สกิลแมน, นิว เจอร์ซี่ -- บริษัท เคนวิว อิงค์ (NYSE: KVUE) (Kenvue) ซึ่งเป็นบริษัทด้านสุขภาพส่วนบุคคลที่ใหญ่ที่สุดในโลก (เมื่อพิจารณาจากรายได้) เริ่มทำการซื้อขายในตลาดหลักทรัพย์นิวยอร์กภายใต้ชื่อย่อหลักทรัพย์ “KVUE” หลังจากการเสนอขายหุ้นต่อประชาชนทั่วไปเป็นครั้งแรก (IPO) โดยมี ธิโบต์ มองกอน ประธานเจ้าหน้าที่บริหารและกรรมการ และคณะผู้บริหารร่วมทำพิธีเปิดการซื้อขายหุ้นในวันแรก

ธิโบต์ มองกอน ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร เคนวิว กล่าวว่า “การช่วยให้ผู้บริโภคตระหนักถึงพลังวิเศษของการดูแลตัวเองในชีวิตประจำวัน คือหัวใจสำคัญที่บ่งบอกถึงตัวตนของเราและสิ่งที่เราทำอยู่ ในฐานะผู้นำระดับโลกทั้งในด้านการดูแลสุขภาพและสินค้าอุปโภคบริโภค พอร์ตโฟลิโอของผลิตภัณฑ์ซึ่งคัดสรรมาอย่างพิถีพิถันของเราอันประกอบด้วยแบรนด์ที่ผ่านการรับรองทางวิทยาศาสตร์และมีชื่อเสียงยาวนาน ต่างเป็นที่ไว้วางใจของผู้บริโภคและได้รับการแนะนำให้ใช้โดยบุคลากรด้านสุขภาพมาหลายชั่วอายุคน และวันนี้ เราพร้อมที่จะนำมุมมองใหม่ของการดูแลตัวเองมาสู่ผู้คนทั่วโลก”

ข่าวประชาสัมพันธ์นี้ไม่ใช่การเสนอขายหรือการชักชวนให้ซื้อหลักทรัพย์เหล่านี้ และจะไม่มีการขายหลักทรัพย์เหล่านี้ในรัฐหรือเขตอำนาจใด ๆ ที่การเสนอ การชักชวน หรือการขายดังกล่าว เป็นสิ่งที่ไม่รับอนุญาตตามกฎหมาย

เกี่ยวกับเคนวิว

เคนวิวคือบริษัทด้านสุขภาพสำหรับบุคคลที่ใหญ่ที่สุดในโลกเมื่อพิจารณาจากรายได้ มีประวัติความเป็นมายาวนานกว่าศตวรรษและขับเคลื่อนไปข้างหน้าด้วยวิทยาศาสตร์ โดยมีแบรนด์ที่มีชื่อเสียงเป็นที่รู้จัก ได้แก่ AVEENO®, BAND-AID®, JOHNSON’S®, LISTERINE®, NEUTROGENA®, TYLENOL® และ ZYRTEC® ซึ่งบุคลากรด้านสุขภาพต่างแนะนำให้ใช้และได้รับความไว้วางใจจากผู้บริโภคที่ใช้ผลิตภัณฑ์ของเราเพื่อช่วยให้ชีวิตประจำวันดีขึ้น ทีมบุคลากรของเราล้วนมีทัศนคติที่เปิดรับเทคโนโลยีดิจิทัล ยึดมั่นนวัตกรรมที่มีพื้นฐานมาจากข้อมูลเชิงลึกของมนุษย์ และมุ่งมั่นในทุกวันที่จะทำให้ผลิตภัณฑ์ของเราอยู่ในใจและมีอยู่ติดบ้านผู้บริโภคทุกคน ที่ Kenvue เราเชื่อว่าการดูแลตัวเองไม่เพียงส่งผลให้ผู้คนมีสุขภาพดี แต่ยังทำให้ทุกชีวิตสมบูรณ์ลงตัว

