December 05, 2025

Jobsdb by SEEK ยกระดับวงการการคัดสรรบุคลากรในตลาดงาน ตอบรับเทรนด์ AI แห่งอนาคตที่กำลังมาแรงในวงการ HR และทุกภาคอุตสาหกรรมทั่วโลก ด้วย AI ระดับโลกจาก Jobsdb by SEEK พร้อมด้วยฟีเจอร์อัจฉริยะเต็มรูปแบบ พร้อมข้อมูลเชิงลึกจากตลาดแรงงานเพื่อช่วยให้องค์กรสามารถค้นหาและคัดเลือกผู้สมัครที่เหมาะสมได้อย่างมีประสิทธิภาพมากยิ่งขึ้น

 

เครดิตรูปภาพจาก Jobsdb by SEEK

"เทคโนโลยี AI กำลังก่อให้เกิดการเปลี่ยนแปลงครั้งใหญ่ในกระบวนการทำงานของ HR โดยเฉพาะเทรนด์เรื่องการปรับตัวของบุคลากรในส่วนงานของ HR ที่มีการนำเอา AI เข้ามาใช้ในกระบวนการสรรหาบุคลากรมากยิ่งขึ้นที่เป็นเทรนด์ในทั่วโลกในวันนี้ อย่างเช่น รายงานจาก Statista ได้ระบุว่าในปี 2024 ที่ผ่านมา 64% ของผู้เชี่ยวชาญด้าน HR ในประเทศสหรัฐอเมริกาได้ใช้ AI เพื่อช่วยในกระบวนการสรรหาบุคลากร สัมภาษณ์และกระบวนการจ้างงานแล้ว " คุณดวงพร พรหมอ่อน กรรมการผู้จัดการ Jobsdb by SEEK กล่าว

"การที่ Jobsdb by SEEK ได้นำเอาเทคโนโลยี AI เข้ามาเป็นเครื่องมือหลักในการช่วยพัฒนาการสรรหา คัดเลือกบุคลากรให้องค์กร จึงถือเป็นกลยุทธ์สำคัญที่จะช่วยขับเคลื่อนการเติบโตของวงการ HR ได้อย่างมากอีกทางหนึ่ง ทำให้องค์กรสามารถรับบุคลากรที่ตรงกับสายงาน และพัฒนาให้กระบวนการของ HR เป็นไปอย่างมีประสิทธิภาพมากสูงสุดอีกด้วย”

โดย AI จาก Jobsdb by SEEK ครอบคลุมทั้งด้านการช่วยสร้างประกาศงานอย่างอัตโนมัติ การจับคู่ผู้สมัครแบบเรียลไทม์ และการวิเคราะห์ข้อมูลเชิงลึก ช่วยให้ผู้ใช้สามารถปรับกลยุทธ์การสรรหาได้อย่างรวดเร็วและแม่นยำยิ่งขึ้น โดยฟีเจอร์เด่นของเทคโนโลยีนี้ ได้แก่:

● AI - Assisted Sourcing AI Ad Writing

ช่วยให้การสร้างประกาศงานที่น่าสนใจและตรงกลุ่มเป้าหมายเป็นเรื่องง่ายและรวดเร็วในไม่กี่คลิก ขณะที่ฟีเจอร์ In-Flow Insights จะเสนอคำแนะนำเพื่อปรับแต่งเนื้อหาของประกาศงานระหว่างการเขียน เพื่อเพิ่มโอกาสในการดึงดูดผู้สมัครที่มีคุณภาพ

● Better Matching AI-Assisted Search จะช่วยค้นหาผู้สมัครที่เหมาะสมจากฐานข้อมูลกว่า 40 ล้านโปรไฟล์ทั่วภูมิภาค ด้วยระบบ AI อัจฉริยะ ขณะที่ Job Recommendation จะแนะนำงานที่ตรงกับทักษะและความสนใจของผู้สมัคร เพิ่มโอกาสในการจับคู่ที่มีคุณภาพ

● Assess and Connect ฟีเจอร์ Candidate Management ช่วยจัดการและติดตามผู้สมัครได้อย่างเป็นระบบในแพลตฟอร์มเดียว ช่วยลดความยุ่งยากในกระบวนการสรรหา

● Data and Insights ทำให้ผู้ประกอบการสามารถติดตามผลลัพธ์ของประกาศงานได้แบบเรียลไทม์ และปรับกลยุทธ์การสรรหาได้ทันที ผ่านการวิเคราะห์ประสิทธิภาพของการประกาศงาน (Ad Performance) และข้อมูลเชิงลึกจากการวิเคราะห์บัญชี (Account Analytics)

การนำเทคโนโลยี AI มาใช้ในกระบวนการสรรหาบุคลากรของ Jobsdb by SEEK ยังคงมุ่งมั่นในการสนับสนุนองค์กรอย่างต่อเนื่องในการค้นหาผู้สมัครในตำแหน่งงานที่หลากหลายยิ่งขึ้น ผ่านฟีเจอร์ Lite Ad ที่ผู้ประกอบการจะสามารถลงประกาศตำแหน่งงานฟรีได้ไม่จำกัด และยังเป็นส่วนช่วยให้องค์กรทุกขนาด ไม่ว่าจะเป็น ผู้ประกอบการรายย่อย ไปจนถึงองค์กรระดับใหญ่ ต่างก็สามารถเข้าถึงเทคโนโลยี และประสบความสำเร็จ ได้ผลตอบรับคุ้มค่าการลงทุน (ROI) สำหรับการสรรหาบุคลากรอีกด้วย

