“ความรู้คู่คุณธรรม” (Knowledge and Morality) ถือเป็นแนวคิดทางปรัชญาที่ปรากฏอย่างแพร่หลายบนพื้นที่อารยธรรมหลักของโลกมาช้านาน ไม่ว่าจะเป็นกรีก-โรมัน อินเดีย และจีน สะท้อนถึงคุณค่า ความเชื่อ และวัฒนธรรมของการอยู่ร่วมกันที่แต่ละสังคมยึดถือ

กรอบคิดดังกล่าวเป็นที่พูดถึงอย่างมากในสังคมไทยช่วงปี 2540 เมื่อคณะกรรมการศึกษาวิจัยปัญหาสังคม เปิดเผยว่า ครอบครัวไทยในสังคมเมือง นอกจากไม่อบรมให้ความรู้แก่บุตรหลานในทางที่ถูกต้องแล้ว ยังสร้างค่านิยมในทางตรงข้ามให้เด็ก ท่ามกลางการพัฒนาทางสังคมและเทคโนโลยีล้ำสมัย

เพื่อร่วมส่งเสริมให้เยาวชนไทย ได้เติบโตเป็นคนดี พร้อมเป็นแบบอย่างให้แก่คนรอบข้าง คุณศุภชัย เจียรวนนท์ ประธานคณะผู้บริหาร เครือเจริญโภคภัณฑ์ และประธานกรรมการ บมจ. ทรู คอร์ปอเรชั่น จึงมีแนวคิดมุ่งเผยแพร่ความรู้ ปลูกฝังคุณธรรมและจริยธรรมตามแนวทางพุทธศาสนา เพื่อให้คนรุ่นใหม่ได้เรียนรู้และนำไปปฏิบัติพัฒนาตนเอง สร้างสังคมที่น่าอยู่อย่างยั่งยืน จนเกิดเป็นโครงการ “สามเณร ปลูกปัญญาธรรม” รายการเรียลลิตี้ธรรมะเป็นระยะเวลา 4 สัปดาห์ โดยปัจจุบันล่วงเข้าปีที่ 10

True Blog มีโอกาสพูดคุยกับน้องๆ อดีตสามเณร 10 คน ถึงแรงบันดาลใจในการเข้าร่วม การเปลี่ยนแปลงทางความคิดและพฤติกรรม รวมถึงเหตุการณ์ที่น่าประทับใจ

มองปัญหาผ่านการคิดเชิงเหตุผล

อภิภู เตชะอาภรณ์ชัย หรือ เพชร เข้าร่วมโครงการฯ เป็นรุ่นแรก ขณะนั้นมีอายุเพียง 10 ปี กำลังศึกษาอยู่ชั้นประถมศึกษาปีที่ 4 โดยเขาตัดสินใจเข้าร่วมโครงการด้วยตัวเอง เพราะตระหนักถึงลักษณะนิสัยส่วนตัวที่มีความหุนหันพลันแล่น อารมณ์ร้อน โมโหง่าย ซึ่งอาจนำมาสู่การยั้งคิด ขาด “สติ” และนำมาซึ่งภยันตรายตามมา คิดได้ดังนั้น เพชรจึงน้อมนำคำสอนขององค์พระสัมมาสัมพุทธเจ้า เข้าสู่ทางธรรมด้วยการบวชเรียน ขัดเกลาให้เป็นคนที่สมบูรณ์ยิ่งขึ้น

เป็นเวลา 1 เดือนเต็มที่เพชรได้เรียนรู้และฝึกตนภายใต้ร่มกาสาวพัสตร์ ณ วัดพระราม 9 กาญจนาภิเษก โดยมีพระพรหมวชิรสุธี เจ้าอาวาสวัดพระราม 9 กาญจนาภิเษก เป็นพระอาจารย์ใหญ่ เพชร บอกว่า การเข้าร่วมโครงการสามเณรปลูกปัญญาธรรมนำมาสู่ “จุดเปลี่ยน” ครั้งสำคัญของชีวิตวัยเด็ก โดยในช่วงแรกของการบวชเรียน เพชรต้องปรับตัวกับระเบียบและกฎเกณฑ์แบบบรรพชิต ซึ่งแตกต่างจากคฤหัสถ์อย่างสิ้นเชิง รวมถึงเข้าร่วมบททดสอบทางจิตใจต่างๆ

แต่ด้วยการฝึกตนเพียง 1 เดือน ทำให้เขาเปลี่ยนเป็นคนใหม่ จากเดิมเป็นคนใจร้อน หุนหันพลันแล่น ก็กลายเป็นคนที่ใจเย็นลง มีสติ และใช้เหตุผลการในการดำเนินชีวิตมากขึ้น โดยพิจารณาถึงผลลัพธ์แห่งการกระทำ และการฝึกใจปล่อยวาง

ด้วยแนวทางการพัฒนาตัวเองตามหลักพุทธศาสนาที่ศึกษาผ่านโครงการฯ เพชรได้นำมาปรับใช้กับการทำงาน โดยพินิจพิเคราะห์ถึง “ปัญหาและอุปสรรค” ที่เกิดขึ้นจากปัจจัยแวดล้อมอันมีเหตุและผลเป็นเครื่องบ่งชี้ รวมถึงการปล่อยวางต่อสิ่งที่ไม่อาจควบคุมได้ ซึ่งถือเป็นการฝึกจิตให้สงบ ไม่ยึดมั่นถือมั่น

ปัจจุบัน เพชร กำลังศึกษาระดับชั้นปริญญาตรี หลักสูตรวิทยาศาสตร์บัณฑิต สาขาวิชาวิทยาศาสตร์และนวัตกรรมข้อมูล วิทยาลัยสหวิทยาการ มหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์ เพราะด้วยความสนใจด้านปัญญาประดิษฐ์ ซึ่งถือเป็นเทคโนโลยีที่เข้ามาเปลี่ยนโลก ขณะเดียวกัน ยังเป็นที่ต้องการของตลาดแรงงานอยู่มาก

“ผมมองว่าวิทยาศาสตร์และธรรมะมีจุดร่วมสำคัญที่ทำให้เกิดการพัฒนาเป็นสิ่งที่ดีขึ้น นั่นคือ การคิดเชิงเหตุผล ซึ่งเป็นบ่อเกิดแห่งปัญญาและวิทยาการ ช่วยแก้ไขปัญหาและสร้างสรรค์สรรพสิ่งที่เป็นประโยชน์ต่อมนุษย์ได้นานัปการ” เพชร อธิบาย

ธรรมะในชีวิตประจำวัน

ปัญญ์ เทอดสถีรศักดิ์ หรือ ปัน อดีตสามเณรปลูกปัญญาธรรมรุ่น 2 บอกเล่าถึงเหตุผลที่เข้าร่วมโครงการฯ ว่า ส่วนตัวมีความสนใจด้านธรรมะอยู่แล้ว ด้วยเพราะครอบครัวปลูกฝัง-อธิบายหลักธรรมมาตั้งแต่เด็ก และเมื่อได้ติดตามชมรายการของรุ่น 1 ก็รู้สึกชื่นชอบในเนื้อหาคำสอนของพระอาจารย์ และกิจกรรมภายในโครงการ จึงยื่นใบสมัครอย่างไม่ลังเล และท้ายที่สุดก็ได้รับการคัดเลือก

“พระอาจารย์มีเทคนิคการถ่ายทอดธรรมะที่เข้าใจง่าย โดยยกตัวอย่างเหตุการณ์สมมติที่สามารถเกิดขึ้นได้ในชีวิตประจำวัน พร้อมให้เราเลือกวิธีการรับมือกับปัญหา ซึ่งสุดท้าย พระอาจารย์จะค่อยๆ อธิบายหลักธรรม เข้าใจถึงหลักคิด ทำให้เรานำมาประยุกต์ใช้ในชีวิตประจำวันต่อไปได้” ปัน เล่า