ข้อควรระวังเกี่ยวกับข้อความคาดการณ์ล่วงหน้า

ข่าวประชาสัมพันธ์ฉบับนี้ประกอบด้วย “ข้อความคาดการณ์ล่วงหน้า” ตามที่กำหนดไว้ในกฎหมายปฏิรูปการฟ้องร้องคดีหลักทรัพย์ส่วนบุคคลปี ค.ศ. 1995 ผู้อ่านควรระวังอย่าพึ่งพาข้อความคาดการณ์ล่วงหน้าเหล่านี้ ข้อความเหล่านี้ขึ้นอยู่กับการคาดการณ์ในปัจจุบันเกี่ยวกับเหตุการณ์ในอนาคต หากข้อสมมติฐานพิสูจน์ได้ว่าไม่ถูกต้อง หรือมีความเสี่ยงหรือความไม่แน่นอนที่ทราบหรือไม่ทราบเกิดขึ้นจริง ผลลัพธ์ที่แท้จริงอาจแตกต่างอย่างมากจากความคาดหวังและการคาดการณ์ของเคนวิว ความเสี่ยงและความไม่แน่นอนรวมถึงแต่ไม่จำกัดเฉพาะเพียง ความสำเร็จในเงื่อนไขตามปกติของการเสนอขายหุ้นไอพีโอ ความเสี่ยงด้านตลาดทุน และผลกระทบจากภาวะเศรษฐกิจหรืออุตสาหกรรมโดยทั่วไป สำหรับรายการและคำอธิบายเพิ่มเติมเกี่ยวกับความเสี่ยง ความไม่แน่นอน และปัจจัยอื่นๆ ที่ส่งผลกระทบต่อธุรกิจของเคนวิว โปรดดูเอกสารที่ยื่นต่อสำนักงานคณะกรรมการกำกับหลักทรัพย์และตลาดหลักทรัพย์ แถลงการณ์เชิงคาดการณ์ล่วงหน้าใด ๆ ที่ระบุในข่าวประชาสัมพันธ์นี้กล่าวถึง ณ วันที่ของข่าวประชาสัมพันธ์นี้เท่านั้น เคนวิวไม่ดำเนินการปรับปรุงข้อความคาดการณ์ล่วงหน้าอันเป็นผลมาจากข้อมูลใหม่หรือเหตุการณ์ หรือการเปลี่ยนแปลงในอนาคต

อาคารตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทย ผ่านการรับรองมาตรฐานจาก U.S. Green Building Council (USGBC) สหรัฐอเมริกา ประกอบไปด้วย “LEED Zero Waste Certification” และ “TRUE Certification ในระดับ Platinum” โดยถือเป็นแห่งแรกในอาเซียนที่ได้รับการรับรองทั้งสองมาตรฐาน โดยอาคารตลาดหลักทรัพย์ฯ เป็นอาคารสำนักงานที่มุ่งเน้นการใช้ทรัพยากรอย่างมีประสิทธิภาพ ลดขยะให้เป็นศูนย์ (Zero Waste) สะท้อนถึงการให้ความสำคัญในการดำเนินงานด้วยความรับผิดชอบต่อสังคมและสิ่งแวดล้อมอย่างยั่งยืน

นายกีรติ โกสีย์เจริญ ผู้ช่วยผู้จัดการ หัวหน้ากลุ่มงานบริหาร ตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทย เปิดเผยว่า ตลาดหลักทรัพย์ฯ ดำเนินงานโดยคำนึงถึงสิ่งแวดล้อม สังคม และ บรรษัทภิบาล (Environmental, Social, Governance: ESG) ภายใต้วิสัยทัศน์ในการพัฒนาตลาดทุนเพื่อทุกภาคส่วน “To Make the Capital Market ‘Work’ for Everyone”  โดยล่าสุด อาคารตลาดหลักทรัพย์ฯ ผ่านการรับรองมาตรฐานอาคารสำนักงานที่ใช้ทรัพยากรอย่างมีประสิทธิภาพ ประจำปี 2565 จาก U.S. Green Building Council (USGBC) สหรัฐอเมริกา ถือเป็นการสะท้อนความมุ่งมั่นของตลาดหลักทรัพย์ฯ ตั้งแต่ระดับนโยบายจนถึงพนักงานที่ร่วมขับเคลื่อนการใช้ทรัพยากรอย่างคุ้มค่าและเกิดประสิทธิภาพสูงสุด โดยดำเนินการลดปริมาณขยะที่นำไปฝังกลบให้เป็นศูนย์

(Zero Waste to Landfill) ตั้งแต่ปี 2563 มีการจัดการขยะเพื่อนำไปใช้ประโยชน์ตามหลัก 3R (Reduce-Reuse-Recycle) พร้อมขยายความร่วมมือกับองค์กรพันธมิตร การนำนวัตกรรมและเทคโนโลยีมาบริหารจัดการการใช้ทรัพยากร รวมถึงการส่งเสริมกระบวนการจัดหาคู่ค้า สินค้า และบริการที่เป็นมิตรต่อสิ่งแวดล้อม

นายวชิระชัย คูนำวัฒนา กรรมการผู้จัดการ บริษัท เอสซีจี บิลดิ้ง แอนด์ ลีฟวิ่งแคร์คอนซัลติ้ง จำกัด เปิดเผยว่า บริษัทมีความยินดีอย่างยิ่งที่มีส่วนในการให้คำปรึกษาแก่ตลาดหลักทรัพย์ฯ เพื่อให้ได้รับมาตรฐานการรับรองในครั้งนื้ ด้วยคะแนนประเมินระดับ Platinum ตามมาตรฐานการรับรองจาก USGBC ทั้งนี้ SCG ให้ความสำคัญกับการแก้ปัญหาโลกร้อน จึงนำแนวทางการพัฒนาอย่างยั่งยืน ESG 4 Plus มาใช้ในการดำเนินธุรกิจด้วยความรับผิดชอบต่อสังคม ชุมชน และสิ่งแวดล้อม คือ 1) มุ่งเน้น NET ZERO  2) GO Green 3) Lean เหลื่อมล้ำ และ 4) ย้ำร่วมมือ  ทั้งนี้ บริษัท เอสซีจี บิลดิ้ง แอนด์ ลีฟวิ่งแคร์คอนซัลติ้ง จำกัด มีเป้าหมายที่จะเป็นส่วนหนึ่งในการส่งเสริมและสนับสนุนองค์กรต่างๆ ให้บรรลุเป้าหมาย NET ZERO ซึ่งการที่ตลาดหลักทรัพย์ฯ ได้รับการรับรองมาตรฐาน “LEED Zero Waste” และ “TRUE Certification ในระดับ Platinum”  เป็นอาคารแห่งแรกในอาเซียนในครั้งนื้ นับเป็นส่วนหนึ่งของความสำเร็จ และก้าวสำคัญของบริษัทที่ได้มีส่วนร่วมในการสนับสนุนเพื่อเป็นแนวทางให้กับองค์กรต่างๆ ต่อไป

