“เอ็น.ซี.ซี.” ร่วมกับ “ททท.” เปิด 3 งานใหญ่ “Thailand Golf & Dive Expo plus OUTDOOR Fest 2024” เอาใจสายเที่ยวไลฟ์สไตล์ เจาะกลุ่มนักท่องเที่ยวกำลังซื้อสูง คาดมีผู้เข้าชมงานไม่น้อยกว่า 55,000 คน เกิดเงินสะพัดในงานกว่า 200 ล้านบาท เชื่อทั้ง 3 งานจะช่วยขยายฐานนักท่องเที่ยวคุณภาพทั้งไทยและต่างชาติมากยิ่งขึ้น ดันธุรกิจที่เกี่ยวเนื่องขยายตัวตามไปด้วย

นายสุรพล อุทินทุ  กรรมการผู้จัดการ บริษัท เอ็น.ซี.ซี. แมนเนจเม้นท์ แอนด์ ดิเวลลอปเม้นท์ จำกัด กล่าวว่า การจัดงานทั้ง 3 งานในครั้งนี้จัดขึ้นจากการที่มองเห็นว่าประเทศไทยมีศักยภาพทางการท่องเที่ยว และเป็นจุดหมายปลายทางการท่องเที่ยวที่สำคัญของโลก ส่งผลให้มีกิจกรรมการท่องเที่ยวที่หลากหลาย และกระจายไปทุกตลาดการท่องเที่ยว โดยหนึ่งในตลาดเฉพาะทาง (Niche Market) ที่เติบโตในระดับสูง คือ การท่องเที่ยวกลางแจ้งทั้งการเล่นกอล์ฟ การดำน้ำ และกิจกรรมท่องเที่ยวและกีฬากลางแจ้ง ที่ได้รับความนิยมเพิ่มขึ้นอย่างต่อเนื่อง โดยนักท่องเที่ยวทั้ง 3 กลุ่มนี้ ถือได้ว่าเป็นหนึ่งในนักท่องเที่ยว ที่มียอดการใช้จ่ายต่อหัวสูง และมีระยะเวลาการท่องเที่ยวที่ค่อนข้างยาวกว่านักท่องเที่ยวทั่วไป “เอ็น.ซี.ซี.” จึงได้ร่วมมือกับพันธมิตรทั้งภาครัฐ และเอกชนทั้งในและต่างประเทศจัดงาน “Thailand Golf & Dive Expo plus OUTDOOR Fest 2024” งานแสดงสินค้าด้านการท่องเที่ยวที่เป็นการรวม 3 งานแสดงสินค้าที่ตอบโจทย์ทุกไลฟ์สไตล์ของการท่องเที่ยว ทั้งด้านกีฬากอล์ฟ ดำน้ำ และท่องเที่ยวแนวกิจกรรมกลางแจ้ง  จัดขึ้นระหว่างวันที่ 16-19 พฤษภาคม 2567  เวลา 11.00-20.00 น. ณ ฮอลล์ 5-6  ศูนย์การประชุมแห่งชาติสิริกิติ์

ภายในงานจะมีผู้ประกอบการเข้าร่วมงานมากกว่า 500 บูธ ซึ่งเพิ่มขึ้นจากปีก่อนประมาณ 25% ในจำนวนนี้เป็นผู้ประกอบการต่างชาติประมาณ 20% สำหรับการจัดงานครั้งนี้ ได้มีแบรนด์ดังเข้ามาร่วมเป็นจำนวนมาก พร้อมจัดโปรโมชั่นพิเศษที่มีส่วนลดสูงถึง 80% และมีกิจกรรมต่างๆ ให้เข้าร่วมมากมาย

“การจัดงานทั้ง 3 งานนี้ คาดว่าจะมีนักท่องเที่ยวและผู้สนใจทั่วไปเข้ามาร่วมงานตลอดทั้ง 4 วันนี้ไม่น้อยกว่า 55,000 คน และมียอดซื้อขายภายในงานและต่อเนื่องไปในอุตสาหกรรมนี้กว่า 200 ล้านบาท โดยงานนี้นับเป็นหนึ่งในกลไกส่งเสริมการท่องเที่ยวในประเทศ และขับเคลื่อนการเติบโตของเศรษฐกิจไทยได้เป็นอย่างดี” นายสุรพล

งาน "Thailand Dive Expo :TDEX" มหกรรมธุรกิจท่องเที่ยวดำน้ำครบวงจร มีสินค้าและบริการเกี่ยวกับการท่องเที่ยวดำน้ำ ตั้งแต่คอร์สเรียนไปจนถึงทริปดำน้ำทั้งในและต่างประเทศ จากสถาบันสอนดำน้ำที่ได้มาตรฐาน รีสอร์ตใกล้แหล่งดำน้ำ อุปกรณ์ดำน้ำ อุปกรณ์เสริมแบรนด์ดังและสุดยอดอุปกรณ์ดำน้ำจากแบรนด์ชั้นนำ กล้องถ่ายภาพและวีดิโอใต้น้ำพร้อมคำแนะนำจากมืออาชีพ ในราคาโปรโมชั่นสุดพิเศษ มาจัดแสดงกว่า 285 บูธ นอกจากนี้ ยังมีการเสวนา “TDEX Diver’s Talk” ในหัวข้อที่น่าสนใจ เช่น เทคนิคการถ่ายภาพใต้น้ำ การดำน้ำกับวาฬออร์กา ฯลฯ นิทรรศการภาพถ่ายใต้น้ำจากการประกวด “TDEX Underwater Photo Contest ครั้งที่ 17” และคลิปวีดิโอใต้น้ำจากการประกวด “TDEX Underwater Moment VDO Contest” ซึ่งจัดขึ้นเป็นปีแรก อีกทั้งปีนี้เป็นการฉลองครบรอบ 20 ปี ของการจัดงาน Thailand Dive Expo จึงได้จัดทำของที่ระลึกสุดพิเศษ Limited Edition 3 รูปแบบ ได้แก่ “Aroma Book กลิ่น Aqua de TDEX” สำหรับผู้ที่ซื้อสินค้าภายในงานครบ 25,000 บาท (จำนวนจำกัด ตามเงื่อนไขที่กำหนด) เซทผ้าปิดตา “TDEX Eyerest & Escape Set” และตุ๊กตาผ้าห่มสีสันสดใส “TDEX Box Fish” มาจำหน่ายภายในงาน โดยรายได้ส่วนหนึ่งนำไปมอบให้กับมูลนิธิเพื่อการอนุรักษ์สิ่งแวดล้อม นอกจากนี้ สำหรับผู้เข้าชมงานทั้ง 3 งาน จะได้รับสิทธิ์ลุ้นของรางวัลต่าง ๆ  อาทิ  คอร์สเรียนดำน้ำขั้นพื้นฐาน ขั้นแอดวานซ์ และฟรีไดวิ่ง, อุปกรณ์ดำน้ำแบรนด์ดัง, Gadget นักดำน้ำ และรางวัลอีกมากมาย  พร้อมชิมกาแฟหอมกรุ่นสูตรพิเศษจาก Nespresso (จำนวนจำกัดต่อวัน)

งาน "Thailand Golf Expo 2024" งานมหกรรมท่องเที่ยวเชิงกีฬากอล์ฟ ซึ่งจัดต่อเนื่องมาเป็นปีที่ 10 ได้รวบรวมผู้ประกอบการชั้นแนวหน้าเข้ามานำเสนอแพ็กเกจกรีนฟีสนามกอล์ฟ การจำหน่ายอุปกรณ์กอล์ฟ อุปกรณ์เสริม ชุดกีฬากอล์ฟหลากหลายแบรนด์ดัง ภายในงานได้จัดกิจกรรมแข่งขันพัตต์กอล์ฟ “1 พัตต์ 1 แสน” ซึ่งเป็นกิจกรรมไฮไลต์และได้รับความสนใจจากผู้เข้าร่วมงานเป็นอย่างมาก และกิจกรรม “Swing Quick Fix” กับเครื่อง Golf Simulator ที่จะช่วยนักกอล์ฟปรับวงสวิงให้ตีกอล์ฟได้ดีขึ้น ทั้งนี้ประเทศไทยมีจำนวนสนามกอล์ฟอยู่ประมาณ 200 กว่าแห่งทั่วประเทศ แบ่งเป็นสนามกอล์ฟของภาคเอกชนที่เปิดให้บริการเชิงพาณิชย์ประมาณ 160 แห่ง อีก 40 แห่งเป็นสนามกอล์ฟของหน่วยงาน ราชการและรัฐวิสาหกิจ ซึ่งสนามกอล์ฟของประเทศไทย เป็นที่สนใจของนักท่องเที่ยวต่างชาติ เนื่องจากราคาค่าบริการสนามกอล์ฟในประเทศไทยมีราคาที่ถูกกว่าในหลายประเทศ อีกทั้งการให้บริการของสนามกอล์ฟมีคุณภาพและได้มาตรฐาน  จึงเป็นที่ดึงดูดให้นักกอล์ฟชาวต่างชาติเดินทางเข้ามาเล่นกอล์ฟกันมากขึ้น

