September 28, 2024

อ้ก ดิจิทัล ผู้ให้บริการธุรกิจด้านวิเคราะห์ข้อมูลขนาดใหญ่ ให้บริการสื่อโฆษณาครบวงจรและการให้คำปรึกษาด้านการตลาดดิจิทัลสัญชาติไทย ใช้พลังการผสานการทำงานระหว่าง AI, ML, อินไซท์เชิงลึก, สื่อ O4 (Online, OOH, On-Premise, On-Ground) และมาร์เทคโซลูชัน โชว์ศักยภาพนักสร้างสรรค์กลยุทธ์การสื่อสารและโฆษณาสุดเจ๋ง พาแบรนด์ลูกค้ากวาด 5 รางวัลใหญ่ จากเวทีระดับนานาชาติ Marketing Excellence Awards 2024 Thailand จัดโดยนิตยสาร MARKETING-INTERACTIVE ประเทศสิงคโปร์

โดยเอ้ก ดิจิทัลคว้ารางวัลระดับ Gold 1 รางวัล ระดับ Silver 1 รางวัล และระดับ Bronze 3 รางวัล ตอกย้ำความสำเร็จในฐานะพาร์ทเนอร์ด้านโฆษณาและการตลาดดิจิทัลที่มีศักยภาพแข็งแกร่งได้อีกครั้ง การันตีด้วยผลงานคุณภาพที่กวาดรางวัลทั้งเวทีการตลาดในประเทศไทยและระดับภูมิภาคมากมาย

เอ้ก ดิจิทัล ขยายธุรกิจสู่ที่ปรึกษาด้านวิเคราะห์ข้อมูล การทำตลาดดิจิทัล สื่อในห้างค้าปลีก และการวางแผนโฆษณาครบวงจรเมื่อปี 2022 และด้วยจุดแข็งของการผสานพลังความเชี่ยวชาญ (The Power of Collaboration) ด้าน AI, First-Party Data & Second-Party Data 360/720 องศา และพลังสมองของผู้เชี่ยวชาญนิวเจน ทั้งทีมกลยุทธ์, ทีมนักวิทยาศาสตร์ข้อมูล, ทีมดูแลลูกค้า และทีมปฏิบัติการ ทำให้สร้างสรรค์แคมเปญโฆษณาและการตลาดที่ตอบโจทย์ลูกค้า โดนใจผู้บริโภค และสอดคล้องกับสื่อยุคใหม่จนกวาดรางวัลจากเวทีระดับประเทศและนานาชาติมามากมาย ล่าสุด ธุรกิจ Media Convergence และธุรกิจ MarTech Solution พาแคมเปญของลูกค้าคว้า 5 รางวัลใหญ่เวที Marketing Excellence Awards 2024 Thailand จากผลงานเข้ารอบชิงชนะเลิศทั้งหมด 13 รางวัลใน 9 สาขา ถือเป็นเครื่องการันตีความสำเร็จและศักยภาพของเอ้ก ดิจิทัลเป็นอย่างดี

 

นายชัชพล องนิธิวัฒน์ ผู้จัดการทั่วไป ธุรกิจ Media Convergence บริษัท เอ้ก ดิจิทัล จำกัด กล่าวว่า “ด้วยการทำงานแบบเพื่อนคู่คิดกับคู่ค้า ประสบการณ์ความเชี่ยวชาญของทีมงานและความครบเครื่องของแพลตฟอร์ม MediaFusion ที่ดูแลครบวงจรตั้งแต่การวิเคราะห์พฤติกรรมผู้บริโภค จับเทรนด์อินไซท์เชิงลึกของกลุ่มเป้าหมายพร้อมชี้โอกาสสำคัญต่อยอดขายให้กับแบรนด์แบบวัดผลได้ ทำให้เราคว้ารางวัลระดับ Gold สาขา “Excellence in Omnichannel” ได้เป็นปีที่ 2 ติดต่อกัน ระดับ Silver สาขา “Excellence in Personalisation Marketing’ ระดับ Bronze สาขา ‘Excellence in Launch Marketing’ และสาขา ‘Excellence in Omnichannel’ เป็นเครื่องพิสูจน์ว่า เอ้ก ดิจิทัล สามารถวิเคราะห์ สร้างกลยุทธ์และวางแผนปฎิบัติการพร้อมแนะนำส่วนผสมในการเลือกกลุ่มเป้าหมาย โลเคชันและการใช้สื่อ O4 ได้อย่างสร้างสรรค์ แม่นยำและมีประสิทธิภาพทั้งสื่อ Online Personalization, OOH Shoppers’ Digital Screen, On-Premise Retail media, On-Ground Activation”

 

นางสาวรัฐธีร์ เจริญรัตน์วรกุล ผู้จัดการทั่วไป ธุรกิจ MarTech Solution บริษัท เอ้ก ดิจิทัล จำกัด กล่าวว่า “ทางธุรกิจ มุ่งเน้นการขับเคลื่อนด้วยข้อมูลและเทคโนโลยี AI/ML พร้อมกับนำเสนอโซลูชันการตลาดดิจิทัลที่ครบวงจรผ่านแพลตฟอร์มเดียว (One Platform) ที่เชื่อมต่อข้อมูลกลุ่มเป้าหมายจากหลายแหล่งเข้าสู่ระบบเดียวกัน ทำให้สามารถวิเคราะห์และเข้าใจพฤติกรรมของกลุ่มเป้าหมายได้อย่างลึกซึ้ง สร้างโอกาสทางธุรกิจด้วยข้อมูลที่มีความแม่นยำสูง โดยนำเสนอประสบการณ์เฉพาะเจาะจงและตรงความต้องการของกลุ่มเป้าหมาย ซึ่งช่วยให้การเพิ่มยอดขายเป็นไปอย่างมีประสิทธิภาพ ทั้งยังสามารถ

ขยายฐานข้อมูลผ่านพันธมิตรและคู่ค้าต่างๆ ปัจจุบันเรามีโซลูชันทางการตลาดที่ครอบคลุม ทั้งระบบบริหารความสัมพันธ์ลูกค้า (Advanced CRM), บริการวิเคราะห์ข้อมูล (Analytic Service), ระบบอัตโนมัติสำหรับการตลาด (Marketing Automation), การสื่อสารเชิงสร้างสรรค์แบบปรับเปลี่ยนได้ (Adaptive Creative Communication) และเทคโนโลยีโฆษณา (Advertising Tech) ซึ่งการสร้างกลยุทธ์การตลาดด้วยการใช้ข้อมูลให้เกิดประสิทธิภาพสูงสุดและสามารถวัดผลลัพธ์ได้อย่างเป็นรูปธรรม ด้วยจุดแข็งเหล่านี้ทำให้เราคว้ารางวัลระดับ Bronze สาขา ‘Excellence in Loyalty Marketing’ มาได้สำเร็จ”

ในปีนี้ Marketing Excellence Awards 2024 Thailand จัดประกวดถึง 43 หมวด มีผลงานร่วมประกวดกว่า 402 แคมเปญ โดยตัวอย่างผลงานโดดเด่นของเอ้ก ดิจิทัลที่ได้รับรางวัลในปีนี้ ได้แก่