สำหรับผู้ประกอบการและองค์กรที่สนใจทดลองใช้งานฟีเจอร์อัจฉริยะเหล่านี้ สามารถดูรายละเอียดและข้อมูลเพิ่มเติมเกี่ยวกับการลงประกาศงานฟรี Lite Ad ได้ที่นี่ และสามารถสำรวจข้อมูลเชิงลึกเพิ่มเติมเกี่ยวกับเทรนด์พฤติกรรมและความคาดหวังของผู้หางานบน Talent Attraction Lab ได้ที่นี่ โดยไม่มีค่าใช้จ่าย

ติดตามความเคลื่อนไหว และรายละเอียดเพิ่มเติมเกี่ยวแคมเปญ Talent Attraction Lab และ Jobsdb by SEEK ได้ทาง https://www.facebook.com/JobsdbThailandOfficialPage หรือ https://th.jobsdb.com/ 

ในวาระโอกาสวันผู้สูงอายุแห่งชาติ (13 เมษายน) ที่ผ่านมา Jobsdb by SEEK แพลตฟอร์มหางานอันดับหนึ่งของประเทศไทย เดินหน้ายกระดับตลาดแรงงานไทยด้วยการสนับสนุนกลุ่มแรงงาน “Silver Age” หรือผู้ที่มีอายุ 55 ปีขึ้นไปให้สามารถเตรียมความพร้อมเพื่อเข้าสู่ตลาดงานในอนาคตที่ขับเคลื่อนด้วยเทคโนโลยี AI และเครื่องมือดิจิทัลได้อย่างมั่นใจ

แรงงานกลุ่ม Silver Age ถือเป็นกำลังสำคัญในตลาดแรงงานไทย โดยมีจำนวนกว่า 13 ล้านคน หรือประมาณ 20% ของกำลังแรงงานทั้งหมดในประเทศ และมีแนวโน้มเพิ่มขึ้นอย่างต่อเนื่อง โดยคาดการณ์ว่า ภายในปี 2573 ประเทศไทยจะเข้าสู่สังคมสูงวัยระดับสุดยอด (Super Aged Society) ซึ่งประชากรอายุ 65 ปีขึ้นไปจะมีมากกว่า 1 ใน 4 ของทั้งประเทศ ซึ่งหลายคนในกลุ่ม Silver Age ยังมีความพร้อมและต้องการกลับเข้าสู่ตลาดแรงงาน ไม่ว่าจะเพื่อความมั่นคงทางรายได้ ความกระตือรือร้นในการใช้ชีวิต หรือเพราะต้องการถ่ายทอดประสบการณ์ให้คนรุ่นใหม่

AI คือทักษะที่คนทำงานยุคใหม่ควรรู้ โดยเฉพาะในกลุ่ม Silver Age

แนวโน้มตลาดแรงงานสะท้อนว่า AI โดยเฉพาะ Generative AI กำลังมีบทบาทสำคัญต่อการเพิ่มประสิทธิภาพในหลากหลายสายงาน และกลายเป็นแรงผลักดันหลักในการจ้างงานระดับโลก รายงานจาก World Economic Forum เผยว่าจำนวนผู้ที่เพิ่มทักษะด้าน AI ทั่วโลกเพิ่มขึ้นถึง 177% ตั้งแต่ปี 2018 แม้แต่ในสายงานที่ไม่ใช่เทค เช่น การตลาด การขาย และสุขภาพ ก็เริ่มให้ความสำคัญกับทักษะด้าน AI มากยิ่งขึ้น นอกจากนี้ ผู้ว่าจ้างกว่า 50% ยังระบุว่าอาจไม่รับผู้สมัครที่ไม่มีพื้นฐาน AI โดยเฉพาะความสามารถด้าน prompt engineering หรือการใช้เครื่องมือ AI อย่าง ChatGPT และ Microsoft Copilot ซึ่งกำลังกลายเป็นทักษะพื้นฐานที่ทุกคนควรมีติดตัวในยุคนี้

สำหรับแรงงานกลุ่ม Silver Age การผสานประสบการณ์เข้ากับเทคโนโลยี AI จะช่วยเพิ่มความมั่นใจในการกลับเข้าสู่ตลาดงาน และเป็นทรัพยากรที่มีคุณค่าสำหรับองค์กรในโลกยุคใหม่ที่ขับเคลื่อนด้วยดิจิทัล

7 อาชีพน่าจับตา ที่เหมาะกับกลุ่ม Silver Age

เพื่อสนับสนุนให้แรงงานวัยเก๋าสามารถกลับเข้าสู่ตลาดงานในแบบที่ตนเองต้องการ Jobsdb by SEEK ได้แนะนำ 7 สายอาชีพที่เหมาะสมกับกลุ่มนี้ โดยสามารถต่อยอดจากทักษะเดิมและเสริมด้วยเครื่องมือดิจิทัล ได้แก่:

● ครูพิเศษ / ติวเตอร์: เหมาะสำหรับผู้ที่ชอบทำงานจากที่บ้าน มีเวลายืดหยุ่น และยังเป็นโอกาสเชื่อมโยงกับคนรุ่นใหม่ในโลกการศึกษาออนไลน์

● งานบริการลูกค้า / Call Center: เหมาะกับผู้ที่มีทักษะการสื่อสาร มีใจรักบริการ และสามารถทำงานจากที่บ้านได้ในหลายองค์กร

● นักแปล: เหมาะกับผู้ที่มีทักษะด้านภาษา และต้องการใช้ทักษะเดิมในการทำงานอิสระที่บ้าน พร้อมจัดสรรเวลาได้เอง

● บัญชี / การเงินเบื้องต้น: สำหรับผู้ที่มีพื้นฐานด้านการจัดการเอกสารทางการเงิน สามารถทำแบบฟรีแลนซ์หรือช่วยสนับสนุนธุรกิจ SME ได้

