December 05, 2025

คณะกรรมการธนาคารเพื่อการส่งออกและนำเข้าแห่งประเทศไทย (EXIM BANK) มีมติแต่งตั้ง นายชลัช รัตนบุญนิธิ เป็นกรรมการผู้จัดการ EXIM BANK โดยเข้ารับตำแหน่งตั้งแต่วันที่ 1 ตุลาคม 2568

ทั้งนี้ EXIM BANK ได้ดำเนินการตามกระบวนการสรรหากรรมการผู้จัดการตามเกณฑ์ของกระทรวงการคลังและธนาคารแห่งประเทศไทย และคณะกรรมการธนาคารมีมติแต่งตั้งนายชลัช รัตนบุญนิธิ ผู้ช่วยผู้บริหารองค์กร EXIM BANK ดำรงตำแหน่งกรรมการผู้จัดการ EXIM BANK โดยได้รับความเห็นชอบจากรัฐมนตรีว่าการกระทรวงการคลัง ตามพระราชบัญญัติธนาคารเพื่อการส่งออกและนำเข้าแห่งประเทศไทย พ.ศ. 2536 เรียบร้อยแล้ว

โดย นายชลัช รัตนบุญนิธิ ผู้นำคนล่าสุดของ EXIM BANK มีภูมิหลังด้านการศึกษาเป็นที่น่าจับตา โดยสำเร็จการศึกษาปริญญาโท บริหารธุรกิจมหาบัณฑิต มหาวิทยาลัยรัฐแคลิฟอร์เนีย สหรัฐฯ และปริญญาตรี บัญชีบัณฑิต สาขาระบบสารสนเทศทางการบัญชี คณะพาณิชยศาสตร์และการบัญชี จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย

ทั้งนี้ นายชลัช เคยดำรงตำแหน่งผู้จัดการธุรกิจภาครัฐ สายงานธุรกิจขนาดใหญ่ ธนาคารไทยพาณิชย์ จำกัด (มหาชน) ผู้อำนวยการฝ่ายอาวุโส สายงานธุรกิจภาครัฐ ธนาคารกรุงไทย จำกัด (มหาชน) และล่าสุดดำรงตำแหน่งผู้ช่วยผู้บริหารองค์กร EXIM BANK ก่อนจะได้รับแต่งตั้งเป็นกรรมการผู้จัดการ EXIM BANK คนที่ 7 นับตั้งแต่ก่อตั้ง EXIM BANK เมื่อปี 2537 มีวาระการดำรงตำแหน่ง 4 ปี ตั้งแต่วันที่ 1 ตุลาคม 2568 ถึง 30 กันยายน 2572

 

 

นายบัณฑิต สะเพียรชัย กรรมการ และรักษาการกรรมการผู้จัดการ ธนาคารเพื่อการส่งออกและนำเข้าแห่งประเทศไทย (EXIM BANK) เปิดเผยว่า EXIM BANK ได้รับการรับรองมาตรฐาน ISO 14064-1:2018 สำหรับการจัดทำบัญชีและรายงานการปล่อยก๊าซเรือนกระจก (GHG Inventory) ปี 2567 จากบริษัท บูโร เวอริทัส เซอทิฟิเคชั่น (ประเทศไทย) จำกัด ต่อเนื่องเป็นปีที่ 2 ซึ่งเป็นมาตรฐานที่มอบให้กับองค์กรที่ดำเนินการยกระดับการรายงานและจัดการการปล่อยก๊าซเรือนกระจกได้เทียบเท่าระดับสากล โดย EXIM BANK เป็นสถาบันการเงินเฉพาะกิจของรัฐแห่งแรกที่ได้รับการรับรองมาตรฐาน ISO 14064-1:2018 เป็นผลจากความสำเร็จในการมุ่งมั่นดำเนินธุรกิจโดยคำนึงถึงสิ่งแวดล้อม สังคม และการกำกับดูแลกิจการที่ดี (Environmental, Social, and Governance : ESG) โดยเฉพาะด้านสิ่งแวดล้อม เพื่อเป็นส่วนหนึ่งของการแก้ไขปัญหาการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศ (Climate Change) อย่างเป็นรูปธรรม ผ่านการจัดทำข้อมูลการปล่อยก๊าซเรือนกระจกที่โปร่งใสและเป็นไปตามมาตรฐานสากล

