

สตาร์บัคส์ ประเทศไทย รีเฟรชประสบการณ์ใหม่ กับการเปิดตัวแคมเปญเครื่องดื่ม ‘Gen Z’ ใหม่ล่าสุด ณ สยามสแควร์วัน แลนด์มาร์กสุดฮิตของชาว Gen Z
โดยเมนูใหม่ในครั้งนี้ประกอบด้วยเครื่องดื่มกลุ่มนัทตี้ ครีม ครั้นช์ และ พีช แอพริคอต คอฟฟรูติ ที่ผสมผสานเอกลักษณ์กาแฟของสตาร์บัคส์เข้ากับความทันสมัย ตอบโจทย์ชาว Gen Z ได้เป็นอย่างดี งานในวันนี้ยังมี คุณแจ๊คกี้ จักริน กังวานเกียรติชัย ศิลปิน T-Pop ที่กำลังมาแรงร่วมสร้างสีสันและความสนุกสนานกับการแสดงสุดพิเศษที่สะท้อนความสดใสและมีชีวิตชีวาตามสไตล์ Gen Z กลุ่มคนซึ่งเป็น แรงบันดาลใจเบื้องหลังเมนูเครื่องดื่มใหม่ของสตาร์บัคส์ พิเศษไปกว่านั้น ภายในงานยังมีการเปิดตัวมาสคอตแบริสต้า (Bearista) ครั้งแรกในประเทศไทย หมีแบริสต้าแสนน่ารักที่มาพร้อมผ้ากันเปื้อนสีเขียวอันเป็นเอกลักษณ์ของสตาร์บัคส์ ช่วยสร้างความประทับใจให้กับผู้ร่วมงาน นับเป็นการตอกย้ำความมุ่งมั่นของแบรนด์ในการสร้างภาพลักษณ์ที่เข้าถึงง่ายและสนุกสนานมากกว่าเคย
ด้วยวิสัยทัศน์ที่พร้อมปรับเปลี่ยนเพื่อพัฒนาอยู่เสมอ สตาร์บัคส์ให้ความสำคัญกับการทำความเข้าใจและสร้างความผูกพันกับลูกค้าในทุกช่วงวัย โดยเฉพาะอย่างยิ่งกลุ่ม Gen Z ที่มีบทบาทโดดเด่นในปัจจุบัน สตาร์บัคส์ตระหนักดีว่ากลุ่ม Gen Z เป็น ผู้นำเทรนด์ผู้บริโภคยุคใหม่ โดยมักให้ความสำคัญกับการแสดงออกถึงตัวตน ความคิดสร้างสรรค์ และมองหาประสบการณ์ที่แตกต่าง ผลสำรวจพฤติกรรมผู้บริโภคล่าสุดชี้ให้เห็นว่า Gen Z ชื่นชอบสินค้าที่มีความเอ็กซ์คลูซีฟ ลิมิเต็ดอิดิชั่น และยังชอบประสบการณ์ที่สามารถถ่ายทอดเป็นเรื่องราวผ่านภาพได้อย่างสวยงาม สอดคล้องกับไลฟ์สไตล์ชีวิตติดคอนเทนต์ สตาร์บัคส์จึงได้รังสรรค์เครื่องดื่มใหม่ 2 เมนูพิเศษที่พร้อมจุดประกายความตื่นเต้นให้กับคน Gen Z และชวนแบ่งปันประสบการณ์บนช่องทางโซเชียล มุ่งยกระดับความประทับใจโดยรวมที่มีต่อแบรนด์ เครื่องดื่ม 2 เมนูสุดพิเศษรังสรรค์มาเพื่อให้เหมาะกับทุก ไลฟ์สไตล์ โดยผสานทั้งความสนุกสนานแปลกใหม่และรสชาติกลมกล่อมที่คุ้นเคย เครื่องดื่มกลุ่มนัทตี้ ครีม ครั้นช์ มีให้เลือกทั้งแบบอเมริกาโน่และลาเต้ คิดค้นมาภายใต้คอนเซ็ปต์ ‘Dessert in a Cup’ หรือของหวานที่เสิร์ฟมาในแก้ว อัดแน่นด้วยรสชาติเข้มข้น หอมกลิ่นถั่ว ให้เนื้อสัมผัสละมุน ไว้ดื่มเป็นรางวัลให้กับตนเองตอนที่อยากพักใจ ส่วนเมนูพีช แอพริคอต คอฟฟรูติ ผสมผสานความพิถีพิถันในการชงกาแฟของสตาร์บัคส์เข้ากับการตกแต่งเครื่องดื่มแบบสะดุดตา เหมาะสำหรับเติมความสดชื่นเพื่อเริ่มต้นวันในช่วงเช้าและเติมพลังในช่วงบ่าย
“เมนูใหม่เหล่านี้สะท้อนถึงความตั้งใจของสตาร์บัคส์ที่พร้อมเติบโตและพัฒนาไปพร้อมๆ กับลูกค้าของเรา โดยเฉพาะกลุ่ม Gen Z ที่เป็นแรงบันดาลใจให้เราสร้างสรรค์สิ่งใหม่ๆ ด้วยความกล้าที่จะแตกต่างและความคิดสร้างสรรค์อันไร้ขีดจำกัดที่นับว่าเป็นความโดดเด่นในกลุ่มคนวัยนี้” คุณสุมนพินทุ์ โชติกะพุกกณะ ผู้อำนวยการฝ่ายการตลาดและสื่อสารองค์กร สตาร์บัคส์ ประเทศไทย กล่าว “สตาร์บัคส์เชื่อว่ากาแฟไม่ได้เป็นเพียงเครื่องดื่ม แต่เป็นเครื่องมือเชื่อมความสัมพันธ์ ช่วยแสดงออกถึงตัวตน และยังเป็นส่วนหนึ่งของช่วงเวลาพิเศษมากมาย กลยุทธ์ ‘Taste the Latest’ ของสตาร์บัคส์ จึงมุ่งมั่นสร้างสรรค์กาแฟที่ตอบโจทย์ทุกไลฟ์สไตล์ด้วยรสชาติที่ทุกคนคุ้นเคย แต่แฝงไว้ด้วยความแปลกใหม่น่าค้นหา ไม่ว่าจะเป็น ความเข้มข้น กลมกล่อมของเครื่องดื่มกลุ่มนัทตี้ ครีม ครั้นช์ หรือความสดชื่นจากเมนูพีช แอพริคอต คอฟฟรูติ แต่ละเมนูล้วนท้าทายข้อกำจัดของกาแฟในรูปแบบเดิมๆ และพร้อมส่งมอบความสุขอย่างแท้จริงให้กับลูกค้า เราหวังว่าเครื่องดื่มเหล่านี้จะเป็นตัวเชื่อมระหว่างผู้คน พร้อมจุดประกายความคิดสร้างสรรค์ และเติมเต็มช่วงเวลาแห่งความสุขในชีวิตประจำวัน ไม่ว่าจะเป็น ระหว่างการจิบกาแฟยามเช้า การใช้เวลาร่วมกับเพื่อนๆ หรือการแชร์ภาพโมเมนต์ดีๆ ทางโซเชียลมีเดีย สตาร์บัคส์พร้อมเป็นร้านกาแฟที่อยู่เคียงข้างคุณในทุกช่วงเวลา และเราจะเดินหน้าสร้างสรรค์นวัตกรรมใหม่ๆ เพื่อลูกค้าทุกเจเนอเรชันต่อไป”