ปัจจุบัน ปันกำลังศึกษาระดับปริญญาตรี ชั้นปีที่ 4 คณะพาณิชยศาสตร์และการบัญชี (ภาคอินเตอร์) จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย ซึ่งเต็มไปด้วยความเคร่งเครียด ความกดดัน ความทุกข์ที่เป็นวัฏฏะของโลกทุนนิยม แต่ด้วย“หลักธรรม” ที่เรียนรู้จากโครงการฯ ทำให้ปันสามารถแก้ไขกับปัญหาและผ่านอุปสรรคอย่างเต็มประสิทธิภาพมาด้วยสิ่งที่เรียกว่า “สติและสมาธิ” ตั้งจิตอยู่กับปัจจุบันเพื่อมองอนาคต

ใช้ “สติ-สมาธิ” นำทาง

ศุภฤกษ์ กอธงชัย หรือ แบ็งค์ชาติ อดีตสามเณรปลูกปัญญาธรรม ปีที่ 2 ตัดสินใจเข้าร่วมโครงการฯ ผ่านเรื่องราวแรงบันดาลใจของรุ่นพี่ปี 1 ที่แสดงให้เห็นถึงการเปลี่ยนแปลงและพัฒนาตัวเองอย่างชัดเจน ประกอบกับตัวโปรแกรมกิจกรรมฝึกตนที่น่าสนใจอีกด้วย

ภายใต้โปรแกรมการฝึกฝนขัดเกลาตัวเองระยะเวลา 1 เดือนเต็ม ณ วัดพระราม 9 กาญจนาภิเษก ทำให้แบ็งค์เข้าใจหลักในการพัฒนาชีวิตอย่างบูรณาการผ่านหลักธรรม “ไตรสิกขา” ซึ่งประกอบด้วย ศีล สมาธิ ปัญญา ซึ่งเป็นประโยชน์อย่างมากในแง่ของการต่อยอดทางการเรียนรู้

ปัจจุบัน แบ็งค์ชาติ กำลังศึกษาระดับปริญญาตรี คณะแพทยศาสตร์ ศิริราชพยาบาล มหาวิทยาลัยมหิดล ยิ่งทำให้เขาต้องใช้ “สมาธิและสติ” อย่างมาก เพราะอาชีพแพทย์เกี่ยวพันกับความเป็นความตายของชีวิต ต้องอาศัยความละเอียด รอบคอบ ความผิดพลาดต้องเป็นศูนย์

“ตอนที่กำลังจะสึก พระอาจารย์ให้สามเณรทุกรูปสรุปคำสอนที่ผ่านมาแบบง่ายๆ ทำให้ผมคิดได้ว่า ทุกการกระทำ ทุกย่างก้าวของชีวิต มนุษย์ต้องใช้ ‘สติและสมาธิ’ นำอารมณ์อยู่เสมอ ซึ่งผมยังคงน้อมนำหลักคำสอนนั้นมาใช้เป็นแก่นในการดำเนินชีวิตประจำวันในทุกวันนี้” แบ็งค์ชาติ กล่าว

นอกเหนือจากการขัดเกลาและพัฒนาตัวเองแล้ว แบ็งค์ชาติยังได้เรียนรู้ถึงการมีเมตตา เอื้อเฟ้อเผื่อแผ่ต่อเพื่อนมนุษย์ และนั่นได้จุดประกายเป้าหมายใหญ่ในชีวิตที่ต้องการกระจายโอกาสในการรักษา เข้าถึงระบบสาธารณสุขให้ดียิ่งขึ้น เพื่อโอกาสในการมีคุณภาพชีวิตของคนไทยทุกคน

ความละอายต่อบาป

พชรณัฏฐ์ เยียระติกานต์ หรือ เป้ยเป้ย อดีตสามเณรปลูกปัญญาธรรมปี 3 เล่าถึง เหตุผลการเข้าสู่ร่มกาสาวพัสตร์ว่าเดิมที เขาต้องการบวชให้คุณปู่ที่เพิ่งเสียชีวิตเป็นหลัก แต่เมื่อเข้ากระบวนการฝึกตน ผลลัพธ์ที่กลับมามากมายเหลือคณานับ โดยเฉพาะวิธีการควบคุมอารมณ์ โดยใช้ “สติ” เป็นเครื่องจับอารมณ์ ทำให้จากเดิมที่เป็นคนอารมณ์ร้อน เสี่ยงต่อการมีเรื่องทะเลาะเบาะแว้ง ก็กลายเป็นคนที่นิ่งขึ้น

นอกจากนั้น เป้ยเป้ยยังได้เรียนรู้มุมมองด้าน “ความรัก-ความเมตตา” โดยเริ่มจากรักตัวเอง แผ่ขยายออกเป็นวงกว้างสู่เพื่อนมนุษย์และสรรพสิ่ง ทำให้เขารู้จักถึง “การให้-การแบ่งปัน” พร้อมกับที่จะกระทำหากมีโอกาส

“ที่สำคัญ การที่ผมได้เรียนรู้เรื่องบาป บุญ คุณ โทษ ทำให้เรารู้ซึ้งถึงความละอายต่อบาป (หิริโอตตัปปะ) ตระหนักถึงสิ่งที่ควรและไม่ควรกระทำ ซึ่งผมคิดว่านี่เป็นหลักธรรมพื้นฐานที่ทุกคนในสังคมควรมี และจะทำให้สังคมอยู่กันอย่างสันติขึ้น” เป้ยเป้ย กล่าว

เป้ยเป้ยยังบอกอีกว่า เป้าหมายในวันนี้ของเขาคือการเดินทางไปศึกษาต่อระดับปริญญาตรีที่ประเทศแคนนาดา ซึ่งแน่นอนว่ามีปัญหาและอุปสรรครออยู่เบื้องหน้า แต่เขาเชื่อว่า สิ่งที่ได้เรียนรู้มาจากโครงการฯ จะเป็นเครื่องนำทางให้เขาใช้ชีวิตต่างถิ่นได้อย่างราบรื่น

รู้ทันความปรุงแต่งของจิต

เทรเวอร์ ทารา โรวเลย์ อดีตสามเณรปลูกปัญญาธรรม นานาชาติ ลูกครึ่งเชื้อสายไทย-นิวซีแลนด์ เผยถึงการร่วมโครงการฯ ว่า ตัวเขาเองต้องการเรียนรู้ ทำความเข้าใจหลักธรรมคำสอนของศาสนาพุทธให้ลึกซึ้งขึ้น ที่สำคัญ การถ่ายทอดผ่านรายการเรียลลิตี้ยังเป็นอีกช่องทางที่ให้คนรอบตัวเขาได้ศึกษาธรรมะไปพร้อมกันด้วย

เดิมที เทรเวอร์เป็นคนที่มีสมาธิสั้น แต่ด้วยความมุ่งมั่นในการฝึกทำสมาธิกับพระอาจารย์ ทำให้ตอนนี้ เขามีจิตใจจดจ่อและสมาธิต่อการกระทำหนึ่งๆ มากขึ้น จนปัจจุบัน การฝึกทำสมาธิได้กลายเป็นหนึ่งในกิจวัตรประจำวัน โดยจะต้องทำสมาธิและสวดมนต์ไหว้พระทุกเช้าก่อนไปโรงเรียน ส่งผลให้มีสมาธิและสติกับการเรียนมากขึ้น

“กิจกรรมหนึ่งที่วัดป่านานาชาติ จ.อุบลราชธานี พระอาจารย์ได้ฝึกเรากำหนดจิตให้มีสติตั้งมั่นโดยการนอนอยู่ที่หน้าเชิงตะกอน ซึ่งแปลกใหม่สำหรับผมมากและใจหนึ่งก็แอบกลัว แต่สุดท้ายแล้ว ความตายเป็นสิ่งธรรมดา มีเกิดขึ้น ตั้งอยู่ และดับไป” เทรเวอร์ เล่าถึงเหตุการณ์ที่ประทับใจ