EXIM BANK ในฐานะธนาคารเพื่อการพัฒนายังคงเดินหน้าสู่การเป็นองค์กรที่มีความเป็นกลางทางคาร์บอน (Carbon Neutral Organization) พัฒนาเครื่องมือการจัดเก็บ คำนวณการปล่อยก๊าซเรือนกระจกจากการดำเนินงาน และกำหนดแนวทางลดการปล่อยคาร์บอนอย่างเป็นระบบ สอดคล้องกับเป้าหมายการพัฒนาที่ยั่งยืนขององค์การสหประชาชาติ (SDGs) พร้อมขับเคลื่อนเศรษฐกิจสีเขียวของไทยสู่ระดับโลกอย่างยั่งยืน ผ่านการดำเนินงานอย่างโปร่งใส มีธรรมาภิบาล และรับผิดชอบต่อผู้มีส่วนได้ส่วนเสียทุกภาคส่วน

นายบัณฑิต สะเพียรชัย กรรมการ และรักษาการกรรมการผู้จัดการ ธนาคารเพื่อการส่งออกและนำเข้าแห่งประเทศไทย (EXIM BANK) ให้การต้อนรับนายประกอบ เพียรเจริญ ประธานคณะเจ้าหน้าที่ด้านลูกค้าธุรกิจขนาดใหญ่และวาณิชธนกิจ ธนาคารกรุงศรีอยุธยา จำกัด (มหาชน) และนางสาวปภากร รัตนเศรษฐ รองผู้อำนวยการธนาคารออมสินอาวุโส กลุ่มลงทุนและบริหารการเงิน ในโอกาสร่วมแสดงความยินดีงานฉลองความสำเร็จ “การออกพันธบัตรเพื่อความยั่งยืน (Sustainability Bond)” ณ EXIM BANK สำนักงานใหญ่ เมื่อวันที่ 15 กรกฎาคม 2568

EXIM BANK ประสบความสำเร็จในการออกพันธบัตรสกุลบาท จำนวน 2 ชุด มูลค่ารวม 6,000 ล้านบาท เมื่อวันที่ 20 มิถุนายน 2568 โดยมีธนาคารออมสินและธนาคารกรุงศรีอยุธยา จำกัด (มหาชน) เป็นผู้จัดการการจัดจำหน่ายพันธบัตร ซึ่งการออกพันธบัตรในครั้งนี้เป็นการออกพันธบัตรเพื่อความยั่งยืน (Sustainability Bond) รุ่นแรกของธนาคาร จำนวน 3,000 ล้านบาท เพื่อนำไปใช้ขับเคลื่อนธุรกิจสีเขียว (Green Bond) และธุรกิจ SMEs (Social Bond) ของไทยให้สามารถเข้าถึงแหล่งเงินทุน สร้างผลกระทบเชิงบวกต่อเศรษฐกิจ สังคม และสิ่งแวดล้อม ต่อยอดความเข้มแข็งตั้งแต่เศรษฐกิจฐานรากเชื่อมโยงกับ Global Supply Chain

ปาล์มน้ำมันนับเป็นอุตสาหกรรมที่มีการเติบโตอย่างต่อเนื่องตามความต้องการใช้น้ำมันปาล์มในอุตสาหกรรมอาหาร เครื่องสำอาง อุตสาหกรรมเคมีภัณฑ์และโอเลโอเคมิคอล รวมทั้งมาตรการภาครัฐในการส่งเสริมการใช้ไบโอดีเซลโดยผู้ผลิตยานยนต์รายใหญ่ ในขณะที่พื้นที่เพาะปลูกปาล์มน้ำมันมากกว่า 30 ล้านเฮกตาร์ เกาะกลุ่มอยู่ในบริเวณแนวเส้นศูนย์สูตร 3 ประเทศคือ อินโดนีเซีย มาเลเซีย และไทย ซึ่งเป็นพื้นที่ที่มีความหลากหลายทางชีวภาพมากที่สุด เป็นแหล่งที่อยู่อาศัยของพันธุ์พืชและพันธุ์สัตว์หายากและใกล้สูญพันธุ์ ส่งผลให้ประเด็นความยั่งยืนจึงถูกหยิบยกมาพูดถึงกันมากขึ้นในอุตสาหกรรมปาล์มน้ำมัน เนื่องจากการเติบโตของอุตสาหกรรมส่งผลต่อการขยายพื้นที่เพาะปลูก ซึ่งอาจจะเกิดการบุกรุกพื้นที่ป่า

