ธนชาตประกันภัย ประกาศความพร้อมแนวทางการดูแลลูกค้าผู้ใช้รถยนต์ไฟฟ้า (EV) ตามคำสั่งนายทะเบียนที่ 47/2566 เรื่องให้บริษัทประกันวินาศภัยใช้แบบ ข้อความ และพิกัดอัตราเบี้ยประกันภัยของกรมธรรม์รถยนต์ไฟฟ้า โดยบริษัทฯ จะเริ่มใช้ตั้งแต่ 1 มิถุนายน 2567เป็นต้นไป ซึ่งกรมธรรม์รถยนต์ไฟฟ้าตามเกณฑ์ใหม่มีความคุ้มครองแตกต่างจากแบบเดิม ยืนยันหากลูกค้าต่ออายุกรมธรรม์ก่อนเกณฑ์ใหม่จะได้รับความคุ้มครองตามเงื่อนไขเดิมตลอดอายุสัญญา ตอกย้ำความมั่นใจทุกความต้องการของลูกค้าจะได้รับสิทธิประโยชน์และการดูแลอย่างดีที่สุด

นายพีระพัฒน์ เมฆสิงห์วี ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร บมจ.ธนชาตประกันภัย เปิดเผยว่า ตามที่นายทะเบียนของสำนักงานคณะกรรมการกำกับและส่งเสริมการประกอบธุรกิจประกันภัย (คปภ.) มีคำสั่งให้บริษัทประกันวินาศภัยเริ่มใช้กรมธรรม์ประกันภัยรถยนต์ไฟฟ้าตามหลักเกณฑ์ที่สำนักงาน คปภ. กำหนด เต็มรูปแบบ ตั้งแต่วันที่ 1 มิ.ย.67 เป็นต้นไป ซึ่งความคุ้มครองตามเกณฑ์ใหม่จะมีความแตกต่างจากประกันภัยรถยนต์ที่ลูกค้าผู้ใช้รถยนต์ไฟฟ้าถือครองอยู่ในปัจจุบัน เพื่อเป็นการสร้างความมั่นใจให้กับลูกค้าประกันภัยรถยนต์ไฟฟ้าที่อาจยังมีข้อกังวลเกี่ยวกับหลักเกณฑ์ประกันรถยนต์ไฟฟ้าฉบับใหม่ ธนชาตประกันภัย ในฐานะผู้นำธุรกิจประกันภัยรถยนต์ ที่ให้การดูแลลูกค้ารถยนต์ไฟฟ้าด้วยความคุ้มครองที่ได้มาตรฐานมาอย่างต่อเนื่อง จึงได้ออกประกาศแนวทางการดูแลลูกค้าประกันภัยรถยนต์ไฟฟ้า 2 กรณี ดังนี้

  1. กรณีลูกค้าผู้ใช้รถยนต์ไฟฟ้าต่ออายุกรมธรรม์ประกันภัยก่อนวันที่ 1 มิ.ย.67 ทั้งการต่ออายุตามวันคุ้มครองหรือการต่ออายุล่วงหน้า จะได้รับผลประโยชน์ความคุ้มครองตามเงื่อนไขกรมธรรม์เดิมตลอดอายุสัญญา โดยคุ้มครองความเสียหายทั้งตัวรถและแบตเตอรี่เต็มตามทุนประกัน รวมถึงยังไม่จำเป็นต้องระบุผู้ขับขี่ในกรมธรรม์ อย่างไรก็ตามหากลูกค้าต้องการเปลี่ยนกรมธรรม์เป็นประกันภัยรถยนต์ไฟฟ้าตามเกณฑ์และเงื่อนไขความคุ้มครองฉบับใหม่ สามารถแจ้งความประสงค์ได้ที่ Call Center โทร.02-666-8899 กด 0 ตั้งแต่วันที่ 1 มิ.ย.67 เป็นต้นไป
  2. กรณีลูกค้าผู้ใช้รถยนต์ไฟฟ้าต่ออายุกรมธรรม์ประกันภัยตั้งแต่วันที่ 1 มิ.ย.67 เป็นต้นไป ผลประโยชน์ความคุ้มครองจะเป็นไปตามกรมธรรม์ประกันภัยรถยนต์ไฟฟ้าเกณฑ์ใหม่ ซึ่งมีความแตกต่างจากกรมธรรม์เดิม 2 เรื่อง ได้แก่ ความคุ้มครองแบตเตอรี่และความคุ้มครองความเสียหายต่อตัวรถยนต์เป็นส่วนหนึ่งของทุนประกันภัย โดยกรณีที่แบตเตอรี่รถยนต์ไฟฟ้าได้รับความเสียหายจนต้องเปลี่ยนใหม่ทั้งชุดจะได้รับการชดใช้สินไหมทดแทนตามอายุการใช้งานแบตเตอรี่ โดยปีแรกจะชดใช้สินไหมทดแทน 100% จากนั้นจะค่อยๆ ปรับลดลงตามขั้นบันไดปีละ 10% (ต่ำสุด 50% กรณีแบตเตอรี่อายุตั้งแต่ 5 ปีขึ้นไป) ส่วนอีกเรื่องคือ ลูกค้าจำเป็นต้องระบุชื่อผู้ขับขี่ในกรมธรรม์อย่างน้อย 1 คน และสามารถระบุสูงสุดได้ 5 คน ดังนั้น หากเกิดอุบัติเหตุแล้วชื่อผู้ขับขี่ไม่ตรงกับชื่อในกรมธรรม์ ลูกค้าจะต้องเสียค่า Excess สูงถึง 6,000 บาท โดยบริษัท ฯ จะนำชื่อเจ้าของกรมธรรม์ฉบับเดิมระบุเป็นชื่อผู้ขับขี่คนแรก และสามารถเพิ่มชื่อผู้ขับขี่เพิ่มเติมได้ทาง Line Official Account “ธนชาตประกันภัย”

นายพีระพัฒน์ กล่าวว่า บริษัทฯ ได้กำหนดแนวทางดังกล่าว โดยคำนึงถึงผลประโยชน์ที่ลูกค้าจะได้รับเป็นสำคัญ และยังคงมาตรฐานการให้บริการในระดับสูงสุด เพื่ออำนวยความสะดวกให้กับลูกค้า ตลอดจนการพัฒนาผลิตภัณฑ์ประกันภัยรถยนต์ไฟฟ้าเพื่อตอบสนองความต้องการของลูกค้าอย่างต่อเนื่อง รวมถึงการสนับสนุนความยั่งยืนด้านพลังงานและยกระดับมาตรฐานความปลอดภัยทางถนน อันจะส่งผลที่เป็นประโยชน์ต่อลูกค้าและสังคมโดยรวมต่อไป

เมื่อองค์กรแสวงหาคน “เก่ง” เพื่อมาร่วมทีม และบุคลากรมุ่งมั่นพัฒนาตนเองให้ "เก่ง"  คำถามที่น่าสนใจ คือ "เก่ง" แบบไหนที่องค์กรต้องการ?  บทความนี้จะวิเคราะห์มุมมอง "เก่งเพื่อเสริมทีม" และ "เก่งเพื่อเหนือทีม"   พร้อมทั้งสะท้อนมุมมองสำคัญของ "ทีม" และผลลัพธ์ต่อองค์กร

ความเก่งที่แท้จริง: นิยามที่แปรผัน

"ความเก่ง" ไม่มีคำจำกัดความตายตัว ขึ้นอยู่กับระดับงาน หน้าที่ความรับผิดชอบ บริบทองค์กร และเป้าหมายขององค์กร ในระดับหัวหน้างาน ความเก่ง อาจจะหมายถึง ความสามารถในการชี้นำ กระตุ้น พัฒนาทีม ตัดสินใจ แก้ปัญหา มองการณ์ไกล และสื่อสาร ในขณะที่ระดับปฏิบัติการ อาจจะหมายถึง ทักษะเฉพาะทาง ความเชี่ยวชาญ ความรับผิดชอบ ความอดทน ความตั้งใจ ความเก่งสำหรับงานบริการ อาจจะหมายถึง ทักษะการสื่อสาร การบริการลูกค้า การแก้ปัญหาเฉพาะหน้า ความอดทน ความมีมนุษยสัมพันธ์ที่ดี ในขณะที่ความเก่งสำหรับงานขาย อาจจะหมายถึง ทักษะการสื่อสาร การโน้มน้าว การเจรจาต่อรอง ความสัมพันธ์ ความเข้าใจลูกค้า โดยความเก่งที่เหมาะสมควรจะส่งผลลัพธ์เชิงบวกกับองค์กร มากกว่าการเป็นเพียงเครื่องประดับอวดอ้างให้คนอื่นเห็นความสำคัญของตนเอง