● งานธุรการ / ประสานงาน: เหมาะกับผู้ที่มีประสบการณ์ในงานเอกสาร นัดหมาย และการประสานงาน พร้อมเรียนรู้การใช้เครื่องมือดิจิทัลเบื้องต้น

● ขายของออนไลน์: สำหรับผู้ที่ชอบทำงานจากที่บ้าน รู้จักการใช้โซเชียลมีเดีย หรือแอปขายของต่าง ๆ และสามารถจัดการเวลาได้อย่างมีประสิทธิภาพ

● ที่ปรึกษาอิสระ: เหมาะกับผู้ที่อยากแบ่งปันประสบการณ์ในด้านการเงิน การลงทุน หรือการพัฒนาทักษะให้กับคนรุ่นใหม่

อาชีพเหล่านี้สามารถยกระดับได้อีกขั้นด้วยการใช้เครื่องมือดิจิทัลหรือแอปพลิเคชัน AI เบื้องต้น เช่น คอร์สเรียนออนไลน์ ซอฟต์แวร์แปลภาษา และโปรแกรมช่วยกรอกข้อมูล ซึ่งช่วยเสริมประสิทธิภาพและความยืดหยุ่นในการทำงาน

Fair Hiring จุดเปลี่ยนสำคัญของตลาดแรงงานที่เปิดรับคนทุกวัย

เมื่อจำนวนประชากรสูงวัยในประเทศไทยเพิ่มขึ้น สิ่งที่ผู้ประกอบการควรพิจารณาอย่างยิ่งคือ “แนวทางการจ้างงาน” จากผลสำรวจของ Jobsdb by SEEK พบว่าแรงงานไทยกว่า 30% ยังมองว่าความลำเอียงและการเลือกปฏิบัติในกระบวนการจ้างงาน เป็นอุปสรรคในการหางานที่เหมาะสม โดยเฉพาะแรงงานกลุ่ม Silver Age ที่อาจได้รับผลกระทบจากอคติด้านอายุหรือสถานะ

ประเด็นนี้ยิ่งตอกย้ำถึงความสำคัญของการส่งเสริมสังคมการจ้างงานที่เปิดกว้าง และสอดคล้องกับแนวคิด Fair Hiring ซึ่ง Jobsdb by SEEK ผลักดันมาอย่างต่อเนื่อง เพื่อให้การจ้างงานไม่ถูกจำกัดด้วยอายุ เพศ เชื้อชาติ หรือสถานะ แต่เปิดกว้างอย่างเท่าเทียม

คุณดวงพร พรหมอ่อน กรรมการผู้จัดการ Jobsdb by SEEK กล่าวว่า “แนวทางในการส่งเสริม Fair Hiring เป็นพันธกิจสำคัญของ Jobsdb by SEEK มาอย่างต่อเนื่อง โดยองค์กรมุ่งมั่นสนับสนุนให้ตลาดแรงงานไทยเปิดรับความหลากหลาย และลดอคติในกระบวนการสรรหา ผ่านการยกระดับการคัดสรรบุคลากรด้วยระบบเทคโนโลยี AI ระดับโลกจาก Jobsdb by SEEK ที่ช่วยจับคู่ระหว่างผู้สมัครและตำแหน่งงานอย่างเป็นธรรม พร้อมรณรงค์ให้ผู้ประกอบการปรับแนวทางการรับสมัครให้ครอบคลุมผู้สมัครทุกกลุ่ม”

คุณดวงพร ยังให้ข้อมูลเพิ่มเติมว่าแนวคิด Fair Hiring จะช่วยให้องค์กรสามารถเข้าถึงบุคลากรที่มีศักยภาพมากขึ้น โดยพิจารณาจากทักษะและประสบการณ์ที่เกี่ยวข้องกับตำแหน่งงาน แทนที่จะมองจากอายุหรือพื้นเพ ทำให้ผู้ประกอบการสามารถดึงดูดผู้สมัครที่เหมาะสมกับตำแหน่ง และช่วยให้ตลาดแรงงานเติบโตอย่างยั่งยืนในระยะยาว ด้วยความเชื่อมั่นในบทบาทของเทคโนโลยีและการส่งเสริมความเป็นธรรม Jobsdb by SEEK ยังคงมุ่งมั่นพัฒนาแพลตฟอร์มหางานให้ทันสมัย ครอบคลุม และเป็นธรรมสำหรับทุกคน เพื่อช่วยผลักดันแรงงานไทยให้เติบโตไปข้างหน้าอย่างยั่งยืนและเท่าเทียม

ติดตามข้อมูลข่าวสารและรายละเอียดเพิ่มเติมเกี่ยวกับ Jobsdb by SEEK ได้ทางเว็บไซต์ https://www.facebook.com/JobsdbThailandOfficialPage หรือ https://th.jobsdb.com/

 

Jobsdb by SEEK ประเทศไทย เผยข้อมูลคำค้นหางานยอดนิยมของผู้ค้นหางานในปี 2567 ซึ่งสะท้อนถึงการเปลี่ยนแปลงในตลาดแรงงานและแนวโน้มที่สำคัญที่ผู้ประกอบการต้องให้ความสนใจจากคำค้นหาที่ถูกใช้ในการค้นหางานมากที่สุด โดยเฉพาะอย่างยิ่งคำที่เกี่ยวข้องกับทักษะเฉพาะทางในตลาดงาน และแนวโน้มทิศทางของการค้นหางานที่เกี่ยวข้องกับ ทักษะภาษาที่สอง

จากข้อมูลการค้นหาของผู้สมัครงานผ่าน Jobsdb by SEEK พบว่า 5 คำค้นหางานที่ได้รับความสนใจมากที่สุดในกลุ่มคนหางานปี 2567 ได้แก่:

1. วิศวกรรม (Engineering)

2. ธุรการ (Administration)

3. บัญชี (Accounting)

4. การตลาด (Marketing)

5. ทรัพยากรบุคคล (Human Resources)

คำค้นหาเหล่านี้แสดงให้เห็นถึงการได้รับความนิยมของสายงานทางวิศวกรรม ที่มีการค้นหาเป็นอันดับหนึ่งของสายงานที่มีคนสนใจค้นหามากที่สุดในปี 2567 ซึ่งวิศวกรรม นับเป็นสายงานที่เป็นทักษะอาชีพระดับต้น ๆ เพื่อรองรับการเติบโตของเทคโนโลยีสมัยใหม่ อย่าง ปัญญาประดิษฐ์ (AI) หรือการเปลี่ยนแปลงทางดิจิทัล

นอกจากนี้ จากประกาศวิสัยทัศน์ของรัฐบาลในปี 2567 ที่ผ่านมา ได้ตั้งเป้าหมายพัฒนาบุคลากรเพิ่มขึ้นอย่างมีนัยสำคัญเพื่อตอบสนองความต้องการของอุตสาหกรรมในอนาคต รัฐบาลไทยจึงมีเป้าหมายที่จะสร้างตำแหน่งงานจำนวน 280,000 ตำแหน่งในภาคส่วนเทคโนโลยีขั้นสูงในช่วงของห้าปีข้างหน้า โดยเน้นที่อุตสาหกรรมเซมิคอนดักเตอร์ รถยนต์ไฟฟ้า (EVs) และปัญญาประดิษฐ์ (AI) ความพยายามของรัฐบาลในครั้งนี้อาจเป็นปัจจัยที่สนับสนุนจำนวนการค้นหาที่มีมากในอาชีพวิศวกรรมบนแพลตฟอร์ม ของ Jobsdb by SEEK ซึ่งสะท้อนให้เห็นถึงความสำคัญและความเกี่ยวข้องของอาชีพดังกล่าวในตลาดแรงงานอย่างต่อเนื่อง

นอกจากนี้ในกลุ่มสายงานสนับสนุน อย่างเช่น สายงานธุรการ บัญชี การตลาด และสายงานทรัพยากรบุคคลก็ยังคงได้รับความสนใจในการค้นหาคำ Top 5 ในปีที่ผ่านมาตามลำดับ

อีกหนึ่งแนวโน้มที่น่าสนใจในปี 2567 คือการค้นหางานที่พูดถึงทักษะภาษาที่สอง ซึ่งสะท้อนให้เห็นถึงการเพิ่มขึ้นของจำนวนผู้สมัครงานที่พร้อมและยินดีที่จะมองหางานที่ต้องการทักษะด้านภาษาโดยเฉพาะ โดยภาษาอังกฤษยังคงเป็นภาษาที่ได้รับการค้นหามากที่สุดถึง 47% ซึ่งไม่ใช่เรื่องน่าแปลกใจ เนื่องจากภาษาอังกฤษถือเป็นภาษากลางที่มีความสำคัญในหลายอุตสาหกรรมทั่วโลก และเป็นปัจจัยสำคัญในตลาดแรงงานที่เชื่อมต่อถึงกันอย่างไร้พรมแดน

อย่างไรก็ตาม ภาษาจีน/แมนดาริน ได้รับการค้นหามากขึ้นอย่างเห็นได้ชัด โดยมีสัดส่วนถึง 33% ของคำค้นหาทั้งหมดในปี 2567 ความต้องการทักษะภาษาจีนจึงไม่เพียงแค่ในระดับธุรกิจเท่านั้น แต่ยังขยายไปถึงภาคการศึกษา เรียนรู้ภาษาเพิ่มเติม รวมไปถึงการเป็นส่วนสำคัญของการค้าระหว่างประเทศอีกด้วย

ภาษาญี่ปุ่นตามมาในอันดับที่ 19% ซึ่งแสดงให้เห็นว่าผู้สมัครยังคงให้ความสำคัญกับภาษาญี่ปุ่น เพื่อตอบสนองอุตสาหกรรมที่มีความเชี่ยวชาญด้านเทคโนโลยีและการผลิตจากประเทศญี่ปุ่น ขณะที่ภาษาต่าง ๆ เช่น เกาหลี รัสเซีย พม่า ฮินดี เวียดนาม ฝรั่งเศส เยอรมัน และอาหรับ มีสัดส่วนรวมกันที่ 1% ซึ่งสะท้อนถึงความหลากหลายของความพร้อมของทักษะภาษาในผู้สมัครงานในแต่ละอุตสาหกรรม

แนวโน้มนี้ชี้ให้เห็นว่าผู้ค้นหางานจำนวนมากกำลังให้ความสำคัญกับการใช้ ทักษะภาษาที่สองเป็นตัวช่วยในการเพิ่มโอกาสในตลาดแรงงาน และเปิดโอกาสการทำงานที่เกี่ยวข้องกับความสามารถทางภาษาโดยเฉพาะ สำหรับผู้ประกอบการ การเข้าใจและตอบสนองต่อความต้องการนี้สามารถช่วยดึงดูดผู้สมัครที่มีคุณภาพ และเพิ่มศักยภาพขององค์กรที่มีความหลากหลายทางวัฒนธรรมและภาษาได้อย่างมีประสิทธิภาพ