การรับรองมาตรฐานดังกล่าวจะมอบให้กับอาคารที่มีการบริหารจัดการทรัพยากรในอาคารอย่างมีประสิทธิภาพสูงสุดตลอดทั้งห่วงโซ่อุปทาน (Supply Chain) โดยยึดหลักการเศรษฐกิจหมุนเวียน (Circular Economy) นอกจากนี้อาคารที่ได้การรับรองจะต้องใช้ประโยชน์จากขยะที่เกิดขึ้นมากกว่าร้อยละ 90 โดยหลีกเลี่ยงการจัดการที่ส่งผลกระทบต่อสิ่งแวดล้อม เช่น การนำไปใช้เป็นเชื้อเพลิง การฝังกลบ และการทำลายสิ่งแวดล้อมอื่นๆ และมีการปนเปื้อนของขยะน้อยกว่าร้อยละ 10 โดยพิจารณาขยะทุกประเภท ด้วยความร่วมมือกับคู่ธุรกิจในการปรับปรุงบรรจุภัณฑ์, การรับสินค้าคืนหลังการใช้งาน (Product Take back program) การนำบรรจุภัณฑ์ไปรีไซเคิล รวมถึงการเพิ่มมูลค่าด้วยการ upcycling

อีกส่วนหนึ่งที่ทำให้อาคารได้การรับรอง คือความชัดเจนทางด้านนโยบาย และการมีส่วนร่วมของผู้บริหาร และพนักงาน ซึ่งพนักงานและคู่ธุรกิจของอาคารตลาดหลักทรัพย์ได้รับการอบรมและมีส่วนร่วมในด้าน zero waste ยิ่งไปกว่านั้น อาคารตลาดหลักทรัพย์ยังมีการคำนวณการปลดปล่อยก๊าซคาร์บอนไดออกไซด์สำหรับการจัดการขยะตลอดทั้ง supply chain เป็นต้น

ที่ผ่านมาตลาดหลักทรัพย์ฯ ได้รับรางวัลสำนักงานสีเขียวที่เป็นมิตรกับสิ่งแวดล้อม (Green Office) ระดับดีเยี่ยม (Gold Level) จากกรมส่งเสริมคุณภาพสิ่งแวดล้อม รางวัล Thailand energy award ประเภทอาคารที่ใช้พลังงานเป็นศูนย์ (Zero energy building) จากกรมพัฒนาพลังงานทดแทนและอนุรักษ์พลังงาน และรางวัล ASEAN Energy Award  จาก ASEAN Center of Energy (ACE) และยังได้รับการรับรองอาคารเพื่อสิ่งแวดล้อมมาตรฐานสากล LEED Platinum: Operation and Maintenance (O+M) ระดับสูงสุด จาก U.S. Green Building Council (USGBC) อีกด้วย 

KBank Private Banking เห็นสัญญาณบวกในภาคการลงทุน จากที่ตลาดทยอยฟื้นตัวอย่างต่อเนื่องตั้งแต่ไตรมาสสุดท้ายของปีก่อน ส่งผลให้ความต้องการลงทุนในสินทรัพย์เสี่ยงเริ่มกลับมา แต่ความผันผวนโดยเฉพาะความเสี่ยงด้านภูมิรัฐศาสตร์ยังคงอยู่ในระดับสูง แนะนักลงทุนเพิ่มสัดส่วนการลงทุน ชู 3 กองทุนผสมภายใต้ K-ALLROAD Series* กองทุนอัจฉริยะที่กระจายลงทุนในสินทรัพย์หลากหลาย มาพร้อมปรับพอร์ตอัตโนมัติโดยยึดความเสี่ยงของสินทรัพย์เป็นหลัก จึงสร้างผลตอบแทนได้อย่างมั่นคงและควบคุมการขาดทุนได้ในทุกสภาพเศรษฐกิจ เผยเป็นซีรีส์กองทุนที่ลูกค้าตอบรับดี ระดมเงินลงทุนไปได้แล้วกว่า 6.3 พันล้านบาท **

