November 24, 2024
×

Warning

JUser: :_load: Unable to load user with ID: 7637

เมื่อเร็วๆนี้นักศึกษาทุนโครงการ “คมส่งฝัน” โครงการทุนการศึกษาให้เปล่าสำหรับเยาวชนไทยที่ขาดโอกาสทางการศึกษา โดยนายคมสันต์ ลี เจ้าของธุรกิจ แฟลช เอ็กซ์เพรส ที่ก่อตั้งขึ้น เมื่อปี 2565 พร้อมด้วยคณะทำงานโครงการ นำโดย นางสาวปรินทร์ทิพย์ อิสริยเมธา ผู้ช่วยรองกรรมการผู้อำนวยการสื่อสารองค์กร และรัฐกิจสัมพันธ์ บริษัท แฟลช เอ็กซ์เพรส จำกัด ได้นำหนังสือเสียงระบบเดซี่ และหนังสือเบรลล์ ที่จัดทำขึ้นจากการนำเอาเนื้อหาของพ๊อคเก็ตบุ๊ค “คมเขี้ยว Startup” เรื่องราวชีวิต และเส้นทางการดำเนินธุรกิจของคุณคมสันต์ ลี มาถ่ายทอดในรูปแบบหนังสือสำหรับผู้บกพร่องทางสายตา

นางสาวปรินทร์ทิพย์ เปิดเผยว่า ผู้ก่อตั้งโครงการฯ เล็งเห็นถึงความสำคัญด้านการศึกษามาโดยตลอด เพราะมีความเชื่อว่าโอกาสทางการศึกษาจะสามารถเปลี่ยนแปลงชีวิตคน นายคมสันต์ ลี จึงได้มีโอกาสช่วยเหลือสังคมในด้านการศึกษามาตลอดระยะเวลา 6 ปี ที่ทำธุรกิจจนกระทั่งปี 2565 จึงได้ก่อตั้งโครงการคมส่งฝันขึ้น และเปิดโอกาสให้เยาวชนที่เรียนดีแต่ขาดแคลนทุนทรัพย์จำนวน 11 คน ได้เข้ามาเป็นนักศึกษาทุนของโครงการฯ

“คุณคมสันต์ มีความตั้งใจมาโดยตลอดว่าอยากเป็นส่วนหนึ่งในการสร้างสังคมไทยให้เป็นสังคมแห่งการเรียนรู้ และมีการศึกษาที่เท่าเทียม ไม่ว่าบุคคลนั้นจะมาจากไหน หรือมีต้นทุนทางชีวิตมากน้อยแค่ไหน แต่หากมีความใฝ่ดีในการเรียนก็ไม่ยากที่จะสร้างชีวิตให้ประสบความสำเร็จได้ ซึ่งนอกจากการศึกษาจะเป็นเรื่องที่สำคัญอันดับแรก การที่เยาวชนกลุ่มนี้ได้รับโอกาสจากโครงการฯ ก็ควรมีส่วนร่วมส่งต่อโอกาสเหล่านี้ให้แก่ผู้ด้อยโอกาสกลุ่มอื่นของสังคมเช่นกัน หลังจากวันนั้นน้องๆ ในโครงการจึงได้มีการร่วมทำกิจกรรมเพื่อสังคมมาโดยตลอด รวมถึงโครงการล่าสุด โครงการจัดทำหนังสือ2 รูปแบบ คือ หนังสือเสียงระบบเดซี่ผ่านแอปพลิเคชัน Read for the Blind สำหรับผู้บกพร่องทางสายตาที่ไม่สามารถอ่านอักษรเบรลล์ได้ และหนังสือเบรลล์ สำหรับผู้บกพร่องทางสายตาที่สามารถอ่านอักษรเบรลล์ได้ทซึ่งทีมงานได้ร่วมบันทึกเสียง และจัดทำเพื่อส่งมอบแก่ มูลนิธิคนตาบอด เพื่อกระจายไปยังโรงเรียนสอนคนตาบอด 15 แห่ง ทั่วประเทศ โดยความตั้งใจส่วนหนึ่งของการจัดทำ คืออยากสร้างแรงบันดาลใจให้ผู้อ่านได้ใช้ชีวิตอย่างมีความสุข แม้จะต้องเจออุปสรรคหรือปัญหามากแค่ไหน ซึ่งอีกมุมของหนังสือคมเขี้ยวสตาร์ทอัพที่ถูกจัดทำ จะสะท้อนให้ผู้อ่านมองเห็นคุณค่าของชีวิตมากขึ้นด้วย” นางสาวปรินทร์ทิพย์ กล่าว