ทีม: ฟันเฟืองขับเคลื่อนองค์กร

"ทีม" เปรียบเสมือนฟันเฟืองสำคัญขับเคลื่อนองค์กรไปสู่เป้าหมาย ทีมที่ทำงานร่วมกันอย่างมีประสิทธิภาพ ผนึกกำลัง แบ่งปันความรู้ ช่วยเหลือซึ่งกันและกัน สร้างผลลัพธ์ที่ยิ่งใหญ่กว่าการทำงานคนเดียว ทีมเป็นแหล่งรวมความคิดสร้างสรรค์ มุมมองที่หลากหลาย ประสบการณ์ที่แตกต่าง กระตุ้นการคิดนอกกรอบ นำไปสู่ไอเดียใหม่ และนวัตกรรม นอกจากนี้ทีมยังเป็นกลไกแห่งการเรียนรู้ โดยสมาชิกในทีมจะได้เรียนรู้จากกันและกัน เกิดการพัฒนาทักษะ เพิ่มพูลความรู้ความสามารถ ทำให้สมาชิกภายในทีมเติบโตจากการทำงานร่วมกัน และส่งผลให้องค์กรเกิดการพัฒนาและก้าวหน้ามากยิ่งขึ้น

องค์กรเปรียบเสมือนเรือที่แล่นสู่จุดหมาย ทีมที่สร้างผลลัพธ์ จะมีความมุ่งมั่น ทุ่มเท ทำงานด้วยความตั้งใจ ร่วมมือกัน เพื่อบรรลุเป้าหมายขององค์กร ในขณะที่ทีมที่เน้นการเมือง จะมุ่งแสวงหาอำนาจ ใช้ความสามารถที่ตัวเองมีเพื่อกดขี่คนที่มีความสามารถน้อยกว่า สร้างความขัดแย้ง แบ่งแยก ทำลายบรรยากาศการทำงาน ในทีมมักมีสมาชิกที่มีความสามารถ ทักษะ นิสัย หลากหลาย คนเก่งที่แท้จริงจะนำความรู้ ทักษะ มาเสริมสร้างทีม แบ่งปัน และช่วยเหลือเกื้อกูล มุ่งหวังที่จะเห็นองค์กรประสบความสำเร็จภายใต้ความสัมพันธ์ที่ดีระหว่างทีมงานทุกคน ในขณะที่คนไม่เก่ง สามารถเรียนรู้ พัฒนา เติบโต ด้วยโอกาส การสนับสนุน จากเพื่อนร่วมงาน ผู้นำ ในขณะที่คนดีจะมุ่งมั่น รับผิดชอบ สร้างบรรยากาศการทำงานที่ดี ไม่เอาความเก่งไปทำลายความตั้งใจในการทำงานของคนอื่น ปฏิเสธไม่ได้ว่าทุกองค์กรจะมีคนไม่ดีร่วมอยู่ด้วย คนเหล่านี้จะคอยสร้างปัญหา ขัดขวางแนวคิดที่เป็นประโยชน์ต่อองค์กร แสดงความไม่เห็นด้วยกับแนวคิดที่ไม่สอดคล้องกับความสนใจของตน และทำลายบรรยากาศการทำงาน ใช้เวลาไปกับการเล่นการเมือง สร้างกลุ่มก๊วนเพื่อนินทาคนที่มีความเห็นต่าง คอยจ้องจับผิดคนที่ไม่ใช่พวกพ้องตน

เก่งเพื่อเสริมทีม หรือ เก่งเพื่อเหนือทีม

"เก่งเพื่อเสริมทีม" หมายถึง บุคคลที่มีความสามารถ ทักษะ ความรู้ นำมาใช้เพื่อพัฒนาตนเอง พัฒนาเพื่อนร่วมงาน   และพัฒนาองค์กร "เก่งเพื่อเหนือทีม" หมายถึง บุคคลที่มีความสามารถ ทักษะ ความรู้ นำมาใช้เพื่อเอาชนะ กดขี่เพื่อนร่วมงาน สร้างกลุ่มก้อนทางการเมืองเพื่อรักษาไว้ซึ่งความนิยมชมชอบตัวเอง "เก่งเพื่อเสริมทีม" เปรียบเสมือนแสงสว่าง นำทางองค์กรไปสู่ความสำเร็จ ทีมที่ทำงานร่วมกันอย่างมีประสิทธิภาพ ผนึกกำลัง แบ่งปันความรู้ ช่วยเหลือซึ่งกันและกัน สร้างผลลัพธ์ที่ยิ่งใหญ่กว่าการทำงานคนเดียว มุมมองที่หลากหลาย ประสบการณ์ที่แตกต่าง กระตุ้นการคิดนอกกรอบ นำไปสู่ไอเดียใหม่ และนวัตกรรม สมาชิกในทีมเรียนรู้จากกันและกัน แบ่งปันความรู้ พัฒนาทักษะ เติบโตทั้งส่วนตัวและองค์กร องค์กรที่มุ่งเน้นการทำงานเป็นทีม ส่งเสริมการทำงานของกันและกัน ให้คำแนะนำและแง่คิดด้วยความบริสุทธิ์ใจปราศจากอคติ "เก่งเพื่อเสริมทีม" จึงมีพลังมหาศาลในการขับเคลื่อนองค์กรไปสู่ความสำเร็จ และสร้างอนาคตที่ยิ่งใหญ่ คนที่มีจิตสำนึกต่อองค์กรไม่เพียงแต่บอกว่ารักองค์กร ทำอะไรเพื่อองค์กร แต่ต้องไม่ปล่อยให้ “อีโก้” ผนึกกำลังกับความลุ่มหลงมัวเมาใน “ตัวกู” มาทำลายองค์กรให้พังทลายเพียงเพราะแค่ต้องการแสดงอิทธิฤทธิ์ของความเก่งเพื่อเหนือทีม คนเก่งจริงไม่จำเป็นต้องเล่นการเมือง เพราะท้ายที่สุด การเมืองที่ทำลายพลังสร้างสรรค์อาจจะไม่มีที่ให้เก่งเพื่อเหนือทีมอีกต่อไป


----------------------------

วัชรพจน์ ทรัพย์สงวนบุญ
ศูนย์กลยุทธ์และความสามารถทางการแข่งขันองค์กร มจธ.

 

ไมเดียจับมือหัวเว่ย, เอไอเอส, และไชน่า ยูนิคอม ในการสร้างโรงงานอัจฉริยะพร้อมระบบ 5G เต็มรูปแบบแห่งแรกในภูมิภาคเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ สร้างมาตรฐานใหม่ของสายการผลิตอัจฉริยะในประเทศไทยที่เปี่ยมด้วยนวัตกรรมล้ำสมัย โดยการผนึกกำลังครั้งนี้นับเป็นก้าวสำคัญที่ปูทางสู่ยุคแห่งเทคโนโลยี 5G ที่ช่วยยกระดับประสิทธิภาพ, ความปลอดภัย, และรองรับการทำงานร่วมกันแบบอัตโนมัติภายใต้กระบวนการผลิตที่มีความซับซ้อน

ทั้งนี้ เครือข่าย 5G ที่ครอบคลุมทั่วพื้นที่นิคมอุตสาหกรรมและแพลตฟอร์มอินเทอร์เน็ต 5G+ เชิงอุตสาหกรรม ทำให้กระบวนการผลิตเชื่อมต่อกันโดยสมบูรณ์ผ่านเทอร์มินัล 5G ความเร็วสูง นอกจากนี้ ยังติดตั้งไพรเวทเน็ตเวิร์ก 5G แบบเดดิเคท (Dedicated) ที่ได้รับการออกแบบให้รองรับข้อกำหนดกระบวนการทำงานและให้ทำงานร่วมกับระบบอัจฉริยะต่าง ๆ ได้อย่างราบรื่นโดยเฉพาะ ช่วยเพิ่มประสิทธิภาพของสถานการณ์การผลิตและเชื่อมต่อขั้นตอนการผลิตเข้าด้วยกันแบบไร้รอยต่อ

