September 28, 2024

SCB CIO มอง Fed ปรับลดอัตราดอกเบี้ย 50 bps มาอยู่ที่ 4.75%-5.00% ต่อปี พร้อมปรับลดต่อเนื่องในปีนี้อีก 50 bps และในปีหน้าอีก 100 bps จากอัตราเงินเฟ้อที่มีแนวโน้มปรับลดลงเข้าใกล้เป้า 2% ของ Fed ขณะที่การจ้างงานที่อ่อนแอลง แต่ยังอยู่ในระดับที่จัดการได้ ผนวกกับภาพรวมของเศรษฐกิจสหรัฐฯ ที่ยังไม่มีสัญญาณบ่งชี้ถึงการเกิด Recession ชี้การปรับลดอัตราดอกเบี้ย ช่วยนโยบายการเงินผ่อนคลายขึ้น ต้นทุนการเงินต่ำลง หนุนกำไรบริษัทจดทะเบียนเพิ่มขึ้น แนะหุ้นสหรัฐฯ ยังให้ผลตอบแทนที่ดี กลุ่ม Quality Growth ประเภท IT รวมทั้งกลุ่ม Defensive เช่น สาธารณูปโภค สุขภาพ และสินค้าจำเป็น ยังคงน่าสนใจ

ส่วนการจัดพอร์ตเน้นกระจายความเสี่ยงโดย Core portfolio แนะลงทุนในหุ้นกู้เอกชนต่างประเทศที่มีคุณภาพสูง (IG) เน้นลงทุนตลาดหุ้นพัฒนาแล้วมากกว่าตลาดเกิดใหม่ ยังให้น้ำหนักส่วนใหญ่บนตลาดหุ้นสหรัฐฯ ด้านพอร์ตเสริม แบ่งเงินลงทุน 15 -25% ในตลาดหุ้นเวียดนามและไทย จากเศรษฐกิจเวียดนามที่มีแนวโน้มเติบโตต่อเนื่อง ส่วนไทยได้รับแรงหนุนจากมาตรการกระตุ้นเศรษฐกิจของภาครัฐที่มีออกมาอย่างต่อเนื่อง

นายศรชัย สุเนต์ตา, CFA รองผู้จัดการใหญ่ ผู้บริหารสายงาน Investment Office and Product กลุ่มธุรกิจ Wealth ธนาคารไทยพาณิชย์ เปิดเผยว่า จากการที่ธนาคารกลางสหรัฐฯ (Fed) มีมติปรับลดอัตราดอกเบี้ยนโยบายลง 50 bps มาอยู่ที่ 4.75%-5.00% สอดคล้องกับการคาดการณ์ของตลาด และเป็นการสะท้อนให้เห็นว่า Fed มีความมั่นใจมากขึ้นบนทิศทางอัตราเงินเฟ้อสหรัฐฯ ที่กำลังเข้าสู่เป้าหมายที่ระดับ 2% อย่างยั่งยืน โดย Fed กล่าวว่า ความเสี่ยงในการบรรลุเป้าหมายด้านเงินเฟ้อ และการจ้างงานมีความสมดุลกัน และ Fed แสดงความมุ่งมั่นอย่างเต็มที่ในการสนับสนุนการจ้างงาน ส่วนในการคาดการณ์อัตราดอกเบี้ยนโยบาย หรือ Dot Plot นั้น เจ้าหน้าที่ Fed ส่งสัญญาณปรับลดอัตราดอกเบี้ยอีก 50 bps ภายในสิ้นปีนี้ และปรับลดอัตราดอกเบี้ย 100 bps และ 50 bps ในปี 2568 และ 2569 ตามลำดับ นอกจากนี้ Fed ยังได้ปรับคาดการณ์ต่างๆ โดย Fed ปรับลดคาดการณ์การเติบโตทางเศรษฐกิจในปี 2567 ลงเล็กน้อยอยู่ที่ 2.0% ต่อปี จากเดิมที่คาดไว้ในเดือน มิ.ย.ที่ 2.1% ต่อปี ปรับเพิ่มคาดการณ์อัตราการว่างงานในช่วงสิ้นปี 2567 เป็น 4.4% จากเดิมคาดไว้ที่ 4.0% ขณะที่ปรับลดคาดการณ์ของเงินเฟ้อ PCE ในช่วงสิ้นปี 2567 ลงเหลือ 2.3%YoY จากเดิมคาดไว้ที่ 2.6%YoY โดยอัตราเงินเฟ้อทั้ง PCE และ Core PCE จะเข้าสู่ระดับ 2.0% ในปี 2569 เป็นต้นไป

นายศรชัย มีมุมมองว่า แม้ว่าตลาดแรงงานจะอ่อนแอลง แต่ยังอยู่ในระดับที่จัดการได้ และยังไม่มีสัญญาณว่า เศรษฐกิจสหรัฐฯ กำลังเข้าสู่ภาวะถดถอย (Recession) โดยการปลดพนักงานยังอยู่ในระดับที่ต่ำ ผู้บริโภคยังคงใช้จ่าย อย่างไรก็ตาม มีสัญญาณของการชะลอตัวของเศรษฐกิจแบบ Soft landing ท่ามกลางความไม่แน่นอนที่จะเพิ่มสูงขึ้น ในช่วงการเลือกตั้งประธานาธิบดีของสหรัฐฯ ในเดือน พ.ย. ซึ่งจะมีผลต่อการดำเนินนโยบายการคลัง และการค้าระหว่างประเทศของสหรัฐฯ นอกจากนี้ ยังมีความตึงเครียดทางด้านภูมิรัฐศาสตร์ที่ยังดำเนินอยู่ โดยคาดว่า Fed มีแนวโน้มปรับลดอัตราดอกเบี้ยลงอย่างค่อยเป็นค่อยไป เมื่อเทียบกับการปรับลดอัตราดอกเบี้ยในอดีต โดยจะปรับลดอัตราดอกเบี้ย Fed fund ลงรวม 50bps ในการประชุมช่วงที่เหลือของปีนี้ อยู่ที่ 4.25%-4.50% และปรับลดรวมอีก 100 bps ในปี 2568 ส่งผลให้อัตราดอกเบี้ย Fed funds สิ้นปี 2568 อยู่ที่ 3.25%-3.50%