ปัจจุบันไทยป็นผู้ผลิตปาล์มน้ำมันอันดับ 3 ของโลก รองจากอินโดนีเซียและมาเลเซีย ด้วยพื้นที่ปลูกกว่า 6.3 ล้านไร่ ทำให้ไทยถูกจัดให้เป็นหนึ่งในชาติที่มีบทบาทสำคัญในการยกระดับมาตรฐานการผลิตปาล์มน้ำมันของโลกสู่ความยั่งยืน ธนาคารเพื่อการส่งออกและนำเข้าแห่งประเทศไทย (EXIM BANK) จึงได้ร่วมมือกับองค์กรเจรจาระหว่างประเทศว่าด้วยปาล์มน้ำมันยั่งยืน (Roundtable on Sustainable Palm Oil: RSPO) ลงนามในบันทึกความเข้าใจ (MOU) เพื่อสนับสนุนความยั่งยืนในภาคธุรกิจปาล์มน้ำมันของไทย พร้อมทั้งสนับสนุนให้ผู้ประกอบการไทยยกระดับการดำเนินธุรกิจสู่มาตรฐานสากลและแข่งขันได้อย่างยั่งยืนในตลาดโลก

นายบัณฑิต สะเพียรชัย กรรมการ และรักษาการกรรมการผู้จัดการ EXIM BANK เปิดเผยว่า ความร่วมมือในครั้งนี้มีเป้าหมายเพื่อเร่งพัฒนาอุตสาหกรรมปาล์มน้ำมันซึ่งเป็นหนึ่งในภาคเศรษฐกิจสำคัญของไทยให้มุ่งสู่มาตรฐานสากลด้านความยั่งยืน ช่วยสร้างการจ้างงานและนำไปสู่รายได้ทั้งในภาคเกษตรและภาคอุตสาหกรรม ตั้งแต่ขั้นตอนการเพาะปลูก เก็บเกี่ยว แปรรูป และส่งออกตลอดต้นน้ำจนถึงปลายน้ำ ท่ามกลางสถานการณ์ความไม่แน่นอนของเศรษฐกิจและการค้าโลก ซึ่งเป็นปัจจัยเร่งให้ภาคธุรกิจต้องดำเนินงานโดยคำนึงถึงสิ่งแวดล้อม สังคม และการกำกับดูแลกิจการที่ดี (Environmental, Social, and Governance: ESG) เพื่อตอบโจทย์ความต้องการของผู้บริโภคและมาตรฐานการค้าระหว่างประเทศด้านสิ่งแวดล้อมในโลกยุคใหม่

ภายใต้ MOU ดังกล่าว ทั้งสองฝ่ายจะร่วมกันพัฒนาผลิตภัณฑ์ทางการเงิน เพื่อสนับสนุนระบบการตรวจสอบแบบย้อนกลับ (Traceability) สืบย้อนกลับได้ถึงแหล่งกำเนิดตั้งแต่ต้นจนถึงมือผู้บริโภค อาทิ การลดการตัดไม้ทำลายป่า (Deforestation-free) การลดการสูญเสียความหลากหลายทางชีวภาพ (Biodiversity Loss) รวมถึงการยกระดับด้านสิทธิมนุษยชน (Human Rights) ของอุตสาหกรรมน้ำมันปาล์ม ยกระดับความน่าเชื่อถือของสินค้าเกษตรไทย เพื่อช่วยเพิ่มมูลค่าทางเศรษฐกิจและเพิ่มโอกาสในการขยายตลาดการค้าโลก โดยเฉพาะการรุกตลาดที่มีข้อกำหนดเข้มงวดด้านสิ่งแวดล้อมและสิทธิมนุษยชน เสริมสร้างความสามารถในการแข่งขันระยะยาวให้กับอุตสาหกรรมการเกษตรไทย ในฐานะที่ EXIM BANK เป็นสถาบันการเงินเฉพาะกิจของรัฐภายใต้การกำกับดูแลของกระทรวงการคลังที่มีพันธกิจในการขับเคลื่อนการค้าและการลงทุนที่เป็นประโยชน์ต่อการพัฒนาประเทศ และ RSPO เป็นองค์กรกำหนดมาตรฐานความยั่งยืนปาล์มน้ำมันระดับนานาชาติ