รัก-รอ-พอ-ให้

ปวเรศ แอนโทนี ปราณีประชาชน หรือ ป๊อบ อดีตสามเณรปลูกปัญญาธรรมปี 5 บอกว่า ขณะนั้น ทีมงานฯ ได้ไปประชาสัมพันธ์โครงการฯ ที่โรงเรียน เขาสนใจอยากศึกษาหลักธรรมมากขึ้น จึงร่วมกิจกรรมค่ายธรรมะ 3 วัน 2 คืนก่อน จากนั้นเกิดความเลื่อมใสและสมัครร่วมบรรพชาสามเณรปลูกปัญญาธรรมเป็นเวลา 1 เดือน ณ วัดเขาวง จ.สระบุรี

ด้วยเมตตาจากพระราชภาวนาพัชรญาณ เจ้าอาวาสวัดเขาวง(ถ้ำนารายณ์) ทำหน้าที่เป็นพระอาจารย์ใหญ่ ท่านมีสอนหลักธรรมและบทสวดมนต์ที่แฝงไว้ด้วยความหมายและกุศโลบายที่ลึกซึ่ง พร้อมด้วยเทคนิคการสอนธรรมะที่เข้าใจง่าย ปรับใช้ในชีวิตประจำวัน โดยเฉพาะเรื่องสมาธิและความอดทน ตัวอย่างเช่น อาการหิวตอนดึกที่ต้องอาศัยความอดทนล้วนๆ เลย

“ผมมีโอกาสได้ขึ้นเทศน์และบรรยายหลักธรรมตามเข้าใจของผม ซึ่งอาจมีติดขัดบ้าง แต่อย่างน้อยก็ทำให้ผมได้พัฒนาตัวเอง และยังได้ส่งต่อรอยยิ้มให้แก่ญาติโยมอีกรูปแบบหนึ่งครับ” ป๊อบ เล่าถึงเหตุการณ์ประทับใจ

ธรรมะคือพื้นฐานสังคมที่น่าอยู่

 

อาชว์ วรรธนะภัฏ หรือ ปุณณ์ อดีตสามเณรปลูกปัญญาธรรมปี 6 เล่าถึงแรงบันดาลในการบรรพชาสามเณรว่า เดิมทีเขาต้องการบวชเพื่อถวายเป็นพระราชกุศลแด่ในหลวงรัชกาลที่ 9 ที่เพิ่งสวรรคตไป ในเวลาเดียวกัน ขณะนั้นเขามีอายุเพียง 8 ขวบ ความตื่นเต้นปนประหม่าจึงเกิดขึ้นจากการที่ต้องห่างอกพ่อแม่เป็นระยะเวลา 1  เดือนเต็ม

แต่เมื่อผ่านกิจกรรมต่างๆ นานาของโครงการฯ ทั้งวัตรปฏิบัติแบบบรรพชิตและกิจกรรมขัดเกลาตนเอง ทำให้เขาได้เปิดโลกกว้าง รู้จักใช้ชีวิตกับคนหมู่มาก ทั้งเณรเพื่อน พระพี่เลี้ยง ทีมงาน ซึ่งจำต้องเคารพและปฏิบัติตามกฎกติกา รวมถึงการตระหนักถึงความสำคัญของการให้-การแบ่งปัน ที่สำคัญ ยังได้เรียนรู้และฝึกตน เพื่อการเจริญสติ รู้จักคุมอารมณ์ในยามที่เขากำลังเปลี่ยนผ่านสู่ช่วงหัวเลี้ยวหัวต่อ เข้าสู่ช่วงวัยรุ่นบนโลกที่เต็มไปด้วยสิ่งยั่วยุ

“ผมมีความฝันอยากให้ทุกคนได้เรียนรู้และเข้าใจธรรมะมากขึ้น เพราะธรรมคือความสุข ทางออก ความพอดี ความเท่าเทียม ซึ่งล้วนเป็นพื้นฐานของสังคมที่น่าอยู่” ปุณณ์ ในวัย 14 ปี เล่า

สันติ-อหิงสา

จิรวัชร หอมเกตุ  หรือ ท็อป อดีตสามเณรปลูกปัญญาธรรมรุ่นที่ 7 บอกว่า เขาเป็นแฟนรายการมานานแล้ว ซึ่งเป็นจุดเริ่มต้นให้เขาสนใจในหลักธรรมคำสอน และเมื่อมีโอกาสเขาจึงส่งใบสมัครและได้รับการคัดเลือก

“ผมดีใจมากครับที่ได้รับการคัดเลือก ซึ่งหลังจากนั้นผมก็รีบเตรียมตัวหาข้อมูลศึกษาเกี่ยวกับสายพระป่า หาหนังสือหลวงปู่ชามาอ่านเพื่อทำความเข้าใจ เพราะต้องไปอยู่วัดป่าไทรงาม วัดสาขาของวัดหนองป่าพง โดยมีพระราชภาวนาวัชรมุนี  เมตตาเป็นพระอาจารย์ใหญ่” ท็อป กล่าว

เหตุการณ์ที่ผมประทับใจและทดสอบจิตใจมากที่สุดคือ “การฝึกธุดงควัตรริมเชิงตะกอน” ซึ่งเขาเป็นคนกลัวผีมาแต่เดิม แต่ด้วยวิธีการฝึกจิตของพระอาจารย์ ทำให้ท็อปตระหนักรู้ถึงความปรุงแต่งในใจของตัวเอง หลังจากนั้น ทำให้เขาเข้าใจถึงธรรมะแห่งการมี “สติ” รู้ตนเอง รู้ปัจจุบัน เท่าทันสิ่งที่เกิดขึ้น

และด้วยการฝึกสมาธิ เจริญสติ ภาวนานี้เอง ช่วยเปลี่ยนท็อปจากคนอารมณ์ร้อน-ฉุนเฉียวง่าย เป็นคนที่นิ่ง-เท่าทันอารมณ์ตัวเอง สามารถนำไปปรับใช้ในชีวิตประจำวัน ก่อเกิดความมั่นใจและทักษะความเป็นผู้นำ ที่เเต่เดิมเขาไม่มีเลย

“ผมมีเป้าหมายในการทำหน้าที่ทูต อยากเป็นผู้สร้างความสัมพันธ์อันดีระหว่างประชาคมโลก อยากเห็นสังคมอยู่อย่างสงบสุข เป้าหมายนี้เกิดขึ้นจากหลัก Compassion and  Kindness ที่เป็นตัวจุดประกายแนวคิดเรื่องสันติ-อหิงสาตามหลักศาสนาพุทธ” ท็อป อธิบาย

เมตตา-กรุณา: กุญเเจแห่งความสุข

กฤษิกร เศรษฐวรากร หรือ นะโม อดีตสามเณรปลูกปัญญาธรรมปีที่ 8 บอกว่า เขาตัดสินใจยื่นใบสมัครบรรพชาเป็นสามเณรกับโครงการฯ ทันที เมื่อเปิดรับสมัคร เพราะจากการติดตามรายการฯ พบว่ากิจกรรมน่าสนใจ  บวกกับลักษณะนิสัยที่เป็นคนสนใจใครรู้ ทำให้ยื่นใบสมัครอย่างไม่ลังเล ไม่มีคำว่ากลัวหรือกังวลอยู่ในหัวเลย และเมื่อผลการคัดเลือกประกาศ ชื่อของนะโมติด ก็ยิ่งดีใจกระโดดโลดเต้นไปใหญ่

สำหรับปีที่ 8 นี้ ได้รับเมตตาจากพระราชวัชรโพธิคุณ เจ้าอาวาสวัดสวนโมกข์ จ.สุราษฎร์ธานี เป็นอาจารย์ใหญ่ ผ่านแนวคิดหลัก “เมตตา-กรุณา” อันเป็นกุญแจเปิดใจให้พบกับความสุข ซึ่งกิจกรรมต่างๆ เช่น การเดินจงกรม การทำวัตร การสนทนาธรรม ทำให้นะโมรู้สึกตื่นเต้นกับกิจกรรมที่ได้เรียนรู้ในแต่ละวันพร้อมกับเรียนรู้หลักธรรมอย่างง่าย ซึ่งปัจจุบันกลายเป็นเข็มทิศนำทางเส้นทางเดินชีวิตในอนาคต