การปรับลดอัตราดอกเบี้ยของ Fed ในขณะที่เศรษฐกิจสหรัฐฯ ยังไม่ได้เผชิญกับภาวะ Recession จะช่วยสนับสนุนทั้งการลงทุนในตลาดหุ้นโลก โดยเฉพาะตลาดหุ้นสหรัฐฯ รวมทั้ง ตลาดตราสารหนี้สหรัฐฯ ตามสถิติตั้งแต่ปี 2517การปรับตัวของราคาสินทรัพย์ลงทุนประเภทต่างๆ ในช่วงที่ Fed ปรับลดดอกเบี้ยนโยบายครั้งแรก ในกรณีที่ไม่เกิดภาวะเศรษฐกิจถดถอย ตลาดหุ้นทั่วโลกและตราสารหนี้ของสหรัฐฯ มักมีผลตอบแทนที่ดี โดยเงินดอลลาร์ สรอ.มักจะอ่อนค่าลงในช่วง 12 เดือนหลังจากการปรับลดดอกเบี้ย ด้าน ราคาสินค้าโภคภัณฑ์ ทองคำ น้ำมัน ล้วนปรับเพิ่มขึ้น

ในส่วนของตราสารหนี้ เส้นอัตราผลตอบแทนพันธบัตรสหรัฐฯ มักปรับเพิ่มความชันขึ้น เมื่อใกล้ช่วงที่ Fed เริ่มจะปรับลดดอกเบี้ยครั้งแรก อย่างไรก็ตาม หากเศรษฐกิจสหรัฐฯ ยังเติบโตได้ และไม่มี Recession การปรับเพิ่มความชันของ Yield Curve หลังจากนี้อาจไม่มากนัก ความชันของเส้นอัตราผลตอบแทนที่เพิ่มขึ้นรอบนี้ แสดงถึงความกังวลด้านเศรษฐกิจ อย่างไรก็ตาม ความเสี่ยงที่จะเกิดเศรษฐกิจถดถอยในปี 2567 ยังคงต่ำ ทำให้คาดว่า Bond Yield สหรัฐฯ จะลดลงไม่มาก และผลตอบแทนของตราสารหนี้สหรัฐฯ น่าจะมาจาก Carry Yield เป็นหลัก ซึ่งเป็นโอกาสในการสร้างกระแสเงินสดสำหรับนักลงทุนที่ต้องการพอร์ตการลงทุนที่มีความผันผวนต่ำ

แนวโน้มของตลาดหุ้น นโยบายการเงินที่ผ่อนคลายมีส่วนช่วยให้ต้นทุนทางการเงินต่ำลง และสนับสนุนให้กำไรของบริษัทจดทะเบียนเพิ่มขึ้น ทั้งนี้ ตามสถิติในอดีต หลัง Fed ปรับลดดอกเบี้ย 12 เดือน ในภาวะที่ไม่เกิด Recession หุ้นขนาดใหญ่ในสหรัฐฯ เช่น S&P 500 มักให้ผลตอบแทนที่ดีกว่าหุ้นขนาดเล็ก เช่น Russell 2000 นอกจากนี้ หุ้นกลุ่ม Quality Growth อย่าง IT และกลุ่ม Defensive เช่น กลุ่มสาธารณูปโภค (Utilities) กลุ่มสุขภาพ (Healthcare) และ กลุ่มสินค้าจำเป็น (Consumer Staples) ยังคงน่าสนใจ โดยเรายังให้น้ำหนักการลงทุนในตลาดพัฒนาแล้วมากกว่าตลาดเกิดใหม่ จากกำไรของตลาดเกิดใหม่ จะเข้าสู่ช่วงชะลอตัวในปี 2568

สำหรับกลยุทธ์การลงทุน SCB CIO ยังคงยึด 3 วัตถุประสงค์หลักที่สามารถสร้างผลตอบแทนได้ดี แม้ในช่วงที่ตลาดมีความผันผวน โดยเน้นกระจายการลงทุนเพื่อลดความเสี่ยง เนื่องจากได้รวบรวมสถิติต่างๆ แล้วพบว่า ในช่วง 10 ปีที่ผ่านมา เดือนกันยายน มีผลตอบแทนแย่ที่สุดในทุกสินทรัพย์ และเดือนตุลาคม มีความผันผวนสูงที่สุดโดยเฉพาะตลาดหุ้นสหรัฐฯ ที่มีการเก็บสถิตินับตั้งแต่ 2527 นอกจากนี้ ความเสี่ยงจากปัจจัยทางการเมือง การเลือกตั้งสหรัฐฯ ที่จะมีขึ้นในเดือนพฤศจิกายนนี้ ความเสี่ยงด้านภูมิรัฐศาสตร์ที่สูงขึ้นทั้งจากสงครามยูเครน -รัสเซีย และความขัดแย้งระหว่างอิสราเอล และฮามาสที่มีการตอบโต้กันเป็นระลอก เราจึงให้ความสำคัญในเรื่องการกระจายการลงทุน เพื่อลดความผันผวนของพอร์ต

โดยพอร์ตลงทุนหลัก ( Core Portfolio) ลงทุนระยะยาว 1 ปีขึ้นไป ควรกระจายลงทุนในสินทรัพย์เพื่อตอบโจทย์ 3 วัตถุประสงค์หลัก ได้แก่ 1) เพื่อสร้างกระแสเงิน แนะนำลงทุนในหุ้นกู้เอกชนต่างประเทศที่มีคุณภาพสูง ( IG) ที่ให้อัตราผลตอบแทนสูงกว่าหุ้นกู้เอกชนในไทย หุ้นกู้ Perpetual ที่มีอันดับความน่าเชื่อถือของผู้ออกตราสารที่สูง และตราสารหนี้นอกตลาด (Private Credit) ที่ให้ผลตอบแทนที่น่าสนใจกว่าหุ้นกู้เอกชนในตลาด ขณะที่ สามารถเลือกคุณสมบัติของผลิตภัณฑ์ที่ช่วยลดความเสี่ยงได้ เช่น มีสิทธิเรียกร้องการชำระหนี้ลำดับแรก และมีหลักประกัน เป็นต้น 2) เพื่อสร้างการเติบโต เน้นน้ำหนักการลงทุนในตลาดหุ้นพัฒนาแล้วมากกว่าตลาดเกิดใหม่ โดยยังให้น้ำหนักอยู่ในตลาดหุ้นสหรัฐฯ ที่เศรษฐกิจยังคงชะลอตัวในระดับปานกลาง กำไรบริษัทยังเร่งตัวสูงขึ้น แต่เศรษฐกิจ และผลกำไรของบริษัทจดทะเบียนยังคงสนับสนุนการเติบโตของตลาดในระยะยาว และ 3) การป้องกันความเสี่ยงของพอร์ต ด้วยการลงทุนในทองคำ ซึ่งช่วยป้องกันความเสี่ยงความขัดแย้งด้านภูมิรัฐศาสตร์ได้เป็นอย่างดี