นายวินเซ็นท์ ไค ผู้จัดการทั่วไป โรงงานเครื่องปรับอากาศไมเดียประเทศไทย กล่าวว่า “โรงงานอัจฉริยะ 5G ในประเทศไทยได้กำหนดต้นแบบสายการผลิตแห่งโลกอนาคต เพื่อสอดรับกับกลยุทธ์การพลิกโฉมสู่ยุคดิจิทัลและเทคโนโลยีอัจฉริยะเต็มรูปแบบของไมเดีย กรุ๊ป โดยเราได้ออกแบบสายการผลิตประสิทธิภาพสูงให้เชื่อมต่อกันอย่างสมบูรณ์แบบ ทั้งยังเป็นมิตรกับสิ่งแวดล้อมอีกด้วย”

ทั้งนี้ โซลูชันหลักที่เสริมศักยภาพให้กับโรงงานอัจฉริยะ 5G ได้แก่:

  • การเชื่อมต่อและการวิเคราะห์ข้อมูลผ่านเครือข่าย 5G: เครือข่าย 5G มอบศักยภาพการเชื่อมต่อกับอุปกรณ์จำนวนมหาศาลอย่างมีเสถียรภาพ จึงสามารถตรวจสอบและวิเคราะห์ข้อมูลของอุปกรณ์การผลิตแบบเรียลไทม์ รวบรวมข้อมูลและวิเคราะห์ข้อมูลอย่างต่อเนื่องช่วยเพิ่มประสิทธิภาพการใช้อุปกรณ์, ลดเวลาหยุดทำงาน (down time) และเพิ่มศักยภาพการใช้งานอุปกรณ์ในสายการผลิต

  • รถลำเลียงสินค้าอัตโนมัติ 5G (Automated Guided Vehicles - AGV): เทคโนโลยี 5G พลิกโฉมการทำงานของรถลำเลียงสินค้าอัตโนมัติ (AGV) โดยปลดล็อคข้อจำกัดของ AGV ในการลำเลียงสินค้าแบบดั้งเดิม ที่ใช้การกำหนดเส้นทางล่วงหน้าร่วมกับเครื่องหมายต่าง ๆ ที่ติดตั้งในพื้นที่ ด้วยการวางแผนเส้นทางแบบมีพลวัตรและวิเคราะห์สภาพแวดล้อมแบบเรียลไทม์ เพื่อเพิ่มความยืดหยุ่นและขีดความสามารถในการปรับเปลี่ยนเส้นทาง ช่วยปรับปรุงประสิทธิภาพการดำเนินงานในสายการผลิตที่ซับซ้อน

  • ระบบตรวจสอบคุณภาพด้วย AI ผ่านเครือข่าย 5G: การประยุกต์ใช้เทคโนโลยี AI ช่วยเพิ่มอัตราการผลิตชิ้นงานที่สมบูรณ์แบบในครั้งแรกถึง 4% ระบบตรวจสอบคุณภาพด้วย AI ช่วยลดจำนวนอุปกรณ์ที่ต้องนำกลับมาแก้ไขลงจากจำนวน 4,000 ชิ้น เหลือเพียง 1,000 ชิ้น ลดข้อผิดพลาดในการปฏิบัติงาน และลดอัตราข้อผิดพลาดของชิ้นงานลงถึง 75%
  • แขนกลอัจฉริยะ 5G: พนักงานสามารถควบคุมแขนกลจากระยะไกลผ่านสมาร์ทโฟนที่รองรับ 5G ลดการใช้แรงงานคนในบริเวณที่เสี่ยงอันตราย ช่วยเพิ่มความปลอดภัยของพนักงานและเพิ่มประสิทธิภาพการลำเลียงวัสดุที่ใช้ในการผลิตเพื่อยกระดับคุณภาพสินค้า
  • ห้องควบคุมการปฏิบัติงานระบบ 5G: ห้องควบคุมการปฏิบัติงานจำลองและทดสอบสถานะของคอมเพรสเซอร์ที่อยู่ข้างนอกผ่านระบบ 5G ทำให้กระบวนการทำงานมีประสิทธิภาพและปราศจากข้อผิดพลาด มาพร้อมโซลูชัน 5G backhaul ที่มีค่าความหน่วงต่ำและระบบป้องกันข้อมูลสูญหาย ทำให้การรับส่งข้อมูลระหว่างแอปพลิเคชันสำคัญเป็นไปอย่างราบรื่น

ในโครงการโรงงานอัจฉริยะ ผู้ให้บริการเครือข่ายถือว่ามีบทบาทสำคัญในการขับเคลื่อนการเปลี่ยนผ่านสู่ยุคดิจิทัล โดยใช้ความเชี่ยวชาญและอีโคซิสเต็มในประเทศไทยเพื่อผลักดันเครือข่าย 5G ให้บรรลุประสิทธิภาพที่เหนือชั้น, มอบการเชื่อมต่อที่ไร้ขีดจำกัด รวมทั้งช่วยรักษาความปลอดภัยของข้อมูลในการดำเนินงาน นายภูผา เอกะวิภาต รักษาการประธานเจ้าหน้าที่บริหารกลุ่มธุรกิจองค์กร บริษัท แอดวานซ์ อินโฟร์ เซอร์วิส จำกัด (มหาชน) หรือ เอไอเอส ตอกย้ำความมุ่งมั่นของเอไอเอสในการสร้างนวัตกรรมอย่างต่อเนื่อง โดยกล่าวว่า เมื่อเทียบกับเทคโนโลยีอื่น 5G ถือเป็นเทคโนโลยีหนึ่งเดียวที่สามารถสร้างเครือข่ายครอบคลุมพื้นที่กว่า 160,000 ตร.ม. รวมโรงงานผลิตถึง 3 แห่งเข้าด้วยกันได้ และในอนาคต เอไอเอสยังคงมุ่งมั่นขับเคลื่อนนวัตกรรมและผนึกกำลังกับผู้ผลิตระดับโลกในการสร้างโรงงานอัจฉริยะในประเทศไทย

ในขณะเดียวกัน นส. ยูนิซ เซ, ผู้จัดการทั่วไป บริษัท ไชน่า ยูนิคอม โอเปอเรชั่นส์ (ประเทศไทย) จำกัด ได้กล่าวย้ำถึงความสำคัญของโครงสร้างพื้นฐานด้านโทรคมนาคมและไอทีว่า ความพร้อมของเครือข่าย 5G ของประเทศไทยอยู่ในระดับแนวหน้าของภูมิภาคอาเซียน ทางไชน่า ยูนิคอม มุ่งมั่นสนับสนุนความสำเร็จของนโยบาย Thailand 4.0 ด้วยสถานการณ์การใช้งานที่ครอบคลุม และสถานการณ์แบบ 5G2B ใหม่ ๆ ที่หลากหลาย พร้อมขับเคลื่อนการเปลี่ยนผ่านสู่ยุคดิจิทัลและระบบอัจฉริยะสำหรับอุตสาหกรรมการผลิตต่าง ๆ

นายวรกาน ลิขิตเดชาศักดิ์ ประธานเจ้าหน้าที่ฝ่ายเทคโนโลยีเครือข่ายโทรคมนาคม บริษัท หัวเว่ย เทคโนโลยี่ (ประเทศไทย) จำกัด ได้กล่าวย้ำถึงความมุ่งมั่นของหัวเว่ยในการพลิกโฉมอุตสาหกรรม เรามองเห็นแล้วว่า 5G มีบทบาทสำคัญในการขับเคลื่อนการพลิกโฉมของภาคอุตสาหกรรม และภาคอุตสาหกรรมการผลิตเองก็ได้แสดงศักยภาพด้านการพัฒนาและยกระดับศักยภาพด้วยเทคโนโลยี 5G ให้ประจักษ์ โดยหัวเว่ยยังคงมุ่งต่อยอดความร่วมมือกับลูกค้าในภาคอุตสาหกรรม ผู้ให้บริการเครือข่าย และพาร์ทเนอร์เพื่อสร้างมูลค่าทางธุรกิจด้วยเทคโนโลยี 5G ต่อไป เพื่อบรรลุเป้าหมายดังกล่าว เราได้ทำงานกับลูกค้าอย่างใกล้ชิดเพื่อทำความเข้าใจกลยุทธ์ดิจิทัลในแต่ละราย และเจาะลึกกระบวนการผลิตและค้นหาความต้องการเฉพาะด้าน พร้อมแบ่งปันประสบการณ์และหลักปฏิบัติจากความเชี่ยวชาญเฉพาะทางเพื่อเร่งนำเทคโนโลยี 5G มาใช้เพื่อยกระดับสายการผลิตอัจฉริยะ”