ข้อมูลคำค้นหานี้ไม่เพียงแค่เป็นข้อมูลที่สะท้อนความต้องการของตลาด แต่ยังเป็นเครื่องมือที่สำคัญสำหรับผู้ประกอบการในการสร้างประกาศรับสมัครงานที่สามารถดึงดูดผู้สมัครที่มีคุณภาพได้อย่างตรงจุด การระบุทักษะเฉพาะทางในประกาศรับสมัคร เช่น การเน้นทักษะด้านสายอาชีพ หรือการกำหนดทักษะด้านภาษาที่สองที่เป็นที่ต้องการ สามารถช่วยให้ผู้ประกอบการได้รับใบสมัครงานที่ตรงกับทักษะที่ต้องการได้ดีขึ้น รวมไปถึงผู้หางานที่สามารถนำมาปรับข้อมูลในเรซูเม่ของตนเอง ในการเพิ่มทักษะที่จำเป็นต่างๆ รวมทั้งทักษะทางภาษาให้มีความชัดเจนมากยิ่งขึ้น เพื่อเพิ่มโอกาสการค้นหางานอีกด้วย

คุณดวงพร พรหมอ่อน กรรมการผู้จัดการ บริษัท Jobsdb by SEEK ประเทศไทย กล่าวเสริมว่า “Jobsdb by SEEK ภูมิใจในบทบาทของการเป็นผู้นำทางความคิดในอุตสาหกรรมงาน โดยมุ่งเน้นการนำเสนอข้อมูลเชิงลึกที่มีคุณค่า และสามารถเปลี่ยนเป็นกลยุทธ์ที่ใช้ได้จริง เพื่อสร้างประกาศงานที่ตรงใจผู้สมัครมากขึ้น ในขณะเดียวกันยังเป็นแนวทางให้ผู้สมัครงานสามารถเตรียมตัวได้อย่างเหมาะสมและเพิ่มโอกาสสู่ความสำเร็จในสายอาชีพของพวกเขา”

 Jobsdb by SEEK หนึ่งในบริษัทภายใต้ SEEK แพลตฟอร์มหางานระดับสากลจากประเทศออสเตรเลีย เปิดกลยุทธ์แตกต่างแต่เข้าถึงให้กับผู้ประกอบการและผู้หางาน ผ่าน 3 กลยุทธ์ Better Matches - Better Experience - Better Advice พร้อมปลดล็อกประสบการณ์การสรรหาบุคลากรที่ดีกว่าเคยผ่าน AI ด้วย Unified แพลตฟอร์ม ของ SEEK ที่เชื่อมต่อกับผู้สมัครและผู้ประกอบการหลายล้านทั่วเอเชีย ณ “The Empire Residence” ชั้น 53 ตึกเอ็มไพร์ทาวเวอร์

หลังจากที่ Jobsdb by SEEK ได้เข้าร่วมกับ SEEK แพลตฟอร์มหางาน Tech Company ระดับโลกที่มีประสบการณ์มากกว่า 20 ปี จดทะเบียนในตลาดหลักทรัพย์ที่ประเทศออสเตรเลีย ในปี 2011 และครอบคลุมกว่า 8 ประเทศ ทั่วเอเชียแปซิฟิก ได้แก่ ออสเตรเลีย นิวซีแลนด์ ฮ่องกง ไทย ฟิลิปปินส์ อินโดนีเซีย มาเลเซียและสิงคโปร์ รวมถึงขยายกิจการไปยังแถบลาติน-อเมริกา ได้แก่ บราซิลและเม็กซิโก ซึ่งสามารถเชื่อมต่อกับผู้สมัครกว่า 40 ล้านคน และผู้ประกอบการกว่า 2.5 ล้านราย ในเอเชียแปซิฟิก รวมถึงเทคโนโลยีและมาตรฐานการทำงานที่เป็นสากล และเพื่อให้ทันยุคเทคโนโลยีดิจิทัลในปัจจุบัน SEEK ได้นำเอา Technology AI เข้ามาช่วยในการจับคู่งานและผู้หางานให้ลงตัวยิ่งขึ้น ภายใต้คำว่า “Better Matches”

ทำให้คนที่หางานได้พบงานที่ใช่ เหมาะสมกับความสามารถและความต้องการ ส่วนผู้ประกอบการสามารถหาผู้สมัครที่ตรงใจได้เร็วขึ้น

ซึ่งผ่านมากว่า 10 ปี กว่าจะเกิด Unification Program ของ SEEK ทั้งหมดเข้าด้วยกันนี้ นับจากที่ได้รวมเอา Jobsdb และ Jobstreet มาอยู่ภายใต้ SEEK และใช้เวลาในการพัฒนาเทคโนโลยีนี้ กว่า 3 ปี เงินลงทุนกว่า 4,220 ล้านบาท (หรือ 180 ล้าน ดอลล่าร์ออสเตรเลีย)

 

Mr. Lewis NG Chief Operating Officer, SEEK Asia (มร. ลูอิส เอิง กรรมการผู้อำนวยการฝ่ายปฏิบัติการ ซีค เอเชีย) เปิดเผยถึง การรวมแพลตฟอร์มนี้ว่า “สำหรับ SEEK ทุกสิ่งที่เราทำล้วนแล้วแต่เพื่อตอบโจทย์ความต้องการของลูกค้าในทุกแง่มุม การรวมเป็นแพลตฟอร์มเดียวกันได้ นั่นหมายถึงเราสามารถที่จะนำเสนอผลิตภัณฑ์สินค้าของเราไปสู่ประชาชนทั่วเอเชียหลายล้านคน ในรูปแบบใหม่ และนั่นจะทำให้ผู้ประกอบการสามารถค้นหางานและบุคลากรที่ตรงใจได้ง่าย สะดวกมากยิ่งขึ้น สิ่งนี้ทำให้ SEEK มีจุดยืนที่แข็งแกร่งขึ้นกว่าเดิมและเรายังได้บรรลุเป้าหมายในการช่วยเหลือผู้คนกว่า 500 ล้านคน ได้พัฒนาเส้นทางอาชีพของตนภายใต้องค์กรกว่า 5 ล้านแห่งในภูมิภาคนี้