ส่วนที่เหลืออาจพิจารณาลงทุนในพอร์ตเสริม (Opportunistic Portfolio) กรณีที่รับความเสี่ยงได้ในระดับปานกลาง – สูง โดยแนะนำให้แบ่งเงินลงทุนบางส่วน ประมาณ 15 -25% อาจพิจารณาลงทุนในตลาดหุ้นเวียดนาม และไทย โดยตลาดหุ้นเวียดนามน่าสนใจ เนื่องจากมีแนวโน้มได้แรงหนุนดังนี้ 1) เศรษฐกิจเวียดนามที่มีแนวโน้มเติบโตต่อเนื่อง

โดยดัชนี PMI เดือนสิงหาคม ขยายตัว 53.4 ขณะที่ การส่งออกเดือนสิงหาคม ขยายตัว 14.5% YoY 2) กำไรสุทธิบริษัทจดทะเบียน ใน 2Q2567 ขยายตัว 14%YoY และมีแนวโน้มขยายตัวดีใน 2H2567 3) เงินเฟ้อเดือนสิงหาคม อยู่ที่ 3.5%YoY ลดลงจากเดือนกรกฎาคม และต่ำกว่าเป้าระยะยาวที่ 4.5% ส่งผลให้ความกังวลมบนประเด็นการปรับขึ้นดอกเบี้ยของธนาคารกลางเวียดนามลดลง และ 4) Valuation อยู่ในระดับที่น่าสนใจ 12M Blended Forward P/E อยู่ที่ 10.4 เท่า ต่ำกว่าค่าเฉลี่ย 5 ปี -1 s.d.

ส่วนตลาดหุ้นไทย มองว่า เศรษฐกิจไทยมีแนวโน้มปรับตัวดีขึ้นในช่วงครึ่งหลังของปี 2567 ต่อเนื่องถึงปี 2568 ได้แรงหนุนจากโครงการกระตุ้นเศรษฐกิจ ปี 2567 ผ่านผู้มีบัตรสวัสดิการแห่งรัฐและคนพิการ โดยภาครัฐจะสนับสนุนเงินจำนวน 10,000 บาทต่อคน ที่จะช่วยกระตุ้นการบริโภคภาคเอกชน จากการเบิกจ่ายงบประมาณลงทุนของภาครัฐ ที่ต่อเนื่องมากขึ้น และ จากภาคการท่องเที่ยวที่มีแนวโน้มฟื้นตัว นอกจากนี้ คาดว่า เศรษฐกิจไทยยังได้แรงหนุนจากการที่ คณะกรรมการนโยบายการเงิน (กนง.) มีแนวโน้มปรับลดอัตราดอกเบี้ยนโยบายเพื่อกระตุ้นเศรษฐกิจ โดยคาดว่า ในเดือน ธันวาคม นี้ กนง.จะปรับลดอัตราดอกเบี้ย 25 bps และลดต่อเนื่องในช่วงต้นปี 2568 ส่งผลให้อัตราดอกเบี้ยนโยบายอยู่ที่ 2.0%

นอกจากนี้ ตลาดหุ้นไทย ได้แรงหนุนจากผลประกอบการบริษัทจดทะเบียนที่มีแนวโน้มถูกปรับประมาณการดีขึ้น ตามภาพรวมเศรษฐกิจที่ฟื้นตัว ท่ามกลาง Valuation ของดัชนีหุ้นไทย (SET Index) ที่ยังอยู่ในระดับที่ไม่แพง โดย SET Index ซื้อขายอยู่บนระดับ valuation ที่น่าสนใจ โดย 12M Blended Forward P/E อยู่ที่ 14.4 เท่า ต่ำกว่าค่าเฉลี่ย 5 ปี อยู่ประมาณ -1.0 s.d. และมองว่า เม็ดเงินที่ไหลเข้าลงทุนในตลาดหุ้นไทยมีแนวโน้มปรับเพิ่มขึ้น ทั้งจากเม็ดเงินลงทุนของกองทุนรวมวายุภักษ์ รวมทั้งเม็ดเงินที่ไหลเข้าลงทุนผ่านกองทุนรวม Thai ESG จากการปรับปรุงมาตรการภาษีเพื่อส่งเสริมการลงทุนเพื่อความยั่งยืน ซึ่งมีแนวโน้มดึงดูดเม็ดเงินลงทุนของนักลงทุนในประเทศที่ต้องการลดหย่อนภาษี และนักลงทุนต่างประเทศ จากธรรมาภิบาลของบริษัทจดทะเบียน (Governance) ที่มีแนวโน้มเพิ่มขึ้น ซึ่งจะช่วยเพิ่มสภาพคล่องและมูลค่าการซื้อขายในตลาดหุ้นไทย ประกอบกับ ทิศทางเงินทุนจากต่างประเทศยังมีแนวโน้มไหลเข้าลงทุนในตลาดหุ้นไทย จาก Sentiment ที่ดีขึ้นตามมาตรการกระตุ้นเศรษฐกิจและตลาดทุนที่ออกมา และจากค่าเงินบาทที่มีแนวโน้มแข็งค่าขึ้นในระยะสั้น ตามการปรับลดอัตราดอกเบี้ยของ Fed ซึ่งมากกว่าการปรับลดดอกเบี้ยของกนง.