โรงงานอัจฉริยะ 5G เต็มรูปแบบแห่งแรกในภูมิภาคเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ ถือเป็นก้าวสำคัญของการเปลี่ยนผ่านสู่ยุคอัจฉริยะและยุคอุตสาหกรรม 4.0 ของประเทศไทย และยังได้แสดงให้เห็นถึงพลังของความร่วมมือและนวัตกรรมล้ำสมัย เพื่อร่วมกันกำหนดต้นแบบของเทคโนโลยีการผลิตแห่งโลกอนาคต

บริษัท ทิปโก้ เอฟแอนด์บี จำกัด ผู้ผลิตและจำหน่ายน้ำผลไม้พร้อมดื่ม ภายใต้แบรนด์ “ทิปโก้” นำโดยนางสาวสุพิชชา ชูพินิจ ผู้จัดการกลุ่มผลิตภัณฑ์ฝ่ายการตลาด บริษัท ทิปโก้ เอฟแอนด์บี จำกัด สานต่อความสำเร็จของแคมเปญ “TIPCO Select แบบ Zero Say No for Added” ส่งมอบน้ำแอปเปิ้ล 100% สูตรหวานน้อย ให้แก่กรุงเทพมหานคร เพื่อเป็นสื่อกลางส่งต่อให้นักเรียนในโรงเรียนสังกัด กทม. และนักศึกษามหาวิทยาลัยนวมินทราธิราชนำไปใช้ในกิจกรรมส่งเสริมการศึกษา โดยมีนายชัชชาติ สิทธิพันธุ์ ผู้ว่าราชการกรุงเทพมหานครเป็นผู้รับมอบ ณ ห้องรัตนโกสินทร์ ศาลาว่าการกรุงเทพมหานคร เมื่อเร็วๆนี้

ทิปโก้ ให้ความสำคัญกับการผลิตและพัฒนาผลิตภัณฑ์ที่มีคุณภาพ ตอบรับเทรนด์ตลาด เพื่อให้โดนใจกลุ่มลูกค้า และเป็นที่ยอมรับจากผู้บริโภคมากที่สุด นอกจากนี้เรามุ่งมั่นในการคืนกำไรสู่สังคมผ่านการช่วยเหลือโรงเรียนและชุมชนในท้องถิ่น โดยมุ่งหวังที่จะสร้าง Healthy Destination เสริมสร้างภูมิคุ้มกันให้แก่เยาวชน โดยการบริโภคสิ่งที่ดีต่อสุขภาพ ผ่านการจัดโครงการและกิจกรรมที่เป็นประโยชน์อย่างต่อเนื่อง ในครั้งนี้ ทิปโก้ มอบผลิตภัณฑ์น้ำแอปเปิ้ล 100% สูตรหวานน้อย จำนวน 2,250 กล่อง มูลค่า 50,000 บาท ให้กับนักเรียน นักศึกษา และเยาวชนในพื้นที่กรุงเทพมหานคร ส่งต่อสิ่งดีๆ มีประโยชน์จากน้ำผลไม้แท้ เพื่อสร้างสุขภาวะที่ดีให้แก่เด็กและเยาวชน ไม่ให้ป่วยง่ายห่างไกลจากโรค พร้อมเติบโตเป็นผู้ใหญ่ที่ดีในอนาคต

บริษัท กรุงเทพประกันภัย จำกัด (มหาชน) จัดพิธีเปิดสาขาสมุทรสาครอย่างเป็นทางการ พร้อมอัญเชิญครุฑตราตั้งขึ้นประดิษฐานเพื่อความเป็นสิริมงคล โดยนายชัย โสภณพนิช ประธานกรรมการ และดร.อภิสิทธิ์ อนันตนาถรัตน ประธานคณะผู้บริหารและกรรมการผู้อำนวยการใหญ่ พร้อมด้วยนางอรุโณทัย ทองพรหม ผู้อำนวยการสำนักงาน คปภ. จังหวัดสมุทรสาคร และนายปริญญา มณีประเสริฐ ผู้อำนวยการลูกค้าธุรกิจรายปลีกต่างจังหวัด ธนาคารกรุงเทพ ร่วมให้เกียรติเป็นประธานในพิธีฯ พร้อมคณะผู้บริหารและแขกผู้มีเกียรติร่วมในพิธีเปิดสาขา ณ กรุงเทพประกันภัย สาขาสมุทรสาคร อำเภอเมืองสมุทรสาคร จังหวัดสมุทรสาคร เมื่อวันที่ 8 พฤษภาคม 2567

นอกจากนี้ บริษัทฯ ยังได้จัดกิจกรรมเพื่อสังคมที่ยั่งยืน ด้วยการมอบอุปกรณ์กีฬาให้แก่โรงเรียนวัดพันธุวงษ์ (ปรีชาเลี่ยมราษฎร์บำรุง) จังหวัดสมุทรสาคร เพื่อส่งเสริมด้านสุขอนามัยให้เยาวชนได้ออกกำลังกายโดยการเล่นกีฬา อีกทั้งยังเป็นการเพิ่มภูมิคุ้มกันทางสังคมให้เยาวชนได้ใช้เวลาว่างให้เกิดประโยชน์สูงสุด โดยมีนายเลอเกียรติ เอี่ยมศรี และนายกิตติวัฒน์ ทองเพิ่ม อาจารย์ประจำโรงเรียน เป็นผู้รับมอบ

กรุงเทพประกันภัย สาขาสมุทรสาคร เป็นสาขาที่ 37 ที่ได้ทำพิธีเปิดสาขาอย่างเป็นทางการ เพื่อขยายการให้บริการและให้คำปรึกษาด้านประกันภัยและสินไหมทดแทนแก่ลูกค้าและคู่ค้าในพื้นที่จังหวัดสมุทรสาคร และจังหวัดสมุทรสงครามให้ได้รับความสะดวกและใกล้ชิดยิ่งขึ้น โดยตั้งอยู่ที่ 199/1 หมู่ 3 ตำบลนาดี อำเภอเมืองสมุทรสาคร จังหวัดสมุทรสาคร (ในโครงการ ส.ชัยซิตี้ ริมถนนพระราม 2 ฝั่งขาออก) โทรศัพท์ 0 3417 1980 โทรสาร 0 3417 1984

ทั้งนี้ ลูกค้าและประชาชนที่ต้องการติดต่อสอบถามด้านการประกันภัย สามารถติดต่อได้ที่สาขาของกรุงเทพประกันภัยที่ให้บริการครอบคลุมทั่วภูมิภาค โดยดูรายละเอียดได้ที่ bangkokinsurance.com/th/contact/branch

บริษัทสยามคูโบต้าคอร์ปอเรชั่น จำกัด ลุยต่อแผน KUBOTA NET ZERO EMISSION มุ่งมั่นสร้างโลกเกษตรที่ยั่งยืน ขยายองค์ความรู้เกษตรปลอดการเผา สู่นโยบายลดการปล่อยก๊าซเรือนกระจกในภาคการเกษตรสุทธิเป็นศูนย์ จับมือหน่วยงานภาครัฐและเอกชนของจังหวัดเลย ลงนามบันทึกข้อตกลงความร่วมมือฯ “เมืองเลย เมืองต้นแบบปลอดการเผาสู่ Net Zero Emission" เป็นจังหวัดที่ 11 ดึงองค์ความรู้ KUBOTA (Agri) Solutions เกษตรครบวงจร แก้ปัญหามลพิษจากฝุ่นละอองในภาคการเกษตร ตลอดจนบริหารจัดการวัสดุเหลือใช้ทางการเกษตร พร้อมกันนี้ได้มอบแทรกเตอร์เพื่อสนับสนุนการทำแนวกันไฟป่าให้แก่อุทยานแห่งชาติภูกระดึงในภารกิจพิชิตไฟป่าและ PM 2.5