· แคมเปญ The Extreme Lime Experience แบรนด์ Coke Zero Lime คว้ามาได้ 2 รางวัล รางวัลระดับ Gold สาขา Excellence in Omnichannel และระดับ Bronze สาขา Excellence in Launch Marketing ด้วยการใช้ AI วิเคราะห์และแบ่งกลุ่มเป้าหมายที่สอดคล้องกับพฤติกรรมการดื่มเครื่องดื่มไม่มีน้ำตาล ซึ่งแบ่งออกเป็น 1) กลุ่มมิลเลเนียล 2) กลุ่มคนรักสุขภาพ 3) กลุ่มคนที่ดื่มเป็นครั้งคราวและเพื่อสังคม วางกลยุทธ์การสื่อสารผ่าน Omnichannel Media ที่ประสานการทำงานของสื่อ O2O ได้แก่ สื่อ Online และสื่อ Out-of-Home หรือ Shoppers’ Digital Screen รวมถึงเสนอแนวทางสร้างประสบการณ์ตรงกับผู้บริโภคที่หน้าร้าน โดยใช้สื่อที่หลากหลายเพื่อกระตุ้นให้เกิดการซื้อ ซึ่งกลยุทธ์นี้ช่วยเพิ่มยอดขายให้กลุ่มโค้กสูตรไม่มีน้ำตาลได้ถึง 55% เมื่อเทียบกับช่วงก่อนแคมเปญ รวมถึงสามารถเพิ่มลูกค้าใหม่ในช่วงแคมเปญนี้ได้ถึง 49% ของฐานผู้ซื้อทั้งหมด

· แคมเปญ The Lucky Draw แบรนด์ Dreamy คว้ารางวัลระดับ Bronze สาขา Excellence in Loyalty Marketing ด้วยการยกระดับ CRM Platform ให้ขับเคลื่อนด้วยข้อมูล โดยใช้ AI และ Data Analysis มาช่วยรวบรวมข้อมูลและวิเคราะห์พฤติกรรมลูกค้าและร้านค้าเป้าหมาย โดยพัฒนาฟังก์ชันบนแพลตฟอร์มให้ครอบคลุมการสร้างประสบการณ์ที่หลากหลาย ทั้งรายละเอียดเมนู, ดีลพิเศษสำหรับร้านค้า, Loyalty Platform, ระบบสะสมและใช้คะแนน และสิทธิพิเศษต่างๆ นอกจากนี้ได้สร้างสรรค์แคมเปญ Lucky Draw 'ล่าภาพลุ้นทอง' ซื้อผลิตภัณฑ์ Dreamy ลุ้นรับทองง่ายๆ โดยตลอดแคมเปญระบบ CRM มีผู้ลงทะเบียนใหม่เพิ่มขึ้น 930.70% และในช่วงแคมเปญยังเพิ่มยอดขายผลิตภัณฑ์ได้ถึง 56.62%

พลังของการผสานจุดแข็งรอบด้านทำให้เอ้ก ดิจิทัลได้รับความไว้วางใจจากลูกค้ามาอย่างต่อเนื่อง ปัจจุบันมีฐานลูกค้าในหลากหลายอุตสาหกรรมรวมกว่า 400 แบรนด์ ซึ่งเอ้ก ดิจิทัล พร้อมที่จะเป็นพาร์ทเนอร์สำหรับองค์กรธุรกิจทุกขนาด เพื่อช่วยทุกธุรกิจปลดล็อกศักยภาพด้านการตลาด การสื่อสาร และการใช้สื่อในยุคดิจทัล พร้อมขับเคลื่อนธุรกิจให้เติบโตอย่างก้าวกระโดดไปพร้อมกัน

การ์ทเนอร์คาดการณ์ว่าในอีกสามปี (พ.ศ. 2570) 40% ของโซลูชัน Generative AI จะทำงานในแบบมัลติโหมดที่จะสามารถประมวลผล ทำความเข้าใจและทำงานร่วมกับข้อมูลได้มากกว่าหนึ่งประเภท (อาทิ ข้อความ, รูปภาพ, เสียง และวิดีโอ) ซึ่งเพิ่มขึ้นจาก 1% ในปี 2566 โดยการเปลี่ยนแปลงนี้ทำให้ Human-AI มีปฏิสัมพันธ์ที่พัฒนายิ่งขึ้น และยังมอบโอกาสที่จะสร้างความต่างให้กับสิ่งที่ GenAI มีให้

เอริค เบรทเดอนิวซ์ รองประธานฝ่ายวิจัยการ์ทเนอร์ กล่าวว่า “เนื่องจากตลาด GenAI วิวัฒน์ไปสู่โมเดลที่เกิดและพัฒนาด้วยโหมดต่าง ๆ มากกว่าหนึ่งโหมด สิ่งนี้ช่วยสะท้อนภาพความสัมพันธ์ระหว่างข้อมูลที่ส่งออกมาในปริมาณมากและเพิ่มขึ้นต่อเนื่องที่แตกต่างกัน และมีศักยภาพในการปรับขนาดการใช้และเพิ่มประโยชน์ของ GenAI ให้ครอบคลุมประเภทข้อมูลและแอปพลิเคชันทั้งหมด นอกจากนี้ยังช่วยให้ AI สนับสนุนการทำงานของมนุษย์ได้มากขึ้นโดยไม่คำนึงถึงสภาพแวดล้อม”

Multimodal GenAI เป็นหนึ่งในสองเทคโนโลยีที่ได้รับการระบุไว้ในรายงาน Gartner Hype Cycle for Generative AI ปีนี้ โดยการนำมาใช้ช่วงแรกอาจสร้างความได้เปรียบในการแข่งขันที่สำคัญและเพิ่มประสิทธิภาพในด้านระยะเวลาในการนำออกสู่ตลาด ควบคู่ไปกับโมเดลภาษาโอเพนซอร์สขนาดใหญ่ (LLM) ทำให้เทคโนโลยีทั้งสองมีศักยภาพที่จะสร้างผลกระทบสูงต่อองค์กรอย่างสูงภายในห้าปีข้างหน้านี้  บรรดานวัตกรรม GenAI ที่การ์ทเนอร์คาดว่าจะได้รับการยอมรับแพร่หลายภายใน 10 ปีนั้น มีเทคโนโลยี 2 ประเภทที่ได้รับการระบุว่ามีศักยภาพสูงสุด ได้แก่ Domain-Specific GenAI Models และ Autonomous Agents

อรุณ จันทรเศกการัน รองประธานฝ่ายวิจัยของการ์ทเนอร์ กล่าวว่า “การวิเคราะห์แนวโน้มระบบนิเวศของ GenAI ยังคงเป็นเรื่องยากสำหรับองค์กร เนื่องจากระบบนิเวศของเทคโนโลยีนี้และผู้ผลิตหรือผู้ให้บริการเทคโนโลยีนั้นมีการเปลี่ยนแปลงอย่างรวดเร็ว โดย GenAI กำลังอยู่ในช่วงขาลงเมื่ออุตสาหกรรมเริ่มรวมตัวเข้าด้วยกัน ทว่าประโยชน์ที่แท้จริงจะเกิดขึ้นเมื่อกระแสนี้ลดลง และตามมาด้วยขีดความสามารถที่ก้าวหน้าขึ้นจะเกิดขึ้นรวดเร็วไปอีกมากในอีกไม่กี่ปีข้างหน้านี้”