งาน  "Outdoor Fest 2024"  งานมหกรรมท่องเที่ยวเชิงไลฟ์สไตล์กลางแจ้ง จัดต่อเนื่องเป็นครั้งที่  5  โดยได้ขยายการจัดงานออกมาเพื่อตอบโจทย์ผู้ที่ชื่นชอบการท่องเที่ยวกลางแจ้ง  ทั้งทางบก  น้ำ และอากาศ  โดยได้รวบรวมผู้ประกอบการชั้นนำจากไทยและต่างประเทศ ยกขบวนเข้ามาจำหน่ายอุปกรณ์แคมป์ปิ้ง เดินป่า โดรน SUP Board Surfboard เจ็ทสกี คายัค ที่พักรีสอร์ต รวมถึงแพ็กเกจกิจกรรมท่องเที่ยวเชิงผจญภัยและกิจกรรมกลางแจ้งมาไว้ในงานครั้งนี้ โดยกิจกรรมการท่องเที่ยวกลางแจ้ง การผจญภัย การท่องเที่ยวทางเลือก และการท่องเที่ยวเชิงอนุรักษ์ ได้รับความนิยมเพิ่มขึ้นมาก และตลาดการท่องเที่ยวกลุ่มนี้ได้มีการเปลี่ยนแปลงตามความก้าวหน้าของตลาดในด้านเทคโนโลยี และการโฆษณา จึงทำให้การท่องเที่ยวกลุ่มนี้มีความเปลี่ยนแปลงตามความต้องการของตลาดที่รวดเร็ว ทำให้ในการจัดงาน Outdoor Fest 2024 ในครั้งนี้ จะเป็นโอกาสสำคัญที่เปิดให้นักท่องเที่ยวที่ชื่นชอบการท่องเที่ยวกลางแจ้ง ได้เลือกซื้อสินค้าในเทคโนโลยีใหม่ล่าสุด พร้อมด้วยข้อเสนอดีที่สุดของกลุ่มสินค้าที่หลากหลาย รวมทั้งการสัมผัสประสบการณ์กิจกรรมผจญภัย และอื่นๆ อีกมากมาย เช่น เสวนาบนเวทีกับกูรูกาแฟแนวแคมป์ปิ้ง และร่วมลุ้นโชคที่จะแจกรางวัลมากมายภายในงาน และยังมีกิจกรรมในงาน ได้แก่ โซนคอมมูนิตี้คอกาแฟ Caff ‘n Camp (คาฟ แอนด์ แคมป์), โดมดูดาวและดวงจันทร์จำลอง จากสถาบันวิจัยดาราศาสตร์แห่งชาติ (NARIT) และโปรโมชั่นกับบัตร KTC และ Central รับ cash back, e-Coupon และของสมนาคุณในงานมากมาย

ด้านนางสาวสมฤดี จิตรจง รองผู้ว่าการด้านตลาดในประเทศ การท่องเที่ยวแห่งประเทศไทย กล่าวว่า ททท. ได้ให้การสนับสนุนบริษัท เอ็น.ซี.ซี.ฯ ในการจัดงาน Thailand Golf & Dive Expo plus Outdoor Fest มาอย่างต่อเนื่อง เพื่อตอกย้ำความพร้อมและศักยภาพของสินค้าและบริการทางการท่องเที่ยวของประเทศไทย ซึ่งจะเป็นการกระตุ้นให้เกิดการเดินทางท่องเที่ยว สร้างรายได้ให้กับผู้ประกอบการท่องเที่ยวที่เกิดจากการซื้อขายแพ็กเกจท่องเที่ยว อุปกรณ์ต่าง ๆ อีกทั้งยังช่วยกระจายรายได้ลงสู่ชุมชนท้องถิ่นในพื้นที่ใกล้เคียง พร้อมทั้งได้สนับสนุนให้มีการสอดแทรกแนวคิดความรับผิดชอบต่อสังคมและสิ่งแวดล้อมแก่นักท่องเที่ยว เพื่อให้เกิดความยั่งยืนในระยะยาวด้วย เชื่อว่าการจัดงานในครั้งนี้จะสามารถสร้างมูลค่าทางการท่องเที่ยวได้เป็นอย่างดี สร้างรายได้ให้อุตสาหกรรมท่องเที่ยวไม่ต่ำกว่า 200 ล้านบาท

ทั้งนี้ ททท. ยังคงมุ่งเน้นส่งเสริมการท่องเที่ยวเมืองรอง ส่งเสริมการท่องเที่ยววันธรรมดา และจัดกิจกรรมส่งเสริมการท่องเที่ยวเพื่อกระตุ้นให้ เกิดการเดินทางท่องเที่ยวภายใต้แนวคิด 365 วัน มหัศจรรย์เมืองไทยเที่ยวได้ทุกวัน ผ่าน Soft Power ประเทศไทย โดยให้ความสำคัญกับการท่องเที่ยวเชิงคุณภาพอย่างยั่งยืน จึงมุ่งเน้นสร้างการรับรู้และนำเสนอสินค้าทางการท่องเที่ยว ที่ตอบโจทย์ไลฟ์สไตล์กับกลุ่มนักท่องเที่ยวคุณภาพ โดยเฉพาะกลุ่มนักท่องเที่ยวที่มีความสนใจเฉพาะ อาทิ กิจกรรมทางน้ำ แคมป์ปิ้ง และกิจกรรมกอล์ฟ ที่ได้รับความนิยมจากทั้งนักท่องเที่ยวชาวไทยและชาวต่างชาติ

มหกรรมแสดงสินค้าและบริการด้านการท่องเที่ยวเชิงไลฟ์สไตล์ “Thailand Golf & Dive Expo plus OUTDOOR Fest 2024”  จะจัดขึ้นระหว่างวันที่ 16-19  พฤษภาคม  2567  เวลา  11.00-20.00 น. ณ ฮอลล์ 5-6 ศูนย์การประชุมแห่งชาติสิริกิติ์  ผู้สนใจเข้าชมงานสามารถติดตามความเคลื่อนไหวกิจกรรมดำน้ำได้ทาง Facebook: Thailand Dive Expo (TDEX)  หรือ www.ThailandDiveExpo.com กิจกรรมกีฬากอล์ฟ ติดตามดูรายละเอียดได้ทาง Facebook: Thailand Golf Expo หรือ www.ThailandGolfExpo.com กิจกรรมท่องเที่ยวกลางแจ้ง Outdoor Fest ติดตามดูรายละเอียดได้ทาง Facebook: Traveler & Outdoor Expo หรือ www.traveloutdoorexpo.com 

ปล่อยพลังโชว์สกิลทางดนตรีบนเวทีเดียวกับศิลปินชื่อดัง 

พิเศษสำหรับลูกเพจ MatchLink ลงทะเบียน คลิก >>> https://bit.ly/MatchLink_UOBBiz.
เปิดบัญชีออมทรัพย์ "UOB BizSuper" เพื่อผู้ประกอบการ SME
- รับดอกเบี้ยเงินฝาก 1% ต่อปี
- ไม่มีค่าธรรมเนียมจ่ายเงินเดือนพนักงาน (Payroll)
- ไม่มีค่าธรรมเนียมโอนเงินระหว่างบัญชีธนาคารยูโอบี
- ไม่มีค่าธรรมเนียมโอนเงินระหว่างธนาคารแบบส่งรายการภายในวัน (สำหรับยอดการโอนตั้งแต่ 1 บาท จนถึง 500,000 บาทแรก)
- ไม่มีค่าธรรมเนียมผูกคู่โอนอัตโนมัติ (Fund Sweeping) ระหว่างบัญชีออมทรัพย์ BizSuper และบัญชีกระแสรายวัน BizSuper
- ไม่มีค่าธรรมเนียม UOB eAlerts! บริการแจ้งเตือนความเคลื่อนไหวของบัญชีผ่านทางอีเมล
- ไม่มีค่าบริการสำหรับสมุดเช็คเดือนละ 1 เล่ม และส่วนลด 50% สำหรับเล่มถัดไป

*รายละเอียดและเงื่อนไขเป็นไปตามที่ธนาคารกำหนด

บริษัท เจริญโภคภัณฑ์อาหาร จำกัด (มหาชน) หรือ “ซีพีเอฟ” รายงานกำไรสุทธิไตรมาส 1 ปี 2567 จำนวน 1,152 ล้านบาท เติบโต 142% จากช่วงเดียวกันของปีก่อน ซึ่งมีปัจจัยหลักมาจากราคาเนื้อสัตว์ในภูมิภาคเอเชียที่ปรับตัวดีขึ้นจากระดับในปีที่ผ่านมา  ประกอบกับประสิทธิภาพในการผลิตที่มีการพัฒนาอย่างต่อเนื่องทำให้ต้นทุนในการเลี้ยงสัตว์ลดลงจากช่วงเดียวกันของปีก่อน

นายประสิทธิ์ บุญดวงประเสริฐ ประธานคณะผู้บริหาร ซีพีเอฟ กล่าวถึงผลการดำเนินงานที่ดีขึ้นนี้ว่า ปีที่ผ่านมาเป็นปีที่บริษัทผ่านความท้าทายมากมายไม่ว่าจะเป็นต้นทุนที่เพิ่มขึ้น และภาวะสินค้าล้นตลาดของปริมาณเนื้อสัตว์ในหลายประเทศจากกำลังซื้อที่ไม่ดีขึ้นตามคาด ซึ่งทำให้บริษัทให้ความสำคัญเรื่องประสิทธิภาพและระมัดระวังในการลงทุนมาอย่างต่อเนื่อง มีการตัดจำหน่ายทรัพย์สินบางส่วนเพื่อเพิ่มประสิทธิภาพในการดำเนินงานให้ดีขึ้น รวมถึงการวิจัย พัฒนา สร้างสรรค์นวัตกรรมและสร้างมูลค่าเพิ่มให้กับผลิตภัณฑ์ของบริษัท เพื่อตอบโจทย์ตามความต้องการของผู้บริโภค รวมถึงประเภทสินค้าอาหารสุขภาพที่เน้นด้านโภชนาการที่ดี พร้อมทั้งปรับเปลี่ยนกลยุทธ์ทางด้านการตลาด การขาย และช่องทางจัดจำหน่ายให้สอดคล้องกับสภาวะของตลาดและพฤติกรรมของผู้บริโภคที่เปลี่ยนไป