“การปรับตัวสู่ความยั่งยืนจะทำให้ผู้ประกอบการไทยเข้าถึงโอกาสใหม่ ๆ ที่ยังมีอีกมากในโลกการค้ายุคใหม่ ท่ามกลางข้อจำกัดด้านกฎระเบียบและมาตรการกีดกันทางการค้าที่เพิ่มมากขึ้น EXIM BANK จึงจับมือกับ RSPO เพื่อขยายความร่วมมือระหว่างภาครัฐและองค์กรระดับโลกภายใต้กรอบ ISEAL Alliance ที่สนับสนุนมาตรฐานความยั่งยืนในภาคอุตสาหกรรม ช่วยเสริมสร้างระบบนิเวศทางเศรษฐกิจที่โปร่งใส มีความรับผิดชอบ รองรับเทรนด์การค้าโลกที่ให้ความสำคัญกับความยั่งยืนมากยิ่งขึ้น” นายบัณฑิต กล่าว

นายมูฮัมหมัด ชาซาลีย์ Head of Certification ของ RSPO กล่าวว่า การสร้างความยั่งยืนในอุตสาหกรรมปาล์มน้ำมันไม่ใช่เพียงหน้าที่ของผู้ใดผู้หนึ่ง แต่ต้องอาศัยความร่วมมือจากทุกภาคส่วนในห่วงโซ่อุปทาน ตั้งแต่เกษตรกร ผู้ประกอบการ ผู้ผลิต ไปจนถึงผู้บริโภค เพื่อให้สามารถพัฒนาอุตสาหกรรมปาล์มน้ำมันให้เติบโตอย่างสมดุล เป็นธรรม และยั่งยืนต่อไปในอนาคต

 

ด้านนายอิทธิพล เลิศศักดิ์ธนกุล รองกรรมการผู้จัดการ EXIM BANK บรรยายในการเสวนาหัวข้อ “ความรับผิดชอบร่วม-ยกระดับปาล์มน้ำมันไทยสู่ความสำเร็จในตลาดโลก” แก่สมาชิก RSPO ว่า ในฐานะตัวแทนจากภาคการเงินในการส่งเสริมความยั่งยืนของอุตสาหกรรมปาล์มน้ำมันไทย และแนวทางการสร้างความรับผิดชอบร่วมกันเพื่อให้เกิดความยั่งยืนตลอดห่วงโซ่อุปทาน EXIM BANK พร้อมดำเนินบทบาทส่งเสริมความยั่งยืนในอุตสาหกรรมปาล์มน้ำมันของไทยผ่านยุทธศาสตร์ “Sustainable Growth Escalator (ยกระดับธุรกิจไทยสู่เศรษฐกิจที่เป็น ESG)” โดยสอดคล้องกับพันธกิจในการขับเคลื่อนการพัฒนาเศรษฐกิจไทยและภูมิภาคสู่ความยั่งยืนของธนาคาร โดยอาศัยข้อได้เปรียบของอุตสาหกรรมปาล์มน้ำมันไทย คือ ไม่มีข่าวด้านลบ เช่น การตัดไม้ทำลายป่า การเผาทำลายที่อยู่อาศัยของสัตว์ป่า และการละเมิดสิทธิมนุษยชน ต่างจากในหลายประเทศ ทำให้ไทยมีภาพลักษณ์ที่ดีในสายตาต่างชาติ หากได้รับการส่งเสริมอย่างเหมาะสม ไทยจะสามารถสร้างมูลค่าเพิ่มให้กับอุตสาหกรรมนี้ และขยายตลาดในระดับสากลได้มากยิ่งขึ้น