สำหรับอัตราผลตอบแทนรวมของสินทรัพย์ต่างๆ ทั่วโลก นับตั้งแต่ต้นปี 2567 – YTD (18 กันยายน 2567) ทองคำให้ผลตอบแทนดีที่สุด อยู่ที่ 24.5% โดยได้รับผลบวกจากการที่ Yield ปรับตัวลดลง และธนาคารกลางของประเทศต่างๆมีความต้องการถือครองทองคำมากขึ้น รองลงมาเป็นตลาดหุ้นสหรัฐฯ 19.3% จากการขยายตัวของเศรษฐกิจสหรัฐฯ ที่ยังดีในช่วงครึ่งแรกของปี ประกอบกับ การคาดหวังว่า Fed จะมีการปรับลดอัตราดอกเบี้ย และมีแรงส่งจากหุ้นกลุ่ม Tech ที่มีผลประกอบการที่ค่อนข้างดีในช่วงไตรมาสที่ 1 แม้ในไตรมาสที่ 2 ผลประกอบการจะแผ่วลงแต่ถือว่าอยู่ในทิศทางที่ค่อนข้างดี ต่อมาคือ Global REITs อยู่ที่ 13.8% ได้รับอานิสงค์จากการที่ Bond Yield ปรับตัวลดลง ทำให้ผลตอบแทนของ REITs ดีขึ้น DM Equity ex US อยู่ที่ 10.7% EM Equity อยู่ที่ 9.1% HY Bond อยู่ที่ 8.8% TIPS อยู่ที่ 5.2% IG Bond อยู่ที่ 5.1% Gov Bond อยู่ที่ 2.8% และ Oil อยู่ที่ -1.4% ส่วนการลงทุนในรายประเทศ US large อยู่ที่ 19.3% India อยู่ที่ 18.2% Vietnam อยู่ที่ 12.2% ยุโรปอยู่ที่ 11.8% China offshore 11.3% US Small 9.9% Japan 9.2% Indonesia 7.8% Thai 4.7% และ Korea -3%

ดร.ยรรยง ไทยเจริญ (ที่2 ซ้าย) รองผู้จัดการใหญ่อาวุโส ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร กลุ่มธุรกิจ Wealth ธนาคารไทยพาณิชย์ พร้อมด้วยนายคมกฤช เกียรติดุริยกุล (ที่2 ขวา) กรรมการและที่ปรึกษากฎหมาย ด้านการเงินการธนาคาร การวางแผนธุรกิจครอบครัวและตลาดทุน บริษัท เบเคอร์ แอนด์ แม็คเค็นซี่ จำกัด ให้ความร่วมมือกับ SCB WEALTH ในการเป็นที่ปรึกษาด้านกฎหมายและภาษีอากร ที่เกี่ยวข้องกับการจัดการทรัพย์สินและมรดกของครอบครัว การจัดตั้ง Holding Company การจัดทำธรรมนูญครอบครัว และการจัดโครงสร้างธุรกิจครอบครัว ให้กับกลุ่มลูกค้า WEALTH ของธนาคาร เพื่อให้การจัดการทรัพย์สินมรดกสามารถส่งต่อจากรุ่นสู่รุ่นได้อย่างมั่นคงและยั่งยืน โดยมีนายศรชัย สุเนต์ตา (ที่ 1 ซ้าย) , CFA รองผู้จัดการใหญ่ ผู้บริหารสายงาน Investment Office and Product กลุ่มธุรกิจ Wealth ธนาคารไทยพาณิชย์ และนางสาวเบญจ สุพรรณกุล (ที่1 ขวา) กรรมการและที่ปรึกษากฎหมาย ด้านการเงินการธนาคาร การวางแผนธุรกิจครอบครัวและตลาดทุน บริษัท เบเคอร์ แอนด์ แม็คเค็นซี่ จำกัด ร่วมงานด้วย ณ ธนาคารไทยพาณิชย์ สำนักงานใหญ่ เมื่อเร็วๆนี้

ทั้งนี้ บริษัท เบเคอร์ แอนด์ แม็คเค็นซี่ จำกัด เป็นสำนักงานกฎหมายระหว่างประเทศชั้นนำดำเนินงานในประเทศไทยมานานกว่า 40 ปี มีความเชี่ยวชาญทางด้านกฎหมายที่มีความซับซ้อนที่สุดในเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ และด้วยประสบการณ์ที่ยาวนาน ทำให้ได้รับความไว้วางใจจากกลุ่มลูกค้าในภาคธุรกิจต่างๆ ในการเป็นที่ปรึกษาทางด้านกฎหมายเพื่อช่วยให้การดำเนินธุรกิจของลูกค้าสามารถเติบโตอย่างยั่งยืนและมั่นคง ธนาคารเห็นว่าเป็นบริษัทที่มี

ศักยภาพ มีประสบการณ์ และมีความเชี่ยวชาญสูง จากฐานลูกค้าที่มีความหลากหลายในทุกภาคธุรกิจจากทั่วโลก โดยเฉพาะกฎหมายและภาษีอากร ที่เกี่ยวข้องกับการจัดการทรัพย์สินและมรดกของครอบครัว การจัดตั้ง Holding Company การจัดทำธรรมนูญครอบครัว และการจัดโครงสร้างธุรกิจครอบครัว ที่สามารถตอบทุกโจทย์ตามความต้องการของกลุ่มลูกค้า Wealth ของธนาคารได้เป็นอย่างดี

เจาะลึกเศรษฐกิจโลกพร้อมสินทรัพย์ลงทุนในครึ่งปีหลังมองกลุ่มAIอนาคตเติบโต

SCB  WEALTH  เปิดตัว “No Gain No Pay” แนวคิดใหม่ของการลงทุน ใส่ใจผลประโยชน์ลูกค้าเป็นตัวตั้ง เชื่อว่าเงินของลูกค้าเป็นเงินของเรา โดยจะไม่คิดค่าธรรมเนียมหากมูลค่าหน่วยลงทุนไม่ถึงเป้าหมายที่กำหนด นำร่องส่งกองทุนเปิดทิสโก้ ทาร์เก็ต 8M1 อายุ 8 เดือน เสนอขายวันที่ 14-28 สิงหาคมนี้  เงินลงทุนขั้นต่ำ 1,000 บาท โดยมีธนาคารไทยพาณิชย์เป็นตัวแทนจำหน่ายเพียงรายเดียว กองทุนนี้ไม่คิดค่าธรรมเนียมการขายและบริหารจัดการ  หลังจดทะเบียนจัดตั้งกองทุนภายใน 8 เดือน หากมูลค่าหน่วยลงทุน อยู่ที่ 10.82 บาทต่อหน่วย  กองทุนคิดค่าธรรมเนียมรับซื้อคืน 2% แต่หากหลังจาก 8 เดือนมูลค่าหน่วยลงทุน ต่ำกว่า 10.10 บาทต่อหน่วย ไม่คิดค่าธรรมเนียมบริหารจัดการและค่าธรรมเนียมรับซื้อคืน กองทุนที่อยู่ในแนวคิดใหม่นี้ จะต้องมีสัญลักษณ์ของ No Gain No Pay เท่านั้น