 

คุณดวงพร พรหมอ่อน กรรมการผู้จัดการ Jobsdb by SEEK เผยว่า อัตราการจ้างงานในครึ่งแรกของปี 2024 มีโอกาสเติบโตมากขึ้นถึงร้อยละ 54 คาดการณ์จากค่าเฉลี่ยจำนวนของประกาศงานบนเว็บไซต์ Jobsdb ต่อเดือนที่สูงขึ้นร้อยละ 59 และผู้ประกอบการที่มีความต้องการที่จะจ้างงานเพิ่มขึ้นร้อยละ 6 จากข้อมูลของสำนักงานสถิติแห่งชาติแสดงให้เห็นว่าอัตราผู้ว่างงานในประเทศไทยต่ำที่สุด นับตั้งแต่ปี 2021 เป็นต้นมา ด้วยเหตุนี้จึงส่งผลต่ออัตราการซื้อพื้นที่เพื่อลงประกาศงานในแพลตฟอร์มจัดหางานเพิ่มขึ้นถึงร้อยละ 28 โดยผู้ประกอบการต่างมองหาวิธีจ้างงานได้อย่างรวดเร็วและถูกต้อง ด้านผู้สมัครงานก็มองหาวิธีที่ทำให้ตนเองโดดเด่นขึ้น ท่ามกลางการแข่งขันในตลาดแรงงานที่ดุเดือด

Jobsdb by SEEK เล็งเห็นความสำคัญในประเด็นนี้ จึงได้เปิดกลยุทธ์ทางการตลาดที่แตกต่างแต่เข้าถึงให้กับผู้ประกอบการและผู้หางาน ผ่าน 3 กลยุทธ์ ได้แก่ 1.Better Matches ช่วยจับคู่การจ้างงานให้ได้คนที่เหมาะสมอย่างง่ายและรวดเร็วด้วยความฉลาดของ AI ในการค้นหา แนะนำและช่วยการคัดเลือกผู้สมัครที่เหมาะสม 2.Better Experience การจ้างงานไร้รอยต่อทั่วเอเชียแปซิฟิก พร้อมเข้าถึงกว่า 40 ล้านคนที่

เป็นบุคลากรระดับเวิร์ลคลาส โดยผู้ประกอบการสามารถเพิ่มโอกาสในการค้นหาผู้หางานได้ทุกประเทศในเครือ SEEK 3.Better Advice กลยุทธ์เชิงรุกที่เพิ่มประสิทธิภาพในการสรรหาบุคลากรด้วยข้อมูลเชิงลึกจากการวิเคราะห์ของ SEEK ที่ช่วยให้เข้าถึงข้อมูลเกี่ยวกับประกาศงานและค่าใช้จ่าย เข้าใจ Demand และ Supply ของตำแหน่งงาน รวมถึงรายงานจากแบบสำรวจและคำแนะนำในการจ้างงานที่เป็นประโยชน์ ช่วยให้การสรรหาเป็นเรื่องง่ายและสามารถนำไปปรับให้เข้ากับกลยุทธ์การจ้างงาน

 

Mr. Neeraj Goswami Head of Product, SEEK (มร.นีราช กอสวามี ผู้อำนวยการฝ่ายผลิตภัณฑ์ระดับภูมิภาค) ซีค เผยว่า SEEK มี เป้าหมายที่จะยกระดับประสบการณ์การสรรหาและจ้างงานบุคลากรที่ต้องการให้ง่ายและรวดเร็วยิ่งขึ้น บนการรวมแพลตฟอร์มในครั้งนี้ด้วยเทคโนโลยี AI จาก SEEK ที่มีฐานข้อมูลครอบคลุมทั้งเอเชียแปซิฟิกตลอดระยะเวลากว่า 25 ปี พร้อมด้วยทีมงานมากกว่า 200 คน ที่ดูแลภาคพื้นเอเชียแปซิฟิกนี้ จึงนับเป็นประโยชน์ต่อ Jobsdb by SEEK อย่างมากโดยข้อมูลที่นำมาใช้งานยังได้มีการปรับปรุงให้เหมาะกับอินไซด์ของประเทศไทยด้วยเช่นกัน สำหรับ Unification Program ของ SEEK พร้อมแล้วที่จะให้คำแนะนำที่ล้ำกว่าเดิมสำหรับผู้ประกอบการ เพื่อเพิ่มคุณภาพในการสรรหาบุคลากรและเป็นต่อเหนือคู่แข่ง อาทิ การวิเคราะห์ข้อมูลที่อัปเดตผ่านแดชบอร์ด การเปรียบเทียบประสิทธิภาพของประกาศงานกับคู่แข่งและข้อมูลเชิงลึกเกี่ยวกับผู้สมัคร การให้คำแนะนำในการปรับปรุงประสิทธิภาพของประกาศงาน นอกจากนี้ระบบ Unification ยังได้เปิดให้บริการอีก 3 ส่วน ได้แก่ 1. AI Smarter Search ใช้ประโยชน์จากพฤติกรรมการค้นหาของผู้สมัครในอดีตเพื่อแสดงตำแหน่งงานที่เกี่ยวข้องมากขึ้นให้กับผู้สมัคร ซึ่งมีประสิทธิภาพเพิ่มขึ้นถึงร้อยละ 25 โดยการใช้ AI ร่วมกับข้อมูลเชิงลึกของตลาดและข้อมูลของ SEEK 2. ปรับปรุงโปรไฟล์ของผู้สมัครและเสริมเครื่องมือในการแนะนำเพื่อส่งผลลัพธ์ในการจับคู่ผู้สมัครกับงานที่ดีกว่าเดิม และ 3.คำถามสำหรับผู้สมัครงาน แนะนำโดย AI เพื่อคัดกรองผู้สมัครที่ใช่ได้ง่ายและรวดเร็วยิ่งขึ้น