“ทุกครั้งที่ผมเจอกับปัญหาการเรียนหรือต้องตัดสินใจ ผมจะยึดหลักธรรมะเป็นพื้นฐานทางจิตใจเสมอ เพื่อให้มั่นใจการแก้ไขหรือตัดสินใจเป็นไปตามครรลองคลองธรรม” นะโม กล่าว

และด้วยหลักธรรมที่เขาได้เรียนรู้ นะโมวัยเพียง 10 ปีจึงมาพร้อมกับฝันใหญ่ที่ต้องการทำงานจิตอาสา ช่วยเผยแผ่หลักธรรมแก่พุทธศาสนิกชนได้เรียนรู้อย่างเข้าใจง่าย เพื่อเป็นพื้นฐานทางใจในการดำเนินชีวิตในยุคที่การเปลี่ยนแปลงเกิดขึ้นอย่างรวดเร็ว

ธรรมะคือพื้นฐานของมนุษย์

ณัฐชานนท์ ยงกฤตยา หรือ ปอนด์ อดีตสามเณรปลูกปัญญาธรรมปีที่ 9 บอกว่า เขาต้องการตอบแทนคุณพ่อแม่ อากงอาม่า ตามคติความเชื่อเกาะชายผ้าเหลืองขึ้นสวรรค์ เพิ่มเติมจากความสนใจในธรรมะ-เข้าคอร์ปฏิบัติธรรมเป็นทุนเดิม

“การบวชเณรครั้งนี้ ทำให้ผมรู้จักตัวเองมากขึ้น ทั้งนิสัย การยอมรับและปรับปรุงตน การพัฒนาตัวเอง รวมถึงความเข้าใจในพุทธประวัติอย่างลึกซึ้ง เป็นโชคดีที่โครงการฯ ในปีนั้นจัดขึ้น ณ พุทธโบราณสถาน วัดมเหยงคณ์ จ.พระนครศรีอยุธยา โดยความเมตตาของพระราชภาวนาวชิรญาณ เจ้าอาวาสเป็นพระอาจารย์ใหญ่ ทำให้ผมมองเห็นความเชื่อมโยงของชาติ ศาสนา พระมหากษัตริย์ที่มีมาอย่างยาวนานครับ” ปอนด์ บอกเล่าความรู้สึก

ธรรมะคือพื้นฐานที่มนุษย์ควรมีในทุกขณะ เป็นนักเรียนก็ต้องมีธรรมะ ฝึกสติและสมาธิเพื่อไตร่ตรองสิ่งใดเป็นกุศลหรืออกุศล ฝึกตนให้มีความใจกว้าง มีเหตุผล รับฟังผู้อื่น เมื่อต้องเข้าสังคม และนี่คือเป้าหมายของเด็ก ม.1 อย่างปอนด์ที่ต้องการเรียนให้ได้ความรู้และเป็นคนดีมีคุณธรรม

ติดตามเรื่องราวของเหล่าสามเณรปลูกปัญญาธรรม ปี 10 ขณะบรรพชา ได้ทางช่องเรียลลิตี้ ทรูวิชั่นส์ ช่อง 60, 99 และช่องเรียลลิตี้ เอชดี ทรูวิชั่นส์ ช่อง 119, 333 หรือทางออนไลน์ ผ่านแอปพลิเคชัน TrueID หรือ www.truelittlemonk.com พร้อมรับชมช่วงไฮไลท์ประจำวัน ที่จะออกอากาศทาง TNN ช่อง 16, ทรูโฟร์ยู ช่อง 24 และช่องทรูปลูกปัญญา (ทรูวิชั่นส์ 37) ตั้งแต่วันนี้ถึง 18 พฤษภาคม 2567 นี้

นายศักดิ์ชัย ปฏิภาณปรีชาวุฒิ ประธานเจ้าหน้าที่บริหารและกรรมการผู้จัดการใหญ่ เอสซีจี เคมิคอลส์ หรือ SCGC พร้อมด้วยนายยุทธศักดิ์ สุภสร ประธานกรรมการ การนิคมอุตสาหกรรมแห่งประเทศไทย รุดลงพื้นที่พบชุมชนที่ได้รับผลกระทบเพื่อขออภัยและรับฟังข้อปัญหาต่าง ๆ จากชุมชน เชื่อมั่นชุมชนกับโรงงานจะต้องอยู่ด้วยกันอย่างมีความสุขและด้วยความเข้าใจ พร้อมเดินหน้าเฝ้าระวังคุณภาพสิ่งแวดล้อมอย่างต่อเนื่อง

นายศักดิ์ชัย กล่าวว่า “ผมขออภัยในเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นในครั้งนี้ และรู้สึกเสียใจเป็นอย่างมาก เราพยายามอย่างเต็มที่ในการควบคุมสถานการณ์ให้สงบโดยเร็วที่สุด ขณะนี้ อยู่ระหว่างการเฝ้าระวังผลกระทบที่อาจเกิดขึ้น ทั้งในด้านสุขภาพของชุมชนที่ได้รับผลกระทบ และคุณภาพสิ่งแวดล้อม โดยเราได้เร่งระดมทีมเข้าช่วยเหลือดูแลชุมชนอย่างเต็มที่ และจะทำให้เข้มข้นมากขึ้นกว่าเดิม เพื่อคลายกังวลให้กับพี่น้องชุมชน โดยได้จัดตั้งศูนย์ช่วยเหลือบรรเทาผลกระทบ ตลอด 24 ชั่วโมง สำหรับผู้ที่มีความกังวลในสุขภาพสามารถเข้ารับการตรวจได้ที่ ศูนย์บริการสาธารณสุข ตากวน-อ่าวประดู่ จ.ระยอง โดยมีบุคลากรทางการแพทย์ที่มีความเชี่ยวชาญพร้อมตรวจและให้คำปรึกษาอย่างใกล้ชิด นอกจากนี้ บริษัทฯ จะลงพื้นที่เชิงรุก เพื่อรับฟังและช่วยบรรเทาปัญหาในเบื้องต้นให้กับชุมชน”

ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร กล่าวเพิ่มเติมว่า “บริษัทฯ ได้เฝ้าระวังคุณภาพสิ่งแวดล้อมอย่างต่อเนื่อง ทั้งนี้ ผลการตรวจวัดคุณภาพอากาศ จากสถานีตรวจวัดคุณภาพอากาศแบบต่อเนื่องของการนิคมอุตสาหกรรมแห่งประเทศไทย (กนอ.) และเทศบาลเมืองมาบตาพุด อยู่ในเกณฑ์มาตรฐาน นอกจากนี้ น้ำและโฟมจากการดับเพลิงที่ถูกกั้นไว้ในเขื่อนกั้น (Bund) ความสูง 4 เมตร เตรียมนำไปกำจัดอย่างถูกต้องตามกฎหมายต่อไปจึงไม่รั่วไหลและปนเปื้อนสู่สิ่งแวดล้อม” 

สำหรับผู้ได้รับผลกระทบ สามารถติดต่อศูนย์ช่วยเหลือฯ ได้ตลอด 24 ชั่วโมง โทร 085-650-4049

“แพนฟู้ด” เร่งเครื่องรับเศรษฐกิจฟื้น เดินหน้าลงทุนเสริมทัพไลน์ผลิต ล่าสุดจับมือ“มาเรล” บิ๊กเครื่องจักรอุตสาหกรรมอาหารระดับโลก วาดแผนดันยอดทะลุ 5000 ล้านบาทใน 5 ปี รองรับตลาดค้าส่งฟู้ดเซอร์วิสไทยมูลค่ากว่า 2.5 ล้านล้านบาท