![]()
เกี่ยวกับเครื่องดื่ม Gen Z
นัทตี้ ครีม ครั้นช์
· นัทตี้ ครีม ครั้นช์ อเมริกาโน่ เครื่องดื่มสุดพิเศษที่เสิร์ฟพร้อมวิปครีมคาราเมลเนื้อนุ่มละมุน โรยด้วยอัลมอนด์เคลือบน้ำตาลกรุบกรอบ ให้ความรู้สึกเหมือนได้ลิ้มรสขนมหวานชั้นเลิศเสิร์ฟในแก้วกาแฟ
· นัทตี้ ครีม ครั้นช์ ลาเต้ สัมผัสความอร่อยที่คุ้นเคยในมิติใหม่ ด้วยการผสานเอสเพรสโซ่รสเข้มและนม เข้ากับซอสไวท์ช็อกโกแลตมอคค่า ท็อปด้วยวิปครีมคาราเมลและอัลมอนด์เคลือบน้ำตาล
พีช แอพริคอต คอฟฟรูติ
การผสมผสานอย่างพิถีพิถันลงตัวของชาดำและชาคาโมมายล์ พร้อมเติมความหอมหวานด้วยซอสพีช-แอพริคอต และน้ำเชื่อมพีช ยกระดับความอร่อยด้วยช็อตเอสเพรสโซ่ซิกเนเจอร์สูตรเฉพาะของสตาร์บัคส์ เครื่องดื่มสุดสร้างสรรค์เมนูนี้ช่วยเพิ่มความสดชื่นให้กับกาแฟดำได้เป็นอย่างดี มาพร้อมชื่อเมนูที่สนุกสนาน มีสีสันสดใส เหมาะกับการถ่ายภาพ
เครื่องดื่มคอลเลกชัน Gen Z จากสตาร์บัคส์ จะพร้อมเสิร์ฟในเดือนมิถุนายน 2568 ที่ร้านสตาร์บัคส์ทุกสาขาทั่วประเทศ จนกว่าสินค้าจะหมด
การแสดงพิเศษจากศิลปิน: ความสนุกสไตล์ Gen Z
คุณแจ๊คกี้ จักริน กังวานเกียรติชัย ศิลปิน T-Pop ที่กำลังมาแรง ยังได้ร่วมสร้างสีสันในงานเปิดตัวด้วยการแสดงเพลงฮิตให้ผู้ร่วมงานได้รับฟังแบบใกล้ชิด พร้อมถ่ายทอดเรื่องราวความประทับใจในร้านสตาร์บัคส์ และเชิญชวนแฟนๆ มาร่วมลิ้มลองเครื่องดื่มคอลเลกชัน Gen Z ใหม่ล่าสุดนี้ไปด้วยกันในบรรยากาศที่อบอุ่นและเป็นกันเอง สะท้อนถึงทิศทางของแบรนด์ที่มุ่งเน้นการเข้าถึงกลุ่มคนรุ่นใหม่
![]()
พบกับแบริสต้า: แอมบาสเดอร์มอบความสุขใหม่ล่าสุดจากสตาร์บัคส์
เพิ่มดีกรีความน่ารักให้กับงานด้วยการเปิดตัวแบรนด์แอมบาสเดอร์ใหม่ล่าสุด ครั้งแรกในประเทศไทย กับ "แบริสต้า" ตุ๊กตาหมีในชุดผ้ากันเปื้อนสีเขียวอันเป็นเอกลักษณ์ของสตาร์บัคส์ ที่จะพร้อมสร้างรอยยิ้มและมอบความอบอุ่นให้กับลูกค้าสตาร์บัคส์ทุกช่วงวัย
ศ. ดร.สุชัชวีร์ สุวรรณสวัสดิ์ “ดร.เอ้” รองหัวหน้าพรรคประชาธิปัตย์ กทม. ได้โพสต์ข้อความในเฟซบุ๊กส่วนตัว “เอ้ สุชัชวีร์” โดยระบุว่า น้ำทะเลทะลัก ที่บางขุนเทียน ถึงสมุทรเจดีย์ "กรุงเทพ กำลังจมทะเล" ปัญหาใหญ่ที่สุด ที่ถูกละเลย ท่านคิดว่าไง เมื่อน้ำทะเลสูงขึ้นทุกปี เมื่อกรุงเทพทรุดลงทุกวัน เราจะทำอย่างไร เพื่อรักษาเมืองนี้ไว้ เพราะกรุงเทพ เป็นอีกเมือง ที่นักวิชาการทุกสำนักทั่วโลก พยากรณ์ไว้ว่า ไม่น่ารอด จากการจมทะเล "หากไม่ทำการป้องกัน"
ดร.เอ้ ได้ออกมากล่าวย้ำถึงปัญหาน้ำทะเลหนุนท่วมพื้นที่กรุงเทพอีกครั้ง หลังวานนี้ (11-12 ก.พ.67) ระดับน้ำในแม่น้ำเจ้าพระยาสูงขึ้นจนเข้าท่วมถนนในพื้นที่บางขุนเทียนถึงพระสมุทรเจดีย์ทำให้การจราจรเกิดปัญหา บ้านเรือนและชุมชนได้รับความเดือดร้อนจากน้ำท่วม โดยมีความห่วงใยคนกรุงเทพอย่างมากและมั่นใจว่า เทคโนโลยีด้านวิศวกรรมยุคนี้ ช่วยชีวิตคนกรุงเทพได้ เหมือนหลายเมืองที่เคยเจอปัญหาเดียวกัน
โดย ดร.เอ้ ได้ถอดบทเรียนน้ำทะเลหนุน จากเวนิส สู่ ประเทศไทย “เวนิส”จากเมืองจมน้ำ วันนี้เเก้ปัญหาน้ำท่วมได้อย่างไร ด้วยหลักวิศวกรรม โดยเวนิสได้มีการสร้าง MOSE System เป็นประตูจมน้ำลึกลงไป 30 เมตร ซึ่งในเวลาปกติจะนอนสงบนิ่ง แต่พอน้ำทะเลหนุนจะปั๊มอากาศไล่น้ำออกไป ทำให้ยกตัวสูงขึ้นกลายเป็นกำแพงกั้นน้ำในทันที เป็นระบบที่ใช้ในการป้องกันน้ำหนุนไม่ให้ท่วมเวนิส