นายจิรวัฒน์ สุภรณ์ไพบูลย์ Executive Chairman, Private Banking Group ธนาคารกสิกรไทย เปิดเผยว่า “บรรยากาศโดยรวมของการลงทุนในต้นปี 2566 นี้ปรับตัวดีขึ้น เห็นได้จากดัชนีตลาดหุ้นโลก MSCI World Index ที่มีผลตอบแทนตั้งแต่ต้นปีจนถึงวันที่ 28 กุมภาพันธ์ 2566 (YTD Returns) ที่ 4.16% อย่างไรก็ดี ยังมีหลายปัจจัยความเสี่ยงที่ต้องจับตา จากการประเมินของ Lombard Odier ค่าความผันผวนในตลาดยังคงอยู่ในระดับสูงถึง 78% ซึ่งชี้ให้เห็นว่าการฟื้นตัวของราคาสินทรัพย์ยังมีความเสี่ยงและยังไม่มีเสถียรภาพนัก อย่างไรก็ดี ดัชนีชี้วัดความเสี่ยงที่นักลงทุนรับได้ (Risk Appetite) จากการประเมินของ Lombard Odier ปรับตัวดีขึ้นเช่นเดียวกันมาอยู่ที่ระดับ 83% ถือว่าอยู่ในระดับพร้อมลงทุนในสินทรัพย์เสี่ยง (Risk on) จากก่อนหน้าช่วงปลายปีที่อยู่ในระดับ 36% ที่นักลงทุนไม่พร้อมที่จะรับความเสี่ยง (Risk off)

เพื่อเสริมความแข็งแกร่งให้พอร์ตการลงทุนท่ามกลางความผันผวนโดยเฉพาะอย่างยิ่งความเสี่ยงด้านภูมิรัฐศาสตร์ ไม่ว่าจะเป็น สงครามรัสเซีย-ยูเครน ความขัดแย้งระหว่างสหรัฐฯ-จีนที่ยังน่ากังวล KBank Private Banking ยังคงแนะนำลูกค้าบุคคลสินทรัพย์สูงของธนาคารให้แบ่งเงินลงทุน 50-60% ของพอร์ตลงทุนในสัดส่วนพอร์ตหลักโดยเน้นกระจายการลงทุนในสินทรัพย์หลายประเภททั่วโลก โดยเฉพาะอย่างยิ่งกลยุทธ์ Risk-Based Asset Allocation เพื่อสร้างผลตอบแทนในทุกสภาวะเศรษฐกิจ ช่วยให้สามารถลงทุนอย่างต่อเนื่อง (Stay Invested) ในทุกสภาวะตลาด ผ่านกองทุน K-ALLROAD Series ที่มาพร้อมกลไกอัจฉริยะที่กำหนดสัดส่วนการลงทุนให้สมดุลโดยอัตโนมัติในสภาวะเศรษฐกิจที่แตกต่างกัน อาทิ ในช่วงตลาดปกติเพิ่มอัตราทดเพื่อเพิ่มผลตอบแทน ในช่วงตลาดผันผวน ถือเงินสดเพิ่มขึ้นเพื่อลดความเสียหาย ในช่วงวิกฤตเศรษฐกิจ จัดการกับความเสียหายให้อยู่ในกรอบที่กำหนด

 

กองทุน K-ALLROAD Series ประกอบด้วย 3 กองทุนซึ่งแตกต่างกันตามระดับความเสี่ยงที่ยอมรับได้ คือ K-ALLROAD-UI, K-ALLGROWTH-UI และ K-ALLENHANCE-UI โดยผลการดำเนินงานย้อนหลังตั้งแต่จัดตั้งเมื่อ 10 ปีที่ผ่านมากองทุนหลัก LO FUNDS - ALL ROADS Series ในต่างประเทศสามารถสร้างผลตอบแทนและควบคุมความผันผวนได้ดีสมํ่าเสมอ สามารถให้ผลตอบแทนเป็นบวกได้ ถ้าลงทุนอย่างน้อย 3 ปีขึ้นไป

“KBank Private Banking ได้เริ่มแนะนำกองทุน K-ALLROAD Series ให้แก่ลูกค้าบุคคลสินทรัพย์สูงตั้งแต่ช่วงปลายปี 2564 และจากภาพรวมสถานการณ์เศรษฐกิจที่กำลังดีขึ้น ตลอดไตรมาสแรกของปี 2566 กิจกรรมการตลาดกับลูกค้าใน 4 ภูมิภาคทั่วประเทศ เพื่อชี้ให้เห็นถึงโอกาสในการลงทุนและเพิ่มสัดส่วนการลงทุนผ่านการลงทุนใน K-ALL ROAD Series คาดว่าจะยังคงได้รับกระแสตอบรับที่ดีจากลูกค้า ปัจจุบัน ทั้ง 3 กองทุนในซีรีส์นี้สามารถระดุมเงินลงทุนจากลูกค้าไปได้กว่า 6.3 พันล้านบาท** ” นายจิรวัฒน์ กล่าวปิดท้าย

หากต้องการข้อมูลเพิ่มเติม สามารถเยี่ยมชมเว็บไซต์ของ KBank Private Banking ได้ที่ https://kbank.co/3ETkS5v

“การเทรดหุ้น” ไม่ง่ายแต่ก็ไม่ใช่เรื่องยาก และมีข้อดีหลากหลาย

“21-24 พ.ย. ไปพนมเปญและสีหนุวิลล์  24 กลับมาไป หาดใหญ่และภูเก็ต และ 26 พ.ย. ไปสอนหนังสือเชียงใหม่ และปลายเดือนพ.ย. บินเข้าลาวต่อ ส่วนเดือนธันวาคมอยู่กรุงเทพประมาณ 3-4 วัน”