 

Multimodal GenAI

Multimodal GenAI จะมีผลกระทบต่อแอปพลิเคชันองค์กรอย่างมาก จากการเพิ่มคุณสมบัติและฟังก์ชันใหม่ ๆ ที่วิธีอื่น ๆ ทำไม่ได้ และผลกระทบนั้นไม่ได้จำกัดอยู่แค่เฉพาะอุตสาหกรรมหรือยูสเคสการใช้งานเฉพาะเท่านั้น แต่ยังสามารถนำไปประยุกต์ใช้ในทุก Touchpoint ระหว่าง AI กับมนุษย์ ปัจจุบัน Multimodal Model หลาย ๆ ตัวยังมีข้อจำกัดอยู่เพียงสองหรือสามโหมดเท่านั้น แต่อีกไม่กี่ปีข้างหน้าจะเพิ่มขึ้นเพื่อให้ครอบคลุมมากขึ้น

“ในโลกความเป็นจริง ผู้คนจะพบเจอและเข้าใจข้อมูลผ่านการประมวลผลที่เป็นการผสมผสานของข้อมูลหลากหลายประเภท อาทิ เสียง ภาพและการสัมผัส โดย Multimodal GenAI นั้นมีความสำคัญอย่างยิ่ง เนื่องจากข้อมูลโดยทั่วไปนั้นจะประกอบด้วยประเภทต่าง ๆ อยู่แล้ว เมื่อนำ Single Modality Models มาประกอบเข้าด้วยกันเพื่อรองรับแอปพลิเคชัน Multimodal GenAI มักส่งผลให้เกิดความล่าช้าและลดความแม่นยำของผลลัพธ์ ส่งผลให้ได้รับประสบการณ์ที่มีคุณภาพต่ำ” เบรทเดอนิวซ์ กล่าวเพิ่ม

Open-Source LLMs LLM แบบโอเพ่นซอร์สเป็นโมเดลพื้นฐานการเรียนรู้เชิงลึกที่เร่งมูลค่าองค์กรจากการนำ GenAI ไปปรับใช้งาน โดยทำให้การเข้าถึงเชิงพาณิชย์ได้อย่างเสรีและอนุญาตให้ผู้พัฒนาปรับแต่งโมเดลให้เหมาะกับงานและยูสเคสการใช้งานเฉพาะ นอกจากนี้ ยังสามารถเข้าถึงชุมชนนักพัฒนาในองค์กร สถาบันการศึกษา และบทบาทการวิจัยอื่น ๆ ที่กำลังทำงานเพื่อเป้าหมายร่วมกันปรับปรุงและทำให้โมเดลนี้มีคุณค่ามากขึ้น

“LLM แบบโอเพ่นซอร์สเพิ่มศักยภาพด้านนวัตกรรมผ่านการปรับแต่งอย่างเหมาะสม ทำให้การควบคุมความเป็นส่วนตัวและความปลอดภัยดีขึ้น โมเดลมีความโปร่งใส มีความสามารถเพิ่มจากการพัฒนาร่วมกัน และมีศักยภาพในการลดการผูกขาดของผู้ขาย ท้ายที่สุดแล้ว LLM นำเสนอโมเดลขนาดเล็กกว่าให้กับองค์กร ซึ่งฝึกฝนได้ง่ายและมีค่าใช้จ่ายน้อยกว่า และเปิดใช้งานแอปพลิเคชันทางธุรกิจและกระบวนการทางธุรกิจหลัก” จันทราเสการัน กล่าวเพิ่ม

 

Domain-Specific GenAI Models

Domain-Specific GenAI Models ได้รับการพัฒนาเพื่อตอบสนองต่อความต้องการของอุตสาหกรรม ฟังก์ชันทางธุรกิจ หรือภารกิจที่มีความเฉพาะ โดยโมเดลเหล่านี้สามารถเพิ่มประสิทธิภาพของการจัดวางยูสเคสการใช้งานภายในองค์กรได้ พร้อมมอบความแม่นยำ ความปลอดภัย และความเป็นส่วนตัวที่ดีกว่า รวมถึงคำตอบที่เข้าใจบริบท ซึ่งช่วยลดความจำเป็นในการออกแบบข้อความที่ใช้สื่อสารกับโมเดล AI เทียบกับโมเดล AI ที่พัฒนามาเพื่อวัตถุประสงค์ทั่วไป และยังสามารถลดความเสี่ยงจากกรณีที่ AI อาจสร้างภาพหลอนขึ้นมาเอง (Hallucination Risks) จากการฝึกฝนที่เน้นการกำหนดเป้าหมาย

“Domain-specific models สามารถร่นระยะเวลาส่งมอบบริการตามความต้องการ (Time to Value) ประสิทธิภาพเพิ่มขึ้นและมีความปลอดภัยสูงขึ้นสำหรับโครงการ AI ต่าง ๆ โดยการนำเสนอจุด Start ที่ก้าวล้ำกว่าสำหรับงานอุตสาหกรรมเฉพาะ สิ่งนี้จะส่งเสริมการนำ GenAI มาใช้อย่างแพร่หลายมากขึ้น เนื่องจากองค์กรต่าง ๆ จะสามารถนำไปประยุกต์ใช้ในยูสเคสที่ General-Purpose Models ไม่มีประสิทธิภาพเพียงพอ” จันทราเสการัน กล่าวเพิ่ม

Autonomous Agents

Autonomous Agents คือ ระบบรวม (Combined Systems) ที่สามารถบรรลุเป้าหมายที่กำหนดไว้ได้โดยปราศจากมนุษย์ โดยใช้เทคนิค AI ที่หลากหลายในการระบุรูปแบบของสภาพแวดล้อม การตัดสินใจ การจัดลำดับการดำเนินการและสร้างผลลัพธ์ โดยตัวแทนเหล่านี้มีศักยภาพเรียนรู้จากสภาพแวดล้อมและปรับปรุงตลอดเวลา ทำให้สามารถจัดการงานที่ซับซ้อนได้

“Autonomous Agents เป็นการเปลี่ยนแปลงครั้งสำคัญของความสามารถ AI โดยความสามารถดำเนินการและตัดสินใจได้อย่างอิสระช่วยปรับปรุงการดำเนินธุรกิจ สร้างประสบการณ์ที่ดีให้กับลูกค้า และใช้ในการเปิดตัวผลิตภัณฑ์และบริการใหม่ ๆ ส่งผลให้ประหยัดต้นทุนและมีความได้เปรียบทางการแข่งขัน นอกจากนี้ยังเปลี่ยนบทบาทของทีมงานในองค์กรจากการส่งมอบ (Delivery) เป็นการควบคุมดูแล (Supervision) แทน”