นางวราภรณ์ โอสถาพันธุ์ กรรมการรองผู้จัดการใหญ่อาวุโส บริษัทสยามคูโบต้าคอร์ปอเรชั่น จำกัด เปิดเผยว่า “ปัจจุบันเราปฏิเสธไม่ได้เลยว่าเรื่องปัญหาสิ่งแวดล้อมเป็นเรื่องที่ทั่วโลกกำลังให้ความสำคัญอย่างมาก ไม่ว่าจะเป็นประเด็นภาวะโลกร้อน สภาพอากาศแปรปรวน ไปจนถึงมลพิษในอากาศอย่าง “ฝุ่นละออง PM 2.5” ซึ่งพบว่าสาเหตุส่วนหนึ่งมาจากการเผาในที่โล่งไม่ว่าจะเป็นพื้นที่ป่าหรือพื้นที่การเกษตร สยามคูโบต้าจึงได้ดำเนินกิจกรรมโซลูชันเกษตรปลอดการเผาตั้งแต่ปี 2559 เพื่อรณรงค์และพัฒนากระบวนการผลิตโดยวิธีการทำเกษตรปลอดการเผา ตลอดจนการสร้างมูลค่าเพิ่มให้แก่วัสดุเหลือใช้หลังการเก็บเกี่ยว เช่น ฟางข้าว ตอซังข้าว และใบอ้อย ด้วยการนำเอานวัตกรรมเครื่องจักรกลการเกษตรและองค์ความรู้ด้านการเกษตร ภายใต้องค์ความรู้ KUBOTA (Agri) Solutions เกษตรครบวงจร มาปรับใช้”  

ที่ผ่านมาตั้งแต่ปี 2563 ได้จัดกิจกรรมรณรงค์และสัมมนาโครงการฯ รวมถึงดำเนินการจัดลงนามความร่วมมือโครงการเกษตรปลอดการเผา (Zero Burn) ไปแล้ว 10 จังหวัด ได้แก่ จังหวัดมหาสารคาม จังหวัดอุบลราชธานี จังหวัดศรีสะเกษ จังหวัดร้อยเอ็ด จังหวัดราชบุรี จังหวัดเชียงราย จังหวัดนครสวรรค์ จังหวัดอุดรธานี จังหวัดสุโขทัย และจังหวัดหนองคาย ส่งผลให้ลดจุดการเผาในภาคการเกษตรในจังหวัดที่เข้าร่วมโครงการได้อย่างยั่งยืน อีกทั้งยังสร้างรายได้และคืนสุขภาพชีวิตที่ดีขึ้นให้พี่น้องเกษตรกร สยามคูโบต้าจึงได้ต่อยอดความสำเร็จมายังจังหวัดเลยเป็นจังหวัดที่ 11 ทั้งนี้เรามุ่งหวังยกระดับโครงการเกษตรปลอดการเผา (Zero Burn) สู่เป้าหมาย KUBOTA NET ZERO EMISSION มุ่งมั่นสร้างโลกเกษตรที่ยั่งยืน ลดการปล่อยก๊าซเรือนกระจกในภาคการเกษตรสุทธิเป็นศูนย์ อย่างไรก็ดียังมีการเร่งศึกษาทดลองนวัตกรรมและเทคโนโลยี และโซลูชันการเกษตรต่างๆ เพื่อทำให้สิ่งแวดล้อมดีขึ้น และนำไปส่งเสริมให้เกษตรกรสามารถนำไปปรับใช้ให้เกิดประโยชน์สูงสุด

นอกจากนี้สยามคูโบต้าและร้านค้าผู้แทนจำหน่ายคูโบต้า โดย นายธนากร ชินสุทธิประภา กรรมการผู้จัดการ บริษัทร่วมใจมอเตอร์เซลส์จำกัด ยังได้มีส่วนร่วมในภารกิจพิชิตไฟป่าและผลกระทบจากไฟป่าโดยเฉพาะฝุ่น PM2.5 โดยได้มอบแทรกเตอร์ L4018DT(VT) พร้อมอุปกรณ์ต่อพ่วง 2 คัน เพื่อสนับสนุนการทำแนวกันไฟป่าให้แก่อุทยานแห่งชาติภูกระดึง

ด้าน นายอนุพงษ์ คำภูแก้ว รองผู้ว่าราชการจังหวัดเลย กล่าวว่า “ในช่วงระหว่างเดือนพฤศจิกายนถึงเดือนเมษายนของทุกปีจังหวัดเลยจะมีสภาพอากาศแห้งแล้งเอื้อต่อการเกิดไฟไหม้ เนื่องจากพื้นที่ส่วนใหญ่เป็นพื้นที่ป่า และพื้นที่ทำการเกษตร จากการจุดไฟเผาเพื่อเตรียมพื้นที่เพาะปลูก เผาเศษที่หลงเหลือจากการเก็บเกี่ยวผลผลิตทางการเกษตร ทำให้จังหวัดเลยเผชิญกับสถานการณ์ไฟป่าและหมอกควันที่มีความรุนแรงอย่างต่อเนื่อง ปีที่ผ่านมาเกิดจุดความร้อน (Hotspot) ในพื้นที่จังหวัดเลยสูงถึง 2,262 จุด ในขณะเดียวกันมีค่าฝุ่นละอองขนาดเล็ก (PM 2.5) เกินเกณฑ์มาตรฐาน คุณภาพอากาศเริ่มมีผลกระทบต่อสุขภาพ อีกทั้งยังสร้างความสูญเสียแก่ทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อมส่งผลกระทบทำให้เกิดความเสียหายต่อชีวิต ทรัพย์สิน มูลค่าทางเศรษฐกิจและสังคม รวมทั้งทัศนียภาพในการท่องเที่ยว ทั้งนี้เพื่อเป็นการป้องกันและเตรียมความพร้อมรับสถานการณ์ดังกล่าว จังหวัดจึงกำหนดให้ “พื้นที่ทุกหมู่บ้านในเขตจังหวัดเลยเป็นเขตควบคุมไฟป่า โดยกำหนดมาตรการควบคุมไฟป่า หมอกควัน และฝุ่นละอองขนาดเล็ก (PM 2.5) จังหวัดเลย ประจำปี พ.ศ. 2567

จังหวัดเลย มีความยินดีเป็นอย่างยิ่งที่ทาง บริษัทสยามคูโบต้าคอร์ปอเรชั่น จำกัด ได้เล็งเห็นความสำคัญในการดำเนินโครงการและคัดเลือกจังหวัดเลยในการทำบันทึกข้อตกลงความร่วมมือดำเนินโครงการ Net Zero Emission โดยได้มีข้อตกลงร่วมกันที่ทั้งสองฝ่ายต่างมีเจตนารมณ์เดียวกัน ในการรณรงค์และส่งเสริมให้เกษตรกรตระหนักถึงความสำคัญของเกษตรปลอดการเผา ตลอดจนผลักดันนโยบายการปล่อยก๊าซเรือนกระจกสุทธิเป็นศูนย์ ภายในปี 2593 ภายใต้แนวคิด “เมืองเลย เมืองต้นแบบปลอดการเผาสู่ Net Zero Emission"

อย่างไรก็ตามสยามคูโบต้ายังคงมุ่งมั่นผลักดันแนวคิดเกษตรปลอดการเผาสู่การสร้าง “เมืองต้นแบบปลอดการเผาสู่ Net Zero Emission” ด้วยการขยายพื้นที่ความร่วมมือของโครงการฯ ในปี 2567 เพิ่มอีก 2 จังหวัด ได้แก่จังหวัดสระแก้ว จังหวัดสระบุรี นอกจากนี้ยังมีการผลักดันองค์กรและสินค้าของคูโบต้าให้เป็นองค์กรที่มีนโยบายเป็นมิตรกับสิ่งแวดล้อม ตลอดจนหาแนวทางการแก้ไขประเด็นเรื่องปัญหาสิ่งแวดล้อมอยู่เสมอ ทั้งนี้เพื่อให้สอดคล้องกับเป้าหมาย ลดการปล่อยก๊าซเรือนกระจกลง 50% ภายในปี 2573 พร้อมขยายผลให้เกิดการปล่อยก๊าซเรือนกระจกสุทธิเป็นศูนย์ หรือ Net Zero Emission ภายในปี 2593 สอดรับกับเป้าหมายแผนการลดการปล่อยก๊าซเรือนกระจกของประเทศไทยและเพื่อดำเนินตามนโยบายคูโบต้า คอร์ปอเรชั่น ในการมุ่งสู่แบรนด์ชั้นนำระดับโลกหรือ Global Major Brand (GMB)