ฟังตารางงานของ สมภพ ศักดิ์พันธ์พนม ประธานกรรมการ บริษัท แอสเซท โปร แมเนจเม้นท์ จำกัด (APM) และ CEO APM ในภูมิภาคอินโดจีน มือทองด้านการเงินขาลุยที่ตระเวนเปิดตลาดใหม่ๆ ทั้งในประเทศและต่างประเทศจนได้รับการยอมรับในวงการ การหาเวลานั่งพูดคุยกับเขาจัดว่าเป็นเรื่องที่ยาก เมื่อมีโอกาส MBA จึงขอนัดคุยอัปเดตเรื่องราวของ APM ทั้งในไทยและต่างประเทศว่ามีความคืบหน้าไปในระดับใดบ้างแล้ว รวมถึงรูปแบบธุรกิจที่เขาและทีมงานกำลังสร้างอาณาจักรธุรกิจ APM ทั้งในไทยและต่างประเทศ

หากจะสรุปวิธีการทำธุรกิจของ APM จะใช้วิธีสร้างพื้นฐานให้แน่น ใส่ใจกับรายละเอียด และมีความอดทนเพื่อให้บรรลุเป้าหมายที่วางไว้ และจากนั้นก็จะเริ่มขยายฐานออกไปสู่พื้นที่หรือธุรกิจใหม่ที่เกี่ยวเนื่องกัน เห็นได้จากการที่ APM เริ่มปูงานในประเทศไทยจนมีความเข้มแข็งสามารถนำบริษัทเข้าจดทะเบียนมาอย่างต่อเนื่องโดยเฉพาะธุรกิจเอสเอ็มอีที่มีแววทั่วประเทศ โดยสมภพและทีมงานใช้วิธีเข้าไปเชิญชวนให้กิจการนั้นๆ เห็นประโยชน์ของการเข้าไประดมทุนในตลาดหลักทรัพย์และการใช้เครื่องมือทางการเงินประเภทต่างๆ

เมื่อ APM มีความมั่นคง 7 ปีที่ผ่านมา สมภพก็นำทีมเข้าไปวางรากฐานการทำธุรกิจที่ปรึกษาทางการเงินใน สปป.ลาว ที่เขามองว่าแม้ตลาดหลักทรัพย์ของ สปป.ลาว ในขณะนั้นยังเล็ก แต่ก็เป็นตลาดที่มีโอกาสอยู่มาก ประกอบกับความใกล้ชิดของทั้งสองประเทศเป็นประโยชน์ต่อการสร้างฐานธุรกิจให้เข้มแข็ง จนได้ใบอนุญาตที่ปรึกษาทางการเงินสามารถเริ่มนำบริษัทเจ้าจดทะเบียนในตลาดหลักทรัพย์ สปป.ลาว แล้ว 3 บริษัท และมีอีกจำนวนหนึ่งที่อยู่ระหว่างเตรียมการ ระหว่างนั้นเขาก็เริ่มวางรากฐานธุรกิจใหม่ของ APM คือธุรกิจเช่าซื้อที่กำลังเริ่มต้นในวันนี้

 

สมภพ ศักดิ์พันธ์พนม ประธานกรรมการ บริษัท แอสเซท โปร แมเนจเม้นท์ จำกัด (APM) และ CEO APM ในภูมิภาคอินโดจีน

 

ปูฐานให้มั่นคง

การเติบโตตามธรรมชาติเป็นวิธีที่ APM ใช้ขยายธุรกิจ สมภพและทีมงานวางรากฐานทั้งการขยายฐานลูกค้าและบริการอย่างค่อยเป็นค่อยไป ไม่รีบร้อน ตัวอย่างการขยายธุรกิจเช่าซื้อ สมภพมองว่าเขาและทีมงานมีประสบการณ์จากสายธนาคารมาก่อน การทำธุรกิจนี้จึงเป็นหนึ่งในธุรกิจเกี่ยวเนื่องที่สามารถเกื้อหนุนธุรกิจที่ปรึกษาทางการเงินที่อยู่เดิมได้สมภพวิเคราะห์ว่าปี 2561 ที่กำลังจะมาถึง ตลาดทุนใน CLMV จะมีความตื่นตัวมาก เพราะผู้กำกับดูแลรวมถึงผู้บริหารตลาดหลักทรัพย์ในประเทศเหล่านี้วางเป้าหมายให้มีบริษัทจดทะเบียนในแต่ละตลาดแต่ละแห่งขั้นต่ำ 20 บริษัท ทำให้ตลาดทุนในประเทศกลุ่มนี้ยังเป็นโอกาสของ APM