ผลการดำเนินงานในไตรมาสที่ 1 ปีนี้ ปรับตัวดีขึ้นถึง 142%  โดยเฉพาะอย่างยิ่งธุรกิจในประเทศเวียดนามและกัมพูชา จากการขยายช่องทางในการขาย และระดับราคาสุกรที่เพิ่มขึ้น นอกจากนั้น บริษัทยังมีส่วนได้ในกำไรของบริษัทร่วมและการร่วมค้าที่ดีขึ้นจากผลการดำเนินงานที่ดีขึ้นของ CPALL และธุรกิจสุกรในประเทศจีน และคาดว่าในช่วงที่เหลือของปี 2567 ผลการดำเนินงานของซีพีเอฟจะดีขึ้นอย่างต่อเนื่อง

 

นายชูรัตน์ จึงธนสมบูรณ์ กรรมการผู้จัดการ (ที่ 6 จากขวา) นางสาวมธุชา จึงธนสมบูรณ์ รองกรรมการผู้จัดการสายงานการจัดการ (ที่ 5 จากขวา) ผศ.ดร.ศิริรักษ์ ขาวไชยมหา รองกรรมการผู้จัดการสายงานบัญชีและการเงิน (ที่ 4 จากขวา)  บริษัท ชูวิทย์ฟาร์ม (2019)  จำกัด (มหาชน) หรือ CFARM พร้อมด้วยคณะกรรมการบริษัท และ ดร.สมภพ ศักดิ์พันธ์พนม (ที่ 2 จากซ้าย) ประธานกรรมการ นายสุริยา ธรรมธีระ (ที่ 3 จากซ้าย) รองกรรมการผู้จัดการ บริษัท แอสเซท โปร แมเนจเม้นท์ จำกัด (APM) ที่ปรึกษาทางการเงิน นางสาวออมสิน ศิริ (ที่ 3 จากขวา)  ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร บริษัทหลักทรัพย์ บียอนด์ จำกัด (มหาชน) นายโยธิน วิริเยนะวัตร์ (ที่ 2 จากขวา) กรรมการผู้จัดการอาวุโส บริษัทหลักทรัพย์ ยูโอบี เคย์เฮียน (ประเทศไทย) จำกัด (มหาชน) แกนนำการจัดจำหน่ายหุ้นสามัญเพิ่มทุน ร่วมนำเสนอข้อมูลรายละเอียดหลักทรัพย์แก่นักลงทุน จ.เชียงใหม่ เป็นจังหวัดที่ 4  โดย CFARM มีแผนเสนอขายหุ้นสามัญเพิ่มทุนให้กับประชาชนเป็นครั้งแรก (IPO)จำนวน 149 ล้านหุ้นและเข้าจดทะเบียนในตลาดหลักทรัพย์ เอ็ม เอ ไอ (mai) ณ โรงแรมดิเอ็มเพรส เมื่อเร็วๆ นี้

ทรู คอร์ปอเรชั่น ร่วมขับเคลื่อนอุตสาหกรรมการท่องเที่ยวไทย ชูแคมเปญ “ทรูทั่วไทย” ทั่วไทย ทั่วถึง ทุกคน : เช็คสัญญาณถึงที่ 4 ภาคทั่วไทย เช็คอินความสุขให้คนไทย เช็คสปีดเน็ตไม่สะดุด ชัวร์ทุกพื้นที่ นำคณะผู้บริหารเยือนขอนแก่นตรวจสอบคุณภาพสัญญาณทรู 5G ให้ดีที่สุด ทั่วภาคอีสาน  ชูความโดดเด่นเน็ตเวิร์คคุณภาพ รองรับการท่องเที่ยว ภาคตะวันออกเฉียงเหนือ ทุกจุดท่องเที่ยวอันซีนต้องไม่อันสัญญาณ สร้างประสบการณ์ระดับเวิลด์คลาสเพื่อลูกค้าทั้งทรูและดีแทค  นักท่องเที่ยวทั้งไทยและต่างชาติ พร้อมคัดสรรสินค้าบริการ และสิทธิพิเศษ เพื่อรักษาฐานลูกค้า สร้างความแตกต่าง และตอบโจทย์ทุกไลฟ์สไตล์นักท่องเที่ยวยุคดิจิทัลอย่างครบครัน   

ขยายเน็ตเวิร์ค ยกระดับเครือข่ายทรู 5G  ให้ความเร็วสูงสุดเพิ่มมากขึ้นเป็น 2 เท่า รองรับการเติบโตของเศรษฐกิจ อุตสาหกรรม และการท่องเที่ยวภาคตะวันออกเฉียงเหนือ

นายประเทศ ตันกุรานันท์ หัวหน้าคณะผู้บริหารด้านเทคโนโลยี บมจ. ทรูคอร์ปอเรชั่น กล่าวว่า “ทรู คอร์ปอเรชั่น พร้อมให้ความมั่นใจกับคนไทย และนักท่องที่ยวทุกคน ว่า ทรู 5G  เป็นเครือข่ายที่ดีที่สุด โดยเฉพาะภายหลังการรวมกัน  ทำให้มีเสาสัญญาณเพิ่มมากขึ้น คลื่นความถี่เพิ่มมากขึ้น ความครอบคลุมกว้างไกลยิ่งขึ้น ทีมงานวิศวกรผู้เชี่ยวชาญทั้งในประเทศและระดับโลกที่ผ่านมากขึ้น รวมทั้งการนำ AI  เข้ามาเสริมศักยภาพเครือข่ายให้อัจฉริยะยิ่งขึ้น  อีกทั้งยังเดินหน้ายกระดับเครือข่ายทรู 5G ให้ทันสมัยยิ่งขึ้น (Network Modernization)  ทยอยอัปเกรดเสาสัญญาณทั่วประเทศมาตั้งแต่ปลายปี 2566 นำร่องไปแล้วหลายพื้นที่ทั่วประเทศไทย โดยเฉพาะเมืองที่เป็นสมาร์ท ซิตี้อย่าง ขอนแก่น เชียงใหม่ นครราชสีมา ภูเก็ต และสงขลา ตลอจนโครงการเขตพัฒนาพิเศษภาคตะวันออก (EEC) อีกด้วย ซึ่งได้ผลเป็นที่น่าพอใจมากคือคุณภาพสัญญาณและความเร็วสูงสุดในการใช้งานบนมือถือ ทั้ง 5G และ 4G เพิ่มมากขึ้นเป็น 2 เท่า ซึ่งจะเสริมศักยภาพการใช้งานเน็ตในทุกจุดท่องเที่ยวให้ได้รับประสบการณ์ระดับเวิล์คลาสได้อย่างแน่นอน  ยิ่งไปกว่านั้นยังมีการนำเทคโนโลยีปัญญาประดิษฐ์ (AI) และ Machine Learning มาใช้ตรวจดูการใช้สัญญาณ ทำให้เรารู้ถึงปริมาณการใช้งานในแต่ละพื้นที่ โดยเฉพาะแหล่งท่องเที่ยว หรือช่วงเทศกาลที่มีคนใช้งานเยอะ และแก้ไขปัญหาได้อย่างรวดเร็วหากเกิดกรณีฉุกเฉิน เพื่อยกระดับประสบการณ์ของลูกค้าให้ดีที่สุด จากข้อมูล* พบว่า อัตราการใช้งานดาต้าเฉลี่ยทั่วประเทศ15.59 % ภาคตะวันออกเฉียงเหนือ 13.14 % จึงทำให้ทีมเร่งขยายเน็ตเวิร์ค ในภาคตะวันออกเฉียงเหนือ เพื่อรองรับการท่องเที่ยวเพิ่มมากขึ้น  ทั้งนี้การันตีจากสถาบันทดสอบคุณภาพระดับโลก nPerf ฝรั่งเศสกับรางวัลเครือข่ายที่ดีที่สุด 8 ปีซ้อน

รักษาฐานลูกค้า สร้างความแตกต่างและเติมเต็มความสุขทุกไลฟ์สไตล์

นายฐานพล มานะวุฒิเวช หัวหน้าคณะผู้บริหารด้านการตลาด บมจ.ทรู คอร์ปอเรชั่น กล่าวว่า “ด้วยพันธกิจของทรู คอร์ปอเรชั่น ตั้งแต่ไตรมาส 2 ไปจนถึงสิ้นปีนี้ เป้าหมายหลักคือ  ดูแลลูกค้าคนสำคัญด้วยการมุ่งสร้างประสบการณ์ระดับเวิล์ดคลาส  ด้วยกลยุทธ์หลัก 5 ด้าน 1. เครือข่ายคุณภาพที่ดีที่สุด  2. การให้บริการและดูแลลูกค้าด้วยหัวใจ ทั้งหน้าช็อป และ Call Center 3. เติมเต็มด้านสิทธิประโยชน์ และสิทธิพิเศษให้ลูกค้า ทั้งอิ่ม ช้อป เพลิน กับพาร์ทเนอร์ชั้นนำ 4. ตอบรับวิถีดิจิทัลด้วยการเพิ่มประสิทธิภาพช่องทางดิจิทัล ไม่ว่าจะเป็น แอปไอเซอร์วิส แอปดีแทค “มะลิ AI” เพื่อให้ลูกค้าสามารถเช็คข้อมูลการใช้งานได้ง่ายๆด้วยตัวเอง และ 5. สร้างความแตกต่างให้ลูกค้ารู้สึกว่า ใช้บริการทรู คุ้มค่าที่สุด  สามารถรับชมความบันเทิงระดับโลก ทั้งพรีเมียร์ลีก หนังดัง ซีรีส์ฮิต และแอปดัง ทั้งนี้ เพื่อเป็นการตอกย้ำความพร้อมด้านเครือข่ายคุณภาพของทรู จึงเป็นที่มาของแคมเปญ “ทรูทั่วไทย”  ที่จะนำคณะผู้บริหารเดินทางไป 4 ภาคทั่วประเทศตลอดทั้งปี 2567  เพื่อร่วมพิสูจน์สัญญาณทรู 5G  เช็คสปีดเน็ตทุกพื้นที่ และยกระดับประสบการณ์ใช้งานอินเทอร์เน็ต ทั่วไทย ทั่วถึง ทุกคน ทุกพื้นที่ ทั้งในเมืองหลวง เมืองหลักและเมืองรอง  โดยภาคตะวันออกเฉียงเหนือ มาที่จังหวัดขอนแก่น เน้นแลนด์มาร์ค และสถานที่ท่องเที่ยวสำคัญๆ ของจังหวัด ตลอดจนสิ่งศักดิ์สิทธิ์คู่บ้านคู่เมือง เช่น ศาลหลักเมืองขอนแก่น บึงแก่นนคร พระมหาธาตุแก่นนคร วัดหนองแวง ตำบลในเมือง อำเภอเมืองขอนแก่น จังหวัดขอนแก่น วัดเก่าแก่ดั้งเดิมของขอนแก่น มีอายุมากว่า 200 ปี นอกจากนี้ เพื่อให้ลูกค้ามั่นใจได้ว่าจะสัมผัสกับประสบการณ์ระดับเวิลด์คลาส พร้อมทั้งจัดเตรียมแพ็กเกจที่ดีที่สุดและได้รับความนิยมสูงจากพี่น้องชาวภาคตะวันออกเฉียงเหนือ” 