การรวมกันของแพลตฟอร์มจาก SEEK ในครั้งนี้เป็นการช่วยแนะนำผู้สมัครที่ตรงความต้องการของผู้ประกอบการ ในขณะเดียวกัน เทคโนโลยี AI นี้ ยังช่วยให้ผู้สมัครที่มีคุณสมบัติตรงตามเนื้องานที่มีการเปิดรับอยู่สามารถมองเห็นโอกาสได้มากยิ่งขึ้น ด้วยการค้นหาโดยใช้ภาษาสนทนาที่ใกล้เคียงกับมนุษย์ได้อีกด้วย

จากสถานการณ์ปัจจุบันที่พบว่าในแต่ละองค์กรมีการแข่งขันเรื่องงานเพิ่มมากขึ้น อีกทั้งสถานการณ์บ้านเมืองต่างๆ ที่ยังคงไม่สงบนิ่ง อาทิ โรคระบาดโควิด – 19 ที่ยังไม่หมดไป หรือสภาพเศรษฐกิจของทั่วโลกที่ยังไม่ฟื้นตัว และบางองค์กรที่ต้องเร่งสร้างผลงานเพื่อให้พนักงาน องค์กรอยู่รอดและมั่นคง จึงทำให้พนักงานในองค์กรต้องคอยผลักดันตนเองอยู่ตลอดเวลา สิ่งเหล่านี้อาจทำให้เกิดความเหนื่อยล้าจากการทำงานได้มากขึ้นและกลายเป็น ภาวะหมดไฟในการทำงาน หรือ Burnout Syndrome ในที่สุด ซึ่งภาวะหมดไฟในการทำงาน มาจากความเครียดสะสมในการทำงานหนักอย่างต่อเนื่อง จากการพักผ่อนไม่เพียงพอ ซึ่งบางรายอาจกลายเป็นคนมีทัศนคติค่อนข้างเป็นเชิงลบต่อการทำงานของตนเอง หรือขาดความเชื่อมั่นในตนเองไปในที่สุด ส่งผลต่อประสิทธิภาพของพนักงานของแต่ละองค์กรมากขึ้นเรื่อยๆ

จากภาวะ Burnout ที่มีทิศทางสูงขึ้นเรื่อยๆ นี้ ทาง JobsDB by SEEK แพลตฟอร์มหางานชั้นนำของเอเชีย ภายใต้กลุ่มบริษัท SEEK (ซีค) จึงเล็งเห็นถึงความเร่งด่วนที่ทุกองค์กรต้องหันมาสนใจในสุขภาพของพนักงานและป้องกันก่อนที่จะเกิดภาวะหมดไฟแก่พนักงานในองค์กร จึงได้จัดงานสัมมนาออนไลน์ seekTALKS “ช่วยองค์กรรับมือกับภาวะ Burnout ของพนักงาน”

 

คุณดวงพร พรหมอ่อน กรรมการผู้จัดการ JobsDB Thailand ( บริษัท จ๊อบส์ ดีบี ประเทศไทย จำกัด) กล่าวว่า “ภาวะหมดไฟในการทำงาน หรือ Burnout คือภาวะการเปลี่ยนแปลงทางด้านจิตใจที่เป็นผลมาจากความเครียดเรื้อรังในที่ทำงานและไม่ได้รับการจัดการอย่างมีประสิทธิภาพ ในฐานะพันธมิตรการจ้างงานที่ผู้ประกอบการไว้วางใจ JobsDB by SEEK ได้เล็งเห็นปัญหาเหล่านี้มาจากการสำรวจความคิดเห็นจากผู้สมัครงานและฝ่ายทรัพยากรบุคคลที่

ค้นหาผู้สมัครงาน จึงได้จัดงาน seekTALKS สัมมนาออนไลน์ร่วมมือกับสถาบันชั้นนำต่างๆ ในประเทศ ภายใต้แนวคิด “ก้าวไปข้างหน้าด้วยกัน” เพื่อช่วยให้ผู้ประกอบการและองค์กรเข้าใจถึงสถานการณ์การจ้างงานที่เปลี่ยนแปลงไป เรียนรู้ และนำไปพัฒนาองค์กรทั้งในปัจจุบันและอนาคต ผ่านผู้นำทางความคิดที่มาแบ่งปันความรู้และประสบการณ์ อาทิ เรียนรู้เพื่อนำไปปรับปรุง กลยุทธ์ วางแผน และพัฒนาองค์กร การศึกษาจากผู้เชี่ยวชาญ ที่พร้อมแชร์ประสบการณ์และกรณีศึกษาที่สามารถนำไปใช้ได้จริง ซึ่งการสร้างความสัมพันธ์ระหว่างองค์กร และพนักงาน จะเป็นอีกหนึ่งหัวใจสำคัญที่องค์กรควรผลักดัน เพื่อให้พนักงานมีส่วนร่วมกับการทำงานและมีใจรักในการทำงาน ที่จะเสริมสร้างผลลัพธ์ให้กับองค์กรแบบยั่งยืน”

โดยล่าสุดได้รับเกียรติจากหัวหน้าศูนย์วิจัยวิทยาศาสตร์จิตวิทยาตะวันตก-ตะวันออก และประธานแขนงวิชาจิตวิทยาอุตสาหกรรมและองค์การจุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย ร่วมเป็นวิทยากรบรรยายในหัวข้อ “ช่วยองค์กรรับมือกับภาวะ Burnout ของพนักงาน” ที่กำลังเป็นกระแสแรงอยู่ในขณะนี้ ไปเมื่อวันที่ 21 กรกฎาคมที่ผ่านมา โดยมีผู้ประกอบการสนใจเข้าร่วมฟังสัมมนากว่า 700 คน ผ่านทางระบบซูม