คุณธนวิชญ์ หงษ์คู กรรมการบริหาร บริษัท แพนฟู้ด จำกัด เปิดเผยว่า ล่าสุดนั้นบริษัทได้ปรับกลยุทธ์และแผนงานเพื่อรองรับการเติบโตของเศรษฐกิจประเทศไทยและตลาดโลกในช่วง 5 ปีข้างหน้า โดยบริษัทได้ลงทุนเพื่อเพิ่มประสิทธิภาพของการผลิต พร้อมขยายสาขาและศูนย์กระจายสินค้าให้ครอบคลุมทั่วประเทศยิ่งขึ้น โดยใช้งบรวมขั้นต้นกว่า 500 ล้านบาท คาดว่าจะส่งผลให้บริษัทมีผลประกอบแตะที่ระดับ 5,000 ล้านบาทได้ภายใน 5 ปีนับจากนี้ ขณะเดียวกันจะส่งผลให้ตลาดส่งออกมีสัดส่วนที่สูงขึ้นเป็นประมาณ 10-15% เช่นกัน จากปัจจุบันที่ส่งออกเพียง 4-5% ของรายได้

“ตั้งแต่ช่วงโควิดที่ผ่านมาเป็นโอกาสให้เราได้เริ่มทยอยทำแผนลงทุน และปรับระบบองค์กรให้แข็งแกร่งและมีประสิทธิภาพยิ่งขึ้น เพื่อไปสู่เป้าหมายที่ใหญ่และชัดเจนยิ่งขึ้น ซึ่งหนึ่งในนั้นคือการร่วมเป็นพาร์ทเนอร์ในด้านการผลิตกับ มาเรล ซึ่งนอกจากจะซื้อเครื่องจักรกับมาเรลแล้ว เรายังได้รับการถ่ายทอดและพัฒนาเทคโนโลยีการผลิตที่ทันสมัย เพื่อตอบโจทย์กลุ่มลูกค้าชาวไทยและต่างประเทศได้มากยิ่งขึ้น ซึ่งการแล่ปลา มีหลายแบบ รวมถึงตัวดึงก้าง เพราะเราไม่ได้ขายปลาเป็นตัว เราต้องแล่ปลาแซลมอนออกมาเพื่อส่งตามออเดอร์ลูกค้า ทั้งแบบครึ่งตัว หั่นเป็นแบบชิ้น เป็นแบบซาชิมิ เพราะตามนโยบายที่ท่านประธานบอก การซื้อขายเป็นตัวอาจไม่ใช่คำตอบของการทำธุรกิจในวันนี้”

คุณธนวิชญ์กล่าวต่อไปว่า สำหรับแผนรองรับช่องทางการจัดจำหน่ายนั้น บริษัทได้ปรับขยายเพิ่มในส่วน สาขาในต่างจังหวัด ที่มีอยู่เดิมให้ครบวงจรยิ่งขึ้น รองรับในการขยายคลังสินค้าให้เป็นศูนย์กระจายสินค้า โลจิสติค รวมทั้งมีช๊อปหน้าร้าน อาทิ ที่จังหวัดภูเก็ต พัทยา สุราษฎ์ธานี  อุดรธานี ซึ่งมีอยู่แล้ว และจะลงทุนเพิ่มในเชียงใหม่  และ ขอนแก่น ในอนาคตอันใกล้นี้ โดยมีการลงทุนเพิ่มประมาณ 100 ล้านบาท

ด้านผู้บริหารมาเรลกรุ๊ป มร.จูเลี่ยน ไวดัส (Julien Vidus) ผู้อำนวยการฝ่ายขายประจำภาคพื้นเอเชียและโอเชียเนีย กล่าวว่า อุตสาหกรรมอาหารประเภทค้าส่งฟู้ดเซอร์วิสในไทยเป็นตลาดที่ได้รับความสนใจระดับโลกโดยมีมูลค่ามากกว่า 2.5 ล้านล้านบาท ในฐานะที่เป็นบริษัทผู้ให้บริการชั้นนำระดับโลกด้านอุปกรณ์การแปรรูปอาหารที่ทันสมัย​​ครบวงจรทั้งระบบ สำหรับอุตสาหกรรม ปลา เนื้อ และสัตว์ปีก เป็นที่ยอมรับในระดับต้นของอุตสาหกรรมอาหาโลกนั้น การที่บริษัทได้เป็นพันธมิตรกับแพนฟู้ดฯครั้งนี้คาดว่าจะช่วยส่งเสริมให้ธุรกิจนำเข้าและแปรรูปอาหารของไทยและแพนฟู้ดฯ โดดเด่นยิ่งขึ้น Marel มีเป้าหมายที่จะ ให้ Panfood เป็นหนึ่งในผู้ประกอบการปลาแซลมอนที่ใหญ่ที่สุด ในเอเชียตะวันออกเฉียงใต้  โดยบริษัทมีสำนักงานและบริษัทสาขามากกว่า 30 ประเทศ และ 60 เครือข่ายตัวแทนและผู้จัดจำหน่ายทั่วโลก

"ประเทศไทยเป็นตลาดชั้นนำสำหรับอาหารทะเลคุณภาพสูง โดยเฉพาะปลาแซลมอนและปลา ทราวต์จากนอร์เวย์ และเป็นหนึ่งในสี่ประเทศที่นำเข้าปลาแซลมอนในเอเชีย และเป็นผู้นำในการนำเข้า ปลาทราวต์จากนอร์เวย์ ตั้งแต่มกราคมถึงตุลาคม 2565 ปริมาณปลาแซลมอนจากนอร์เวย์ที่ส่งออกไปยัง ประเทศไทยเพิ่มขึ้น 6% ถึง 16,100 ตัน และมีการเพิ่มขึ้น 55% ในมูลค่าการส่งออก ประเทศเวียดนาม ยังเป็นตลาดที่เติบโตของอาหารทะเล ในเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ ในขณะที่ประเทศญี่ปุ่นและประเทศจีน ยังคงเป็นตลาดใหญ่ในภูมิภาค"

สำหรับ  Pinbone Remover MS 2612 ซึ่งเป็นอุปกรณ์นำมาใช่ต่อยอดกระบวนการผลิตในครั้งนี้ เป็นอุปกรณ์ที่ออกแบบมาเพื่อเอาออกกระดูกปลาแซลมอน โดยมีความจุของฟิลเลท 18 ชิ้นต่อ ลูกเลน ต่อนาที ในขณะเดียวกันเครื่องตัดเปลือก MS 2730 สามารถตัด เปลือกปลาได้อย่างมี ประสิทธิภาพสูงสุด ถึง 25 ตัวต่อนาที มีความสามารถในการตัดเปลือกด้านหลังและท้องอัตโนมัติ พร้อม ด้วยเครื่องมือตัดแบบ เลือกได้ เหมาะสำหรับปลาที่มีน้ำหนักระหว่าง 1.5 ถึง 8 กิโลกรัม

สำหรับภาพรวมของ บริษัท แพนฟู้ด จำกัด นั้นเริ่มต้นจากการดำเนินธุรกิจนำเข้าสินค้าอาหารเพื่อจัดจำหน่ายเป็นวัตถุดิบให้ลูกค้าในตลาดฟู้ดเซอร์วิส ปัจจุบันถือเป็นบริษัทชั้นนำที่ติดอันดับ 1 ใน 3 ของกลุ่มธุรกิจนี้  โดยมีกลุ่มลูกค้าที่หลากหลายทั้งโรงแรม ร้านอาหารเชนใหญ่ ร้านอาหารทั้งขนาดใหญ่และเล็ก โรงงานอุตสาหกรรม รวมถึงกลุ่มสายการบินและธุรกิจจัดเลี้ยงต่างๆ รายได้หลักนั้นมาจากการนำเข้าและจำหน่ายอาหารกลุ่มทะเล 40%  โดยเฉพาะแซลมอน  สัดส่วนที่เหลือจะมาจากกลุ่มการนำเข้าเนื้อสัตว์อื่น เนยชีส มันฝรั่ง รวมถึงอาหารแปรรูปไปจนถึง ผัก ผลไม้ และซอสเครื่องปรุงต่างๆ ปัจจุบัน มีจำนวนโรงงานผลิตทั้งหมด 5 โรงงานเพื่อรองรับการผลิตทั้งระบบ อาทิโรงงานแปรรูปวัตถุดิบทั้งปลาและเนื้อสัตว์อื่น และโรงงานผลิตปลาชุบเกล็ดขนมปังและหมูทงคัตสึ  ส่งเข้าไปที่ร้านอาหารญี่ปุ่น และร้านต่างๆ นอกจากนี้ยังมีโรงงานผลิตสาหร่ายยำ ไข่กุ้ง ไข่หวาน ปูอัด เป็นต้น 