พล.ต.ท.นพ.ธนา ธุระเจน ประธานคณะกรรมการการแพทย์ กองทุนประกันสังคม ได้กล่าวภายหลังประชุมบอร์ดแพทย์กองทุนประกันสังคม เมื่อวันที่ 8 พฤษภาคม 2567 ว่า ได้พิจารณาและมติเห็นชอบให้ปรับประกาศคณะกรรมการการแพทย์ เพื่อเพิ่มสิทธิประโยชน์ให้ผู้ประกันตนเข้าถึงการรักษาโรคมะเร็งได้อย่างสะดวกและมีประสิทธิภาพมากขึ้น โดยผู้ประกันตนที่ได้รับการวินิจฉัยว่าเป็นมะเร็งสามารถเข้ารับบริการยังสถานพยาบาลที่ไหนก็ได้ทั้งสถานพยาบาลรัฐและเอกชนที่ทำความตกลงกับสำนักงานประกันสังคม ที่มีศักยภาพในการดูแลรักษาผู้ป่วยโรคมะเร็งเป็นไปตามมาตรฐานที่สำนักงานประกันสังคมกำหนด

โรคมะเร็งทุกชนิดเป็นโรคที่อยู่ในความคุ้มครองของสิทธิประกันสังคม สถานพยาบาลตามสิทธิที่ผู้ประกันตนเลือกจะต้องให้การดูแลผู้ประกันตนตั้งแต่ตรวจวินิจฉัยจนสิ้นสุดการรักษา กรณีเกินศักยภาพสถานพยาบาลตามสิทธิจะต้องส่งตัวผู้ประกันตนไปรักษายังสถานพยาบาลระดับสูง สำหรับการเพิ่มสิทธิประโยชน์ในวันนี้นั้นจะเป็นการช่วยให้ผู้ประกันตนที่ป่วยด้วยโรคมะเร็งได้เข้าถึงการรักษาได้มีประสิทธิภาพมากขึ้น ผู้ประกันตนที่ได้รับการวินิจฉัยว่าเป็นมะเร็งสามารถเข้ารับบริการตามสถานพยาบาลที่ผู้ประกันตนมีความประสงค์จะไปรักษา โดยสำนักงานประกันสังคมจะทำการคัดเลือกสถานพยาบาลที่มีศักยภาพทั้งด้านการให้เคมีบำบัด หรือรังสีรักษา เป็นต้น เพื่อรองรับการดูแลผู้ประกันตนให้ได้รับการดูแลอย่างทั่วถึง

สำนักงานประกันสังคมได้เตรียมระบบ application ซึ่งให้บริการครบวงจรในการติดตามการรักษาและส่งต่อข้อมูล ผู้ประกันตนสามารถเข้าไปดูรายชื่อสถานพยาบาลและมีช่องทางในการสื่อสาร ส่งต่อข้อมูลระหว่างสถานพยาบาลตามสิทธิกับสถานพยาบาลที่ผู้ประกันตนประสงค์จะไปรักษา เป็นไปตามมาตรฐานทางการแพทย์ พร้อมกันนี้จะมีการกำกับติดตาม ประเมินผลการเข้าถึงบริการ และรายงานผลต่อคณะกรรมการการแพทย์

“ตามมติคณะกรรมการการแพทย์ ที่เห็นชอบเพิ่มช่องทางให้ผู้ประกันตนเข้าถึงการรักษาโรคมะเร็งได้อย่างสะดวกและมีประสิทธิภาพมากขึ้น หลังจากนี้ จะเร่งดำเนินการเตรียมเสนอวาระต่อคณะกรรมการประกันสังคมในเดือนถัดไป เพื่อให้คณะกรรมการประกันสังคมเห็นชอบ และเตรียมออกประกาศมอบสิทธิประโยชน์แก่ผู้ประกันตน ทั้งนี้ หากดำเนินการออกประกาศแล้วเสร็จ สำนักงานประกันสังคมจะทำการประชาสัมพันธ์เพื่อแจ้งแนวทางการเข้ารับบริการและรายชื่อสถานพยาบาลที่เข้าร่วมโครงการให้ผู้ประกันตนทราบผ่านทาง www.sso.go.th พล.ต.ท.นพ.ธนา กล่าว

เอสซีจี ‘องค์กรแห่งโอกาส’ หนุนพลังคนปล่อยแสง เปลี่ยนไอเดียให้เป็นจริง-พัฒนานวัตกรรมระดับโลก-ร่วมมือทุกภาคส่วน ปั้นนวัตกรรมกรีนโดนใจ คาร์บอนต่ำ มุ่งมั่นสร้างการเติบโตร่วมกันบนสังคมคาร์บอนต่ำ คุณภาพชีวิตดี เศรษฐกิจโต สังคม สิ่งแวดล้อมน่าอยู่ ไม่ทิ้งใครไว้ข้างหลัง ปี 67 ตั้งงบพัฒนากระบวนการผลิตคาร์บอนต่ำและนวัตกรรมกรีน 10,000 ล้านบาท

นายธรรมศักดิ์ เศรษฐอุดม กรรมการผู้จัดการใหญ่ เอสซีจี กล่าวว่า “การพัฒนานวัตกรรมกรีนเป็นกุญแจสำคัญในการแก้ปัญหาโลกเดือด และขอเชิญชวนทุกภาคส่วนมาร่วมกันสนับสนุนเลือกใช้นวัตกรรมกรีนที่ตอบโจทย์ การปรับเปลี่ยนครั้งนี้ไม่ง่าย เพราะต้องปรับเปลี่ยนทั้งเทคโนโลยี ความเข้าใจลูกค้าและตลาด รวมถึงกฎเกณฑ์ใหม่ ๆ ซึ่ง ‘พลังของคน’ เป็นหัวใจสำคัญในการผลักดันการเปลี่ยนแปลงนี้

เอสซีจีจึงเปิดพื้นที่ สร้าง ‘องค์กรแห่งโอกาส’ (Organization of Possibilities) เพื่อให้ทุกคนทั้งพนักงาน พาร์ตเนอร์ คนทุกเจน มีพื้นที่แสดงพลังและปล่อยแพสชันไร้ขีดจำกัด คิดทำนอกกรอบ ทดลองเรียนรู้ เพื่อพัฒนานวัตกรรมกรีนที่ตอบโจทย์ลูกค้า สังคม สิ่งแวดล้อม และสร้างการเติบโตให้ธุรกิจ เอสซีจี องค์กรแห่งโอกาสต่าง ๆ  ประกอบด้วย 1.) โอกาสเปลี่ยนไอเดียเป็นนวัตกรรม เช่น ให้พนักงานก้าวสู่การเป็นผู้ประกอบการกับโครงการสตาร์ตอัปภายในองค์กร ‘ZERO TO ONE by SCG’ โดยติดอาวุธทักษะความรู้ ตั้งแต่เริ่มทำความเข้าใจลูกค้า ค้นหาปัญหา การพัฒนาผลิตภัณฑ์ให้ตอบโจทย์ลูกค้า และการขยายฐานลูกค้าเพื่อการเติบโตอย่างก้าวกระโดด เพื่อเป็นเครื่องมือในการพัฒนาธุรกิจและนวัตกรรม อาทิ Design Thinking, Generative AI, Data Analytics ปัจจุบันมีผู้ร่วมกว่า 800 คน และมีสตาร์ตอัปในโครงการ 100 สตาร์ตอัป เช่น ‘Wake Up Waste’ แพลตฟอร์มรถบีบอัดขยะ ช่วยให้ขยะเล็กลง ขนส่งได้ปริมาณมากขึ้น เพื่อนำเข้าสู่กระบวนการจัดการขยะอย่างมีประสิทธิภาพ ‘Dezpax’ แพลตฟอร์มออนไลน์แพคเกจจิ้งครบวงจรรายแรกในไทย สำหรับธุรกิจร้านอาหาร ฟู้ดเดลิเวอรี่ และคาเฟ่ ขณะเดียวกัน ยังเปิดเวที ‘SCG Young Talent Program’ บ่มเพาะนวัตกรรุ่นใหม่จากมหาวิทยาลัยทุกชั้นปี ทุกสาขา ผ่านการทำงานกับเอสซีจี แบบทำจริง เจ็บจริง (Bootcamp) เป็นเวลา 13 สัปดาห์ เพื่อร่วมสร้างนวัตกรรมดิจิทัล ตอบเทรนด์อนาคต มีคนรุ่นใหม่เข้าร่วมแล้วกว่า 850 คน นอกจากนั้น สนับสนุนให้พนักงานทุกระดับเสนอไอเดียพัฒนาสิ่งต่าง ๆ ได้เสมอ สร้างวัฒนธรรมเปิดใจ ใฝ่เรียนรู้สิ่งใหม่ ๆ พัฒนาตัวเอง ไม่ยึดติดจากความสำเร็จเดิม (Open & Challenge) 2.) โอกาสพัฒนานวัตกรรมระดับโลก สนับสนุนการวิจัยภายในองค์กรและร่วมมือกับผู้เชี่ยวชาญระดับโลก เช่น ร่วมกับ Norner AS’ ศูนย์วิจัยและพัฒนาพลาสติก ประเทศนอร์เวย์ และ ‘มหาวิทยาลัยออกซ์ฟอร์ด’ ประเทศอังกฤษ พัฒนานวัตกรรมและเทคโนโลยีเพื่อความยั่งยืน รวมทั้ง ร่วมมือกับสตาร์ตอัปจากสหรัฐอเมริกา ‘Rondo Energy’ เพื่อพัฒนาเทคโนโลยีขั้นสูง (Deep Technology) ที่พลิกโฉมอุตสาหกรรมคาร์บอนต่ำ เช่น แบตเตอรี่กักเก็บความร้อนจากพลังงานสะอาด และ 3.) โอกาสร่วมมือทุกภาคส่วน ทั้งเครือข่ายภาครัฐ เอกชน ประชาสังคม เพื่อรวมพลังสร้างสังคมคาร์บอนต่ำที่เติบโตร่วมกันอย่างยั่งยืน เช่น ขับเคลื่อน ‘สระบุรีแซนด์บ็อกซ์’ สร้างเมืองต้นแบบคาร์บอนต่ำแห่งแรกของไทย พาไทยมุ่งสู่ Net Zero ทั้งนี้ ปี 2567 เอสซีจี ตั้งงบพัฒนากระบวนการผลิตคาร์บอนต่ำและนวัตกรรมกรีนกว่า 10,000 ล้านบาท”