ด้าน นายกิติพงศ์ สุทธิ ผู้อำนวยการห้องสมุดคนตาบอดและผู้พิการทางสื่อสิ่งพิมพ์แห่งชาติ กล่าวว่า ทางมูลนิธิขอขอบคุณ โครงการคมส่งฝัน และคุณคมสันต์ ลี ที่เล็งเห็นความสำคัญของกลุ่มผู้พิการทางสายตา และให้นักศึกษาทุนฯ มาร่วมทำโปรเจกต์นี้กับมูลนิธิคนตาบอด

ปัจจุบันมีจำนวนผู้พิการทางสายตาที่อยู่ในสมาคมคนตาบอดแห่งประเทศไทยประมาณ 15,000 คนทั่วประเทศ แต่มีกลุ่มผู้พิการทางสายตาที่ลงทะเบียนกับรัฐมากถึง 200,000 คน ในขณะที่จำนวนหนังสือเสียง และหนังสือเบรลล์ที่มีอยู่ในระบบสำหรับคนกลุ่มนี้มีสัดส่วนไม่ถึง 5% และกว่า 95% ของหนังสือเสียงผลิตขึ้นได้ด้วยอาสาสมัครที่เข้ามาช่วยสนับสนุน เนื่องจากเจ้าหน้าที่ของมูลนิธิมีจำนวนไม่เพียงพอที่จะสนับสนุนงานในส่วนนี้อีกทั้งข้อจำกัดในส่วนห้องอ่านหนังสือเสียงทั้งส่วนของพื้นที่ และอุปกรณ์ ทางมูลนิธิจึงต้องอาศัยอาสาสมัครเข้ามาช่วยอ่านหนังสือเสียงผ่านช่องทางแอปพลิเคชัน ซึ่งทางมูลนิธิคนตาบอดจะส่งมอบหนังสือที่ทางโครงการคมส่งฝันได้จัดทำ กระจายต่อไปยังโรงเรียนสอนคนตาบอดทั่วประเทศทั้ง 15 แห่งต่อไป

การปลูกฝังและเปิดโอกาสให้เยาวชนได้ทำความรู้จักและเรียนรู้เกี่ยวกับอาชีพต่างๆ ตั้งแต่เนิ่นๆ เป็นสิ่งสำคัญและเป็นรากฐานที่ดีให้พวกเขาได้ค้นหาและรู้จักตัวเอง ตลอดจนเตรียมตัวใฝ่หาทักษะความรู้ที่จำเป็นจากทั้งในและนอกห้องเรียน เพื่อให้พร้อมต่อการมุ่งสู่อาชีพที่ใช่และเหมาะสมกับตนเองต่อไป โครงการสนับสนุนการศึกษาเพื่อการพัฒนาที่ยั่งยืน” (Banpu Education for Sustainability หรือ BES) ที่ริเริ่มขึ้นตั้งแต่ปี 2547 โดย บริษัท บ้านปู จำกัด (มหาชน) ผู้นำธุรกิจด้านพลังงานแบบครบวงจรแห่งเอเชีย-แปซิฟิก จึงสานต่อ กิจกรรม Career Dayเปิดโลกอาชีพ ปูเส้นทางสู่อนาคต ในปีที่ 2 สำหรับนักเรียนระดับชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 3 และ 4 ของโรงเรียน 6 แห่งทางภาคเหนืออันเป็นพื้นที่ที่บ้านปูฯ เคยดำเนินธุรกิจ ได้แก่ โรงเรียนเชียงม่วนวิทยาคม และโรงเรียนบ้านสระ จังหวัดพะเยา โรงเรียนสบปราบพิทยาคม โรงเรียนแม่ทะพัฒนศึกษา และโรงเรียนแม่ทะวิทยา จังหวัดลำปาง โรงเรียนเวียงเจดีย์วิทยา จังหวัดลำพูน รวมทั้งสิ้นกว่า 1,000 คน เพื่อแบ่งปันความรู้ในสาขาวิชาชีพต่างๆ และสร้างแรงบันดาลใจในการค้นพบตัวเองพร้อมกรุยทางสู่อาชีพที่ตรงใจ