  • ซิมฮัลโหล จากทรูมูฟ เอช แบบเติมเงิน
  • โทรฟรีไม่อั้น เม้าส์ได้ทั้งวันทั่วไทย เพียง 49 บาท
  • เปิดเบอร์ วันนี้ ใช้ฟรี 5 วัน (หลังจากนั้นหักค่าบริการอัตโนมัติ 49 บาท ทุกๆ 5 วัน)
  • เน็ตเร็ว 15Mbps 5GB (FUP 384 Kbps)
  • โทรฟรีทุกเครือข่าย 30 นาที
  • WiFi ฟรี ไม่อั้น
  • รับโบนัสโทรฟรีในเครือข่ายเพิ่ม นาน 30 วัน เพียงเติมเงินสะสมครบ 150 บาท/เดือน และกดรับสิทธิ์ *900*9815# โทรออก ตั้งแต่วันนี้ถึง 31 พ.ค. 2567

หมายเหตุ :

  • กดรับสิทธิ์ ภายใน 7 วันนับจากวันที่ได้รับ SMS แจ้งสิทธิ์
  • รับสิทธิ์ต่อเนื่องได้นานสูงสุด 12 เดือน เมื่อเติมเงินสะสมครบทุกเดือน และกดรับสิทธิ์ทุกครั้ง
  • ซิมโซเชียล 4G+ จากทรูมูฟ เอช แบบเติมเงิน
  • เล่นโซเชียลแอปดัง ฟรีไม่อั้นทั้งปี เพียง 49 บาท
  • เปิดเบอร์ วันนี้ ใช้ฟรี 5 วัน (หลังจากนั้นหักค่าบริการอัตโนมัติ 49 บาท ทุกๆ 5 วัน)
  • เน็ตเร็ว 15Mbps 5GB (FUP 384 Kbps)
  • โทรฟรีทุกเครือข่าย 30 นาที
  • WiFi ฟรี ไม่อั้น
  • รับโบนัสเพิ่มฟรี นาน 30 วัน เพียงเติมเงินสะสมครบ 150 บาท/เดือน และรับสิทธิ์ต่อเนื่องได้นานสูงสุด 12 เดือน เมื่อเติมเงินสะสมครบทุกเดือน เล่นฟรีโซเชียล 6 แอปฮิตไม่อั้น ไม่เสียค่าเน็ต 30 วัน (เฟชบุ๊ค, แมสเซนเจอร์, ไลน์, ไอจี, ทวิตเตอร์, วอตส์แอปป์) ตั้งแต่วันนี้ถึง 31 พ.ค. 2567

*ข้อมูล YoY เดือนกุมภาพันธ์ 2566 : กุมภาพันธ์ 2567

เซอร์ไพรส์สุดฟินนอกจากความรักชวนลุ้นของคู่พระ-นางคือการปรากฏตัวของ “เถ้าแก่น้อย” สาหร่ายม้วนย่างขวัญใจชาวไทยใน Wedding Impossible” ซีรีส์โรแมนติกคอมเมดี้ยอดนิยม สร้างจากการ์ตูนสุดฮิตในเว็บตูนและกำลังออกอากาศในกว่า 103 ประเทศบนแพลตฟอร์มคุณภาพอย่าง Prime Video

Wedding Impossible รับประกันความสนุกโดย CJ ENM บริษัทผลิตซีรีส์อันดับหนึ่งของเกาหลีที่กวาดเรตติ้งถล่มทลายทุกเรื่อง จนไม่เหลือที่ให้กังขาเลยว่า Wedding Impossible ต้องเป็นที่นิยมไปทั่วโลกด้วยพลอตเรื่องชวนลุ้นและพระนางน่ารักน่าหยิก อีกทั้งยังเพิ่มรสชาติจัดจ้านด้วยเถ้าแก่น้อย สาหร่ายม้วนย่างจากประเทศไทยที่กลายเป็นขนมขบเคี้ยวของโปรดของกองนักแสดงทั้งในจอและนอกจอ

แถมไม่ได้โผล่มาเป็น tie-in แค่แว่บเดียวจนอ่านชื่อแบรนด์ไม่ทัน แต่ได้แอร์ไทม์เกินหน้าตัวประกอบ เมื่อ มุน ซางมิน และจวน จาง ซอน พระเอกและนางเอกของเรื่องต่างพร้อมใจกันจอยสาหร่ายม้วนย่างเถ้าแก่น้อยกันแบบฉ่ำทั้งจากรถฟู้ดทรัคที่ส่งไปกองถ่ายของนางเอก และซื้อจากร้านเพื่อเอามากินแกล้มกับโซจู  มุน ซาง มินและจวน จาง ซอนพระเอกและนางเอกของ Wedding Impossible ต่างเป็นนักแสดงดาวรุ่งพุ่งแรงของวงการบันเทิงเกาหลี มีสินค้าไม่กี่ตัวเท่านั้นจะได้โอกาสผ่านมือของทั้งสองที่จะรับประกัน “ความสนใจ” จากผู้ชมกว่าร้อยล้านคนทั่วโลก

ความสำเร็จยิ่งใหญ่นี้จึงถือเป็นการประกาศศักดาของเถ้าแก่น้อยในฐานะผู้เล่นหลักของอุตสาหกรรมขนมขบเคี้ยว การได้แอร์ไทม์ในฉากสำคัญของตัวเอกในซีรีส์ที่โด่งดังไปทั่วโลกอย่าง Wedding Impossible ยิ่งตอกย้ำความนิยมของเถ้าแก่น้อยที่ไม่ได้จำกัดเฉพาะในประเทศไทยอีกต่อไป

การปรากฏตัวของเถ้าแก่น้อยในเส้นเรื่องของซีรีส์ไม่เพียงแต่เป็นกลยุทธ์การตลาดที่มีประสิทธิภาพ แต่ยังสะท้อนให้เห็นบทบาทของเถ้าแก่น้อยในฐานะทูตวัฒนธรรมของอาหารไทยในเวทีโลก และยังเป็นซอฟท์พาวเวอร์สำคัญในการกระตุ้นให้คนทั่วโลกหันมาสนใจและอยากลิ้มลองอาหารไทยมากขึ้น

เช่นเดียวกับที่ซีรีส์ “Wedding impossible” กำลังสะกดผู้ชมทั่วโลก เถ้าแก่น้อย แบรนด์แห่งความภูมิใจของคนไทยกำลังดึงดูดผู้ชมให้กลายมาเป็นนักชิม เพื่อมาลิ้มลองเสน่ห์รสชาติอาหารไทยซึ่งโด่งดังข้ามพรมแดนเป็นที่โปรดปรานของคนทุกชาติทุกวัฒนธรรม

บิ๊กซี จับมือกรมการค้าภายใน กระทรวงพาณิชย์ และกลุ่มเกษตรกร วิสาหกิจชุมชน จัดงาน “เทศกาลผลไม้ไทย สดจากสวน สู่บิ๊กซี ปี 2567” คัดสรรผลไม้สดและผัก ส่งตรงจากสวนสู่ผู้บริโภค พร้อมจัด ‘บุฟเฟ่ต์ทุเรียนและผลไม้ไทย อิ่มไม่อั้น’ ในราคาสุดคุ้ม สมาชิกบิ๊กพอยต์เพียง 599 บาทตั้งแต่วันนี้ – 19 พฤษภาคม 2567 ที่บิ๊กซีสาขารัชดาภิเษก และบิ๊กซี 9 สาขา ที่ร่วมรายการ