![]()
“เวนิสอยู่ที่ประเทศอิตาลี เป็นเกาะอยู่ในทะเลเอเดรียติก ซึ่งเชื่อมต่อกับทะเลเมดิเตอร์เรเนียน เกือบร้อยปีที่แล้วตั้งแต่ ค.ศ. 1930 น้ำทะเลหนุนสูง ท่วมพื้นที่ทั้งหมด โดยที่หนักก็คือปี ค.ศ. 1966 วันนั้นน้ำขึ้นสูงเกือบ 2 เมตร ได้รับผลกระทบอย่างมาก เพราะเวนิสเป็นแหล่งทำมาหากิน เป็นพื้นที่ท่องเที่ยวหลักของอิตาลี ประชาชนเดือดร้อน ประเทศสูญเสีย เนื่องจากเป็นมรดกโลก เขาจึงสร้าง MOSE System เป็นระบบที่ใช้ในการป้องกันน้ำหนุนไม่ให้ท่วมเวนิส ประเทศไทยต้องเริ่มได้แล้วครับ”ดร.เอ้ กล่าว
อย่างไรก็ตาม ดร.เอ้ กล่าวว่า MOSE System ของเวนิสใช้เวลาก่อสร้างกว่า 10 ปี โดยมีความคิดที่จะทำตั้งแต่ปี 2003 กว่าจะมาเริ่มทำก็อีก 10 ปี คือ ค.ศ. 2013 เนื่องจากปัญหาการเมือง ดังนั้นการก่อสร้างประตูกั้นน้ำ ขนาดประเทศยุโรป ซึ่งถือเป็นประเทศที่พัฒนาแล้ว ยังใช้เวลามากกว่า 10 ปี ประเทศไทยก็ทำได้ไม่เหนือความสามารถของวิศวกรไทย ถึงแม้จะไม่ใช่เรื่องง่ายเพราะไม่ใช่ปัญหาเฉพาะทางด้านวิศวกรรม มันเป็นปัญหาหลายอย่าง แต่สุดท้ายแล้วอยู่ที่เราจะทำหรือไม่ทำเท่านั้นเอง ประเทศไทยทำได้แน่นอน คนไทยเก่งมีฝีมือ และห้ามหมดสิ้นกำลังใจความหวังกับประเทศไทย ห้ามหมดสิ้นความหวังกับตัวเรา ต้องเชื่อว่ามันจะต้องดีขึ้น คนไทยเก่งไม่แพ้ใครในโลก
ทั้งนี้ที่ผ่านมา ดร.เอ้ ในฐานะผู้เชี่ยวชาญด้านวิศวกรรม และเป็นอดีตนายกสภาวิศวกร ได้ออกมาแสดงความเป็นห่วงถึงสถานการณ์น้ำท่วมกรุงเทพและวิธีการแก้ปัญหาโดยเสนอนโยบาย “Delta Works Thailand กรุงเทพต้องไม่จมน้ำ” ซึ่งประยุกต์มาจากโครงการ Delta Works ของเนเธอร์แลนด์ ที่ประสบความสำเร็จ มาประยุกต์ให้เข้ากับบริบทในประเทศไทย ภายใต้แนวคิด 3 อย่าง คือ 1.แนวคิดทางด้านกฎหมาย สนับสนุนให้มีการออกกฎหมายและมาตรการระยะยาว เพื่อช่วยให้สามารถแก้ปัญหาได้อย่างยั่งยืน มีการกำหนดพื้นที่ในการป้องกันน้ำท่วมจากปัญหาน้ำทะเลหนุนในกรุงเทพมหานครและจังหวัดใกล้เคียงให้มีความชัดเจน และมีการปรับปรุงกฎหมาย ทั้งเมือง เพื่อความเป็นธรรม แก่ประชาชน
2.ด้านกายภาพ ออกแบบและดำเนินการก่อสร้างโครงสร้างระบบป้องกันน้ำทะเลหนุนในพื้นที่ที่กำหนด ด้วยโครงการต่าง ๆ ตามแผนการ เช่น คันกั้นน้ำ เขื่อน พนังกั้นน้ำ ในจุดต่าง ๆ และประตูกั้นขนาดใหญ่บริเวณปากแม่น้ำ เพื่อป้องกันน้ำทะเลหนุนเข้ามาในพื้นที่บริเวณสามเหลี่ยมปากแม่น้ำ และ3.ด้านเทคโนโลยี มีการนำเทคโนโลยีระบบควบคุมอัจฉริยะโดยสอดประสาน (Synchronized) กับระบบประมวลผลพยากรณ์สภาพอากาศด้วยปัญญาประดิษฐ์ (Artificial intelligence : AI) ที่มีความแม่นยำสูงมาใช้กับโครงการ ในการควบคุมระบบประตูกั้นน้ำและระบบสูบน้ำเพื่อป้องกันปัญหาน้ำท่วมและทะเลหนุนที่เกิดขึ้นอย่างรัดกุม ซึ่งพรรคประชาธิปัตย์มีนโยบายแก้ปัญหาน้ำท่วมกรุงเทพฯ อย่างยั่งยืน Delta Works Thailand จะช่วยป้องกันพื้นที่กรุงเทพมหานครจากปัญหาน้ำท่วมที่เป็นวิกฤตของกรุงเทพในปัจจุบันและอนาคตได้อย่างแน่นอน สนใจดูข้อมูลเพิ่มเติมได้ที่พรรคประชาธิปัตย์ democrat.or.th
บริษัท กรุงเทพดุสิตเวชการ จำกัด (มหาชน) และ บริษัท แอสตร้าเซนเนก้า (ประเทศไทย) จำกัด ได้ร่วมลงนามความร่วมมือภายใต้โครงการ “Collaboration towards excellence in lung cancer”