Salesforce (NYSE: CRM) ผู้นำ CRM AI  ชั้นนำของโลก  ได้ประกาศแผนการขยายโอกาสในการพัฒนาทักษะ ด้วยการเปิดให้ทุกคนสามารถเข้ารับการฝึกอบรมด้าน AI ได้ฟรีแบบไม่เสียค่าใช้จ่าย โดย Salesforce จะเปิดอบรมหลักสูตร AI ขั้นสูงและให้การรับรองมาตรฐานด้าน AI ผ่านทางแพลตฟอร์มการเรียนรู้ออนไลน์ Trailhead ซึ่งจะเปิดให้บริการฟรีจนถึงสิ้นปี 2025

นอกจากนี้แล้ว Salesforce ยังจะเปิดพื้นที่ใหม่ ณ สำนักงานใหญ่ในเมืองซานฟรานซิสโก ซึ่งจะประกอบด้วยศูนย์ AI Center ชั่วคราวสำหรับจัดการฝึกอบรม AI เพื่อให้ผู้ที่สนใจเข้ามาแลกเปลี่ยนและเรียนรู้กันได้ภายในสถานที่ ในพื้นที่เหล่านี้ยังจะมีการจัดฝึกอบรมเพิ่มทักษะการใช้เครื่องมือ AI และ Agent ต่าง ๆ สำหรับพนักงาน โครงการทั้งหมดนี้นับเป็นการลงทุนมูลค่ากว่า 50 ล้านดอลลาร์สหรัฐฯ (ประมาณ 1.6 พันล้านบาท) เพื่อช่วยยกระดับความสามารถให้กับพนักงาน และลดช่องว่างทางทักษะด้าน AI ที่กำลังขยายตัวเพิ่มขึ้น

ผลการวิจัยโดย Slack พบว่า ผู้บริหารระดับสูงมองว่าการนำเครื่องมือ AI มาใช้ในการดำเนินธุรกิจเป็นเรื่องที่มีความสำคัญเร่งด่วนมากขึ้นถึง 7 เท่า ภายในระยะเวลาเพียง 6 เดือนที่ผ่านมา และมองว่าเป็นประเด็นสำคัญที่สุดในขณะนี้ มากกว่าปัญหาเงินเฟ้อหรือสภาวะเศรษฐกิจโดยรวม อย่างไรก็ตาม ผลการวิจัยฉบับนี้ยังพบว่าพนักงานกว่าสองในสามยังไม่ได้ใช้งานเทคโนโลยี AI ในการทำงาน และมีเพียง 15% ของพนักงานเท่านั้นที่มองว่าตนเองได้รับความรู้และทักษะที่เพียงพอสำหรับการใช้งาน AI อย่างมีประสิทธิภาพ

ไบรอัน มิลแฮม (Brian Millham) ประธานบริษัทและประธานเจ้าหน้าที่ฝ่ายปฏิบัติการของ Salesforce กล่าวว่า “การมาถึงของเทคโนโลยี AI และ Agent เป็นการเปลี่ยนแปลงทางเทคโนโลยีที่ยิ่งใหญ่ที่สุดในยุคของพวกเรา และสิ่งนี้จะเปลี่ยนวิธีการทำงานของผู้คนไปอย่างสิ้นเชิง” และเสริมว่า “เราจำเป็นต้องมั่นใจว่าทุกคนมีทักษะที่จำเป็น เพื่อที่จะประสบความสำเร็จในยุคใหม่ซึ่งเป็นโลกของ AI”

ขยายโอกาสในการฝึกอบรมด้าน AI

ปัจจุบัน Salesforce ได้ช่วยให้ผู้เชี่ยวชาญหลายแสนคนสามารถพัฒนาทักษะเชิงเทคนิค ผ่านการฝึกอบรมขั้นสูงด้วยเนื้อหาที่มีคุณภาพซึ่งนำการสอนโดยผู้เชี่ยวชาญ พร้อมมอบใบรับรองที่ช่วยเพิ่มความน่าเชื่อถือให้กับประวัติการทำงาน ทั้งนี้บริษัท Salesforce ได้ตั้งเป้าที่จะเพิ่มจำนวนผู้เรียนถึง 100,000 คนที่ผ่านการอบรมเหล่านี้ พร้อมทั้งช่วยให้ผู้นำในชุมชนของ Salesforce หรือ Trailblazer ทุก ๆ คนได้พัฒนาสู่การเป็น Agentblazer ซึ่งคือผู้นำในการใช้ Agent

นอกเหนือจากเนื้อหาขั้นสูงที่มีคุณภาพแล้ว ล่าสุดแพลตฟอร์ม Trailhead ยังได้ขยายคอร์สออนไลน์ฟรีต่าง ๆ เพิ่มเติม สำหรับการฝึกอบรมทักษะด้าน AI โดยเฉพาะ ซึ่งประกอบด้วยหลักสูตรด้าน พื้นฐานของ AI และ การใช้ AI อย่างมีจริยธรรม รวมไปถึงการสร้าง คำสั่งพรอมต์ (Prompt) และหลักสูตรอื่น ๆ อีกมากมาย ตั้งแต่เดือนมิถุนายน 2023 ทำให้ทั้งพนักงานของ Salesforce รวมถึงผู้ที่กำลังสมัครงาน และผู้สนใจเรียนรู้รวมกว่า 2.6 ล้านคนได้รับใบรับรองด้าน AI และข้อมูล เพื่อพัฒนาทักษะที่จำเป็น

สร้างพื้นที่เพื่อพัฒนาทักษะ AI ให้พนักงาน ด้วยการฝึกอบรมแบบลงมือปฏิบัติจริง Salesforce ได้เริ่มจัดตั้งพื้นที่สำหรับการฝึกอบรมด้าน AI ขึ้นในสำนักงานของบริษัททั่วโลก โดยได้เปิดศูนย์ AI Center ในเมืองลอนดอน เป็นแห่งแรกในเดือนมิถุนายนที่ผ่านมา และได้วางแผนที่จะสร้างศูนย์ AI Center แบบชั่วคราวแห่งใหม่ขึ้นที่สำนักงานใหญ่ในเมืองซานฟรานซิสโกในปี 2025 นอกจากนี้ยังได้วางแผนขยายพื้นที่ศูนย์ฝึกเหล่านี้ไปยังศูนย์กลางที่สำคัญอื่น ๆ ทั่วโลก เช่น เมืองชิคาโก โตเกียว และซิดนีย์ โดยศูนย์จัดอบรมเหล่านี้จะสอนหลักสูตร AI จากทางแพลตฟอร์ม Trailhead แบบที่ผู้เรียนสามารถเข้ามาเรียนรู้ได้ในสถานที่โดยตรง รวมถึงเป็นพื้นที่พบปะแลกเปลี่ยนระหว่างผู้เชี่ยวชาญในอุตสาหกรรม พาร์ทเนอร์ และลูกค้าของ Salesforce เพื่อร่วมกันพัฒนานวัตกรรม AI ให้ก้าวหน้า และเพิ่มโอกาสในการพัฒนาทักษะด้าน AI ได้อย่างรวดเร็ว

 