นายอัศวิน เตชะเจริญวิกุล ประธานเจ้าหน้าที่บริหารและกรรมการผู้จัดการใหญ่ บริษัท บิ๊กซี ซูเปอร์เซ็นเตอร์ จำกัด (มหาชน) ห้างค้าปลีกในกลุ่มบีเจซี และคณะผู้บริหาร ให้การต้อนรับ นายวัฒนศักย์ เสือเอี่ยม อธิบดีกรมการค้าภายใน กระทรวงพาณิชย์ ประธานในพิธีเปิดงาน “เทศกาลผลไม้ไทย สดจากสวน สู่บิ๊กซี ปี 2567” เพื่อส่งเสริมผลผลิตกลุ่มผลไม้ไทยในฤดูกาล ช่วยยกระดับประเทศไทยสู่การเป็นเมืองหลวงผลไม้โลก และบิ๊กซีสนับสนุนการรับซื้อผลผลิตจากเกษตรกร พร้อมเป็นช่องทางกระจายผลผลิตผลไม้ไทยคุณภาพดีราคาประหยัดสู่ผู้บริโภค อาทิ ทุเรียนหมอนทอง ราชาผลไม้ไทย, มังคุด ราชินีผลไม้ไทย,เงาะ, ลองกองและลิ้นจี่ ที่บิ๊กซี ซูเปอร์เซ็นเตอร์ กว่า 200 สาขาทั่วประเทศ ตั้งแต่วันนี้ถึง 26 มิ.ย. 2567 พร้อมจัดกิจกรรมเอาใจสาวกทุเรียนและผลไม้ไทย กับ ‘บุฟเฟ่ต์ทุเรียนและผลไม้ไทย อิ่มไม่อั้น’ พิเศษสำหรับสมาชิกบิ๊กพอยต์ในราคาพิเศษ 599 บาท/ท่าน (จากราคาปกติ 699 บาท/ท่าน) ระหว่างวันที่ 15 – 19 พฤษภาคม 2567 ที่บิ๊กซี เพลส สาขารัชดาภิเษก และวันที่ 17 – 19 พฤษภาคม ที่บิ๊กซี 9 สาขา (เมกาบางนา, แฟชั่นไอส์แลนด์, ลาดพร้าว2, ติวานนท์, รังสิต 1, สุขสวัสดิ์, พระราม2-1, บางพลี, บิ๊กซี ฟู้ดเพลส เอเชียทีค)

นายอัศวิน กล่าวว่า “บิ๊กซี คัดสรรสุดยอดผลไม้ตามฤดูกาลและผักที่ส่งตรงจากสวนมาให้ลูกค้าได้เลือกซื้อในราคาคุ้มค่า รวมไว้ในงาน “เทศกาลผลไม้ไทย สดจากสวน สู่บิ๊กซี ปี 2567” พร้อมจัดกิจกรรม ‘บุฟเฟ่ต์ทุเรียนและผลไม้ไทย อิ่มไม่อั้น’ เพื่อตอบสนองความต้องการของลูกค้าทั้งชาวไทยและชาวต่างชาติที่ชื่นชอบทุเรียนซึ่งเป็นราชาของผลไม้ไทย ทั้งนี้เพื่อรองรับผลผลิตผลไม้ตามฤดูกาลและทุเรียนในภาคตะวันออกของไทย ที่ออกสู่ตลาดเป็นจำนวนมากในช่วงเดือนพฤษภาคม – มิถุนายน”

นายวัฒนศักย์ กล่าวว่า “บิ๊กซี ได้ให้การสนับสนุนภาครัฐและเกษตรกรมาโดยตลอด สำหรับครั้งนี้ก็ เช่นกัน บิ๊กซีเป็นส่วนสำคัญที่สามารถช่วยกระจายผลผลิตออกสู่ตลาดเป็นจำนวนมาก ในส่วนของผลไม้ไทยในปีนี้ รัฐบาลและกระทรวงพาณิชย์ โดยกรมการค้าภายในได้ เตรียมพร้อมมาตรการต่าง ๆ รองรับไว้แล้ว ทั้งเรื่องของการขนส่ง การรับซื้อ การกระจายผลผลิต ตลอดจนสภาพคล่องของผู้ประกอบการรายย่อยในการบริหารจัดเพื่อสร้างความมั่นใจให้กับพี่น้องเกษตรกรชาวสวนผลไม้”

“โดยในปีนี้บิ๊กซีวางแผนการรับซื้อผลไม้ฤดูกาล กว่า 15 ล้านกิโลกรัม หรือ 15,000 ตัน ซึ่งเพิ่มขึ้น 20 % จากปีก่อน มูลค่ารับซื้อกว่า 800 ล้านบาท มาจัดจำหน่ายที่บิ๊กซี ทุกสาขาทั่วประเทศ เพื่อสนับสนุนเกษตรกรไทย โดยบิ๊กซีจะเป็นช่องทางในการกระจายผลผลิตสู่ผู้บริโภคทั่วประเทศ ซึ่งไม่เพียงแต่ทำให้ลูกค้าบิ๊กซีได้บริโภค ผลไม้และผัก คุณภาพดี ส่งตรงจากสวนเท่านั้น แต่ยังเป็นส่วนช่วยให้เกษตกรไทยมีรายได้ที่มั่นคงและสร้างโอกาสการเติบโตอย่างยั่งยืนอีกด้วย” นายอัศวิน กล่าวเสริม

บิ๊กซี เราคัดสรรทุเรียนหลากหลายสายพันธุ์ ได้แก่ ทุเรียนหมอนทอง และทุเรียนเบญจพันธุ์ อาทิ ชะนี กระดุม พวงมณี และผลไม้ไทยยอดฮิต ได้แก่ มังคุด เงาะ ลองกอง สละ ลินจี่ แตงโม สัปปะรด ให้ผู้ลูกค้าได้เข้าถึงทุเรียนคุณภาพดีเกรดส่งออก ตลอดจนผักสดคุณภาพดี อาทิ กะหล่ำปลี ผักกาดขาว มะเขือเทศ และฟักทอง มาให้ลูกค้าได้เลือกซื้อ พร้อมจัดรายการส่งเสริมการขายอย่างต่อเนื่องเพื่อเพิ่มความคุ้มอีกขั้นให้กับสมาชิกบิ๊กพ้อยต์ บิ๊กซี

สำหรับ “บุฟเฟ่ต์ทุเรียนและผลไม้ไทย อิ่มไม่อั้น” 60 นาทีเต็ม โดยสามารถเลือกรับประทานได้ทั้งทุเรียนและผลไม้ตามฤดูกาลอื่น ๆ อาทิ ทุเรียนหมอนทอง, มังคุด, เงาะ, แตงโม, สัปปะรด ที่บิ๊กซี 10 สาขา โดยบิ๊กซี เพลส รัชดา จัดระหว่างวันที่ 15 – 19 พฤษภาคม เพียงเป็นสมาชิกบิ๊กพ้อยต์สามารถท่านบุฟเฟต์ได้ในราคา 599 บาท/ท่าน (จากปกติราคา 699 บาท/ท่าน) พร้อมเมนูพิเศษ ไม่ว่าจะเป็น ข้าวเหนียวทุเรียน ไอศกรีมกะทิ จำกัดจำนวนผู้เข้าร่วมรับประทานบุฟเฟต์รอบละ 80 ท่าน/รอบ แบ่งเป็น 7 รอบ/วัน ดังนี้

  • รอบที่ 1 เวลา 10.00-11.00 น.
  • รอบที่ 2 เวลา 11.30-12.30 น.
  • รอบที่ 3 เวลา 13.00-14.00 น.
  • รอบที่ 4 เวลา 14.30-15.30 น.
  • รอบที่ 5 เวลา 16.00-17.00 น.
  • รอบที่ 6 เวลา 17.30-18.30 น.
  • รอบที่ 7 เวลา 19.00-20.00 น.

สำหรีบอีก 8 สาขา โดยสาขาเมกาบางนา, แฟชั่นไอส์แลนด์, ลาดพร้าว2, ติวานนท์, รังสิต1, สุขสวัสดิ์, พระราม 2-1 และบางพลี จัดระหว่างวันที่ 17 – 19 พฤษภาคม ในราคาสมาชิก 599 บาท/ท่าน (จากปกติ 699บาท/ท่าน) จำนวนวันละ 3 รอบ

  • รอบที่ 1 เวลา 11.00-12.00 น.
  • รอบที่ 2 เวลา 14.00-15.00 น.
  • รอบที่ 3 เวลา 17.00 -18.00 น.

*หมายเหตุ: สามารถตรวจสอบที่นั่งได้ที่สาขาที่เข้ารับบริการ เงื่อนไขเป็นไปตามที่บริษัทกำหนด

และบิ๊กซี ฟู้ดเพลส เอเซียทีค จัดระหว่างวันที่ 17 – 19 พฤษภาคม ในราคา 799 บาท/ท่าน จำนวนวันละ 5 รอบ

  • รอบที่ 1 เวลา 15.30-16.30 น.
  • รอบที่ 2 เวลา 17.00-18.00 น.
  • รอบที่ 3 เวลา 18.30 -19.30 น.
  • รอบที่ 4 เวลา 20:00-21:00 น.
  • รอบที่ 5 เวลา 21:30-22:30 น.