กรรมการผู้จัดการใหญ่ กล่าวต่อว่า “พลังของ ‘องค์กรแห่งโอกาส’ ทำให้เอสซีจีสร้างสรรค์หลากหลายนวัตกรรมกรีนโดนใจ โดยออกแบบกระบวนการผลิตให้ลดคาร์บอนไดออกไซด์ ควบคู่กับเพิ่มฟังก์ชันใช้งานที่ตอบโจทย์ลูกค้า สังคม สิ่งแวดล้อมยิ่งขึ้น อาทิ พลิกโฉมการก่อสร้างและอยู่อาศัยให้กรีนครบวงจร ตั้งแต่นวัตกรรมงานโครงสร้างจนถึงระบบเทคโนโลยีภายในและการตกแต่ง ก่อสร้างบ้าน อาคาร โครงการต่าง ๆ ด้วย ‘ปูนคาร์บอนต่ำและคอนกรีตคาร์บอนต่ำ’ จาก ‘เอสซีจี ซีเมนต์แอนด์กรีนโซลูชัน’ ที่เป็นมิตรต่อสิ่งแวดล้อม แข็งแรง ได้มาตรฐาน ผิวเรียบ อายุยาวนาน สามารถตอบโจทย์โครงการรักษ์โลกต่าง ๆ ได้อย่างดี ทั้งงานอาคารขนาดใหญ่ งานนิคมอุตสาหกรรม งานท่าเรือ ไปจนถึงงานใต้ทะเล พร้อมยกระดับการอยู่อาศัยให้ดียิ่งขึ้นและเป็นมิตรต่อโลก โดย ‘เอสซีจี สมาร์ทลีฟวิง’ นำเสนอ ‘วัสดุก่อสร้างครบทั้งหลัง’ ดีไซน์สวยงาม ทนทาน และลดการปล่อยคาร์บอนไดออกไซด์ ได้รับการรับรอง SCG Green Choice และฉลากคาร์บอนฟุตพริ้นท์ ทั้งยังมีเทคโนโลยีเพื่อประสิทธิภาพการใช้พลังงานครบวงจร ตั้งแต่การลดการใช้พลังงานจากระบบปรับอากาศในอาคาร ด้วย ‘SCG Air Scrubber’ และสร้างพลังงานสะอาดสำหรับใช้ภายในบ้าน-อาคารตลอด 24 ชั่วโมง ด้วย ‘SCG Solar Hybrid Solutions’  ตลอดจนโซลูชันใหม่อย่าง ‘Microgrid and Energy Storage System’ ที่ช่วยให้การบริหารจัดการใช้พลังงานมีประสิทธิภาพสูงสุด กักเก็บพลังงานทดแทนจากแสงอาทิตย์ไว้สำหรับใช้งานในช่วงต่าง ๆ ของวัน นอกจากนั้น ‘เอสซีจี เดคคอร์’ พร้อมเสิร์ฟนวัตกรรมตกแต่งพื้นผิวและสุขภัณฑ์ครบวงจร ล่าสุด เปิดตัว ‘COTTO CLAY DECOR COLLECTION’ ดูดซับความร้อนได้ดี ช่วยให้บ้านเย็น ประหยัดพลังงาน และนวัตกรรม ‘ก๊อกน้ำรุ่น GEO Series’ ที่ใช้นวัตกรรมการผลิตแบบ Non-Foundry Process ดีไซน์ก๊อกน้ำที่ใช้ท่อทองเหลืองมาเป็นส่วนหนึ่งในงานออกแบบ สามารถลดใช้พลังงานในการหลอมขึ้นรูป และลดการปล่อยก๊าซเรือนกระจกได้มากกว่าร้อยละ 10

ยกระดับไลฟ์สไตล์ให้สะดวกผู้ใช้ สบายโลกมากยิ่งขึ้น ด้วยนวัตกรรมจาก ‘SCGP’ ที่ช่วยสร้างความยั่งยืนตลอดทั้งห่วงโซ่อุปทาน ตั้งแต่การพัฒนายูคาลิปตัสเพื่อเป็นวัตถุดิบทดแทน (Renewable Resource) การเพิ่มประสิทธิภาพการนำกระดาษรีไซเคิลสู่กระบวนการผลิต พัฒนากระบวนการผลิตให้ลดคาร์บอนไดออกไซด์ด้วย Machine Learning และปัญญาประดิษฐ์ (AI) และการเพิ่มทางเลือกบรรจุภัณฑ์ที่สามารถรีไซเคิลและใช้ซ้ำได้ เพื่อตอบโจทย์การใช้งาน รวมถึงมุ่งพัฒนานวัตกรรมในกลุ่มสินค้าใหม่ ๆ อย่างกลุ่มวัสดุอุปกรณ์ทางการแพทย์ เพื่อเตรียมรองรับเทรนด์การใส่ใจสุขภาพไปกับความยั่งยืน ขณะที่  ‘เอสซีจี เคมิคอลส์ (SCGC)’ มุ่งพัฒนานวัตกรรมพลาสติกรักษ์โลก ภายใต้แบรนด์ SCGC GREEN POLYMERTM พร้อมนำเสนอกรีนโซลูชันตามแนวทาง Low Waste, Low Carbon โดยได้ขยายกำลังการผลิตพลาสติกรีไซเคิลในยุโรป ได้แก่ ‘ซีพลาสต์’ (Sirplaste) โปรตุเกส เพิ่มขึ้น 9,000 ตันต่อปี เป็น 45,000 ตันต่อปี และ ‘คราส’ (Kras) เนเธอร์แลนด์ เพิ่มขึ้น 9,000 ตันต่อปี เป็น 18,000 ตันต่อปี ตอบโจทย์ความต้องการนวัตกรรมกรีนในระดับโลก ขณะที่ในภูมิภาค ร่วมกับคู่ธุรกิจมุ่งเปลี่ยนของใกล้ตัวผู้บริโภคให้กรีนยิ่งขึ้น อาทิ ร่วมกับ HomePro พัฒนา ‘เครื่องใช้ไฟฟ้ารักษ์โลก’ ครั้งแรกในไทย โดยรีไซเคิลพลาสติกจากเครื่องใช้ไฟฟ้าใช้แล้วให้กลับมาผลิตใช้ใหม่ นอกจากนั้น ร่วมกับ Braskem ผลิต ‘พลาสติกชีวภาพ’ หรือ Bio-Polyethylene ที่เปลี่ยนการใช้วัตถุดิบตั้งต้นจากฟอสซิลเป็นวัตถุดิบชีวภาพ มีปริมาณการปล่อยคาร์บอนเป็นลบ ร่วมกับ Denka ผลิต ‘Acetylene Black’ ซึ่งเป็นสารนำไฟฟ้าสำคัญสำหรับแบตเตอรี่รถยนต์ EV มุ่งสู่ Green Mobility พร้อมทั้งนวัตกรรมสุดล้ำล่าสุดที่ SCGC พัฒนาร่วมกับ Avantium ในการ ‘เปลี่ยนก๊าซคาร์บอนไดออกไซด์ เป็นพอลิเมอร์คาร์บอนฟุตพริ้นท์เป็นลบ’ (Carbon-Negative Plastic)  นอกจากนี้ SCGC ยังได้รุกสู่ธุรกิจโซลูชันในการปรับปรุงและแก้ปัญหาในโรงงานอุตสาหกรรม (Industrial Solutions) ภายใต้แบรนด์ ‘REPCO NEX’ พร้อมส่งมอบ Innovative & Digital โซลูชันเพื่อความยั่งยืน อาทิ พลังงานสะอาด (Renewable Energy) ระบบการผลิตอัจฉริยะ (Smart Manufacturing) เพื่อเพิ่มประสิทธิภาพในการผลิต รวมทั้งลดการใช้ทรัพยากร และลดการปล่อยก๊าซคาร์บอนไดออกไซด์  