เขาแจกแจงกิจกรรมที่น่าสนใจของ APM ในแต่ละประเทศโดยเริ่มจาก สปป.ลาว ที่เพิ่งนำ Phousy Construction and Development Public Company (PCD) เข้าตลาดหลักทรัพย์ลาวไปเมื่อตุลาคมที่ผ่านมา และกำลังเตรียมนำ UDA Farm เข้าจดทะเบียนในช่วงไตรมาสแรกของปีหน้า และยังมีบริษัทที่เตรียมจะยื่นเข้าจดทะเบียนอีก 2 บริษัทในปี 2561 และกำลังเตรียมความพร้อมอีก 1 บริษัท ทิศทางการทำงานใน สปป.ลาวจึงยังคงเดินหน้าอย่างค่อยเป็นค่อยไป ขณะที่กัมพูชา APM กำลังรอรับใบอนุญาตในนามบริษัท APM Cambodia Securities จำกัดซึ่งคาดว่าจะได้รับในไม่นานนี้ ขณะเดียวกันก็เริ่มเจรจาให้คำปรึกษาธุรกิจในกัมพูชาเพื่อเตรียมตัวเข้าตลาดหลักทรัพย์กัมพูชาไว้แล้ว นอกจากนี้ APM ยังจะจับมือกับ ก.ล.ต.กัมพูชา เพื่อผลักดันเอสเอ็มอี 50 บริษัทเข้าโครงการ Excellence Program เตรียมเอสเอ็มอีเข้าจดทะเบียนในตลาดหลักทรัพย์ โดย APM จะทำหน้าที่เป็นที่ปรึกษาทางการเงิน ช่วยผลักดันเตรียมความพร้อมบริษัทเหล่านี้ในด้านระบบบัญชี

เมียนมาเป็นอีกประเทศที่ APM ตั้งใจจะเข้าไปทำธุรกิจ โดยยังอยู่ระหว่างการรอใบอนุญาตอย่างเป็นทางการ รวมทั้งปัจจุบันประเทศเมียนมายังไม่มีการนำหุ้นเข้า IPO แต่มีบริษัทที่จดทะเบียนในตลาดหลักทรัพย์ฯ จำนวน 4 บริษัทที่เดิมมีการซื้อขายหุ้นกันนอกตลาดหลักทรัพย์ (OTC) เดิมอยู่แล้ว และก็ขออนุญาตเข้าจดทะเบียนในตลาดหลักทรัพย์ (Rangon Stock Exchange) จึงยังไม่มีความคืบหน้าด้านที่ปรึกษาทางการเงินมากนัก เวียดนามเป็นประเทศที่มีตลาดทุนมา 19 ปีแล้ว สมภพมองว่า APM ก็ให้ความสนใจแต่ยังต้องทำให้กิจการในประเทศต่างๆ มีความเข้มแข็งมากขึ้นก่อนจึงจะรุกเข้าไปได้ อีกทางหนึ่ง APM ก็รุกเข้าไปที่สิงคโปร์ โดยอยู่ระหว่างการเตรียมความพร้อมด้านบุคลากรและศึกษากฎเกณฑ์ต่างๆ เพื่อไปเปิดบริษัทที่ปรึกษาทางการเงิน โดยสมภพให้ความสนใจ Catalyst Board ซึ่งเป็นตลาดรองที่มีกฎเกณฑ์ไม่มากนัก แต่ให้บริษัทที่ปรึกษาทางการเงินเป็นคนรับผิดชอบหากเกิดอะไรผิดพลาดขึ้นมา

สมภพสรุปกรอบที่วางไว้ทั้งหมดว่า “เพื่อให้ครอบคลุมการบริการใน 3- 5 ปีจากนี้ได้ เราไม่จำเป็นต้องเร่ง เพราะเราเรียนรู้ว่าแต่ละอย่างเร่งไม่ได้ ใจเราเร่ง แต่บางอย่างเร่งไม่ได้ อย่างไลเซนต์ พอได้แล้วเราเร่งคนก็ไม่ได้ ก็ต้องค่อยๆ เรียนรู้”ความพร้อมเป็นเรื่องสำคัญมากสำหรับงานที่ปรึกษาทางการเงิน ตัวอย่างเช่นที่สปป.ลาวซึ่ง APM ต้องส่งคนลงไปทำงานอย่างทุ่มเทอย่างน้อย 1-2 ปีเรียนรู้ทำความรู้จักตลาดใหม่ ให้ความรู้กับตลาดเกี่ยวกับสินค้าและบริการ พัฒนาบุคลากรท้องถิ่น ซึ่งต้องใช้ความทุ่มเททรัพยากรทั้งเงินทุนและเวลาเป็นอย่างมาก หัวเรือใหญ่อย่างสมภพจึงต้องลงมือด้วยตัวเองในแบบที่เรียกได้ว่ากัดไม่ปล่อยจนกว่าจะบรรลุเป้าหมายที่วางไว้ แม้จะต้องเดินทางไปมาแทบไม่มีเวลาพักแต่นั่นคืองานที่เขาสนุกและอยากทำเพื่อให้งานมีคุณภาพและเดินหน้าต่อเนื่อง

 

 