*หมายเหตุ: สามารถตรวจสอบที่นั่งได้ที่สาขาที่เข้ารับบริการ เงื่อนไขเป็นไปตามที่บริษัทกำหนด

สามารถติดต่อซื้อบัตรบุฟเฟต์ล่วงหน้าได้ที่จุดบริการลูกค้า บิ๊กซี ที่บิ๊กซี เพลส สาขารัชดาภิเษก ชั้น 2 และสามารถจองผ่าน LINE STORE BIG C RATCHADA สำหรับอีก 9 สาขาที่ร่วมรายการสามารถ walk in เข้าร่วมกิจกรรมได้ที่หน้างาน และพิเศษสุด ๆ เฉพาะสมาชิกบิ๊กพอยต์ สามารถนำคะแนน 50 พอยต์ ไปแลกรับส่วนลดบัตรบุฟเฟ่ต์ทุเรียน 50 บาท/ท่าน (จำกัด 1 สิทธิ์ต่อสมาชิกบิ๊กพอยต์) ยกเว้นบิ๊กซี ฟู้ดเพลส เอเซียทีค สอบถามรายละเอียดเพิ่มเติมได้ที่จุดบริการลูกค้า หรือ ผ่านช่องทางเฟซบุ๊ก Big C

โรงพยาบาลบำรุงราษฎร์ ในฐานะผู้นำด้านการบริบาลสุขภาพและนวัตกรรมทางการแพทย์ ได้รับเกียรติจากศูนย์เชี่ยวชาญเฉพาะทางด้านระบบประสาทและการเคลื่อนไหวของระบบทางเดินอาหาร จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย ให้เป็นโรงพยาบาลเอกชนแห่งแรกและแห่งเดียวในประเทศไทย ที่ร่วมเป็นผู้สนับสนุนหลักในการจัดงานประชุมวิชาการระดับนานาชาติด้านระบบประสาทและการเคลื่อนไหวของระบบทางเดินอาหาร The Federation of Neurogastroenterology and Motility Meeting (FNM) 2024

ดร.อาทิรัตน์ จารุกิจพิพัฒน์ ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร โรงพยาบาลบำรุงราษฎร์ กล่าวว่า ตลอดระยะเวลา 43 ปี โรงพยาบาลบำรุงราษฎร์มุ่งมั่นสู่ความเป็นเลิศทางการแพทย์และนวัตกรรม โดยได้พัฒนาศูนย์ความเป็นเลิศทางการแพทย์มาอย่างต่อเนื่อง โรงพยาบาลบำรุงราษฎร์มีศูนย์ทางเดินอาหารและตับ ซึ่งเป็นหนึ่งในศูนย์ความเป็นเลิศทางการแพทย์ของโรงพยาบาลฯ ที่ได้รับความไว้วางใจจากผู้ป่วยทั่วโลก

การสนับสนุนการจัดงาน FNM 2024 นับเป็นการตอกย้ำถึงความทุ่มเทในการพัฒนาการแพทย์ด้านระบบประสาทและการเคลื่อนไหวของระบบทางเดินอาหารอีกครั้งหนึ่ง ซึ่งจะเป็นเวทีสำคัญที่เปิดโอกาสให้บุคลากรทางการแพทย์ได้เรียนรู้และสร้างเครือข่ายกับนักวิชาการและผู้เชี่ยวชาญทั่วโลก อีกทั้งยังเป็นการยกระดับด้านสาธารณสุขและสร้างชื่อเสียงให้ประเทศไทยในฐานะเจ้าภาพจัดงานประชุม และส่งเสริมให้ประเทศไทยเป็นศูนย์กลางความเป็นเลิศทางการแพทย์ระดับโลก

ศ.นพ. สุเทพ กลชาญวิทย์ ประธานจัดงาน FNM 2024 หัวหน้าศูนย์เชี่ยวชาญเฉพาะทางด้านระบบประสาทและการเคลื่อนไหวของระบบทางเดินอาหาร จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย และหัวหน้าศูนย์เฉพาะทางด้านการทำงานระบบทางเดินอาหาร โรงพยาบาลบำรุงราษฎร์ กล่าวว่า FNM 2024 เป็นงานประชุมวิชาการระดับนานาชาติด้านระบบประสาทและการเคลื่อนไหวของระบบทางเดินอาหาร ซึ่งเกิดขึ้นจากความร่วมมือขององค์กรชั้นนำทางด้านระบบประสาทและการเคลื่อนไหวของระบบทางเดินอาหาร ได้แก่ the American Neurogastroenterology and Motility Society (ANMS), the European Society of Neurogastroenterology and Motility (ESNM), the Asian Neurogastroenterology and Motility Association (ANMA), Australasian Neurogastroenterology & Motility Association (ANGMA) และ Sociedad Latinoamericana de Neurogastroenterología (SLNG)

การประชุม FNM เริ่มจัดครั้งแรกในปี 2014 และจัดขึ้นทุกสองปี เพื่อเป็นเวทีสำหรับการแลกเปลี่ยนความรู้และสร้างเครือข่าย โดยการนำนักวิจัยและแพทย์ที่มีความรู้ความชำนาญเกี่ยวกับโรคทางเดินอาหารทำงานผิดปกติกว่า 1,000 คน จากทั่วโลกมารวมตัวกัน โดยมุ่งหวังที่จะเสริมสร้างความเข้าใจเกี่ยวกับการเชื่อมโยงที่ซับซ้อนระหว่างระบบประสาทและระบบทางเดินอาหาร เพื่อพัฒนานวัตกรรมสำหรับการวินิจฉัยและการรักษาโรคที่เกิดจากทางเดินอาหารทำงานผิดปกติที่คนทั่วไปรู้จักกันดี ได้แก่ โรคกรดไหลย้อน โรคกระเพาะอาหาร ภาวะกระเพาะอาหารเคลื่อนไหวช้า โรคลำไส้แปรปรวน ภาวะท้องผูกเรื้อรัง เป็นต้น ความผิดปกติในระบบทางเดินอาหาร ถือเป็นปัญหาสุขภาพที่พบบ่อยมากในคนไทยและคนทั่วโลก ซึ่งมีผู้ป่วยเพิ่มมากขึ้นในแต่ละปี ทั้งนี้ เนื่องจากที่ผ่านมามีการแพร่ระบาดของโควิด-19 การประชุม FNM ครั้งที่ 5 จึงถูกเลื่อนจากปี 2022 เป็น 2024

การประชุม FNM 2024 ในปีนี้ จะจัดขึ้นในกรุงเทพฯ ประเทศไทย ในวันที่ 6-8 พฤศจิกายน 2567 ที่ศูนย์การประชุมแห่งชาติสิริกิติ์ โดยทางศูนย์เชี่ยวชาญเฉพาะทางด้านระบบประสาทและการเคลื่อนไหวของระบบทางเดินอาหาร จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย ได้รับเกียรติเป็นเจ้าภาพจัดงาน ร่วมกับทาง the Asian Neurogastroenterology and Motility Association ในฐานะที่ทางศูนย์เชี่ยวชาญเฉพาะทางด้านระบบประสาทและการเคลื่อนไหวของระบบทางเดินอาหาร จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย ซึ่งเป็นที่รู้จักและยอมรับในด้านวิชาการระดับนานาชาติ รวมถึงต่างชาติให้ความสนใจและไว้วางใจประเทศไทย ทั้งในด้านชื่อเสียงด้านการแพทย์ รวมถึงวัฒนธรรมและอาหาร ซึ่งเป็นเอกลักษณ์ที่โดดเด่นของประเทศไทย

โดยในงานจะมีวิทยากรผู้ทรงคุณวุฒิมากกว่า 100 ท่าน มานำเสนอการค้นพบและผลงานวิจัยล่าสุด ตั้งแต่การวิจัยทางวิทยาศาสตร์ขั้นพื้นฐานไปจนถึงการปฏิบัติทางคลินิก มีการประชุมสัมมนาเจาะลึกในหัวข้อที่น่าสนใจ เช่น หัวข้อ ‘การรับประทานอาหารและจุลินทรีย์ในลำไส้มีอิทธิพลต่อการเกิดโรคและการจัดการโรคที่เกิดจากปฏิสัมพันธ์ของสมองและลำไส้อย่างไร’ และ หัวข้อ ‘Asian focus’ ที่รวมประเด็นสำคัญเกี่ยวกับปัญหาด้านการทำงานของระบบทางเดินอาหารในเอเชียและตะวันออกกลาง เป็นต้น ซึ่งผู้เข้าร่วมจะได้เรียนรู้ผ่านมุมมองใหม่ที่สร้างสรรค์ สามารถนำความรู้ไปพัฒนาต่อ และสร้างเครือข่ายที่ยั่งยืนได้ในอนาคต

ผศ.นพ. ยุทธนา ศตวรรษธำรง หัวหน้าศูนย์ทางเดินอาหาร-ตับ โรงพยาบาลบำรุงราษฎร์ กล่าวว่า โรคระบบทางเดินอาหารและตับเป็นปัญหาที่พบได้บ่อยและเกิดขึ้นได้กับคนทุกเพศทุกวัย เนื่องจากพฤติกรรมการทานอาหาร สภาพแวดล้อมและการดำเนินชีวิตที่เปลี่ยนแปลงไปของคนในปัจจุบัน ทำให้พบผู้ที่มีอาการผิดปกติหรือเป็นโรคในระบบทางเดินอาหารและตับมากขึ้นทุกปี เช่น โรคกรดไหลย้อน โรคกระเพาะอาหารเรื้อรัง โรคลำไส้แปรปรวน โรคตับ โรคตับอ่อน เป็นต้น

ศูนย์ทางเดินอาหารและตับ โรงพยาบาลบำรุงราษฎร์ เราตระหนักถึงปัญหา และมุ่งหวังที่จะช่วยรักษาผู้ที่มีอาการหรือมีความผิดปกติในระบบทางเดินอาหารและตับอย่างครอบคลุม ทั้งโรคทั่วไปและโรคที่มีความซับซ้อน ที่ผ่านมา เรามุ่งมั่นพัฒนาตัวเราให้เป็นหนึ่งในใจของคนไทยและคนทั่วโลก โดยได้พัฒนาการรักษาอย่างต่อเนื่อง ในปี 2565 ศูนย์ทางเดินอาหารและตับ โรงพยาบาลบำรุงราษฎร์ ร่วมมือกับ ศูนย์เชี่ยวชาญเฉพาะทางด้านระบบประสาทและการเคลื่อนไหวของระบบทางเดินอาหาร คณะแพทยศาสตร์ จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย ซึ่งได้รับการยอมรับว่าเป็นศูนย์ที่ให้บริการตรวจและรักษาความผิดปกติของการทำงานของระบบทางเดินอาหารอันดับหนึ่งของประเทศไทยและมีชื่อเสียงระดับโลก เพื่อยกระดับมาตรฐานการรักษาให้ดียิ่งขึ้น

