดยเร่งด่วน จัดทำมาตรการด้านความปลอดภัยเพื่อป้องกันการเกิดซ้ำ ซึ่งต้องได้รับการรับรองจากหน่วยงานภายนอกที่ให้การรับรองด้านความปลอดภัย พร้อมทั้งชี้แจงแนวทางและมาตรการในการช่วยเหลือเยียวยาผู้ที่ได้รับผลกระทบจากการเกิดอุบัติเหตุดังกล่าวด้วย อย่างไรก็ตาม ได้กำชับทุกนิคมอุตสาหกรรมให้เพิ่มความเข้มงวดของมาตรการรักษาความปลอดภัยภายในพื้นที่ ตามมาตรฐาน “การจัดการความปลอดภัยกระบวนการผลิต” (Process Safety Management : PSM) เพื่อสร้างความเชื่อมั่นให้กับผู้ประกอบกิจการ และประชาชนโดยรอบนิคมอุตสาหกรรม เพื่อให้ภาคอุตสาหกรรมอยู่ร่วมกับชุมชนได้อย่างยั่งยืน”

นพ.สุนทร เหรียญภูมิการกิจ นายแพทย์สาธารณสุขจังหวัดระยอง กล่าวในการแถลงข่าววานนี้ว่า “ตามเอกสารประกอบของสารประกอบไฮโดรคาร์บอน C9+ เมื่อเกิดเพลิงไหม้พบว่า มีผลกระทบต่อสุขภาพระดับสอง คือ มีการระคายเคืองเป็นหลัก แสบหู ตา จมูก ไอ ถ้าสูดดมในปริมาณมากอาจจะคลื่นไส้ เวียนศีรษะ หรือทำให้หมดสติ โดยทั่วไปจะมีอาการระคายเคือง ยังไม่มีรายงานว่า เป็นสารที่ก่อให้เกิดมะเร็ง”

นายธรรมศักดิ์  เศรษฐอุดม กรรมการผู้จัดการใหญ่ เอสซีจี กล่าวว่า “เอสซีจีเร่งดำเนินงานอย่างเต็มที่เพื่อลดผลกระทบต่อชุมชนและสิ่งแวดล้อม ทั้งในระยะสั้นและระยะยาว โดยลงพื้นที่ ติดตามและบรรเทาผลกระทบ ซึ่งได้ตรวจวัดคุณภาพอากาศในพื้นที่ชุมชนโดยรอบอย่างเข้มข้น ทั้งจากสถานีตรวจวัดคุณภาพอากาศแบบต่อเนื่องของการนิคมอุตสาหกรรมแห่งประเทศไทย (กนอ.) และเทศบาลเมืองมาบตาพุด รวมทั้งเครื่องตรวจวัดสารอินทรีย์ระเหยง่ายแบบพกพา 18 จุดในพื้นที่ชุมชน พบว่า คุณภาพอากาศอยู่ในเกณฑ์มาตรฐานทุกสถานี โดยยังคงเฝ้าระวังคุณภาพสิ่งแวดล้อมอย่างต่อเนื่อง สำหรับการป้องกันการรั่วไหลของสารเคมีและน้ำจากการดับเพลิง บริษัทฯ ได้ออกแบบเขื่อนกั้น (Bund) ที่รองรับน้ำและโฟมจากการดับเพลิง สามารถกักเก็บได้ 100%  จึงมั่นใจได้ว่า จะไม่รั่วไหลและปนเปื้อนสู่สิ่งแวดล้อม ทั้งนี้ น้ำจากการดับเพลิงจะถูกนำไปกำจัดอย่างถูกต้องตามกฎหมายต่อไป  นอกจากนี้ ยังได้จัดศูนย์ช่วยเหลือบรรเทาผลกระทบให้กับพี่น้องชุมชน พร้อมดูแล 24 ชั่วโมง โทร. 085-650-4049 สำหรับผู้บาดเจ็บ 5 ราย นั้น ขณะนี้ 2 ราย อาการดีขึ้น แพทย์อนุญาตให้กลับบ้านแล้ว ส่วนที่เหลืออีก 3 ราย อยู่ในความดูแลของแพทย์อย่างใกล้ชิด ซึ่งบริษัทฯ จะดูแลอย่างเต็มที่”

X

Right Click

No right click