นายศรชัย  สุเนต์ตา , CFA  รองผู้จัดการใหญ่  ผู้บริหารสายงาน Investment Office and Product  กลุ่มธุรกิจ Wealth  ธนาคารไทยพาณิชย์  เปิดเผยว่า SCB WEALTH  ใส่ใจผลประโยชน์ลูกค้าเป็นตัวตั้ง เชื่อว่าเงินของลูกค้าเป็นเงินของเรา  และต้องการสร้างความเชื่อมั่นให้กับลูกค้าที่ไว้วางใจให้ธนาคารบริหารสินทรัพย์ และมั่นใจในการคัดเลือกผลิตภัณฑ์ลงทุนที่มีคุณภาพ มานำเสนอให้กับนักลงทุน เพื่อต่อยอดความมั่งคั่ง จึงได้นำร่องเปิดตัว No Gain No Pay  แนวคิดใหม่ของการลงทุน ที่ยึดผลประโยชน์ของลูกค้าเป็นสำคัญ โดยจะไม่คิดค่าธรรมเนียมการขาย (Front end fee) และค่าธรรมเนียมบริหารจัดการ (Management Fee) หากมูลค่าหน่วยลงทุนไม่ได้ตามเป้าหมายที่กำหนดไว้ และจะคิดค่าธรรมเนียมรับซื้อคืน (Back end fee) ที่มีความยุติธรรม โดยจะเก็บก็ต่อเมื่อกองทุนมีกำไรหรือทำได้ตามเป้าหมาย  เพื่อตอกย้ำว่าธนาคารให้การดูแลลูกค้าเสมือน Thought Partner และสร้างความมั่งคั่งอย่างยั่งยืนให้กับนักลงทุน

SCB WEALTH ยึดมั่นในหลักการของ Open architecture ในการสรรหาผลิตภัณฑ์การลงทุนที่ตอบโจทย์ และคัดเลือก Best in class ให้กับลูกค้า โดยเราจะคัดสรรผลิตภัณฑ์การลงทุนจากภายนอกธนาคารมานำเสนอให้กับลูกค้าอย่างต่อเนื่อง เพื่อเพิ่มผลิตภัณฑ์การลงทุนให้มีความหลากหลาย  รวมทั้งมีการออกแบบผลิตภัณฑ์ที่ตอบโจทย์ความต้องการของลูกค้า และเหมาะสมในแต่ละภาวะการลงทุน ล่าสุด เราได้พัฒนาผลิตภัณฑ์การลงทุนร่วมกับพันธมิตรทางธุรกิจ โดยการเปิดจำหน่ายกองทุนเปิดทิสโก้  ทาร์เก็ต 8M1 (TTARGET8M1)บริหารจัดการโดย บริษัทหลักทรัพย์จัดการกองทุน  ทิสโก้  จำกัด  ซึ่งธนาคารเป็นตัวแทนจำหน่ายเพียงรายเดียว  ในระหว่างวันที่ 14 - 28   สิงหาคม  2567  เงินลงทุนขั้นต่ำ 1,000 บาทขึ้นไป  มูลค่าโครงการ 2,000 ล้านบาท  

กองทุน TTARGET8M1มีนโยบายลงทุนในตราสารทุน โดยมุ่งเน้นการลงทุนในหุ้นไทย โดยเฉลี่ยไม่น้อยกว่า 80% ของมูลค่าทรัพย์สินสุทธิของกองทุน  ที่จดทะเบียนในตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทย และ / หรือตลาดเอ็มเอไอ รวมถึงตลาดหลักทรัพย์อื่นๆที่อยู่ภายใต้การกำกับดูแลของตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทย ที่มีปัจจัยพื้นฐานดี  มีความมั่นคง และมีแนวโน้มการเจริญเติบโตทางธุรกิจที่ดี  คัดเลือกลงทุนในหุ้นไทยที่มีระดับราคาน่าสนใจ ได้รับปัจจัยหนุนจากมาตรการส่งเสริมและกระตุ้นเศรษฐกิจของรัฐบาล

 สำหรับการรับซื้อคืนหน่วยลงทุน บริษัทจัดการจะรับซื้อคืนหน่วยลงทุนทั้งหมดของผู้ถือหน่วยลงทุนแต่ละรายโดยอัตโนมัติ ภายใน 5  วันทำการ นับตั้งแต่วันถัดจากวันที่เกิดเหตุการณ์ตามเงื่อนไขการเลิกกองทุน เงื่อนไขใดเงื่อนไขหนึ่งดังนี้  คือ  ภายในระยะเวลา 8  เดือน นับตั้งแต่วันถัดจากวันจดทะเบียนกองทรัพย์สินเป็นกองทุนรวม  เมื่อหน่วยลงทุนมีมูลค่ามากกว่าหรือเท่ากับ 10.82 บาท ณ วันทำการใด หรือเป็นเวลา 3 วันทำการติดต่อกันขึ้นไป  และทรัพย์สินของกองทุนเป็นเงินสด  และ/หรือเงินฝาก และ/หรือทรัพย์สินอื่นใดที่เทียบเท่าเงินสดบางส่วนหรือทั้งหมด สามารถรับซื้อคืนโดยอัตโนมัติได้ไม่ต่ำกว่า  10.60 บาทต่อหน่วย

อย่างไรก็ตาม หากหน่วยลงทุนมีมูลค่าไม่เป็นไปตามเป้าหมายภายในระยะเวลา 8 เดือน นับตั้งแต่วันถัดจากวันจดทะเบียนกองทรัพย์สินเป็นกองทุนรวม  ผู้ลงทุนสามารถขายคืนหน่วยลงทุนได้ทุกวันทำการ  และเมื่อหน่วยลงทุนมีมูลค่ามากกว่าหรือเท่ากับ 10.30 บาท   ณ วันทำการใด หรือเป็นเวลา 3 วันทำการติดต่อกันขึ้นไป และทรัพย์สินของกองทุนเป็นเงินสด  และ/หรือเงินฝาก และ/หรือทรัพย์สินอื่นใดที่เทียบเท่าเงินสดบางส่วนหรือทั้งหมด  สามารถรับซื้อคืนโดยอัตโนมัติได้ไม่ต่ำกว่า  10.20 บาทต่อหน่วย