เสริมทักษะให้กับพนักงาน 72,000 คน ด้วย AI ที่มีความน่าเชื่อถือ

Salesforce ได้กำลังสนับสนุนให้พนักงานกว่า 72,000 คนของบริษัทสามารถยกระดับทักษะ ด้วยการจัดกิจกรรม “วันแห่งการเรียนรู้ AI” ที่จัดขึ้นทั่วโลกในทุก ๆ ไตรมาส เพื่อให้พนักงานได้ฝึกใช้นวัตกรรม AI ล่าสุดด้วยการลงมือปฏิบัติจริง ซึ่งรวมถึงการใช้นวัตกรรม Agentforce ซึ่งเป็นชุดเครื่องมือ AI Agent อัจฉริยะที่ทำงานได้ด้วยตัวเองแบบอัตโนมัติ ช่วยเสริมความสามารถในการทำงานให้พนักงานได้ในหลากหลายหน้าที่ ไม่ว่าจะเป็นด้านการบริการ การขาย การตลาด หรือการค้า เพื่อเพิ่มประสิทธิภาพการทำงานและความพึงพอใจของลูกค้า นอกจากนี้ Salesforce ยังเตรียมที่จะเปิดศูนย์ “AI Knowledge Center” ซึ่งจะใช้พื้นที่ทั้งชั้นของสำนักงานใหญ่ในเมืองซานฟรานซิสโก เพื่อให้พนักงานทั่วโลกได้เรียนรู้และพัฒนาทักษะด้าน AI อย่างเต็มรูปแบบ

ปัจจุบันบริษัทได้เปิดตัวเครื่องมือและเทคโนโลยีที่ขับเคลื่อนด้วย AI มากกว่า 100 รายการ เพื่อช่วยให้พนักงานทั่วโลกสามารถใช้ AI และมุ่งเน้นการทำงานที่มีคุณค่ามากยิ่งขึ้น ซึ่งพนักงานของ Salesforce เองก็ได้ใช้แพลตฟอร์ม Trailhead เรียนรู้วิธีการใช้ AI และ Agent ในการทำงาน โดยเกือบ 40% ของจำนวนการออกใบรับรองด้าน AI และข้อมูล บนแพลตฟอร์ม Trailhead ทั้งหมดซึ่งมีมากถึง 2.6 ล้านรายการนั้นมาจากการฝึกอบรมของพนักงานบริษัท Salesforce

นอกจากนี้ ในฐานะผู้ที่ได้ใช้ผลิตภัณฑ์ของตนเองเป็นกลุ่มแรก พนักงาน Salesforce หลายพันคนได้ใช้เทคโนโลยี Agent ของ Agentforce ที่สามารถเชื่อถือได้ ให้ทำงานที่มีความซ้ำ ๆ จำเจ เพื่อเพิ่มความรวดเร็วและประสิทธิภาพในการทำงาน โดยตั้งแต่ที่บริษัทได้เปิดตัว Slack AI ในเดือนกุมภาพันธ์ ซึ่งมีอินเทอร์เฟซแบบสนทนาเพื่อหาคำตอบ สรุปข้อมูล และสร้างสรรค์แนวคิดใหม่ ๆได้ช่วยให้พนักงาน Salesforce ลดเวลาในการทำงานลงได้รวมเกือบ 3 ล้านชั่วโมง

นาทาลี สการ์ดิโน (Nathalie Scardino) ประธานบริษัทและประธานเจ้าหน้าที่บริหารฝ่ายบุคคลของ Salesforce กล่าวว่า “เช่นเดียวกับการปฏิวัติทางเทคโนโลยีอื่น ๆ AI จะเปลี่ยนแปลงวิธีการทำงานของเรา รวมทั้งสร้างตำแหน่งงาน และโอกาสใหม่ ๆ ซึ่งปัจจุบัน AI ได้สร้างสิ่งเหล่านี้ให้เกิดขึ้นแล้ว จึงเป็นหน้าที่ของเราในฐานะนายจ้าง ที่จะมอบโอกาสในการฝึกฝนพัฒนาให้กับพนักงาน เพื่อให้แน่ใจว่าพวกเขามีทักษะที่จำเป็นต่อการประสบความสำเร็จในบทบาทใหม่ ๆ เหล่านั้น” และกล่าวเสริมว่า “Salesforce เป็นแพลตฟอร์มที่สร้างและส่งเสริมการเปลี่ยนแปลงโดยตลอดมา และด้วยค่านิยมที่เป็นพื้นฐานของเรานี้ Salesforce จึงได้นำพลังและศักยภาพของเรา ทั้งเทคโนโลยี พื้นที่ และพนักงาน มาร่วมนำพาทุกคนให้ก้าวไปด้วยกัน”

บริษัท เอสซีบี เอกซ์ จำกัด (มหาชน) (SCBX) ประกาศความสำเร็จคว้า 3 รางวัลความเป็นเลิศด้านทรัพยากรบุคคลในประเทศไทย ได้แก่ รางวัลสรรหาบุคลากรยอดเยี่ยม ระดับ Gold (Excellence in Talent Acquisition) รางวัลกลยุทธ์การบริหารค่าตอบแทนรวมยอดเยี่ยม ระดับ Silver (Excellence in Total Rewards Strategy) และรางวัลยอดเยี่ยมด้าน AI โซลูชันสำหรับทรัพยากรบุคคล ระดับ Bronze (Excellence in AI-Powered HR Solutions) จากเวที HR Excellence Awards Thailand 2024 ซึ่งจัดโดย Human Resources Online ประเทศสิงคโปร์ เพื่อเชิดชูความสำเร็จขององค์กรที่มีกลยุทธ์และนวัตกรรมด้านการบริหารบุคลากรโดดเด่น สะท้อนถึงความมุ่งมั่นของกลุ่ม SCBX ในการนำเทคโนโลยี AI มายกระดับประสิทธิภาพการทำงาน เพื่อพัฒนาศักยภาพและเสริมทักษะพนักงานขององค์กรให้สามารถอยู่ในกระแสความต้องการของโลกปัจจุบัน

นางพัตราภรณ์ สิโรดม Chief Talent Officer บริษัท เอสซีบี เอกซ์ จำกัด (มหาชน) หรือ SCBX กล่าวว่า “SCBX มุ่งมั่นเดินหน้าสู่การเป็นกลุ่มบริษัทเทคโนโลยีทางการเงินชั้นนำระดับภูมิภาค โดยมีเป้าหมายหลัก คือ การเป็นองค์กรที่ขับเคลื่อนด้วย AI อย่างแท้จริง หรือ AI-first Organization การบริหารจัดการทรัพยากรบุคคลจึงมีส่วนสำคัญในการขับเคลื่อนองค์กรให้เดินหน้าไปสู่เป้าหมายที่วางไว้ เราจึงมีการประยุกต์นำเอาเทคโนโลยี AI มาใช้เพื่อช่วยยกระดับกระบวนการทำงานด้าน HR ให้มีประสิทธิภาพมากยิ่งขึ้น ด้วยโซลูชันที่ช่วยเฟ้นหาบุคลากรที่เหมาะสมกับองค์กร ลดเวลาและต้นทุนการทำธุรกิจ รวมถึงการใช้เทคโนโลยีในการสร้างวัฒนธรรมองค์กรที่ดี เพื่อรักษาและดึงดูดคนรุ่นใหม่ที่มีความสามารถ (Talent) เข้ามาเป็นส่วนหนึ่งขององค์กร อีกทั้งยังสามารถสร้างแรงจูงใจในการสร้างผลงานให้กับองค์กรได้อย่างต่อเนื่อง โดยภายในสิ้นปี 2024 พนักงานกว่า 80% ขององค์กรต้องมีความเข้าใจพื้นฐานด้าน AI จึงได้จัดทำหลักสูตรออนไลน์และสื่อการฝึกอบรมด้าน AI ให้กับพนักงาน รวมถึงบริษัทยังสนับสนุนเครื่องมือ AI ให้กับพนักงาน เพื่อปลูกฝังและสร้าง AI Culture หรือวัฒนธรรมองค์กรที่ให้ความสำคัญเกี่ยวกับเรื่อง AI อันเป็นพื้นฐานสำคัญของการสร้างบุคลากรคนรุ่นใหม่ให้เหมาะสมกับความต้องการของโลกการทำงานแห่งอนาคต”