นำร่องที่โรงพยาบาลมะเร็งกรุงเทพ วัฒโนสถ มุ่งใช้เทคโนโลยีสมัยใหม่อย่างปัญญาประดิษฐ์ (Artificial Intelligence หรือ AI) มาเสริมการปิดช่องว่างในการวินิจฉัยและรักษาโรคมะเร็งปอด รวมถึงการสร้างความตระหนักรู้แก่ภาคประชาชนในการประเมินความเสี่ยงและเข้ารับการตรวจคัดกรอง วินิจฉัย และรักษาอย่างทันท่วงที เพื่อร่วมรณรงค์ไปกับแคมเปญ Close the care gap ขององค์การอนามัยโลก (WHO) วันมะเร็งโลก สอดคล้องกับวิสัยทัศน์ของโรงพยาบาลมะเร็งกรุงเทพ วัฒโนสถ ในฐานะโรงพยาบาลเอกชนเฉพาะทางด้านโรคมะเร็ง ที่ให้ความสำคัญกับการดูแลผู้ป่วยแบบครบองค์รวมในทุกขั้นตอนการรักษาด้วยวิธีที่เหมาะสม และการตรวจหาสารพันธุกรรมของเซลล์มะเร็งในร่างกาย เพื่อให้ผู้ป่วยมีคุณภาพชีวิตที่ดีในระยะยาว ชูความเป็นศูนย์แห่งความเป็นเลิศด้านโรคมะเร็งแห่งเอเชียแปซิฟิก (Center of Excellence - Cancer)
นอกจากด้านการตรวจวินิจฉัยและรักษาของโรงพยาบาลที่ครบครัน แอสตร้าเซนเนก้า เป็นหนึ่งในสมาชิกของ The Lung Ambition Alliance (LAA) เกิดจากความร่วมมือระหว่างภาคีพันธมิตรระดับนานาชาติ 4 องค์กรที่มีการดำเนินกิจกรรมใน 50 ประเทศทั่วโลกรวมถึงประเทศไทย เพื่อร่วมกันสานต่อเป้าหมายในการเพิ่ม ‘อัตราการรอดชีวิต 5 ปี’ ของผู้ป่วยโรคมะเร็งปอดให้เป็น 2 เท่า ภายใน พ.ศ. 2568 พร้อมศึกษาทำความเข้าใจถึงวิวัฒนาการของโรค พัฒนาเทคนิคระดับก้าวหน้าเพื่อการดูแลรักษาโรคมะเร็งปอด ส่งเสริมให้ผู้ป่วยมีชีวิตที่ยืนยาวมากขึ้น
![]()
ศ.พิเศษ นพ.ธีรวุฒิ คูหะเปรมะ ผู้อำนวยการโรงพยาบาลมะเร็งกรุงเทพวัฒโนสถ กล่าวว่า “งานแถลงข่าวในครั้งนี้เป็นกิจกรรมที่จัดขึ้นเพื่อสนับสนุนการรณรงค์วันมะเร็งโลกหรือ World Cancer Day ซึ่งในปีนี้องค์การอนามัยโลกหรือ WHO ให้ความสำคัญกับการ “Close the care gap” หรือการปิดช่องว่างในการดูแลรักษาโรคมะเร็ง ซึ่งทางโรงพยาบาลเน้นในเรื่องของมะเร็งปอด เนื่องจากปัจจุบันเราพบผู้ป่วยโรคมะเร็งปอดสูงขึ้นเป็นอย่างมากในคนที่ไม่สูบบุหรี่ และมีภัยคุกคามต่าง ๆ ในชีวิตประจำวันที่เพิ่มความเสี่ยงของการเกิดโรคมะเร็งปอดในผู้ที่ไม่สูบบุหรี่ เช่น ฝุ่น PM2.5 ซึ่งมีความสัมพันธ์กับการเปลี่ยนแปลงของเซลล์เยื่อบุระบบทางเดินหายใจโดยเฉพาะในผู้ที่มียีนกลายพันธุ์ EGFR หรือ KRAS และในปัจจุบันยังไม่มีแนวทางการตรวจคัดกรองในมะเร็งปอดในกลุ่มที่ไม่เคยสูบบุหรี่ ดังนั้น การที่จะปิดช่องว่างหรือ Close the care gap ในเรื่องนี้ จำเป็นต้องอาศัยเทคโนโลยีใหม่ ๆ ที่ทันสมัยเข้ามาช่วยเสริม เช่น การนำปัญญาประดิษฐ์หรือ A.I. มาช่วยในการวินิจฉัยภาพเอกซเรย์รังสีทรวงอกในผู้ที่เข้ารับการตรวจสุขภาพประจำปี และโรงพยาบาลนำชุดตรวจหาสารพันธุกรรมของเซลล์มะเร็งในร่างกายจากเลือด (Circulating Tumor DNA : ctDNA) โดยใช้เทคโนโลยี Next-Generation Sequencing ที่สามารถตรวจหามะเร็งหลายชนิดพร้อมกัน เพื่อค้นหาโรคมะเร็งตั้งแต่ก่อนเป็นจนถึงระยะเริ่มต้น ซึ่งช่วยเสริมการตรวจคัดกรองประเมินความเสี่ยงโรคมะเร็งเฉพาะบุคคล พร้อมทั้งช่วยให้แพทย์วางแผนการรักษาได้อย่างเหมาะสมกับผู้ป่วยแต่ละราย”
![]()
นายโรมัน รามอส ประธานบริษัท แอสตร้าเซนเนก้า (ประเทศไทย) จำกัด กล่าวว่า “โรคมะเร็ง หากรู้เร็ว สามารถรักษาได้ โรคมะเร็งถือเป็นหนึ่งในกลุ่มโรคที่แอสตร้าเซนเนก้า ประเทศไทยให้ความสำคัญมาตลอดระยะเวลา 40 ปี เราพร้อมเดินหน้าประสานความร่วมมือกับหน่วยงานด้านสาธารณสุข องค์กรพันธมิตรทั้งภาครัฐและเอกชน เพื่อส่งเสริมคนไทยหันมาตรวจคัดกรองโรคมะเร็งตั้งแต่ระยะเริ่มต้นมากขึ้น ทั้งนี้ ในฐานะบริษัทชีวเภสัชภัณฑ์ชั้นนำระดับโลก เรามุ่งมั่นในการนำวิทยาศาสตร์มาต่อยอดและพัฒนาการดูแลสุขภาพของประชาชนมาโดยตลอด ล่าสุดกับการนำเสนอการใช้เทคโนโลยี AI มาประยุกต์ใช้ร่วมกับเครื่องเอกซเรย์ปอด เพื่อช่วยให้แพทย์สามารถตรวจพบเงาของก้อนเนื้อในปอดซึ่งอาจเป็นตัวบ่งชี้มะเร็งปอดในระยะเริ่มต้นที่อาจมีขนาดเล็กหรือมองเห็นได้ยากภายในระยะเวลา 3 นาที ซึ่งช่วยให้ผู้ป่วยได้รับการวินิจฉัยและสามารถเข้าสู่กระบวนการรักษาอย่างรวดเร็วยิ่งขึ้น ลดอัตราการเสียชีวิต เพิ่มอัตราการรอดชีวิต 5 ปีของผู้ป่วยมะเร็งปอดได้มากยิ่งขึ้น”