สำหรับภาคธุรกิจที่มุ่งลดการปล่อยก๊าซเรือนกระจกสุทธิจนเป็นศูนย์ ‘เอสซีจี คลีนเนอร์ยี่’ ช่วยก้าวข้ามข้อจำกัดในการใช้พลังงานสะอาดของภาคอุตสาหกรรม เร่งการเปลี่ยนผ่านให้เร็วยิ่งขึ้น ด้วยแพลตฟอร์มซื้อขายพลังงานสะอาดอัจฉริยะ ‘Smart Grid’ เพื่อเข้าถึงพลังงานแสงอาทิตย์สะดวกยิ่งขึ้น รวมทั้งนวัตกรรมแห่งอนาคตอย่าง ‘แบตเตอรี่กักเก็บพลังงานความร้อนจากพลังงานสะอาด’ ทดแทนการใช้เชื้อเพลิงฟอสซิลทำความร้อนหรือไอน้ำในกระบวนการผลิตของภาคอุตสาหกรรม ตลอดจน ‘เอสซีจี เจดับเบิ้ลยูดี โลจิสติกส์’ พร้อมเป็นตัวกลางเชื่อมต่อสังคมโลว์คาร์บอน ซัพพอร์ทลูกค้าและคู่ธุรกิจมุ่งสู่เป้าหมายลดการปล่อยคาร์บอนไดออกไซด์ใน Scope 3 ด้วยบริการด้านโลจิสติกส์และซัพพลายเชน ที่นำเทคโนโลยีมาช่วยบริหารจัดการระบบโลจิสติกส์ให้มีประสิทธิภาพและเป็นมิตรต่อสิ่งแวดล้อม อาทิ ‘กลุ่มธุรกิจคลังสินค้าห้องเย็น’ (Cold Chain Business) มีการใช้เทคโนโลยีจัดเก็บและจ่ายสินค้าอัตโนมัติ (Automated Storage Retrieval System) หรือ ASRS พร้อมด้วยระบบ ‘Solar Roof’ เปลี่ยนสู่การเป็นคลังสินค้าประหยัดพลังงาน ลดการใช้เชื้อเพลิง ลดการปล่อยคาร์บอนไดออกไซด์ นอกจากนั้น ยังมีนวัตกรรมด้านกรีนโลจิสติกส์อื่น ๆ เช่น ‘รถขนส่งพลังงานไฟฟ้า’ ‘ระบบคำนวณเส้นทางอัจฉริยะ (AI Route Optimization)’ ‘หุ่นยนต์ลำเลียงอัตโนมัติ (AGV & Robotics)’ ที่ช่วยสร้างความยั่งยืน และเพิ่มขีดความสามารถในการแข่งขันให้กับธุรกิจ”

“เอสซีจีสามารถเดินหน้านวัตกรรมกรีนมาจนถึงวันนี้ มียอดขายนวัตกรรมรักษ์โลก SCG Green Choice ร้อยละ 53 จากยอดขายทั้งหมด และมุ่งสู่เป้าหมายยอดขายร้อยละ 67 ภายในปี 2573 ก็เพราะพลังของทุกคน เราจึงพร้อมเดินหน้าสนับสนุนและชวนทุกคนปล่อยแสงเต็มที่ เพื่อสร้างสังคมคาร์บอนต่ำที่ผู้คนมีคุณภาพชีวิตดี เศรษฐกิจเติบโต สังคม สิ่งแวดล้อมน่าอยู่ เปิดให้ทุกภาคส่วนมีส่วนร่วม ตามแนวทาง Inclusive Green Growth” นายธรรมศักดิ์ สรุปปิดท้าย

กรุงศรี (ธนาคารกรุงศรีอยุธยา จำกัด (มหาชน)) ประกาศแต่งตั้ง นายอธิศ รุจิรวัฒน์ ดำรงตำแหน่งประธานคณะเจ้าหน้าที่ด้านกรุงศรี คอนซูมเมอร์ และรักษาการกรรมการผู้จัดการ บริษัท เจเนอรัล คาร์ด เซอร์วิสเซส จำกัด  โดยจะมีผลตั้งแต่วันที่ 9 พฤษภาคม 2567

นายอธิศมีประสบการณ์และความเชี่ยวชาญในสายงานการตลาด และการเงินการธนาคารมากว่า 25 ปี โดยก่อนได้รับการแต่งตั้งดำรงตำแหน่งประธานคณะเจ้าหน้าที่ด้านกรุงศรี คอนซูมเมอร์ นายอธิศดำรงตำแหน่งกรรมการผู้จัดการ บริษัท เจเนอรัล คาร์ด เซอร์วิสเซส จำกัด ซึ่งเป็นบริษัทในกลุ่มกรุงศรี คอนซูมเมอร์ และยังได้ความไว้วางใจให้ดำรงตำแหน่งประธานชมรมธุรกิจบัตรเครดิต สมาคมธนาคารไทย

ตลอดระยะเวลากว่า 12 ปีที่ได้ร่วมงานกับกรุงศรี คอนซูมเมอร์ นายอธิศได้นำประสบการณ์ ความรู้ ความเชี่ยวชาญ และความเป็นมืออาชีพมาบริหารงานบริษัท เจเนอรัล คาร์ด เซอร์วิสเซส จำกัด โดยมีผลงานที่โดดเด่นมากมาย อาทิ การพัฒนาและผลักดันให้เกิดการให้บริการบัตรเครดิตค้าปลีกรายแรกในประเทศไทยที่สร้างประสบการณ์ช้อปปิงที่เหมาะสมกับไลฟ์สไตล์ของลูกค้าภายใต้แบรนด์ของห้างสรรพสินค้าเซ็นทรัล รวมถึงการได้รับความไว้วางใจจากบริษัท กลุ่มเซ็นทรัล จำกัด ให้ดูแลด้านการบริหารบัตรเครดิตและสินเชื่อส่วนบุคคลของทั้งเครือภายใต้แบรนด์ “เซ็นทรัล เดอะวัน”

ในฐานะประธานคณะเจ้าหน้าที่ด้านกรุงศรี คอนซูมเมอร์ นายอธิศจะดูแลและรับผิดชอบการขับเคลื่อนกลยุทธ์และบริหารธุรกิจบัตรเครดิตและสินเชื่อส่วนบุคคล ตลอดจนพัฒนาผลิตภัณฑ์ บริการ และนวัตกรรมของกรุงศรี คอนซูมเมอร์ ทั้งหมด เพื่อครองความเป็นผู้นำในธุรกิจบัตรเครดิตและสินเชื่อส่วนบุคคลอย่างต่อเนื่อง

นายอธิศ สำเร็จการศึกษาระดับปริญญาตรีในสาขาเคมี คณะวิทยาศาสตร์ จากมหาวิทยาลัยเทรนท์ (Trent University) ประเทศแคนาดา โดยได้รับทุนการศึกษาจาก Canadian International Development Agency (CIDA) และปริญญาโทด้านบริหารธุรกิจ จากสถาบันบัณฑิตบริหารธุรกิจศศินทร์แห่งจุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย

เปิดเวทีเจรจาธุรกิจด้านอาหารที่ใหญ่ที่สุดในเอเชีย ตั้งเป้ามูลค่าสั่งซื้อทะลุแสนล้าน

X

Right Click

No right click