นางอุดมลักษณ์ โอฬาร ผู้อำนวยการสายอาวุโส - องค์กรสัมพันธ์ บริษัท บ้านปู จำกัด (มหาชน) กล่าวว่า “การเลือกสายการเรียนต่อหรือการคิดฝันถึงอาชีพในอนาคตของเด็กๆ ที่ไม่ได้เล่าเรียนในเมืองใหญ่นั้นเป็นเรื่องที่ตัดสินใจไม่ง่ายเลย อาชีพใกล้ตัวหรือพบเห็นในท้องถิ่นเองก็ไม่หลากหลาย 
ถ้าลองไปถามเด็กว่าโตขึ้นหนูอยากเป็นอะไร อาชีพที่พวกเขาพอจะนึกออกได้ก็คือ ครู ทหาร หมอ เป็นต้น บ้านปูฯ จึงจัดกิจกรรม Career Day: เปิดโลกอาชีพ ปูเส้นทางสู่อนาคต เพื่อให้เขามีโอกาสได้รู้จักกับอาชีพที่มีอยู่มากมาย รวมไปถึงอาชีพใหม่ๆ ที่เกิดขึ้นจากการเปลี่ยนแปลงทางนวัตกรรมและเทคโนโลยีใหม่ๆ ของโลกในปัจจุบัน สำหรับกิจกรรมนี้จัดเป็นปีที่ 2 แล้ว ก็มีการปรับกิจกรรมหลายๆ ตัวเพื่อดึงดูดให้เด็กๆ เพลิดเพลินกับการค้นหาตัวเอง มีกิจกรรมที่น่าสนใจและสนุกสนานมากขึ้น พี่ต้นแบบอาชีพที่มาแบ่งปันประสบการณ์ก็มีถึง 10 อาชีพ ซึ่งหลากหลายและเข้มข้นน่าสนใจยิ่งขึ้น”

กิจกรรม Career Day: เปิดโลกอาชีพ ปูเส้นทางสู่อนาคต ปีที่ 2 ได้สร้างสรรค์กิจกรรมที่มีทั้งเนื้อหาและความสนุก เริ่มด้วยเกม ‘สร้างเมือง’ ซึ่งใช้พื้นที่สร้างเมืองจำลองขนาดย่อมขึ้นแล้วนำการ์ดเกมมาประกอบการเล่น เพื่อช่วยละลายพฤติกรรมพร้อมๆ กับเพิ่มพูนความรู้ในด้านทักษะและสายการเรียนที่จำเป็นสำหรับแต่ละอาชีพ กิจกรรมนี้ทำให้เด็กนักเรียนตื่นตัวกับอาชีพที่หลากหลาย มีคลังความรู้เรื่องอาชีพมากขึ้น ปูพื้นฐานสู่การค้นหาอาชีพที่เข้ากับตัวเอง และเลือกเข้าฟังแนะแนวอาชีพที่ตรงกับสายการเรียนและความถนัดของตัวเองที่สุด ก่อนเข้าสู่ช่วงกิจกรรมแนะแนวอาชีพที่ได้เชิญพี่ต้นแบบอาชีพ 10 คน 10 อาชีพ ซึ่งล้วนมีความสามารถและมีใจรักในอาชีพของตน มาร่วมถ่ายทอดประสบการณ์ในวิชาชีพ แนวทางการทำงาน รวมถึงทักษะความรู้ความสามารถที่จำเป็นต่อการประกอบอาชีพอย่างเป็นกันเอง