รักษาฐานขยายตลาด

การลุยงานอย่างต่อเนื่องของสมภพเป็นจุดเด่นที่เขาได้รับการยอมรับในวงการ ทำให้เขามีคิวงานแน่นล้นแทบทุกวันทั้งนี้เพื่อรักษาฐานที่มีอยู่พร้อมกับขยายตัวต่อไปหาพื้นที่ใหม่ๆ จำนวน IPO ที่ APM นำเข้าจดทะเบียนในแต่ละปีมีหลายบริษัทคือคำตอบที่เห็นได้ชัดเจน หากไม่มีการเตรียมความพร้อมอย่างต่อเนื่องคงทำได้ยากในประเทศไทยปี 2560 APM ยื่นไฟลลิ่งไปแล้ว 5 บริษัท เข้าจดทะเบียนซื้อขายไปแล้ว 2 บริษัท ขณะที่ปี 2561 สมภพบอกว่าน่าจะยื่นได้ประมาณ 6-8 บริษัท

สมภพมองว่า เอสเอ็มอียังเป็นกลไกสำคัญในการขับเคลื่อนเศรษฐกิจไทย เพราะหากดูตัวอย่างในสหรัฐอเมริกาบริษัทใหญ่ๆ ล้วนเกิดจากการผลักดันเอสเอ็มอีเข้าตลาดแนสแด็กแล้วเติบโตขึ้นทั้งสิ้น ส่วนหนึ่งของการผลักดันโดย APM คือการจัดงานดินเนอร์ทอล์กตามจังหวัดต่างๆ เป็นเวลากว่า 10 ปีแล้ว เพื่อโปรโมตหุ้นน้องใหม่ที่เข้าจดทะเบียน ที่สมภพมองว่าเป็นการสร้างโอกาส 2 ทาง ทางหนึ่งคือการสร้างนักลงทุน และอีกทางหนึ่งคือการสร้างผู้ประกอบการใหม่ๆ ที่จะเข้ามาสู่กระบวนการจดทะเบียนเข้าตลาดหลักทรัพย์ “เป็นเวทีให้คนได้ฟัง หลายรายที่เป็นนักลงทุนคือผู้ประกอบการพอฟังเสร็จเขาก็เรียกรุ่นลูกมาบอกว่า เขาแก่แล้ว รุ่นลูกไปคุยกับ APM ว่าจะเอาบริษัทเข้าอย่างไรแต่ต้องคิดเองพูดเองเพราะต้องเป็นคนอยากเอาเข้าเอง เตี่ยแค่ปิ๊งไอเดีย เราก็จะได้คนรุ่นใหม่ฟังครั้งหนึ่ง 200-300 คน ครั้งหนึ่งได้ 1 ราย ก็พอแล้ว คิดแค่นี้ แต่ถ้าไม่จัดก็ไม่มีได้ ต้องยอมเหนื่อยและลงทุนด้วย

อีกเรื่องที่ APM ทำมาต่อเนื่องคือการให้ความรู้กับผู้ประกอบการเอสเอ็มอีที่บริษัทให้คำปรึกษาทางการเงินและกำลังเตรียมตัวเข้าตลาดหลักทรัพย์ โดยจัดหลักสูตร High Flyer Entrepreneur ให้แนวคิดการบริหารจัดการธุรกิจครอบครัว สามารถใช้ศาสตร์ด้านบริหารจัดการเข้าไปใช้ได้อย่างไร และเรื่องการเตรียมความพร้อมเข้าตลาดหลักทรัพย์ การใช้ประโยชน์จากตลาดทุน การใช้เครื่องมือทางการเงินเพื่อสร้างความเติบโต โดยในประเทศไทยจัดมาแล้ว 5 รุ่น และกำลังเตรียมจะจัดหลักสูตรเดียวกันใน สปป.ลาวและกัมพูชาในปีหน้า

นอกจากเป็นการให้ความรู้กับผู้ประกอบการยังเป็นการสร้างเครือข่ายทางธุรกิจที่สามารถเชื่อมโยงกันและอีกทางหนึ่งคือการสร้างสายสัมพันธ์ที่มัดแน่นกับ APM ในฐานะที่ปรึกษาที่คอยช่วยเหลือธุรกิจ การสานสัมพันธ์รักษาฐานลูกค้าเมื่อพัฒนาให้เข้มแข็งได้แล้ว ก็จะมีส่วนช่วยเสริมธุรกิจของ APM ให้ขยายตัวไปได้ ดังที่สมภพกล่าวในช่วงหนึ่งของการสนทนาว่า APM ไทยมั่นคง APM ลาวมั่นคง กัมพูชามั่นคง พอเราจะไปที่สิงคโปร์หรือเมียนมา เขาเห็นผลงาน 3 ประเทศว่ามั่นคงถึงจะต่อยอดความเป็น FA ได้ง่ายขึ้น เราจะมาพูดปากเปล่าคงไม่ได้ เราต้องพูดถึงนิติบุคคลที่เรามีผลงานนี่คือหลักการ”

สมภพเล่าภาพอนาคตที่เราจะเห็น APM จะประกอบด้วย 2 ธุรกิจหลัก คือที่ปรึกษาทางการเงิน โดยมีฐานหลักที่ประเทศไทยและ สปป.ลาว ค่อยๆ ขยายตัวไปยังประเทศกัมพูชา เมียนมาและเวียดนามภายใน 5 ปีข้างหน้า อีกข้างหนึ่ง คือธุรกิจเช่าซื้อ ที่จะปรับโครงสร้างการถือหุ้นโดยจัดตั้งบริษัทโฮลดิ้งขึ้นมาถือหุ้นในลิสซิ่งทุกประเทศในอนาคตจะผลักดันโฮลดิ้งนี้เข้าจดทะเบียนในตลาดหลักทรัพย์ เพื่อระดมทุนไปขยายธุรกิจใน CLMV ต่อไป