นำนวัตกรรมเสริมแกร่งธุรกิจ ขับเคลื่อนสู่เป้าหมาย Net Zero มุ่งสู่การพัฒนาอย่างยั่งยืน

นายวรพจน์ กันตพิพัฒน์ กรรมการผู้จัดการ บริษัท เอ็มที แอสเสท คอร์ปอเรชั่น จำกัด ผู้พัฒนาโครงการเอ็มที คูคต ไลฟ์สไตล์มอลล์ ประกาศต้อนรับสมาชิกใหม่ในโครงการฯ หลังนางสาวรสรินทร์ ติยะวราพรรณ กรรมการบริหาร บริษัท มิราเคิล แพลนเนท จำกัด ลงนามในสัญญาเช่าพื้นที่ 1,200 ตารางเมตร เหมาชั้น 1 และ 2 ของโครงการเอ็มที คูคต ไลฟ์สไตล์มอลล์ ฟู้ดเดสติเนชั่นแห่งแรกและแห่งเดียวในย่านคูคต เพื่อเปิดทั้งร้านลัคกี้ บาร์บีคิว และลัคกี้ สุกี้ โดยทั้งสองร้านจะมีความจุมากถึงร้านละ 200 ที่นั่ง ซึ่งนายวรพจน์มั่นใจว่าด้วยศักภาพทำเลที่อยู่ใกล้สถานีบีทีเอสคูคตเพียง 400 เมตร และรายล้อมด้วยโครงการคอนโดมิเนียมขนาดใหญ่ โฮมออฟฟิศ ‘MT ลำลูกกา’ จำนวน 108 ยูนิต หน่วยงานราชการและกองทัพอากาศ รวมถึงโรงเรียนและโรงพยาบาลสินแพทย์ ลำลูกกา จะทำให้ทั้งร้านลัคกี้ บาร์บีคิว และลัคกี้ สุกี้ มีลูกค้ามาใช้บริการต่อวันมากกว่า 2,000 คนในวันธรรมดา และถึง 5,000 คนในวันเสาร์อาทิตย์ โดยทั้งสองร้านจะเปิดให้บริการระหว่าง 10.30 ถึง 02.00 น. และมีกำหนดเปิดร้านอย่างเป็นทางการในไตรมาสสามปีนี้

บมจ.กรุงไทย-แอกซ่า ประกันชีวิต นำโดย ดร.อุกฤษฎ์ ศรีดโรมนต์ ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร ฝ่ายตัวแทน และฝ่ายฝึกอบรมและพัฒนาฝ่ายจัดหน่าย (คนที่ 4 จากขวา) ร่วมแสดงความยินดีกับ 4 สุดยอดตัวแทนของบริษัทฯ ที่คว้ารางวัลตัวแทนยอดเยี่ยม จากงานรางวัลตัวแทนยอดเยี่ยมแห่งชาติ (National Agent Awards) ครั้งที่ 24 ประจำปี 2567 จัดขึ้นโดยสมาคมตัวแทนประกันชีวิตและที่ปรึกษาการเงิน (THAIFA) ภายใต้ธีม “Gateway To Success” ณ ห้องเจ้าพระยา หอประชุมกองทัพเรือ ถ.อรุณอัมรินทร์ กรุงเทพฯ

ตัวแทนของ กรุงไทย-แอกซ่า ประกันชีวิต ที่ได้รับรางวัลอันทรงเกียรติในครั้งนี้ ได้แก่ คุณวริศา มณีธวัช ผลิตผลงาน FYP มากกว่า 9.6 ล้านบาท คุณปฐวี บุญวิไล ผลิตผลงาน FYP มากกว่า 7.6 ล้านบาท นอกจากนี้ ยังมีตัวแทนที่ได้รับรางวัลและผลิตผลงาน FYP มากกว่า 5 ล้านบาท ได้แก่ คุณปัญจภัสร์ กิตติอักษณสิทธิ์ และ คุณธนพล นนทการ ซึ่งคุณวุฒิดังกล่าวถือเป็นความภาคภูมิใจ และเป็นการสร้างแรงบันดาลใจให้กับตัวแทนของบริษัทฯ ในการสร้างผลงานที่มีมาตรฐาน ในปี “2024 Year of Double Growth” พร้อมยกระดับให้ฝ่ายขายประสบความสำเร็จในอาชีพตั้งแต่เริ่มต้น จนก้าวสู่การเป็นนักขายมืออาชีพ ตามนโยบายหลักของบริษัทฯ ที่พร้อมอยู่เคียงข้างทุกความเชื่อมั่น ดูแลกันตลอดไป

ทีเอ็มบีธนชาต หรือ ทีทีบี มอบความอุ่นใจในทุกการเดินทาง มอบสิทธิพิเศษให้ผู้ถือบัตรเครดิต ttb เมื่อนำรถเข้ารับบริการที่ศูนย์บริการฮอนด้าที่ร่วมรายการ ระหว่างวันที่ 1 เมษายน 2567 – 30 กันยายน 2567  

สิทธิพิเศษ 1: ชำระเต็มจำนวน เมื่อจองรถ หรือรับบริการดูแลรถยนต์ที่ศูนย์บริการฮอนด้าทุกสาขา มียอดชำระขั้นต่ำ 5,000 บาทขึ้นไป รับเครดิตเงินคืน 150 บาท และรับเพิ่มขึ้นตามขั้นที่กำหนด หรือแบ่งชำระ ttb pay plan 0% นาน 6 และ 10 เดือน สำหรับยางรถยนต์ ที่ศูนย์บริการฮอนด้าที่ร่วมรายการ มียอดแบ่งชำระขั้นต่ำ 5,000 บาทขึ้นไป รับเครดิตเงินคืน 170 บาท และรับเพิ่มขึ้นตามขั้นที่กำหนด ลงทะเบียนรับสิทธิ์ผ่านแอป ttb touch หรือส่ง SMS ชำระเต็มจำนวนพิมพ์ HDF แบ่งชำระพิมพ์ HDI ตามด้วยหมายเลขบัตรเครดิต 12 หลักสุดท้าย ส่งมาที่ 4806026 สำหรับบัตรเครดิต ttb reserve รับสิทธิ์ได้โดยไม่ต้องลงทะเบียน

สิทธิพิเศษ 2: แลกคะแนนรับเครดิตเงินคืนสูงสุด 12% เมื่อใช้คะแนนสะสมทุก 1,000 คะแนน และมียอดใช้จ่าย 1,000 บาทขึ้นไป / เซลล์สลิป และแลกคะแนนไม่เกินยอดใช้จ่าย จำกัดการแลกคะแนนสะสมสูงสุด 100,000 คะแนน / บัญชีบัตรหลัก / เดือน สูงสุด 600,000 คะแนน บัตรเครดิต ttb reserve ทุก 1,000 คะแนน รับเครดิตเงินคืน 120 บาท บัตรเครดิต ttb อื่น ๆ ที่มีคะแนนสะสม ทุก 1,000 คะแนน รับเครดิตเงินคืน 100 บาท ส่ง SMS เพื่อแลกคะแนนทุกครั้งที่ร่วมรายการ พิมพ์ HONP ตามด้วยคะแนนที่ต้องการแลก ทุก 1,000 คะแนน แต่ไม่เกินยอดใช้จ่าย เว้นวรรค ตามด้วยหมายเลขบัตรเครดิต 12 หลักสุดท้าย ส่งมาที่ 4806026

ทีทีบีมุ่งส่งเสริมให้ลูกค้าวางแผนใช้จ่ายเท่าที่จำเป็น และผ่อนชำระคืนไหว เพื่อสร้างชีวิตทางการเงินที่ดีขึ้น ศึกษารายละเอียดเพิ่มเติมของโปรโมชันนี้ได้ที่ https://www.ttbbank.com/th/cc/pro