โดยบริษัทจัดการจะเรียกเก็บค่าธรรมเนียมการรับซื้อคืนหน่วยลงทุน 2% ก็ต่อเมื่อมูลค่าหน่วยลงทุนถึงเป้าหมาย ที่ราคาไม่ต่ำกว่า 10.82 ติดต่อกัน 3 วัน ภายในระยะเวลาที่กำหนด 8 เดือน แต่หากหลังครบระยะเวลา 8 เดือน บริษัทจัดการจะเรียกเก็บค่าธรรมเนียมการรับซื้อคืนก็ต่อเมื่อมูลค่าหน่วยลงทุนมากกว่าหรือเท่ากับ 10.10 บาท ในอัตรา 0.5% และ หากมูลค่าหน่วยลงทุนต่ำกว่า 10.10 บาท จะไม่คิดค่าธรรมเนียมบริหารจัดการและรับซื้อคืน ทั้งนี้ กองทุนที่อยู่ในแนวคิดใหม่ของการลงทุนนี้ จะต้องมีสัญลักษณ์ของ No Gain No Pay เท่านั้น

นายศรชัย  กล่าวต่อไปว่า ปัจจัยทางเศรษฐกิจและการลงทุนที่จะสนับสนุนให้มูลค่าหน่วยลงทุนเติบโตไปถึงเป้าหมายภายในระยะเวลาที่กำหนด 8 เดือน มีดังนี้คือ 1) SCB CIO คาดว่า คณะกรรมการนโยบายการเงิน (กนง.) จะลดดอกเบี้ย 1 ครั้ง หลังธนาคารกลางสหรัฐฯ (Fed) ที่คาดว่าจะลดดอกเบี้ยในเดือน ก.ย. เพื่อให้สอดคล้องกับ ศักยภาพเศรษฐกิจที่ขยายตัวต่ำลง จากปัจจัยเชิงโครงสร้าง และ ภาวะเงินเฟ้อที่ต่ำ ซึ่งจากสถิติในอดีต หลัง กนง. ลดดอกเบี้ยนโยบาย ตลาดหุ้นไทยมักปรับตัวขึ้น และจะได้อานิสงส์ด้านผลประกอบการ รวมถึง งบดุลที่แข็งแกร่งขึ้นจากต้นทุนทางการเงินที่ลดลง นอกจากนี้ แรงหนุนจากนักท่องเที่ยวที่กลับมาขยายตัวใกล้เคียงกับช่วงก่อนเกิดโควิดจะเป็นแรงผลักดันให้เศรษฐกิจเร่งขยายตัว 2) ดิจิทัล วอลเล็ต จะส่งผลบวกในหุ้นภาคการบริโภค  หลังจากที่กระทรวงการคลัง เปิดให้ประชาชนลงทะเบียนร่วมโครงการดิจิทัล วอลเล็ต ตั้งแต่วันที่ 1 ส.ค. ที่ผ่านมา และ ให้ร้านค้าลงทะเบียน วันที่ 1 ต.ค. นี้ คาดว่าโครงการนี้ จะช่วยกระตุ้นการบริโภคในช่วงไตรมาส 4 ได้ ช่วยหนุนผลประกอบการหุ้นที่เกี่ยวกับภาคการบริโภค เช่น กลุ่มค้าปลีก และ กลุ่มอาหาร เป็นต้น 3) กองทุน ThaiESG เงื่อนไขใหม่ และการกลับมาของกองทุนวายุภักษ์  โดยครม.ได้อนุมัติเกณฑ์ใหม่กองทุน ThaiESG ให้ผู้ซื้อลดหย่อนภาษีได้สูงสุดเพิ่มเป็นไม่เกิน 300,000 บาท และลดระยะเวลาถือครองเหลือ 5 ปี นับจากวันที่ลงทุน  พร้อมขยายขอบเขตการลงทุนให้ครอบคลุมเพิ่มเติมด้านธรรมาภิบาล ส่งผลให้ครอบคลุมหุ้น ในดัชนี SET/mai เพิ่มขึ้น บวกกับแผนการนำกองทุนวายุภักษ์กลับมา โดยปรับเกณฑ์ใหม่ และคาดว่าจะเกิดขึ้นในเดือน ก.ย. ซึ่งจะช่วยหนุนเงินทุนไหลเข้าตลาดหุ้นไทย

นอกจากนี้ ผลสำรวจนักวิเคราะห์จาก Bloomberg Consensus ณ วันที่ 30 กรกฎาคม  2567 คาดการณ์ว่า EPS ของดัชนีตลาดหุ้นไทยในปีนี้จะเติบโตประมาณ 17% เทียบปีก่อนหน้า ส่วนในเชิง Valuation ของดัชนี ก็ถือว่าซื้อขายในระดับที่ไม่แพง โดยราคาต่อกำไรต่อหุ้นในระยะ 12 เดือนข้างหน้า (Forward PE) อยู่ที่ 13.4 เท่า ต่ำกว่าค่าเฉลี่ย 5 ปีย้อนหลัง ช่วยเพิ่มความน่าสนใจให้กับตลาดหุ้นไทย และมองเป็นโอกาสสำหรับนักลงทุนที่จะสร้างผลตอบแทนให้กับการลงทุนได้อย่างถูกจังหวะ