![]()
พญ.เมธินี ไหมแพง ประธานคณะผู้บริหาร กลุ่ม 1 และผู้อำนวยการโรงพยาบาลกรุงเทพ บริษัท กรุงเทพดุสิตเวชการ จำกัด (มหาชน) กล่าวว่า “กว่า 10 ปีของโรงพยาบาลมะเร็งกรุงเทพ วัฒโนสถ ภายใต้การบริหารงานของบริษัท กรุงเทพดุสิตเวชการ จำกัด (มหาชน) เป็นบริษัทที่มีเครือข่ายกลุ่มโรงพยาบาลเอกชนที่มีขนาดใหญ่ที่สุดในประเทศไทย เรามุ่งมั่นให้การบริการทางด้านสุขภาพและศูนย์แห่งความเป็นเลิศในโรคต่าง ๆ โดยเฉพาะโรคมะเร็ง รองรับผู้ป่วยทั้งในประเทศและต่างประเทศ ซึ่งการร่วมมือกับแอสตร้าเซนเนก้า ประเทศไทยในครั้งนี้ ถือเป็นการช่วยส่งเสริมศักยภาพของโรงพยาบาล ผ่านการแลกเปลี่ยนองค์ความรู้ด้านวิชาการทางคลินิกวิทยาศาสตร์ ร่วมกับสถาบันมะเร็งระดับนานาชาติที่มีชื่อเสียงระดับโลก รวมถึงการถ่ายทอดนวัตกรรม และความเชี่ยวชาญขั้นสูงให้แก่ทีมแพทย์ผู้ชำนาญการและทีมสหสาขาวิชาชีพ (Multi-disciplinary team – MDT) เพื่อเพิ่มประสิทธิภาพกับแนวทางการวินิจฉัยและรักษาผู้ป่วยโรคมะเร็งปอด ส่งเสริมให้โรงพยาบาลมะเร็งกรุงเทพ วัฒโนสถ เป็นศูนย์แห่งความเป็นเลิศด้านโรคมะเร็งแห่งเอเชียแปซิฟิกในอนาคต”
ความร่วมมือของทั้งสององค์กรในครั้งนี้ จะช่วยปิดช่องว่างการตรวจวินิจฉัย และดูแลเติมเต็มทุกการรักษาผู้ป่วยโรคมะเร็ง Close the Care Gap ให้มีความก้าวหน้ายิ่งขึ้น และเป็นส่วนหนึ่งในการช่วยเพิ่มคุณภาพชีวิตที่ดีให้ประชาชนคนไทยและทุกเชื้อชาติ ห่างไกลจากโรคมะเร็ง และข้ามผ่านการรักษาได้อย่างมีประสิทธิภาพมากยิ่งขึ้น
หัวเว่ยและกระทรวงดิจิทัลร่วมยกระดับการใช้งานคลาวด์และ AI ในไทย เดินหน้าขับเคลื่อนประเทศไทยสู่การเป็นศูนย์กลาง AI แห่งอาเซียน
บริษัท หัวเว่ย เทคโนโลยี่ (ประเทศไทย) จำกัด ผนึกกำลัง กระทรวงดิจิทัลเพื่อเศรษฐกิจและสังคม จัดงานประชุม Huawei Cloud AI Summit Thailand 2023 โดยมีทั้งผู้บริหารระดับสูงจากหน่วยงานภาครัฐ ผู้เชี่ยวชาญในภาคอุตสาหกรรม ลูกค้าและพันธมิตรในไทย รวมถึงจากองค์กรธุรกิจในจีนเข้าร่วมกว่าหลายร้อยคน เพื่อร่วมพูดคุยถึงการพัฒนาเทคโนโลยี AI พร้อมขับเคลื่อนการเปลี่ยนผ่านสู่ยุคดิจิทัลของประเทศไทย ภายในงานครั้งนี้ หัวเว่ย คลาวด์ และกระทรวงดิจิทัล ยังได้ลงนามร่วมกันในบันทึกความเข้าใจ (MoU) เพื่อการพัฒนาทางดิจิทัล พร้อมเป้าหมายในการสนับสนุนการสร้างอีโคซิสเต็มด้านคลาวด์และ AI พร้อมการสร้างบุคลากรที่มีความสามารถให้กับประเทศไทย ความร่วมมือดังกล่าวจะช่วยผลักดันประเทศไทยสู่การเป็นศูนย์กลางด้าน AI ของภูมิภาค ผ่านการเปลี่ยนผ่านเชิงดิจิทัล
![]()
นายประเสริฐ จันทรรวงทอง รัฐมนตรีว่าการกระทรวงดิจิทัลเพื่อเศรษฐกิจและสังคม กล่าวว่า “กระทรวงดิจิทัลเพื่อเศรษฐกิจและสังคมมุ่งขับเคลื่อนนโยบาย คลาวด์-เฟิร์ส (Cloud-First policy) ซึ่งจะเป็นกลไกขับเคลื่อนการเติบโตรูปแบบใหม่ของไทย ซึ่งคลาวด์และ AI จะเป็นอนาคตของประเทศไทย ในนามของกระทรวงดิจิทัล ผมขอขอบคุณหัวเว่ย ประเทศไทย ที่รับหน้าที่ผู้นำภาคเอกชนจัดกิจกรรมครั้งสำคัญนี้ และยังได้นำประสบการณ์ระดับโลกที่มีความล้ำสมัยของหัวเว่ยและพันธมิตรมาสู่ประเทศไทย พร้อมรวมถึงสนับสนุนการสร้างอีโคซิสเต็มทางดิจิทัลสำหรับเทคโนโลยีคลาวด์และ AI ให้กับประเทศไทยอีกด้วย ความร่วมมือระหว่างหน่วยงานภาครัฐกับเอกชนอย่างหัวเว่ยนี้ จะช่วยส่งเสริมประเทศไทยสู่การเป็นหนึ่งในศูนย์กลางเทคโนโลยี AI ของภูมิภาค กระทรวงดิจิทัลมุ่งมั่นสนับสนุนประเทศไทยอย่างเต็มกำลังในการเร่งการเปลี่ยนผ่านสู่ยุคดิจิทัล พร้อมการสร้างบุคลากรที่มีความสามารถ และการยกระดับคุณภาพชีวิตโดยรวมของคนไทย”