รางวัล HR Excellence Awards Thailand ประจำปี 2024 ครั้งที่ 4 ซึ่งจัดโดย Human Resources Online ประเทศสิงคโปร์ มีวัตถุประสงค์เพื่อยกย่องความสำเร็จและนวัตกรรมที่โดดเด่นของบริษัทชั้นนำในประเทศไทยที่มีการบริหารจัดการทรัพยากรบุคคลที่ยอดเยี่ยม ภายใต้ภูมิทัศน์ที่เปลี่ยนแปลงไปของการจัดการทรัพยากรบุคคลในประเทศไทย โดยมีคณะกรรมการผู้ทรงคุณวุฒิพิจารณาตัดสินจากหลักเกณฑ์ภายใต้ 38 หมวดหมู่ ครอบคลุมวิสัยทัศน์ เป้าหมายองค์กร การดำเนินธุรกิจ และแนวทางการพัฒนาการบริหารทรัพยากรบุคคลขององค์กรในมิติต่างๆ

ทรูบิสิเนส ผู้ให้บริการสื่อสารและดิจิทัลโซลูชันครบวงจรสำหรับลูกค้าธุรกิจชั้นนำ ร่วมกับ อินเทล ผู้นำด้านเทคโนโลยี  ทรานสฟอร์มอุตสาหกรรมสาธารณสุขไทยสู่ดิจิทัลเต็มรูปแบบ ดึงพลังเครือข่ายทรู 5G ผสานเทคโนโลยีปัญญาประดิษฐ์สุดล้ำของอินเทล เปิดตัว 7 โซลูชันด้านการดูแลสุขภาพอัจฉริยะ (Smart Healthcare) ครอบคลุมทั้งการวินิจฉัยและรักษา ฟื้นฟูดูแล และการจัดการข้อมูลทางการแพทย์ในโรงพยาบาลและสถานพยาบาลในประเทศไทย พลิกโฉมบริการสาธารณสุขไทยยุคใหม่ เพิ่มประสิทธิภาพและความคุ้มค่า ทั้งยังส่งเสริมความสามารถในการแข่งขันของประเทศ ก้าวสู่ศูนย์กลางทางการแพทย์ในภูมิภาคเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ ควบคู่กับการยกระดับคุณภาพชีวิตและสุขภาพที่ดีอย่างยั่งยืนของคนไทย

ความร่วมมือในครั้งนี้ นำไปสู่การพัฒนาโซลูชันด้านสุขภาพที่ใช้เทคโนโลยีปัญญาประดิษฐ์ในการประมวลผลบนอุปกรณ์ปลายทางผ่านโซลูชันซอฟต์แวร์ของอินเทล เช่น OpenVino ซึ่งช่วยย่นระยะเวลาทั้งในการวินิจฉัยและการรักษา อาทิ โซลูชันสำหรับเพิ่มประสิทธิภาพการดูแลผู้ป่วยและความปลอดภัยด้วยอุปกรณ์ไร้การสัมผัส (Digital Patient Twin - Patient-Management-as-a-Service) ที่เพิ่มขีดความสามารถให้บุคลากรทางการแพทย์สามารถดูแลและเฝ้าระวังผู้ป่วยได้อย่างต่อเนื่องและปลอดภัย โดยใช้เทคโนโลยี 5G และการประมวลผลบนอุปกรณ์ปลายทางอันทรงพลังด้วย Intel Edge AI บน Intel Core Ultra ซึ่งนับได้ว่าเป็นหนึ่งในการผลักดันของ Intel เพื่อการนำ AI ไปใช้อย่างแพร่หลาย โดยเฉพาะอย่างยิ่งผ่านหลากหลายผลิตภัณฑ์และแพลตฟอร์มของอินเทลที่ออกแบบมาเพื่อการนำ AI ไปใช้ด้วยความปลอดภัยและยั่งยืน ตลอดจนสามารถขยายขอบเขตและทำงานร่วมกันได้ เพื่อช่วยพัฒนาคุณภาพชีวิตของผู้คน

โซลูชันด้านการดูแลสุขภาพอัจฉริยะเหล่านี้ ทำงานได้เต็มประสิทธิภาพบนเครือข่ายทรู 5G ที่รองรับการรับ-ส่งข้อมูล ควบคุมและสั่งการได้แบบเรียลไทม์ จึงเอื้อต่อการพัฒนาระบบอัตโนมัติต่างๆ ในการดูแลผู้ป่วย ช่วยลดต้นทุนทั้งอุปกรณ์ทางการแพทย์และขั้นตอนการรักษา รวมถึงแบ่งเบาภาระของบุคลากรทางการแพทย์ ยิ่งไปกว่านั้น โซลูชัน Smart Healthcare ยังมีการบันทึกข้อมูลการรักษาในระบบดิจิทัล เพื่อให้ AI นำไปวิเคราะห์เชิงลึก และทำงานร่วมกับการวินิจฉัยของแพทย์และผู้เชี่ยวชาญ ช่วยเพิ่มศักยภาพในการดูแลรักษาผู้ป่วยได้อย่างรวดเร็วและแม่นยำ รวมถึงการรักษาอาการที่ซับซ้อนและเฉียบพลันมีประสิทธิภาพมากขึ้นและได้ผลลัพธ์ดีขึ้น

นายพิชิต ธันโยดม หัวหน้าคณะผู้บริหารด้านกลุ่มธุรกิจองค์กร บมจ. ทรู คอร์ปอเรชั่น กล่าวว่า “ทรูบิสิเนส เร่งพัฒนานวัตกรรมบริการ ควบคู่กับการนำ AI มาปรับใช้เพื่อเพิ่มศักยภาพขององค์กร โดยการร่วมมือกับผู้นำระดับโลกอย่าง อินเทล ในครั้งนี้ เรามุ่งพัฒนาโซลูชันที่จับต้องได้และใช้งานได้จริง เพื่อสนับสนุนองค์กรธุรกิจไทยเปลี่ยนผ่านสู่ดิจิทัล เติมเต็มวิสัยทัศน์ของทรู คอร์ปอเรชั่น ผู้นำโทรคมนาคม-เทคโนโลยี ที่จะเป็นมากกว่าผู้ให้บริการเครือข่าย”