นีเวีย ผลิตภัณฑ์ดูแลผิวระดับโลก ที่ได้รับความไว้วางใจในการดูแลผิวจากคนไทยมากว่าสามสิบปี ร่วมกับ วัตสัน ประเทศไทย ผู้นำร้านเพื่อสุขภาพและความงาม ส่งต่อกำลังใจแก่ผู้ป่วยมะเร็งในโครงการ “ชวนแชร์ ส่งต่อความห่วงใยสร้างพลังใจแก่ผู้ป่วยมะเร็ง” (Supporting Moment of Care) เพื่อแสดงถึงจุดยืนที่ต้องการต่อยอดจากนโยบายของบริษัท ไบเออร์สด๊รอฟ จำกัด ประเทศเยอรมนี เจ้าของแบรนด์นีเวีย ที่ต้องการช่วยเหลือและสนับสนุนผู้ป่วยและครอบครัวของผู้ป่วยมะเร็งทุกประเทศในอาเซียน

“มะเร็ง” โรคที่เป็นสาเหตุการเสียชีวิตอันดับต้น ๆ ของประชากรทั่วโลก และการดูแลไม่ใช่เพียงการรักษาทางการแพทย์ แต่ยังรวมถึงการดูแลและการแสดงถึงความเข้าใจและห่วงใย ลูกค้านีเวียและวัตสัน สามารถร่วมเป็นส่วนหนึ่งในการสร้างพลังใจให้แก่ผู้ป่วยได้เข้าถึงการดูแลสุขภาพใจควบคู่ไปกับการรักษาเพื่อคุณภาพชีวิตที่ดีกว่าได้แล้ว เพียงซื้อผลิตภัณฑ์นีเวีย ทั้งทางช่องทางออนไลน์ และหน้าร้านวัตสันทุกสาขาทั่วประเทศ  ตั้งแต่วันนี้ถึง 22 พฤษภาคม 2567 โดยทุก 1 ชิ้น นีเวีย บริจาค 1 บาท ให้แก่มูลนิธิเครือข่ายมะเร็ง เพื่อใช้ในกิจกรรมการดูแลและสนับสนุนผู้ป่วยมะเร็งและครอบครัวให้ตระหนักรู้และเข้าใจโรคมะเร็ง สามารถดูแลรักษาตนเองได้อย่างถูกต้อง รวมถึงกิจกรรมที่สร้างกำลังใจให้ผู้ป่วยและผู้ดูแลผู้ป่วยมะเร็ง ให้มีแรงใจสามารถต่อสู้กับโรคมะเร็งต่อไปได้อย่างเข้มแข็ง

นายเขมชาติ เติมวิวัฒน์ หัวหน้าฝ่ายขาย ผลิตภัณฑ์นีเวีย ประเทศไทย กล่าวว่า “โครงการนี้ นอกจากจะเป็นบทพิสูจน์ที่แสดงให้เห็นถึงพันธกิจ Care Beyond Skin ของเราว่าเป็นมากกว่าแค่การส่งมอบผลิตภัณฑ์ดูแลผิวคุณภาพเยี่ยม แต่ยังเป็นหนึ่งในปฏิญาณและภารกิจระดับโลกของ ไบเออร์สด๊อรฟ ซึ่งสอดรับกับนโยบาย “ภาวะเจ็บป่วยรุนแรง” ที่เป็นสวัสดิการให้แก่พนักงานของ ไบเออร์สด๊อรฟ ทั่วโลก และต่อยอดสู่เพื่อนร่วมสังคมในระดับอาเซียนและประเทศไทย เพราะเราไม่ต้องการดูแลแค่ผิวกายภายนอกเท่านั้น แต่เรามุ่งหวังที่จะช่วยดูแลถึงจิตใจ โดยเฉพาะช่วงเวลาเจ็บป่วย และเผชิญโรคร้าย ซึ่งเป็นช่วงเวลาที่ทุกคนต้องการพลังใจ รวมทั้งอยากได้ความห่วงใยและความเข้าใจจากคนรอบตัว เราขอขอบคุณพันธมิตรอันดีของเราอย่าง วัตสัน อีกครั้งที่ให้การสนับสนุนอย่างดีเสมอมาและหวังว่าโครงการนี้จะช่วยแบ่งปันความห่วงใยไปยังผู้ป่วยมะเร็งและผู้ดูแล ให้ได้รับความรู้ในการดูแลรักษามะเร็งได้อย่างถูกต้อง เข้มแข็ง และสามารถก้าวข้ามผ่านช่วงเวลาที่ยากลำบากไปได้เพื่อคุณภาพชีวิตที่ดีกว่าในอนาคต”

นอกจากได้ร่วมทำบุญแล้ว งานนี้ลูกค้าหนึ่งร้อยท่านแรก ที่ซื้อผลิตภัณฑ์นีเวียทุกประเภทในช่วงแคมเปญนี้ผ่านทุกช่องทางการขายของวัตสัน ทั่วประเทศ สามารถลงทะเบียนพร้อมอัปโหลดรูปใบเสร็จผ่านคิวอาร์โค้ด ณ จุดขายที่ร้านวัตสันทั่วประเทศ หรือผ่านช่องทางออนไลน์ เพื่อเข้าร่วมเวิร์กชอป “บอกสาว ๆ ให้รู้ทันมะเร็ง เปลี่ยนเรื่องร้ายให้กลายเป็นดี กับวิธีรับมือกับโรคร้าย” ซึ่งเป็นกิจกรรมความร่วมมือระหว่าง นีเวีย วัตสัน และมูลนิธิเครือข่ายมะเร็ง ที่จะจัดขึ้นในวันที่ 18 มิถุนายน 2567 ณ ศูนย์การค้าไอคอนสยาม โดยงานนี้ผู้ร่วมงานจะได้รับข้อมูลอันเป็นประโยชน์เกี่ยวกับมะเร็ง ตลอดจนวิธีการสังเกตตนเอง การดูแลตนเอง และการให้ความรู้แก่ผู้ดูแลผู้ป่วยมะเร็งแล้ว ยังมีข้อมูลดี ๆ เกี่ยวกับวิธีลดความเสี่ยงในการเกิดโรคมะเร็งอีกด้วย ภายในงานยังมีกิจกรรมส่งต่อความห่วงใยจากการทำถุงผ้าแฮนด์เมดใส่ของใช้จำเป็นสำหรับผู้ป่วยมะเร็ง เพื่อเป็นขวัญและกำลังใจแก่ผู้ป่วยให้สามารถต่อสู้กับโรคร้ายต่อไป

ทุกคนสามารถร่วมเป็นส่วนหนึ่งในการเสริมสร้างกำลังใจและส่งต่อความห่วงใยถึงผู้ป่วยมะเร็งร่วมกับนีเวีย และวัตสัน ได้อย่างสร้างสรรค์ เพียงซื้อผลิตภัณฑ์นีเวียจากทุกช่องทางการขายของ วัตสัน ทั่วตั้งแต่วันนี้ถึง 22 พฤษภาคม 2567 เพื่อสมทบทุนมูลนิธิเครือข่ายมะเร็ง เพื่อส่งกำลังใจให้ผู้ป่วยโรคมะเร็งและครอบครัวให้ผ่านช่วงเวลาที่ยากลำบากได้อย่างเข้มแข็งไปด้วยกัน