นายประเสริฐ จันทรรวงทอง รัฐมนตรีว่าการกระทรวงดิจิทัลเพื่อเศรษฐกิจและสังคม ให้เกียรติขึ้นกล่าวในงาน Huawei Cloud AI Summit Thailand 2023 ในประเทศไทย เพื่อประเทศไทย สู่การเป็นศูนย์กลาง AI แห่งอาเซียน
AI เป็นแรงขับเคลื่อนที่สำคัญของความก้าวล้ำทางเทคโนโลยีระดับโลกและการเปลี่ยนผ่านทางอุตสาหกรรม โดยมีผลกระทบในเชิงลึกต่อสังคมมนุษย์และการปรับเปลี่ยนของอุตสาหกรรม จึงทำให้ประเทศไทยตระหนักถึงศักยภาพในการเปลี่ยนแปลงนี้และมุ่งมั่นยกระดับความสามารถในการแข่งขันระดับโลก โดยการเสริมสร้างความสามารถด้าน AI และเป็นศูนย์กลาง AI ในภูมิภาค หัวเว่ย คลาวด์ ภูมิใจที่ได้เป็นส่วนหนึ่งในการสนับสนุนวิสัยทัศน์นี้ ผ่านพันธกิจ “ในประเทศไทย เพื่อประเทศไทย” (In Thailand, for Thailand)
![]()
นายเดวิด หลี่ ประธานกรรมการบริหาร บริษัท หัวเว่ย เทคโนโลยี่ (ประเทศไทย) จำกัด ขึ้นกล่าวในงาน Huawei Cloud AI Summit Thailand 2023
นายเดวิด หลี่ ประธานกรรมการบริหาร บริษัท หัวเว่ย เทคโนโลยี่ (ประเทศไทย) จำกัด กล่าวย้ำถึงพันธกิจของหัวเว่ย คลาวด์ ในการขับเคลื่อนการใช้งานเทคโนโลยีระบบคลาวด์และ AI ในประเทศไทยว่า “หัวเว่ย คลาวด์ มุ่งมั่นต่อพันธกิจ “ในประเทศไทย เพื่อประเทศไทย” พร้อมสนับสนุนและมีส่วนร่วมในการพัฒนาดิจิทัลของประเทศตลอดสองทศวรรษที่ผ่านมา ซึ่งประเทศไทยกำลังอยู่ในช่วงสำคัญของการเปลี่ยนแปลงดิจิทัล หัวเว่ย คลาวด์ จึงยังคงมุ่งลงทุนในการสร้างอีโคซิสเต็มคลาวด์และเสริมประสิทธิภาพในประเทศ โดยการสร้างพื้นฐานดิจิทัลที่แข็งแกร่งในประเทศไทยและโครงสร้างพื้นฐาน AI สำหรับรัฐบาลและองค์กร หัวเว่ย คลาวด์ จะช่วยเสริมความแข็งแกร่งด้านดิจิทัลของไทยผ่านเทคโนโลยี AI ซึ่งจะส่งผลให้มีการใช้งาน AI อย่างแพร่หลายในอุตสาหกรรมต่าง ๆ พร้อมสร้างประโยชน์อย่างยิ่งต่อคนไทยและส่งเสริมความก้าวหน้าทางดิจิทัลของประเทศ"
ภายในงานประชุมดังกล่าว หัวเว่ย คลาวด์ ยังเป็นตัวกลางในการเชื่อมโยงระหว่างองค์กรจีนและไทย เพื่อยกระดับศักยภาพของประเทศไทยด้วยเทคโนโลยี AI ที่ทันสมัย แอปพลิเคชัน และความเชี่ยวชาญจากประเทศจีน โดยใช้ประสบการณ์การทำงานในระดับโลกกว่า 170 ประเทศและภูมิภาค หัวเว่ย คลาวด์ ยังได้ให้ข้อมูลในเชิงลึกที่มีคุณค่าเกี่ยวกับอุตสาหกรรมระดับโลกและภูมิภาค ด้วยเทคโนโลยีและโซลูชันที่ทันสมัย พร้อมเป็นพันธมิตรที่เหมาะสมสำหรับองค์กรไทยที่ต้องการขยายธุรกิจไปสู่ตลาดโลกและองค์กรจีนที่ต้องการเข้าสู่ตลาดไทย
![]()
ศาสตราจารย์คลินิก นพ. สรณ บุญใบชัยพฤกษ์ (ที่ 8 จากซ้าย) ประธานกรรมการกิจการกระจายเสียง กิจการโทรทัศน์ และกิจการโทรคมนาคมแห่งชาติ (กสทช.) ได้ให้เกียรติเข้าร่วมงาน Huawei Cloud AI Summit Thailand 2023 ในครั้งนี้ เพื่อเป็นสักขีพยานการพัฒนาเทคโนโลยีคลาวด์และ AI อย่างรวดเร็วในประเทศไทย โดยในฐานะหน่วยงานกำกับดูแล กสทช. จะนำเทคโนโลยีคลาวด์และ AI เข้าร่วมพิจารณาในการร่างนโยบายเพื่อสนับสนุนการเปลี่ยนผ่านเชิงดิจิทัลในภาคสังคมและภาคเศรษฐกิจของประเทศไทย
สำหรับโมเดลภาษาไทยนั้น ผ่านการฝึกฝนด้วยคลังข้อมูลของ AI ในภาษาไทย ผสานความรู้ ความเข้าใจในอุตสาหกรรมของหัวเว่ยที่สะสมมากว่าสามทศวรรษ ได้รับการปรับปรุงอย่างต่อเนื่องโดยการเรียนรู้ข้อมูลภาษาไทยจำนวนมาก การพัฒนานี้ช่วยกำจัดอุปสรรคในการเข้าถึงโมเดลพื้นฐาน ทำให้ประเทศไทยสามารถเปลี่ยนจากผู้ใช้ AI เป็นผู้สร้าง AI ได้