และต่อมาในปี 2566 ศูนย์ทางเดินอาหารและตับ ได้ต่อยอดขยายคลินิกเฉพาะทาง เพื่อพัฒนาการรักษาให้ครอบคลุมมากยิ่งขึ้น และทัดเทียมมาตรฐานโลก โดยมีคลินิกเฉพาะทางต่าง ๆ ประกอบไปด้วย คลินิกโรคทางเดินอาหารทั่วไป (General GI Center), ศูนย์เฉพาะทางด้านการทำงานระบบทางเดินอาหาร (Motility Center), ศูนย์ส่องกล้องทางเดินอาหาร (Endoscopy Center), โปรแกรมตับอ่อน (Pancreas program), คลินิกพันธุกรรมโรคระบบทางเดินอาหาร, คลินิกโรคลำไส้อักเสบเรื้อรัง (IBD Center), คลินิกโรคตับ (Liver Center) และคลินิกไมโครไบโอมแบบบูรณาการ (Integrative Microbiome Clinic)

ปัจจุบันเรามีวิวัฒนาการใหม่ ๆ เข้ามาช่วยเสริมประสิทธิภาพการวินิจฉัยรักษาได้ดีขึ้น เช่น การให้บริการตรวจคัดกรองโรคในทางเดินอาหารด้วยการส่องกล้องพร้อมระบบ AI detection ซึ่งช่วยให้สามารถเจอติ่งเนื้อได้มากขึ้นถึง 54% เมื่อเจอติ่งเนื้อในลำไส้หรือกระเพาะอาหาร แพทย์จะสามารถตัดชิ้นเนื้อเพื่อส่งตรวจวิเคราะห์หาสาเหตุได้ในทันที โดยการส่องกล้องไม่ต้องผ่าเปิดหน้าท้อง สิ่งเหล่านี้สะท้อนถึงความมุ่งมั่นในการแสวงหาสิ่งที่ดีที่สุดให้กับผู้ป่วยของเรามาโดยตลอด

ในปีนี้ โรงพยาบาลบำรุงราษฎร์ได้รับเกียรติให้เป็นผู้สนับสนุนหลักของงาน FNM 2024 นับเป็นความภาคภูมิใจในฐานะคนไทยที่ได้เป็นส่วนหนึ่งของงานประชุมวิชาการระดับนานาชาติครั้งนี้ที่ประเทศไทยเราเป็นเจ้าภาพ ซึ่งจะทำให้แพทย์ไทยเป็นที่รู้จักและยอมรับในเวทีทางวิชาการระดับนานาชาติ และแสดงถึงศักยภาพของไทยในฐานะประเทศที่เป็นผู้นำการประชุมวิชาการระดับโลกที่สำคัญ การประชุมนี้ไม่เพียงแต่จะช่วยส่งเสริมอุตสาหกรรมการดูแลสุขภาพ แต่ยังเป็นเวทีสำหรับนวัตกรรมทางการแพทย์และความร่วมมือในอนาคตของประเทศไทย ปัจจัยเหล่านี้จะเอื้อประโยชน์ต่อโครงสร้างพื้นฐานด้านการดูแลสุขภาพ สร้างแรงบันดาลใจให้กับวงการแพทย์ในประเทศ และท้ายที่สุดจะยกระดับมาตรฐานการดูแลผู้ป่วยทั่วทั้งภูมิภาค

ผู้สนใจสามารถลงทะเบียนเข้าร่วมงาน FNM 2024 หรือศึกษารายละเอียดและหัวข้อเสวนาเพิ่มเติมได้ที่ https://www.fnm2024.com/

‘โลกเดือด’ ในระดับที่มีผู้ได้รับผลกระทบมากขึ้น กินวงกว้างขึ้น และส่งผลให้เกิดความสูญเสียหลากหลายด้าน ‘ความยั่งยืน’ จึงยิ่งประเด็นที่หลายประเทศทั่วโลกเร่งขับเคลื่อนเพื่อลดผลกระทบโดยรอบ ไม่ว่าจะเป็นการออกนโยบายควบคุมการปล่อยก๊าซเรือนกระจกของภาครัฐและเอกชน การตั้งเป้าหมายความเพื่อสร้างความเป็นกลางทางคาร์บอน (Carbon Neutrality) การทำธุรกิจโดยคำนึงถึงสิ่งแวดล้อม สังคม และธรรมาภิบาล (ESG: Environment - Social - Governance) เพื่อร่วมสนับสนุน 17 เป้าหมายการพัฒนาที่ยั่งยืน (SDGs: Sustainable Development Goals) ฯลฯ

สำหรับภาคเอกชน องค์กรน้อยใหญ่ไม่ว่าจะในอุตสาหกรรมใด ต่างก็ต้องผลักดันเรื่องความยั่งยืน ผ่านสินค้าบริการ กิจกรรมการตลาด รวมถึงวัฒนธรรมและแนวทางการทำธุรกิจขององค์กร และหากดำเนินการเป็นกลุ่มธุรกิจ บริษัททั้งหมดในเครือก็ต้องดำเนินการเพื่อไปสู่เป้าหมายด้านความยั่งยืนร่วมกัน อาทิ ไซโก้ เอปสัน คอร์ปอเรชั่น ยักษ์ใหญ่แห่งอุตสาหกรรมการพิมพ์และการฉายภาพที่ดำเนินนโยบายด้านสิ่งแวดล้อมตั้งแต่แรกเริ่มธุรกิจ จนเป็นบริษัทแรกของโลกที่กำจัด สารซีเอฟซี (CFC: (Chlorofluorocarbons) ซึ่งทำลายชั้นโอโซนออกจากกระบวนการผลิตได้ทั้งหมด และยังเป็นบริษัทแรกในภาคอุตสาหกรรมการผลิตของประเทศญี่ปุ่นที่สามารถเปลี่ยนมาใช้ไฟฟ้าจากพลังงานหมุนเวียน 100% ตั้งแต่เดือนธันวาคม 2566

ดีเอ็นเอแห่งความยั่งยืน ผนวกกับการเข้าสนับสนุนเป้าหมายระดับโลก SDGs ส่งผ่านไปยังธุรกิจ ‘เอปสัน’ ที่กระจายอยู่ทั่วโลก รวมถึง เอปสัน ประเทศไทย ที่เล็งเห็นถึงสภาพแวดล้อมของโลกและประเทศไทยที่กำลังเผชิญผลกระทบเชิงลบมากมายและเกิดขึ้นอย่างรวดเร็วเกินกว่าจะนิ่งนอนใจได้ ยรรยง มุนีมงคลทร ผู้อำนวยการบริหาร บริษัท เอปสัน (ประเทศไทย) จำกัด

กล่าวถึง เอปสัน ประเทศไทยว่า ได้ขานรับ ‘Environmental Vision 2050’ นโยบายด้านสิ่งแวดล้อมระยะยาวขององค์กร และมุ่งมั่นที่จะสนับสนุนการขับเคลื่อน SDGs ขององค์การสหประชาชาติ โดยเฉพาะ ข้อที่ 13 ว่าด้วยการรับมือกับการเปลี่ยนแปลงของสภาพภูมิอากาศ (Climate Action) ผ่านการนำเสนอนวัตกรรมและโซลูชันการพิมพ์ที่ช่วยลดการปล่อยคาร์บอน และประหยัดการใช้พลังงานมากขึ้น นอกจากนี้ ยังดำเนินกิจกรรม CSR อย่างต่อเนื่องทุกปี เพื่อกระตุ้นการรับรู้และปลูกจิตสำนึกให้กับทั้งทุกกลุ่มที่เกี่ยวข้องตลอดซัพพลายเชนของการดำเนินธุรกิจ

“เราอยู่ในทศวรรษที่อุณหภูมิโลกสูงขึ้นเป็นประวัติการณ์และเห็นผลกระทบที่รุนแรงเกิดบ่อยขึ้นกับชีวิตผู้คนจำนวนมากขึ้น บริษัทจึงพยายามมาโดยตลอดที่จะสื่อสารกับทุกภาคส่วนที่เกี่ยวข้อง ทั้งผู้บริโภค องค์กรลูกค้า พันธมิตรทางธุรกิจ สื่อมวลชน รวมถึงชาวเอปสันเอง ถึงสิ่งที่ทุกคนสามารถช่วยกันทำได้ เพื่อลดผลกระทบเชิงลบต่อสิ่งแวดล้อม เช่น กิจกรรมการปลูกปะการังเทียมและการทำซั้งในทะเล เพื่อใช้เป็นแหล่งอาศัย แหล่งอาหาร และแหล่งหลบภัยของสัตว์น้ำ หรืองานสัมมนาให้ความรู้นักศึกษาและผู้ประกอบการรุ่นใหม่เกี่ยวกับการสร้างธุรกิจบนความยั่งยืนด้านสิ่งแวดล้อม รวมถึงกิจกรรมรณรงค์ลดการใช้ถุงพลาสติก การรีไซเคิลขยะพลาสติก”

“นอกจากนี้ อีกหนึ่งปัญหาที่เกิดกับประเทศไทยทุกๆ ปี ก็คือ ไฟป่า ซึ่งทำลายทรัพยากรป่าไม้ปีละเป็นหมื่นๆ ไร่ สร้างปัญหาฝุ่นควันและอากาศที่ร้อนขึ้นในหลายจังหวัด เอปสัน ประเทศไทย จึงช่วยขยายเสียงเพื่อร่วมสะท้อนถึงปัญหาที่ทำลายทั้งสุขภาพของคนไทย เศรษฐกิจและธรรมชาติของประเทศ โดยจัดแคมเปญ CSR ในปีที่ผ่านมาภายใต้ชื่อ ‘33 x Trees’ เพื่อสื่อถึงปีที่ 33 ของเอปสัน ประเทศไทย และความตั้งใจที่จะช่วยรักษาผืนป่าของประเทศไทย โดยชูประเด็นการอนุรักษ์และฟื้นฟูป่าไม้ที่สูญเสียไปจากไฟป่า”