EXIM BANK เป็นกลไกของภาครัฐที่มุ่งดำเนินบทบาทอย่างแข็งขันในการสนับสนุน Climate Finance ของไทย นำผู้ประกอบการไทยสยายปีกสู่ธุรกิจเป็นมิตรกับสิ่งแวดล้อมทั้งในและต่างประเทศ เพื่อผลักดันและขับเคลื่อนภาคธุรกิจของไทยให้เปลี่ยนผ่านสู่สังคมคาร์บอนต่ำ ส่งผลให้ ESG Portfolio ของ EXIM BANK เพิ่มขึ้นต่อเนื่องจนแตะระดับ 40% ของ Portfolio ทั้งหมดในปัจจุบัน และมีเป้าหมายเพิ่มขึ้นเป็น 50% ภายในปี 2570

นายบัณฑิต สะเพียรชัย กรรมการ และรักษาการกรรมการผู้จัดการ ธนาคารเพื่อการส่งออกและนำเข้าแห่งประเทศไทย (EXIM BANK) เปิดเผยว่า EXIM BANK ปรับลดอัตราดอกเบี้ย Prime Rate เหลือ 6.15% ต่อปี ซึ่งเป็นอัตราดอกเบี้ยที่ใช้สำหรับลูกค้าทั่วไปและลูกค้า SMEs เทียบเท่าอัตราดอกเบี้ยเงินกู้ลูกค้ารายย่อยชั้นดีหรือ MRR ของธนาคารพาณิชย์ นับเป็นอัตราดอกเบี้ยเงินกู้ลูกค้ารายย่อยชั้นดีที่ต่ำที่สุดในระบบ มีผลตั้งแต่วันที่ 13 พฤษภาคม 2568 เป็นต้นไป เพื่อสนับสนุนผู้ประกอบการในการดำเนินธุรกิจท่ามกลางความผันผวนในตลาดการเงินโลกที่ปรับสูงขึ้นจากความไม่แน่นอนของนโยบายการค้าประเทศเศรษฐกิจหลักและแนวโน้มการชะลอตัวของเศรษฐกิจไทย รวมทั้งช่วยกระตุ้นการเติบโตของภาคธุรกิจไทย

นอกเหนือจากการปรับลดอัตราดอกเบี้ย Prime Rate ในครั้งนี้ ซึ่งถือเป็นการปรับลดอัตราดอกเบี้ย Prime Rate เป็นครั้งที่ 5 ติดต่อกันนับตั้งแต่ปี 2567 EXIM BANK ยังมอบสิทธิประโยชน์แก่ลูกค้าชั้นดีที่ร่วมเติบโตมากับ EXIM BANK ด้วยส่วนลดอัตราดอกเบี้ยพิเศษถึง 1.00% ต่อปี เริ่มต้น 3.10% ต่อปี สำหรับลูกค้าที่แสดงความจำนงภายในวันที่ 31 พฤษภาคม 2568 และเบิกกู้ระหว่างเดือนมิถุนายนถึงสิงหาคม 2568 พร้อมกันนั้น EXIM BANK ยังคงดำเนินโครงการ “คุณสู้ เราช่วย” อย่างต่อเนื่อง เพื่อช่วยแบ่งเบาภาระหนี้และต้นทุนทางธุรกิจให้แก่ผู้ประกอบการ โดยเฉพาะ SMEs ให้สามารถปรับโครงสร้างหนี้ได้อย่างยั่งยืน นอกจากนี้ EXIM BANK ได้จัดตั้ง Export Clinic เพื่อให้คำปรึกษาและข้อมูลแก่ผู้ประกอบการไทยที่ได้รับผลกระทบจากมาตรการ Reciprocal Tariffs โดยสอดคล้องกับพันธกิจของ EXIM BANK ในการส่งเสริมผู้ประกอบธุรกิจการค้าและการลงทุนที่เป็นประโยชน์ต่อการพัฒนาประเทศให้สามารถเข้าถึงแหล่งเงินทุน มีสภาพคล่องเพียงพอในการดำเนินธุรกิจ สามารถปรับตัวรับมือกับปัจจัยท้าทายและแข่งขันได้ในเวทีการค้าโลกอย่างยั่งยืน

Page 1 of 46
X

Right Click

No right click