ความร่วมมือในครั้งนี้ มุ่งเน้นการผสมผสานและขับเคลื่อนการทำงานของโซลูชันอัจฉริยะด้านการดูแลสุขภาพที่ครอบคลุมทั้งการวินิจฉัยรักษา การฟื้นฟูดูแล และการจัดการข้อมูลทางการแพทย์ เพื่อยกระดับอุตสาหกรรมการแพทย์และสาธารณสุขของไทยให้ก้าวล้ำไปอีกขั้น อีกทั้งยังช่วยสนับสนุนการทำงานของแพทย์และบุคลากรทางการแพทย์ในโรงพยาบาลต่างๆ ทั่วประเทศ ให้สามารถส่งมอบบริการทางการแพทย์ที่มีคุณภาพ แม่นยำ และรวดเร็วมากยิ่งขึ้น ขณะเดียวกันผู้ป่วยในทุกพื้นที่ทั่วประเทศสามารถเข้าถึงบริการสาธารณสุขได้อย่างทั่วถึง ตลอดจนได้รับประสบการณ์และผลลัพธ์ในการรักษาที่ดียิ่งขึ้น เพื่อคุณภาพชีวิตและสุขภาพที่ดีขึ้นแบบยั่งยืนของคนไทย นอกจากนี้ ทรูบิสิเนส และ อินเทล ยังมุ่งส่งเสริมการค้นคว้าทางวิทยาศาสตร์และเพิ่มประสิทธิผลของบริการด้านการดูแลสุขภาพบนพื้นฐานของการใช้ AI อย่างมีจริยธรรม ปลอดภัย และโปร่งใส

โซลูชันอัจฉริยะด้านการวินิจฉัยและรักษา

· Telemedicine and Tele ICU บริการการแพทย์ทางไกลผ่านเครือข่ายทรู 5G ที่เชื่อมโยงชุดอุปกรณ์ทางการแพทย์ที่ติดตั้งในท้องถิ่นต่างๆ กับระบบหลักของโรงพยาบาล โดยมีแพลตฟอร์มจัดเก็บข้อมูลและประวัติของผู้ป่วย บันทึกทุกการดำเนินการทางการแพทย์ เช่น การวินิจฉัยและรักษา การนัดพบแพทย์ การผ่าตัด พร้อมแสดงข้อมูลผ่านแดชบอร์ดเพื่อให้แพทย์สามารถให้คำปรึกษาและรักษาผู้ป่วยได้แบบเรียลไทม์จากระยะไกล ช่วยเพิ่มโอกาสการเข้าถึงบริการทางการแพทย์ของผู้ที่อยู่ในพื้นที่ห่างไกลทั่วประเทศ ดูแลสุขภาพได้อย่างต่อเนื่อง ลดความจำเป็นในการเดินทางไปโรงพยาบาล

· Future of Large Language Model (LLM) แพลตฟอร์มสำหรับตรวจสอบประวัติผู้ป่วยและวิเคราะห์อาการเบื้องต้น โดยผู้ป่วยสามารถกรอกข้อมูลส่วนบุคคลและอาการเจ็บป่วย ระบบ AI จะช่วยวิเคราะห์อาการร่วมกับข้อมูลทางการแพทย์ที่ทันสมัยล่าสุด พร้อมให้ข้อมูลเชิงลึกเกี่ยวกับสาเหตุและแนวทางการรักษาโรคหรือปัญหาสุขภาพ รวมถึงขั้นตอนถัดไปในการรักษา ช่วยให้ผู้ป่วยได้รับการรักษาที่รวดเร็วมากขึ้น ลดขั้นตอนและเวลาในการพบแพทย์ อีกทั้งยังช่วยเพิ่มประสิทธิภาพในการทำงานของแพทย์และบุคลากรทางการแพทย์ด้วย

· Pathology as a Service แพลตฟอร์มที่ใช้เทคโนโลยีสแกนชิ้นเนื้อเพื่อแปลงภาพพยาธิวิทยาเป็นดิจิทัล ซึ่ง AI สามารถวิเคราะห์ได้อย่างรวดเร็ว ช่วยให้กระบวนการทดสอบตัวอย่างชิ้นเนื้อและเลือดมีความรวดเร็วมากขึ้น จึงช่วยให้นักพยาธิวิทยาทำงานได้เร็วขึ้น เพิ่มทั้งประสิทธิภาพและความแม่นยำในการวินิจฉัย การตรวจพบโรคตั้งแต่ระยะแรกจึงทำได้ง่ายขึ้น ทำให้ผู้ป่วยสามารถเข้าถึงการรักษาได้ทันท่วงที เช่น การพยาธิวิทยาดิจิทัลที่ขับเคลื่อนด้วย AI สามารถตรวจพบมะเร็งได้ภายในไม่กี่นาที ซึ่งกระบวนการแบบดั้งเดิมอาจใช้เวลาหลายสัปดาห์ โดยเทคโนโลยีการจัดเก็บข้อมูลบนคลาวด์และระบบเครือข่ายที่ปลอดภัยของทรู คอร์ปอเรชั่น ช่วยให้สถานพยาบาลต่างๆ ทั่วประเทศไทยสามารถนำบริการพยาธิวิทยา (Pathology-as-a-Service) ในระบบดิจิทัลไปใช้ได้อย่างราบรื่น ช่วยเพิ่มขีดความสามารถในการวินิจฉัย ขณะเดียวกันยังช่วยลดค่าใช้จ่ายต่อการตรวจพบโรค

· Ophthalmology as a Service แพลตฟอร์มที่ให้บริการสำหรับการวิเคราะห์และคัดกรองจักษุวิทยา เช่น จอประสาทตาเสื่อมจากอายุและเบาหวาน โดยใช้กล้องเรตินาที่ขับเคลื่อนด้วย AI และคอมพิวเตอร์วินิจฉัยแบบอัตโนมัติ ใช้เวลาไม่ถึงหนึ่งนาทีในกระบวนการตรวจวิเคราะห์อย่างแม่นยำ โดยไม่ต้องใช้ยาหยอดขยายม่านตาที่ทำให้รู้สึกไม่สบายตา โดยชุดผลิตภัณฑ์ที่รองรับ AI ของอินเทล ช่วยเพิ่มความสามารถในการตรวจพบโรค เช่น เบาหวานขึ้นตา ความหนาแน่นของกระดูกในโรคกระดูกพรุน และพยาธิวิทยาสำหรับมะเร็งเต้านมและมะเร็งไต