 

"เพื่อให้ครอบคลุมการบริการใน 3- 5 ปีจากนี้ได้ เราไม่จำเป็นต้องเร่ง เพราะเราเรียนรู้ว่าแต่ละอย่างเร่งไม่ได้ ใจเราเร่ง แต่บางอย่างเร่งไม่ได้"

 

APM Leasingใส่เกียร์ 1 เริ่มเดินหน้า

สมภพเริ่มด้วยข่าวดีของ APM ในลาว ว่าเมื่อวันที่ 31 ตุลาคมที่ผ่านมา บริษัทหลักทรัพย์ APMLAO Leasing จำกัด ได้รับใบอนุญาตประกอบวิชาชีพทำธุรกิจเช่าซื้อใน สปป.ลาว หลังจากยื่นขออนุญาตมาแล้วกว่า 2 ปี เป็นการเติมเต็มภาพ APMLAO ที่เขาเคยเล่าให้ MBA ฟังว่า จะมีด้านการเป็นที่ปรึกษาทางการเงินที่ได้รับใบอนุญาตมาครบ 4 ปีแล้ว และด้านลิสซิ่งที่จะเป็นดาวเด่นในอนาคตของกลุ่มธุรกิจเข้ามาเสริม

สมภพเล่าเบื้องหลังว่ากว่าจะได้ใบอนุญาตมีหน่วยงานที่ร่วมพิจารณาให้ใบอนุญาตหลายหน่วยงาน โดยเริ่มต้นจะปล่อยสินเชื่อได้ในเขตนครหลวงเวียงจันทน์ก่อนระยะเวลาหนึ่งจึงจะได้รับอนุญาตให้ไปทำธุรกิจในแขวงอื่นๆ ได้ ซึ่งตามแผนงานของ APM ก็จะเป็นช่วงเวลาที่เตรียมความพร้อมบุคลากรเพื่อรองรับการขยายตัวด้วยการผสมผสานทั้งคนในพื้นที่และพนักงานที่มีประสบการณ์จากประเทศไทย

แผนงานที่ APM วางไว้สำหรับธุรกิจลิสซิ่งหลังจากได้รับใบอนุญาตจากกรมคุ้มครองสถาบันการเงินภายใต้การกำกับดูแลของธนาคารแห่งชาติ สปป.ลาว คือภายใน 2 เดือนที่เหลือของปีนี้จะเริ่มปล่อยสินเชื่อเช่าซื้อรถเพื่อการพาณิชย์ อุปกรณ์สำนักงาน อุปกรณ์ร้านเสริมสวย และอุปกรณ์ทางการเกษตร

เป้าหมายการปล่อยสินเชื่อเช่าซื้อสมภพบอกว่า “ปี 2018 ก็น่าจะปล่อยเพิ่มเติบโตไม่น้อยกว่าเป็น 100 เปอร์เซ็นต์จากปีนี้ เป้าหมาย 50 ล้านบาท ปีนี้ (2017) น่าจะปล่อย 10-20 ล้านบาท และปีต่อไป 2019 ก็อยู่ 100-200 ล้านบาท ปี 2020 น่าจะอยู่ที่ 500 ล้านบาท เป็นการปล่อยเพิ่มนะ แสดงว่าผมต้องวางแผนทางการเงินทำลิสซิ่ง สุดท้ายลิสซิ่งเป็นธุรกิจที่มีศักยภาพ ทำให้ผลงานของ APMLAO Leasing โดดเด่นในปี 2020 ได้ และมีโอกาสใช้ตลาดทุนในการระดมทุนเพื่อไปขยายในประเทศกัมพูชา และ CLMV”

สมภพมองว่าธุรกิจลิสซิ่งจะเป็นดาวเด่นของ APM ในอนาคต เขาจึงมุ่งมั่นลงลึกถึงรายละเอียด ด้วยการเป็นหนึ่งในกรรมการพิจารณาปล่อยสินเชื่อของบริษัทด้วยตัวเอง “ผมปล่อยลิสซิ่งถ้าปล่อยเสียไปหนึ่งรายสองรายกำไรที่ควรจะได้นี่หายไปเลย เพราะฉะนั้นต้องเข้ม นี่คือหัวใจการทำงานธุรกิจลิสซิ่ง ต้องดูผู้เช่าซื้อให้ถี่ถ้วน เพราะลิสซิ่ง มีตั้งแต่การวางดาวน์ 10-15 เปอร์เซ็นต์และดูความสามารถในการผ่อนชำระ ดูครอบครัว ดูที่บ้าน ไม่ใช่ทำง่าย เช่นรถปิ๊กอัป เดือนนี้จะปล่อย 1-2 คัน รู้ตัวตน รู้พ่อแม่ อย่างนี้ปล่อย เราค่อยๆ เรียนรู้ไป อย่าไปเร่ง”

Page 2 of 2
X

Right Click

No right click