ในด้านอุตุนิยมวิทยา หัวเว่ย คลาวด์ ได้ร่วมมือกับกรมอุตุนิยมวิทยาของไทย พัฒนาโมเดลพยากรณ์อากาศ ผานกู่ (Pangu) สำหรับประเทศไทย เพื่อเสริมสร้างดิจิทัลในภาคอุตสาหกรรมการเกษตรและการท่องเที่ยวของไทยในเชิงลึกยิ่งขึ้น โมเดลนี้เหนือกว่าการพยากรณ์อากาศเชิงตัวเลข (numerical weather prediction - NWP) ที่ได้รับการพัฒนาล่าสุด โดยความเร็วในการพยากรณ์มีหลายระดับและรวดเร็วยิ่งขึ้น ที่ผ่านมา การพยากรณ์เส้นทางของพายุไต้ฝุ่นในช่วง 10 วันข้างหน้า ใช้เวลาถึง 5 ชั่วโมง แต่ด้วยโมเดลพยากรณ์อากาศ ผานกู่ สามารถทำได้ภายในเวลาเพียง 10 วินาทีเท่านั้น
สำหรับภาครัฐ หัวเว่ย คลาวด์ นำเสนอความอัจฉริยะในกระบวนการทำงานของรัฐบาลและภาคการปกครองเต็มรูปแบบ ตั้งแต่การรับรู้แ ความเข้าใจไปจนถึงการจัดการและการตัดสินใจ คำร้องขอของประชาชนจะได้รับการมอบหมายโดยอัตโนมัติ
และจัดการได้ตลอดเวลา ทำให้รัฐบาลให้บริการที่มีคุณภาพสูงโดยไม่ต้องกังวลเรื่องขาดแคลนบุคลากร
![]()
นายมาร์ค เฉิน ประธานกรรมการฝ่ายขายโซลูชันคลาวด์ บริษัท หัวเว่ย
ด้านความสามารถของบุคลากรเป็นสิ่งที่หลีกเลี่ยงไม่ได้ในการเปลี่ยนผ่านของเทคโนโลยี AI ซึ่งต้องอาศัยความร่วมมือจากทั้งภาครัฐและภาคเอกชนในการจัดหาผู้เชี่ยวชาญด้าน AI ในงานประชุมครั้งนี้ หัวเว่ย คลาวด์ กระทรวงดิจิทัล สำนักงานส่งเสริมเศรษฐกิจดิจิทัล (depa) มหาวิทยาลัยต่าง ๆ เช่น จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย สมาคม AI องค์กรธุรกิจและพันธมิตรได้ร่วมกันเปิดตัว Cloud & AI Community Thailand เพื่อส่งเสริมความร่วมมือในการพัฒนาเทคโนโลยี AI ด้วยเป้าหมายสูงสุดเพื่อสร้างบทบาทของประเทศไทยสู่ AI ระดับโลก
ด้วยโซลูชัน AI ที่เปี่ยมด้วยนวัตกรรมอันแข็งแกร่ง ความเชี่ยวชาญในอุตสาหกรรมที่กว้างขวาง และการบริการลูกค้าที่ยอดเยี่ยม หัวเว่ย คลาวด์ พร้อมจะสนับสนุนประเทศไทยในการเป็นศูนย์กลาง AI ที่สำคัญในภูมิภาค ผ่านการลงทุนต่อเนื่องทั้งใน อีโคซิสเต็มและอุตสาหกรรมในประเทศ พร้อมมุ่งมั่นสนับสนุนการเติบโตด้านเศรษฐกิจดิจิทัลที่มีคุณภาพสูงของประเทศไทย
นายสรรชาย นุ่มบุญนำ ผู้จัดการทั่วไป – ประเทศไทย อินฟอร์มา มาร์เก็ตส์ กล่าวถึงภาพรวมของธุรกิจงานแสดงสินค้าและความสำเร็จของบริษัทฯ ในปี 2566 ว่า ปีนี้นับเป็นการฟื้นตัวของธุรกิจงานแสดงสินค้าหลังสถานการณ์โควิดอย่างแท้จริง การกลับมาจัดงานได้อย่างเต็มรูปแบบส่งผลให้การดำเนินงานของ อินฟอร์มา มาร์เก็ตส์ ประเทศไทย กลับมาฟื้นตัวอย่างรวดเร็วและก้าวกระโดด ไม่ว่าจะเป็นรายได้รวมของบริษัทฯ ที่สูงถึง 1,300 ล้านบาท สูงกว่าเป้าหมายที่ตั้งไว้ 900 ล้านบาท และดีกว่าปี 2562 ก่อนสถานการณ์โควิด ซึ่งมีรายได้รวมอยู่ที่ 880 ล้านบาท
![]()
ผลสำเร็จดังกล่าวเกิดขึ้นจากการปรับตัว เปลี่ยนแปลงและพัฒนาองค์กรและธุรกิจตลอดเวลา แม้ในช่วงวิกฤตโควิดที่ไม่สามารถจัดงานได้เต็มรูปแบบ เราก็ไม่ได้มีการหยุดนิ่ง เราแทงสวนและสู้ตายกับการเปลี่ยนวิกฤตเป็นโอกาส ทั้งการพัฒนาธุรกิจ การทำงานเชิงลึกด้านข้อมูลและเครื่องมือต่างๆ ร่วมกับบริษัทแม่ที่เป็นเบอร์หนึ่งผู้จัดงานแสดงสินค้าโลก เพื่อสร้างงานที่มีศักยภาพในการเติบโตสูงและเป็นงานที่จับใจคน รวมทั้งเพิ่มจำนวนงานให้ครอบคลุมทุกกลุ่มอุตสาหกรรม ทำให้เกิด 7 งานใหม่ รวมกับ 6 งานเดิม เป็น 13 งานในปี 2566 พร้อมทั้งเร่งพัฒนาบุคลากรเพื่อเตรียมความพร้อมและดึงคนที่มีความสามารถมาทำงานร่วมกับเรา จากปัจจัยและการเตรียมการดังกล่าวทำให้นอกจากจะส่งผลให้เกิดการเติบโตอย่างก้าวกระโดดแล้ว ยังทำให้ อินฟอร์มา มาร์เก็ตส์ ประเทศไทย ขึ้นแท่นเป็นผู้จัดงานแสดงสินค้าอันดับหนึ่งของภูมิภาคอาเซียนทั้งจำนวนโชว์และรายได้