เป็นเวลากว่า 20 ปีที่กรุงเทพประกันชีวิต และ ธนาคารกรุงเทพ ได้ร่วมกันให้บริการวางแผนความคุ้มครองและการออมผ่านผลิตภัณฑ์ประกันชีวิต เพื่อสร้างความสำเร็จให้ลูกค้ากว่า 1.2 ล้านราย  จนเป็นที่มาของการจัดงาน Age of Happiness: Thank You Event for Our Valued Customers เพื่อแสดงความขอบคุณลูกค้าธนาคารกรุงเทพที่ให้ความไว้วางใจให้ทั้งสององค์กรได้มีส่วนในการสร้างความมั่นคงและมั่งคั่งจากรุ่นสู่รุ่น ให้บรรลุเป้าหมายของแต่ละครอบครัว โดยในงานได้รับเกียรติจากคุณชาติศิริ โสภณพนิช กรรมการผู้จัดการใหญ่ ธนาคารกรุงเทพ จำกัด (มหาชน) เป็นประธานเปิดงาน พร้อมด้วยคุณโชน โสภณพนิช กรรมการผู้จัดการใหญ่ และประธานเจ้าหน้าที่บริหาร บริษัท กรุงเทพประกันชีวิต จำกัด (มหาชน) และผู้บริหารระดับสูงจากสององค์กรร่วมให้การต้อนรับลูกค้าที่มาร่วมงานอย่างคับคั่ง ณ ห้องแกรนด์ บอลรูม โรงแรม ชาเทรียม แกรนด์ กรุงเทพฯ เมื่อปลายเดือนเมษายนที่ผ่านมา

ความสำคัญของงาน Age of Happiness: Thank You Event for Our Valued Customers ยังตอกย้ำถึงพลังความร่วมมือระหว่างสององค์กรที่ได้สร้างสรรค์ผลิตภัณฑ์ประกันชีวิตที่เหมาะสมให้กับลูกค้าจนเป็นที่ยอมรับและไว้วางใจจากกลุ่มลูกค้ามาอย่างยาวนานผ่าน 3 กลุ่มผลิตภัณฑ์ คือ ผลิตภัณฑ์ประกันชีวิตพ Credit 1st สำหรับคุ้มครองสินเชื่อธุรกิจ และ ผลิตภัณฑ์ประกันชีวิต Home 1st คุ้มครองสินเชื่ออยู่อาศัย นอกจากนี้ ยังมีผลิตภัณฑ์ประกันสะสมทรัพย์ Gain 1st  ซึ่งถือเป็นผลิตภัณฑ์ที่ได้รับการยอมรับจากลูกค้าเป็นอย่างดี และได้รับความไว้วางใจในการทำประกันเพิ่มขึ้นอย่างต่อเนื่อง

“ผมขอขอบคุณลูกค้าที่มอบความไว้วางใจให้ธนาคารกรุงเทพและกรุงเทพประกันชีวิต ได้ดูแลความมั่นคงและธุรกิจของครอบครัวของท่านตลอดมา และเราพร้อมที่จะยืนหยัดเคียงข้างเพื่อสนับสนุนลูกค้าทุกท่านให้บรรลุเป้าหมายทางการเงินของครอบครัวและของธุรกิจ รวมถึงการมีคุณภาพชีวิตที่ดี” คุณชาติศิริกล่าว

และด้วยวิสัยทัศน์ของ ธนาคารกรุงเทพ ที่มุ่งเป็นธนาคารที่ให้บริการด้านการเงินที่ตอบสนองความต้องการของลูกค้า ภายใต้เจตนารมณ์ที่จะเป็น เพื่อนคู่คิดมิตรคู่บ้าน  ที่ตระหนักถึงความสำคัญของการเสริมสร้างความมั่นคงของครอบครัว การสั่งสมและส่งต่อ Wealth จากรุ่นสู่รุ่น ไปจนถึงการเตรียมความพร้อมสำหรับการสืบทอดธุรกิจของครอบครัว และเหนืออื่นใด ธนาคารยังมุ่งมั่นดูแลลูกค้าให้มีคุณภาพชีวิตที่ดียิ่งขึ้น ในปีนี้จึงได้สร้างสรรค์ผลิตภัณฑ์ประกันชีวิตให้ครอบคลุมความต้องการของลูกค้ายิ่งขึ้น ภายใต้แนวคิด “3 Gens Solution” เช่น ผลิตภัณฑ์  Home 1st Extra ที่มีจุดเด่นในด้านการคุ้มครองสินเชื่อที่อยู่อาศัย และการเตรียมความคุ้มครองไว้สำหรับเหตุการณ์ไม่คาดฝัน ที่ครอบคลุมถึงค่ารักษาพยาบาลจากการเจ็บป่วยด้วย 44 โรคร้ายแรง  รวมทั้ง กรุงเทพประกันชีวิตยังมอบสิทธิประโยชน์ใหม่ 5 ด้าน สำหรับลูกค้าผู้ถือกรมธรรม์ ภายใต้ BLA Happy Life Club เพื่อส่งมอบความสุขได้ในทุกวัน ด้วยแนวคิด Elevating Your Happiness โดยมีสิทธิประโยชน์ดีๆ ในทุกไลฟ์สไตล์  โดยเฉพาะด้านสุขภาพ

บรรยากาศภายในงานคับคั่งไปด้วยลูกค้าคนพิเศษ ที่แต่ละท่านสละเวลามาร่วมเป็นส่วนหนึ่งในช่วงเวลาสำคัญ ที่ทั้งสององค์กรใส่ใจร่วมกันจัดขึ้นภายใต้บรรยากาศอันอบอุ่น โดยมีไฮไลท์คือช่วง Special Talk “เปิดมุมมองไลฟ์สไตล์คนรุ่นใหม่กับนาย ณภัทร เสียงสมบุญ” นักแสดงมากฝีมือ ที่มาร่วมสร้างความสดใสและแลกเปลี่ยนมุมมองการใช้ชีวิตคนรุ่นใหม่ รวมทั้งแชร์เรื่องราวในฐานะพรีเซ็นเตอร์ผลิตภัณฑ์ Gain1st มาต่อเนื่องหลายปี ทั้ง Gain1st 650  Gain1st Simple Gain1st 424 และ Gain1st 10/5 รวมทั้งยังเป็นลูกค้าตัวจริงของธนาคารกรุงเทพและกรุงเทพประกันชีวิต ซึ่งได้เลือกซื้อ Gain1st ผ่านโมบายแบงกิ้งของธนาคารกรุงเทพเพื่อเป็นส่วนหนึ่งในการออมด้วยเช่นกัน

อีกหนึ่งไฮไลท์สำคัญ ลูกค้ายังได้รับฟังบรรยายพิเศษในหัวข้อ เคล็ดลับสู่ความมั่งคั่งเมื่อฮวงจุ้ยโลกเข้าสู่ยุค 9 โดย “อาจารย์มาศ เคหาสน์ธรรม” ซินแสฮวงจุ้ยระดับโลกที่มาแนะนำเรื่องการจัดฮวงจุ้ยเพื่อความมั่งคั่งทั้งทำเลที่ตั้งบ้าน อาคารสำนักงาน หรือการจัดที่นั่งสำหรับผู้บริหาร พร้อมตอบคำถามแบบเอ็กซ์คลูซีฟ สร้างความสุขให้ทุกคนจนจบงาน

“ตลอดระยะเวลาที่ผ่านมา กรุงเทพประกันชีวิตมีความใส่ใจในการพัฒนาผลิตภัณฑ์ประกันชีวิตเพื่อตอบโจทย์ความต้องการของลูกค้า ให้เป็นแบบประกันที่สามารถให้ผลตอบแทนที่ดี และมีเบี้ยประกันฯ ที่เหมาะสม ภายใต้แนวคิดประกันชีวิตที่ใส่ใจและให้ความรู้สึกดี โดยธนาคารกรุงเทพมีส่วนสำคัญในการแนะนำเพื่อทำให้ผลิตภัณฑ์ตอบโจทย์ลูกค้ามากที่สุด ไม่ว่าจะเป็นการออมเงินเพื่อสร้างความมั่นคงในอนาคต หรือ การสนับสนุนลูกค้าสินเชื่อที่ต้องการให้ธุรกิจและสินทรัพย์นั้นยังคงอยู่กับครอบครัวและทายาทได้ และไม่เป็นภาระให้กับคนรุ่นหลัง ผมจึงขอถือโอกาสนี้ขอบคุณลูกค้าและธนาคารกรุงเทพ ที่ไว้วางใจให้กรุงเทพประกันชีวิตส่งมอบความคุ้มครองสู่ลูกค้าของธนาคารกรุงเทพทุกท่านครับ” คุณโชนกล่าว

Page 6 of 625
X

Right Click

No right click