แคมเปญดังกล่าวเน้นการมีส่วนร่วมของพนักงานเอปสันและครอบครัว รวมถึงสื่อมวลชน ในกิจกรรมเชิงปฏิบัติการ ซึ่งได้รับความอนุเคราะห์จากสถานีควบคุมไฟป่าเขาใหญ่ จังหวัดนครราชสีมา โดยเริ่มด้วย ‘เรื่องจริงของคนตีไฟ’ ด้วยวัตถุประสงค์ในการให้ความรู้เกี่ยวกับสาเหตุที่แท้จริงของการเกิดไฟป่า ปัญหาและผลกระทบ วิธีการป้องกันไฟป่า ทั้งยังได้รับประสบการณ์ ‘ฝึกดับไฟจริง’ โดยมีเจ้าหน้าที่ดับไฟป่าเป็นพี่เลี้ยง นอกจากนี้ เอปสัน ประเทศไทยยังบริจาคอุปกรณ์ที่จำเป็นต่อการทำภารกิจการควบคุมไฟป่าภายในอุทยานแห่งชาติเขาใหญ่ให้มีประสิทธิภาพยิ่งขึ้น เช่น กระเป๋าเดินป่า หม้อสนาม หัวแก๊สหุงต้มสนาม พร้อมแก๊สกระป๋อง ถุงเท้าข้อยาว และพาวเวอร์แบงก์

“กิจกรรมนี้ทำให้เราสัมผัสถึงความยากลำบากและความเสี่ยงของเจ้าหน้าที่ดับไฟป่าที่ต้องลาดตระเวนและดับไฟป่าที่เกิดขึ้นได้ทุกเมื่อตลอดระยะเวลา 7-8 เดือน กล่าวคือ ตั้งแต่ตุลาคมยาวไปถึงพฤษภาคมอีกปีจะเป็นช่วงระวังไฟป่า และในแต่ละปีก็มีผืนป่าทั่วประเทศเสียหายจากไฟป่าเป็นจำนวนมาก ซึ่งสาเหตุให้เกิดไฟป่าเกือบทั้งหมดมาจากฝีมือมนุษย์ และกว่าจะฟื้นฟูผืนป่าเหล่านี้ได้ต้องใช้เวลานานกว่าที่ป่าถูกเผาไปหลายสิบเท่า การป้องกันจึงมีความสำคัญอย่างยิ่ง และการป้องกันที่ดีที่สุดคือ การป้องกันคน”

ต่อจาก ‘เรื่องจริงของคนตีไฟ’ คือ ‘พิธีบวชป่าลับแล’ ที่คณะพนักงานและสื่อมวลชนร่วมเป็นเจ้าภาพพิธีบวชป่าครั้งแรกของป่าชุมชนเขาขลุง อำเภอบ้านโป่ง จังหวัดราชบุรี ทั้งยังได้ปลูกต้นสักเพิ่มให้กับเขาลูกนี้ด้วย และได้รับความร่วมมือเป็นอย่างดีจากผู้ใหญ่และชาวหมู่บ้านสระสี่มุม

ส่วนเหตุผลที่เอปสันเลือกทำกิจกรรมที่ป่าแห่งนี้ เพราะเป็นตัวอย่างของป่าที่ครั้งหนึ่งเคยถูกทำให้เสื่อมโทรม เนื่องจากในอดีต ชาวบ้านขึ้นมาตัดไม้ ล่าสัตว์ เผาป่า และจับจองพื้นที่ทำไร่ ทำให้ผืนป่าลดลง เขาขลุงจึงเปลี่ยนสภาพเป็นภูเขาหัวโล้น จนในปี 2530 ที่เริ่มมีการฟื้นฟู ชาวบ้านทำข้อตกลงร่วมกันในการหยุดตัดไม้และปล่อยให้ป่าฟื้นตัวตามธรรมชาติ ทั้งยังช่วยกันปลูกต้นไม้พันธุ์ต่างๆ มาตลอด จนป่าฟื้นคืนสภาพและได้ขึ้นทะเบียนเป็นป่าชุมชนในปี 2562

ปัจจุบัน ป่าเขาขลุงเป็นทั้งถิ่นที่อยู่ของสัตว์ป่า เป็นแหล่งอาหารและแหล่งรายได้ของชุมชน ทั้งยังเป็นแหล่งเรียนรู้ความหลากหลายทางชีวภาพที่หลายสถาบันมาศึกษากันไม่ขาด จึงเรียกได้ว่าเป็นป่าที่ได้รับการฟื้นฟูจนกลับมาอุดมสมบูรณ์อีกครั้ง...ด้วยฝีมือมนุษย์

“เอปสันยังเลือกจัดกิจกรรมที่ป่าเขาขลุง โดยอ้างอิงจากผู้ใหญ่บ้านว่า ป่าแห่งนี้ยังไม่เคยมีพิธีบวชป่า อย่างน้อยก็ในช่วงสามถึงสี่ชั่วอายุคน ซึ่งพิธีบวชป่าเป็นพิธีกรรมทางศาสนาพุทธที่ถูกคิดขึ้นมาเพื่อเป็นกุศโลบายให้ผู้คนรู้จักคุณค่าและความสำคัญของป่า ด้วยการสร้างความเชื่อที่ว่า ผืนป่าที่ผ่านพิธีบวชเช่นเดียวกับการบวชพระและต้นไม้ที่ถูกห่มด้วยจีวรจะมีสิ่งศักดิ์สิทธิ์ปกปักรักษา จะถูกผู้ใดมาบุกรุกทำลายไม่ได้ เมื่อคนไม่กล้าตัด ต้นไม้ก็จะเติบโตเป็นป่าต่อไป กิจกรรมนี้จึงช่วยเพิ่มความสำคัญให้กับป่าเขาขลุงและเพิ่มโอกาสที่ป่านี้จะอุดมสมบูรณ์ยิ่งขึ้น”

ตามมาด้วยกิจกรรมสุดท้ายคือ ‘คาราวานสังฆทานต้นไม้’ ซึ่งเป็นส่วนหนึ่งของกิจกรรมท่องเที่ยวเชิงศรัทธา ที่จังหวัดลำปาง โดยเอปสัน ประเทศไทยจัดขบวนรถม้าพาพนักงานและคณะสื่อมวลชนออกจากสถานีรถไฟนครลำปาง ซึ่งเป็นจุดที่รถม้าคันแรกเดินทางมาถึงและเริ่มออกวิ่งที่เมืองลำปางเมื่อ 108 ปีที่แล้ว มุ่งหน้าไปยังวัดเก่าแก่ 3 วัด ได้แก่ วัดศรีรองเมือง วัดไชยมงคล และวัดศรีชุม เพื่อร่วมกันถวายต้นกล้าพะยูงจำนวน 333 ต้น เป็นพุทธบูชาให้วัดนำไปปลูกและแจกจ่ายญาติโยมต่อไป ทั้งยังประกอบพิธีและประเพณีสำคัญประจำแต่ละวัด เช่น พิธีล้างพระพักตร์พระมหามัยมุนีที่วัดไชยมงคล การห่มพระธาตุที่วัดศรีชุม โดยความเชื่อมโยงของวัดทั้งสามอยู่ที่การเป็นวัดซึ่งถูกสร้างขึ้นโดยคหบดีชาวพม่าที่เข้ามาทำป่าไม้ทั้งสิ้น จึงต้องการสร้างวัดเพื่อเป็นพุทธบูชาและขอขมาที่ทำลายบ้านของรุกขเทวดาลง

นอกจากกิจกรรมลงพื้นที่แล้ว เอปสัน ประเทศไทยยังเชิญ วัธนา บุญยัง นักเขียนสารคดี นิยาย และเรื่องสั้นแนวพงไพรที่ดีที่สุดคนหนึ่งของประเทศไทย ผู้แต่งนวนิยายเรื่อง ‘ใบไม้ร่วงในป่าใหญ่’ ซึ่งได้รับรางวัลชมเชย จากงานสัปดาห์หนังสือแห่งชาติ ปี 2531 และรางวัลชมเชย เซเว่นบุ๊คส์อะวอร์ด ปี 2546 มาแบ่งปันเรื่องราวจากพงไพร ประสบการณ์การท่องป่า ความเชื่อและสิ่งลี้ลับ ในสารคดีชุด ‘Tale from the Wild’

“แคมเปญ ‘33 x Trees’ เป็นชุดความพยายามของเอปสัน ประเทศไทยในปีที่ผ่านมา หลังจากนี้บริษัทจะยังคงสร้างสรรค์กิจกรรมส่งเสริมความยั่งยืนด้านสิ่งแวดล้อมอย่างต่อเนื่อง เพื่อสนับสนุนวิสัยทัศน์ของไซโก้ เอปสัน ในการเป็นองค์กรที่ปล่อยคาร์บอนเป็นลบ และยุติการใช้ทรัพยากรใต้ดินให้ได้ภายในปี 2050 พร้อมลดผลกระทบต่อสิ่งแวดล้อมทั้งในส่วนที่เกี่ยวข้องกับกระบวนการผลิต ตัวผลิตภัณฑ์ การให้บริการ และตลอดซัพพลายเชน โดยบริษัทจะทำงานร่วมกับพันธมิตรที่มีประสิทธิภาพและมีจุดยืนเดียวกัน เพื่อกระตุ้นความตระหนักรู้เรื่องความยั่งยืนและเปลี่ยนแปลงพฤติกรรมของผู้ที่มีส่วนเกี่ยวข้องกับธุรกิจของเอปสันให้ได้มากที่สุด” ยรรยงกล่าว

Page 4 of 625
X

Right Click

No right click