เป้าหมายในปีนี้เราจะไม่ยึดติดกับการแข่งขันด้านอันดับเพียงอย่างเดียว สิ่งที่เราพยายามทำ คือ การผลักดันให้ทุกโชว์ของ อินฟอร์มา มาร์เก็ตส์ ประเทศไทย ก้าวขึ้นเป็นโชว์ระดับภูมิภาค เป็นงานที่ทุกคนในอุตสาหกรรมที่ต้องการดำเนินธุรกิจกับคนในภูมิภาคนี้ต้องเข้าร่วม จำนวนงานแสดงสินค้าของอินฟอร์มา มาร์เก็ตส์ ประเทศไทยในปี 2567 จะมีทั้งหมด 15 งาน ครอบคลุมทุกกลุ่มอุตสาหกรรมสำคัญ โดยมีงานที่เราจัดขึ้นอย่างต่อเนื่องทุกปี อาทิ Intermach, ProPak Asia, ASEAN Sustainable Energy, Thai Water Expo, CPHI, Food & Hospitality Thailand ฯลฯ และการร่วมมือกับบริษัทในเครือ อินฟอร์มา มาร์เก็ตส์ ในหลายประเทศมาจัดงานแบบร่วมทุน (Joint Venture) โดยนำงานแสดงสินค้าที่ประสบความสำเร็จ อาทิ งาน Jewellery & Gem Asean Bangkok, Cosmoprof CBE Asean Bangkok, APLF ASEAN และ Vitafoods Asia มาจัดขึ้นที่ประเทศไทยนอกจากนั้น ยังมีการจับมือกับพันธมิตรรายใหม่และคู่แข่งการจัดงานจากต่างประเทศ ร่วมกันจัดงานใหม่ในปีนี้เพิ่มอีก 3 งาน คือ Plastics & Rubber Thailand, Medlab Asia และ Tyrexpo
การเพิ่มขึ้นของจำนวนโชว์และการผลักดันการจัดงานให้เป็นงานสำคัญของภูมิภาค ส่งผลบวกต่อประเทศไทยทั้งในภาคอุตสาหกรรม การลงทุนและการท่องเที่ยว เนื่องจากจำนวนผู้เข้าร่วมงานทั้งผู้ร่วมจัดแสดงงานและผู้
เยี่ยมชมงานเป็นกลุ่มนักธุรกิจที่มีกำลังซื้อสูง โดยจำนวนผู้เข้าร่วมงานที่จัดขึ้นโดย อินฟอร์มา มาร์เก็ตส์ ประเทศไทย มีอัตราการเติบโตเฉลี่ยรวมกันปีละประมาณ 20% สร้างมูลค่าการเจรจาการค้าและธุรกิจทั้งในการจัดงานและหลังการจัดงานปีละหลายหมื่นล้านบาท และยังส่งผลให้เกิดการจับจ่ายด้านการท่องเที่ยวเชิงธุรกิจอีกจำนวนมาก
![]()
ส่วนเป้ารายได้ในปี 2567 นั้น คาดว่าจะอยู่ที่ประมาณ 1,180 ล้าน เนื่องจากบางงานมีการจัด 2 ปีต่อครั้ง และปี 2568 คาดว่ารายได้จะกลับมาพุ่งสูงอีกครั้งประมาณ 1,450 ล้านบาท ด้านปัจจัยบวกที่จะส่งผลดีต่อธุรกิจงานแสดงสินค้าในปีหน้านั้นอยู่ที่การฟื้นตัวของธุรกิจที่เพิ่มขึ้น แนวโน้มอัตราเงินเฟ้อของโลกที่ผ่อนคลายลง การพัฒนาและการเปลี่ยนของเทคโนโลยีในหลายอุตสาหกรรม ทำให้เกิดการลงทุนเครื่องจักรและเครื่องมือในการผลิตใหม่ๆ นโยบายการกระตุ้นการท่องเที่ยวและการสนับสนุนการจัดงานแสดงสินค้าจากภาครัฐ ส่วนปัจจัยลบที่ยังส่งผลอยู่มีทั้งสงครามในบางพื้นที่ที่ยังไม่สงบ เศรษฐกิจโลกที่ยังฟื้นตัวไม่เต็มที่ และความก้าวหน้าทางเทคโนโลยีที่ทำให้ติดต่อกันง่ายขึ้น
ดังนั้นจึงเป็นเหตุผลว่าทำไมเป้าหมายของเราจึงเป็นการสร้างงานแสดงสินค้านานาชาติระดับภูมิภาค ที่นอกจากจะเป็นการสร้างเคลือข่ายเชื่อมโยงการค้ากันในอาเซียนแล้ว ด้วยกำลังซื้อจำนวนมากของภูมิภาคยังเป็นแรงดึงดูดนักธุรกิจและบริษัทต่างๆ ของโลกให้เข้ามาร่วมงานที่เราจัดขึ้นในประเทศไทย โดยในสายตาผู้จัดงานแสดงสินค้าและนักธุรกิจนั้น เห็นว่าประเทศไทยมีศักยภาพอย่างมากในการเป็น HUB การจัดงานแสดงสินค้านานาชาติของภูมิภาค ไม่ว่าจะเป็นความพร้อมของสถานที่ ค่าใช้จ่ายในการจัดงานและการเดินทางมาร่วมงานไม่สูงมาก เป็นศูนย์กลางของอาเซียน มี Soft Power ที่มีเสน่ห์ทั้งสถานที่ท่องเที่ยว อาหาร และวัฒนธรรม ที่สำคัญคือความเป็นมิตรและรอยยิ้มของคนไทยที่ทำให้ทุกคนอยากมาทำธุรกิจและร่วมงานในประเทศไทย แต่สิ่งที่อยากขอให้ภาครัฐสนับสนุนเพิ่มเติม คือ การปรับปรุงกฎระเบียบที่เป็นข้อจำกัดบางรายการ เช่น ส่วนสมอาหาร เครื่องสำอางค์ อัญมณีและเครื่องประดับ ในมาตรฐานการนำเข้าเพื่อมาจัดแสดง โดย อินฟอร์มา มาร์เก็ตส์ ประเทศไทย พร้อมและยินดีเป็นอย่างยิ่งที่จะเป็นส่วนหนึ่งในการผลักดันให้ประเทศไทยเป็น HUB ของการจัดงานแสดงสินค้านานาชาติของภูมิภาคอย่างแท้จริง