โซลูชันอัจฉริยะด้านการฟื้นฟูดูแล

· Digital Patient Twin (Patient Management as a Service - PMaaS) – โซลูชันสำหรับเพิ่มประสิทธิภาพการดูแลผู้ป่วยและความปลอดภัยด้วยอุปกรณ์ไร้การสัมผัส โดยข้อมูลต่างๆ ของผู้ป่วย ไม่ว่าจะเป็น อุณหภูมิร่างกาย อัตราการเต้นของหัวใจ อัตราการหายใจ คุณภาพการนอนหลับ และตำแหน่งของผู้ป่วยบนเตียง จะถูกส่งไปยังอุปกรณ์เซ็นเซอร์ที่ถูกติดตั้งอยู่บนเพดานห้องพักระดับเหนือเตียงผู้ป่วย พร้อมเชื่อมโยงไปยังศูนย์กลางเพื่อรวบรวมและแจ้งเตือนเมื่อพบความผิดปกติ จึงช่วยให้สามารถดูแลและเฝ้าระวังผู้ป่วยได้อย่างใกล้ชิด รวดเร็ว ปลอดภัย และมีประสิทธิภาพมากขึ้น โดยไม่จำเป็นต้องรบกวนการพักผ่อนของผู้ป่วยในการตรวจวัดค่าต่างๆ เป็นประจำ

· Residential Care Management แพลตฟอร์มสำหรับดูแลผู้สูงอายุ ช่วยให้ผู้สูงอายุหรือผู้ป่วยได้รับการดูแลจากบุคลากรทางการแพทย์อย่างใกล้ชิดและต่อเนื่อง ด้วยอุปกรณ์ Edge IoT และเซ็นเซอร์ที่ติดตั้งบนรถเข็น โทรศัพท์เคลื่อนที่หรือแท็บเล็ต บันทึกข้อมูลในรูปแบบดิจิทัล ส่งผ่านเครือข่ายทรู 5G แบบเรียลไทม์ เพื่อรวบรวมบนแพลตฟอร์มที่ใช้เทคโนโลยี AI ในการวิเคราะห์เพื่อทำความเข้าใจพฤติกรรมและความเสี่ยงด้านสุขภาพ เชื่อมโยงกับระบบของโรงพยาบาล และสามารถแจ้งเตือนทันทีเมื่อพบความเสี่ยงหรือสิ่งผิดปกติ

 

โซลูชันอัจฉริยะด้านการจัดการข้อมูลทางการแพทย์

· Transforming of PACS (Picture Archiving and Communication System) โซลูชันที่จะพลิกโฉมระบบจัดเก็บรูปภาพทางการแพทย์ (Medical Images) หรือภาพถ่ายทางรังสี ผ่านแพลตฟอร์ม AI และประยุกต์ใช้ AI ได้ทุกที่ แม้ในพื้นที่ห่างไกล โดยเชื่อมต่อกับแพลตฟอร์มระบบคลาวด์ได้ทุกรูปแบบ ลดข้อจำกัดและความยุ่งยากเรื่องโครงสร้างพื้นฐานด้านไอทีที่ซับซ้อน

พิสูจน์ผลลัพธ์ กับ 2 กรณีตัวอย่างจากการใช้งานจริง*

· การวิเคราะห์เนื้อเยื่อเพื่อตรวจวินิจฉัยโรคมะเร็งได้เร็วขึ้นกว่าแบบดั้งเดิมถึง 2,000 เท่า

โดยเฉลี่ยนักพยาธิวิทยามักใช้เวลาในการวิเคราะห์เนื้อเยื่อเพื่อตรวจหาโรคต่างๆ โดยเฉพาะโรคมะเร็ง นานถึง 2 สัปดาห์ หรือมากกว่านั้นหากโรงพยาบาลอยู่ในพื้นที่ห่างไกลและขาดแคลนผู้เชี่ยวชาญและเครื่องมือทางการแพทย์ ทำให้ผู้ป่วยไม่ได้รับการรักษาอย่างทันท่วงทีและเสี่ยงต่อการลุกลามของโรค โซลูชัน Pathology as a Service นำแพลตฟอร์ม AI มาช่วยสำหรับวิเคราะห์ภาพถ่ายพยาธิวิทยา ช่วยประหยัดเวลาในการวิเคราะห์ โดยใช้เวลาเพียง 5 นาทีและเพิ่มความแม่นยำในการศึกษาวิจัย โดยนักพยาธิวิทยาสามารถแบ่งปันภาพพยาธิวิทยากับทีมงานทั่วโลกที่ทำงานจากระยะไกลในการวิเคราะห์สไลด์แบบดิจิทัล เอื้อต่อการร่วมวิเคราะห์และปรึกษาแนวทางการรักษาผู้ป่วยได้แบบเรียลไทม์ จึงช่วยแก้ไขปัญหาความขาดแคลนของนักพยาธิวิทยาทั่วโลก โดยเฉพาะในภูมิภาคเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ ที่สำคัญ Pathology as a Service ยังเป็นแพลตฟอร์มที่ส่งเสริมความร่วมมือในการพัฒนายาใหม่และความก้าวหน้าด้านพยาธิวิทยาอีกด้วย

· การดูแลผู้ป่วยหรือผู้พักฟื้นด้วยอุปกรณ์ไร้การสัมผัส เพิ่มประสิทธิภาพการดูแลผู้ป่วยสูงขึ้น 30%

ยกระดับประสบการณ์การพักฟื้นของผู้ป่วยจากการได้รับการดูแลและเฝ้าระวังอย่างใกล้ชิด โดยไม่ต้องถูกรบกวนในช่วงเวลาการพักฟื้น และไม่ต้องติดตั้งอุปกรณ์ทางการแพทย์หลายๆอุปกรณ์ที่สัมผัสกับร่างกายเพื่อติดตามค่าต่างๆ จึงสามารถเคลื่อนไหวร่างกายได้อย่างสะดวกสบาย ขณะเดียวกัน แพทย์และบุคลากรทางการแพทย์สามารถเพิ่มขีดความสามารถในการดูแลผู้ป่วยผ่าน โซลูชัน Digital Patient Twin โดยใช้เครื่องมือตรวจวัดค่าต่างๆ ของร่างกาย และตรวจจับเหตุการณ์ฉุกเฉินที่อาจเกิดขึ้นกับผู้ป่วยที่นอนพักฟื้นบนเตียง ด้วยการดำเนินการทางคลินิกจากอุปกรณ์เซ็นเซอร์ที่ส่งสัญญาณไลฟ์สตรีมและประมวลผลด้วยระบบอัจฉริยะ AI พร้อมแจ้งเตือนเหตุการณ์ฉุกเฉินต่างๆ ที่เกิดขึ้นกับผู้ป่วยบนเตียง นำไปสู่การตัดสินใจที่เหมาะสมอย่างทันท่วงที จึงช่วยแบ่งเบาภาระ ลดขั้นตอน และปริมาณการดำเนินงานในคลินิกหรือหอพักผู้ป่วย อีกทั้งยังช่วยแก้ไขปัญหาการขาดแคลนแพทย์และบุคลากรการแพทย์ โดยเจ้าหน้าที่พยาบาลสามารถดูแลผู้ป่วยได้มากขึ้น บุคลากรทางการแพทย์ 1 คน สามารถดูแลผู้ป่วยได้มากถึง 10 คน จากเดิมที่ต้องใช้เจ้าหน้าที่พยาบาลเฉลี่ย 3 คน ในการดูแลผู้ป่วย 10 คน

Page 1 of 17
X

Right Click

No right click