SCB  WEALTH  เปิดตัว “No Gain No Pay” แนวคิดใหม่ของการลงทุน ใส่ใจผลประโยชน์ลูกค้าเป็นตัวตั้ง เชื่อว่าเงินของลูกค้าเป็นเงินของเรา โดยจะไม่คิดค่าธรรมเนียมหากมูลค่าหน่วยลงทุนไม่ถึงเป้าหมายที่กำหนด นำร่องส่งกองทุนเปิดทิสโก้ ทาร์เก็ต 8M1 อายุ 8 เดือน เสนอขายวันที่ 14-28 สิงหาคมนี้  เงินลงทุนขั้นต่ำ 1,000 บาท โดยมีธนาคารไทยพาณิชย์เป็นตัวแทนจำหน่ายเพียงรายเดียว กองทุนนี้ไม่คิดค่าธรรมเนียมการขายและบริหารจัดการ  หลังจดทะเบียนจัดตั้งกองทุนภายใน 8 เดือน หากมูลค่าหน่วยลงทุน อยู่ที่ 10.82 บาทต่อหน่วย  กองทุนคิดค่าธรรมเนียมรับซื้อคืน 2% แต่หากหลังจาก 8 เดือนมูลค่าหน่วยลงทุน ต่ำกว่า 10.10 บาทต่อหน่วย ไม่คิดค่าธรรมเนียมบริหารจัดการและค่าธรรมเนียมรับซื้อคืน กองทุนที่อยู่ในแนวคิดใหม่นี้ จะต้องมีสัญลักษณ์ของ No Gain No Pay เท่านั้น 

นายศรชัย  สุเนต์ตา , CFA  รองผู้จัดการใหญ่  ผู้บริหารสายงาน Investment Office and Product  กลุ่มธุรกิจ Wealth  ธนาคารไทยพาณิชย์  เปิดเผยว่า SCB WEALTH  ใส่ใจผลประโยชน์ลูกค้าเป็นตัวตั้ง เชื่อว่าเงินของลูกค้าเป็นเงินของเรา  และต้องการสร้างความเชื่อมั่นให้กับลูกค้าที่ไว้วางใจให้ธนาคารบริหารสินทรัพย์ และมั่นใจในการคัดเลือกผลิตภัณฑ์ลงทุนที่มีคุณภาพ มานำเสนอให้กับนักลงทุน เพื่อต่อยอดความมั่งคั่ง จึงได้นำร่องเปิดตัว No Gain No Pay  แนวคิดใหม่ของการลงทุน ที่ยึดผลประโยชน์ของลูกค้าเป็นสำคัญ โดยจะไม่คิดค่าธรรมเนียมการขาย (Front end fee) และค่าธรรมเนียมบริหารจัดการ (Management Fee) หากมูลค่าหน่วยลงทุนไม่ได้ตามเป้าหมายที่กำหนดไว้ และจะคิดค่าธรรมเนียมรับซื้อคืน (Back end fee) ที่มีความยุติธรรม โดยจะเก็บก็ต่อเมื่อกองทุนมีกำไรหรือทำได้ตามเป้าหมาย  เพื่อตอกย้ำว่าธนาคารให้การดูแลลูกค้าเสมือน Thought Partner และสร้างความมั่งคั่งอย่างยั่งยืนให้กับนักลงทุน 

SCB WEALTH  ยึดมั่นในหลักการของ Open architecture  ในการสรรหาผลิตภัณฑ์การลงทุนที่ตอบโจทย์ และคัดเลือก  Best in class ให้กับลูกค้า โดยเราจะคัดสรรผลิตภัณฑ์การลงทุนจากภายนอกธนาคารมานำเสนอให้กับลูกค้าอย่างต่อเนื่อง  เพื่อเพิ่มผลิตภัณฑ์การลงทุนให้มีความหลากหลาย  รวมทั้งมีการออกแบบผลิตภัณฑ์ที่ตอบโจทย์ความต้องการของลูกค้า และเหมาะสมในแต่ละภาวะการลงทุน    ล่าสุด เราได้พัฒนาผลิตภัณฑ์การลงทุนร่วมกับพันธมิตรทางธุรกิจ โดยการเปิดจำหน่ายกองทุนเปิดทิสโก้  ทาร์เก็ต 8M1 (TTARGET8M1)บริหารจัดการโดย บริษัทหลักทรัพย์จัดการกองทุน  ทิสโก้  จำกัด  ซึ่งธนาคารเป็นตัวแทนจำหน่ายเพียงรายเดียว  ในระหว่างวันที่ 14 - 28   สิงหาคม  2567  เงินลงทุนขั้นต่ำ 1,000 บาทขึ้นไป  มูลค่าโครงการ 2,000 ล้านบาท   

กองทุน TTARGET8M1มีนโยบายลงทุนในตราสารทุน โดยมุ่งเน้นการลงทุนในหุ้นไทย โดยเฉลี่ยไม่น้อยกว่า 80% ของมูลค่าทรัพย์สินสุทธิของกองทุน  ที่จดทะเบียนในตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทย และ / หรือตลาดเอ็มเอไอ รวมถึงตลาดหลักทรัพย์อื่นๆที่อยู่ภายใต้การกำกับดูแลของตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทย ที่มีปัจจัยพื้นฐานดี  มีความมั่นคง และมีแนวโน้มการเจริญเติบโตทางธุรกิจที่ดี  คัดเลือกลงทุนในหุ้นไทยที่มีระดับราคาน่าสนใจ ได้รับปัจจัยหนุนจากมาตรการส่งเสริมและกระตุ้นเศรษฐกิจของรัฐบาล 

สำหรับการรับซื้อคืนหน่วยลงทุน บริษัทจัดการจะรับซื้อคืนหน่วยลงทุนทั้งหมดของผู้ถือหน่วยลงทุนแต่ละรายโดยอัตโนมัติ ภายใน 5  วันทำการ นับตั้งแต่วันถัดจากวันที่เกิดเหตุการณ์ตามเงื่อนไขการเลิกกองทุน เงื่อนไขใดเงื่อนไขหนึ่งดังนี้  คือ  ภายในระยะเวลา 8 เดือน นับตั้งแต่วันถัดจากวันจดทะเบียนกองทรัพย์สินเป็นกองทุนรวม  เมื่อหน่วยลงทุนมีมูลค่ามากกว่าหรือเท่ากับ 10.82 บาท ณ วันทำการใด หรือเป็นเวลา 3 วันทำการติดต่อกันขึ้นไป  และทรัพย์สินของกองทุนเป็นเงินสด  และ/หรือเงินฝาก และ/หรือทรัพย์สินอื่นใดที่เทียบเท่าเงินสดบางส่วนหรือทั้งหมด สามารถรับซื้อคืนโดยอัตโนมัติได้ไม่ต่ำกว่า  10.60 บาทต่อหน่วย  