แต่ละอาชีพต้นแบบที่นำมาแบ่งปันให้แก่เด็กๆ ผ่านการคัดสรรโดยคำนึงถึงความหลากหลายที่จะส่งเสริมให้เด็กๆ จากทั้ง 6 โรงเรียน เห็นโลกอาชีพที่กว้างขึ้น นอกจากอาชีพทั่วไปที่เด็กรู้จักและให้ความสนใจ อาทิ พยาบาล แล้ว บ้านปูฯ ยังเฟ้นหาอาชีพที่อยู่นอกเหนือจากบทเรียน เช่น นักวิชาการป่าไม้ปฏิบัติการ นักกายภาพบำบัด และแพทย์แผนไทย เป็นต้น รวมถึงอาชีพแห่งศตวรรษ 21 ที่มาจากการเปลี่ยนแปลงทางนวัตกรรมและเทคโนโลยีต่อยอดกับความชอบหรือความถนัดจนเกิดเป็นอาชีพ ได้แก่ นักพัฒนาแพลตฟอร์มซื้อขายสินค้า เกษตรกรยุคใหม่ และนักเขียนเชิงท่องเที่ยว โดยพี่ต้นแบบอาชีพได้นำเสนอเรื่องราวอาชีพของตนเพื่อให้เด็กๆ เข้าใจรายละเอียดการทำงานและคุณสมบัติที่จำเป็นของแต่ละอาชีพ อีกทั้งสร้างแรงบันดาลใจให้เยาวชนค้นหาอาชีพที่เกิดจากใจรัก ลงมือสานฝันตามเส้นทางอาชีพด้วยความสร้างสรรค์ และมุ่งมั่นที่จะทำให้สำเร็จด้วย

นอกเหนือจากความรู้ด้านอาชีพแล้ว ทักษะชีวิตและระบบความคิดเชิงบวกคือสิ่งที่บ้านปูฯ ต้องการบ่มเพาะและปลูกฝัง เพื่อให้เด็กพร้อมเปิดรับ คิดวิเคราะห์ และตัดสินใจได้ด้วยตนเอง “ผมรู้สึกขอบคุณพี่ต้นแบบมากๆ ครับที่มาให้ความรู้ในวันนี้ เพราะช่วยเปลี่ยนความคิดของผมโดยสิ้นเชิง จากเดิมคิดว่าเกษตรกรเป็นอาชีพที่จน ต้องทำงานหนัก ตากแดดตัวดำ ไม่เคยคิดอยากจะทำเลย พอฟังพี่ต้นแบบเกษตรกรแล้วทำให้ผมคิดใหม่ว่าจริงๆ แล้วคนทำเกษตรก็หาเงินเยอะได้ ถ้าเรารู้จักนำภูมิปัญญาในท้องถิ่นมาใช้คู่กับความรู้และเทคโนโลยีสมัยใหม่ และเกษตรกรยังเป็นอาชีพที่น่าภูมิใจอีกด้วย” นายศราวุธ อินมณี นักเรียนชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 4 โรงเรียนเวียงเจดีย์วิทยา จ.ลำพูน เผยความรู้สึกหลังร่วมกิจกรรม

“บ้านปูฯ เชื่อในศักยภาพของคนและการสร้างคนโดยการให้โอกาสในการเรียนรู้ เพราะว่าความรู้จะอยู่ติดตัวของเรา การเรียนรู้นั้นไม่มีที่สิ้นสุดทั้งในห้องเรียน นอกห้องเรียน และทักษะชีวิตต่างๆ ซึ่งจะช่วยให้เราก้าวทันตามโลกยุคใหม่และดูแลตัวเองได้ อันเป็นรากฐานที่ดีแก่ทั้งตัวเองและสังคม ดังความเชื่อของบ้านปูฯ ที่ว่า “พลังความรู้ คือ พลังแห่งการเปลี่ยนแปลงและพัฒนา” และแน่นอนว่าอนาคตนับจากนี้จะมีความรู้ใหม่ๆ รวมถึงอาชีพแปลกใหม่เกิดขึ้นอีกมากมาย บ้านปูฯ คาดหวังว่าเยาวชนยุคใหม่จะใฝ่รู้และพยายามขวนขวายหาข้อมูล เพื่อให้มีความรู้เพียงพอต่อการตัดสินใจ โดยเฉพาะการเลือกอาชีพที่ใช่ให้กับตนเอง” นางอุดมลักษณ์กล่าวปิดท้าย

X

Right Click

No right click