อย่างไรก็ตาม หากหน่วยลงทุนมีมูลค่าไม่เป็นไปตามเป้าหมายภายในระยะเวลา 8 เดือน นับตั้งแต่วันถัดจากวันจดทะเบียนกองทรัพย์สินเป็นกองทุนรวม  ผู้ลงทุนสามารถขายคืนหน่วยลงทุนได้ทุกวันทำการ  และเมื่อหน่วยลงทุนมีมูลค่ามากกว่าหรือเท่ากับ 10.30 บาท   ณ วันทำการใด หรือเป็นเวลา 3 วันทำการติดต่อกันขึ้นไป และทรัพย์สินของกองทุนเป็นเงินสด  และ/หรือเงินฝาก และ/หรือทรัพย์สินอื่นใดที่เทียบเท่าเงินสดบางส่วนหรือทั้งหมด  สามารถรับซื้อคืนโดยอัตโนมัติได้ไม่ต่ำกว่า  10.20 บาทต่อหน่วย  โดยบริษัทจัดการจะเรียกเก็บค่าธรรมเนียมการรับซื้อคืนหน่วยลงทุน 2% ก็ต่อเมื่อมูลค่าหน่วยลงทุนถึงเป้าหมาย ที่ราคาไม่ต่ำกว่า  10.82   ติดต่อกัน 3  วัน ภายในระยะเวลาที่กำหนด 8 เดือน  แต่หากหลังครบระยะเวลา 8  เดือน บริษัทจัดการจะเรียกเก็บค่าธรรมเนียมการรับซื้อคืนก็ต่อเมื่อมูลค่าหน่วยลงทุนมากกว่าหรือเท่ากับ 10.10 บาท ในอัตรา 0.5% และ หากมูลค่าหน่วยลงทุนต่ำกว่า 10.10 บาท จะไม่คิดค่าธรรมเนียมบริหารจัดการและรับซื้อคืน  ทั้งนี้ กองทุนที่อยู่ในแนวคิดใหม่ของการลงทุนนี้ จะต้องมีสัญลักษณ์ของ No Gain No Pay เท่านั้น 

นายศรชัย  กล่าวต่อไปว่า  ปัจจัยทางเศรษฐกิจและการลงทุนที่จะสนับสนุนให้มูลค่าหน่วยลงทุนเติบโตไปถึงเป้าหมายภายในระยะเวลาที่กำหนด 8 เดือน  มีดังนี้คือ 1) SCB CIO คาดว่า คณะกรรมการนโยบายการเงิน (กนง.) จะลดดอกเบี้ย 1 ครั้ง หลังธนาคารกลางสหรัฐฯ (Fed) ที่คาดว่าจะลดดอกเบี้ยในเดือน ก.ย. เพื่อให้สอดคล้องกับ ศักยภาพเศรษฐกิจที่ขยายตัวต่ำลง จากปัจจัยเชิงโครงสร้าง และ ภาวะเงินเฟ้อที่ต่ำ ซึ่งจากสถิติในอดีต หลัง กนง. ลดดอกเบี้ยนโยบาย ตลาดหุ้นไทยมักปรับตัวขึ้น และจะได้อานิสงส์ด้านผลประกอบการ รวมถึง งบดุลที่แข็งแกร่งขึ้นจากต้นทุนทางการเงินที่ลดลง นอกจากนี้ แรงหนุนจากนักท่องเที่ยวที่กลับมาขยายตัวใกล้เคียงกับช่วงก่อนเกิดโควิดจะเป็นแรงผลักดันให้เศรษฐกิจเร่งขยายตัว  2) ดิจิทัล วอลเล็ต จะส่งผลบวกในหุ้นภาคการบริโภค  หลังจากที่กระทรวงการคลัง เปิดให้ประชาชนลงทะเบียนร่วมโครงการดิจิทัล วอลเล็ต ตั้งแต่วันที่ 1 ส.ค. ที่ผ่านมา และ ให้ร้านค้าลงทะเบียน วันที่ 1 ต.ค. นี้ คาดว่าโครงการนี้ จะช่วยกระตุ้นการบริโภคในช่วงไตรมาส 4 ได้ ช่วยหนุนผลประกอบการหุ้นที่เกี่ยวกับภาคการบริโภค เช่น กลุ่มค้าปลีก และ กลุ่มอาหาร เป็นต้น   3) กองทุน ThaiESG เงื่อนไขใหม่ และการกลับมาของกองทุนวายุภักษ์  โดยครม.ได้อนุมัติเกณฑ์ใหม่กองทุน ThaiESG ให้ผู้ซื้อลดหย่อนภาษีได้สูงสุดเพิ่มเป็นไม่เกิน 300,000 บาท และลดระยะเวลาถือครองเหลือ 5 ปี นับจากวันที่ลงทุน  พร้อมขยายขอบเขตการลงทุนให้ครอบคลุมเพิ่มเติมด้านธรรมาภิบาล ส่งผลให้ครอบคลุมหุ้น ในดัชนี SET/mai เพิ่มขึ้น บวกกับแผนการนำกองทุนวายุภักษ์กลับมา โดยปรับเกณฑ์ใหม่ และคาดว่าจะเกิดขึ้นในเดือน ก.ย. ซึ่งจะช่วยหนุนเงินทุนไหลเข้าตลาดหุ้นไทย  

นอกจากนี้ ผลสำรวจนักวิเคราะห์จาก Bloomberg Consensus   ณ วันที่   30 กรกฎาคม  2567 คาดการณ์ว่า EPS ของดัชนีตลาดหุ้นไทยในปีนี้จะเติบโตประมาณ 17% เทียบปีก่อนหน้า ส่วนในเชิง Valuation ของดัชนี ก็ถือว่าซื้อขายในระดับที่ไม่แพง โดยราคาต่อกำไรต่อหุ้นในระยะ 12 เดือนข้างหน้า (Forward PE) อยู่ที่ 13.4 เท่า ต่ำกว่าค่าเฉลี่ย 5 ปีย้อนหลัง ช่วยเพิ่มความน่าสนใจให้กับตลาดหุ้นไทย และมองเป็นโอกาสสำหรับนักลงทุนที่จะสร้างผลตอบแทนให้กับการลงทุนได้อย่างถูกจังหวะ  

Page 1 of 20
X

Right Click

No right click