อาจารย์ ดร.เจนนิเฟอร์ ชวโนวานิช หัวหน้าศูนย์วิจัยวิทยาศาสตร์จิตวิทยาตะวันตก-ตะวันออก และประธานแขนงวิชาจิตวิทยาอุตสาหกรรมและองค์การ จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย กล่าวว่า “ภาวะหมดไฟในการทำงาน เป็นสิ่งที่พนักงานหลายคนในยุคนี้ต้องเผชิญแบบที่รู้ตัวและไม่รู้ตัว ซึ่งเป็นผลมาจากความเครียดสะสมเรื้อรังจากการทำงาน ทำให้เกิดความรู้สึกเบื่อหน่าย หดหู่ ซึมเศร้า หงุดหงิดง่าย อารมณ์แปรปรวน และขาดแรงจูงใจในการทำงาน แม้ว่าอาการของโรคนี้จะไม่รุนแรงมากนัก แต่ถ้าหากปล่อยไว้สะสมนานจนเกินไป อาจเสี่ยงต่อการเป็นโรคซึมเศร้าได้ ซึ่งปัญหาเหล่านี้จึงเป็นสิ่งที่องค์กรไม่ควรละเลย และต้องเข้ามาร่วมแก้ไขปัญหาอย่างจริงจังกับระบบการทำงานที่อาจทำให้พนักงานเกิดความเหนื่อยล้าสะสมจนเกิดเป็นภาวะหมดไฟที่กระทบกับสภาพจิตใจของคนทำงาน”

 

ในส่วนของความเครียด สามารถแบ่งออกได้ 3 ระดับ คือ 1.ความเครียดในระดับน้อยหรือปานกลาง ซึ่งเกิดขึ้นชั่วคราวในการทำงาน ความเครียดแบบนี้เป็นสิ่งที่ดีเพราะจะทำให้ทุกคนตื่นตัว หรือมีไฟในการทำงาน 2.ความเครียดใน

ระดับที่มากขึ้น เกิดขึ้นนานในช่วงเวลาหนึ่ง เมื่อพนักงานมีความเครียดแบบนี้ ทุกคนต้องมองหาการสนับสนุน 3.ความเครียดในระดับที่มากเป็นระยะเวลานาน จนส่งผลกระทบต่อร่างกาย ซึ่งความเครียดในระดับนี้จะทำให้ทุกคนเข้าสู่ภาวะหมดไฟนั่นเอง โดยเนื้อหาในการสัมมนาได้กล่าวถึง องค์ประกอบและปัจจัยที่สามารถให้องค์กรสามารถช่วยปลดล็อคให้กับพนักงานในภาวะหมดไฟได้อย่างมีประสิทธิภาพ เมื่อพนักงานเข้าสู่ภาวะหมดไฟ การช่วยเหลือพนักงานควรมีโปรแกรมการลดภาวะหมดไฟอย่างต่อเนื่อง ได้แก่ โปรแกรม CBT บำบัดผ่านการเปลี่ยนแปลงทางความคิดและพฤติกรรม โดยนักจิตบำบัด ต้องทำต่อเนื่อง 2 เดือน โดยให้พนักงานลองไปฝึกได้ใช้จนกลายเป็นนิสัย, โปรแกรมการฝึกสติ อาจจะใช้เวลา 3 เดือนเป็นต้นไป, โปรแกรมการรับมือกับความเครียด จะต้องมีการเช็กอัพว่าสามารถนำไปใช้ได้บ้าง เพื่อให้เกิดการปรับพฤติกรรมไปเรื่อยๆ, โปรแกรมการออกกำลังกาย ใช้ให้การบัตรกำนัล หรือทำกิจกรรม เล่นฟุตบอลหลังเลิกงาน ตีแบตมินตัน อาทิตย์ละ 2 ครั้ง ทำจนชินเป็นนิสัย, โปรแกรมซาบซึ้ง เช่น ในทุกกิจกรรมที่พบเจอ ใช้เวลา 5 นาที แลกเปลี่ยนว่ามีเรื่องดีๆ อะไรเกิดขึ้นบ้าง หรือการขอบคุณคนในทีมทุกๆ ครั้งที่มีกิจกรรม, และโปรแกรม EAP (Employee assistance program) การช่วยเหลือพนักงาน โดยให้คำปรึกษาทางจิตวิทยาครอบคลุมทุกปัญหา เช่น เรื่องส่วนตัว สุขภาพ รูปแบบ in-house หรือภายใน

นอกจากการช่วยเหลือพนักงานหมดไฟแล้ว สิ่งที่จะช่วยให้พนักงานยังมั่นคงอยู่และยังดึงดูดพนักงานใหม่ สามารถทำได้ดังนี้ 1.มีนโยบายไม่ต้องตอบงานนอกเวลา การกำหนดอย่างชัดเจนว่าหลังเวลางาน พนักงานไม่จำเป็นต้องตอบเรื่องงาน และจะไม่มีผลต่อการประเมิน ซึ่งเป็นสิ่งที่พนักงานหลายที่ต้องการ แต่สิ่งเหล่านี้เป็นเรื่องละเอียดอ่อนจึงต้องต้องเป็นเรื่องการตกลงภายในบริษัท 2.คำนึงถึงความยืดหยุ่นในการทำงาน ด้านเวลา พนักงานสามารถเลือกเวลาเข้าออกได้เอง, ด้านสถานที่ พนักงานสามารถทำงานที่ไหนก็ได้ 3.สนับสนุนให้พนักงานได้พักผ่อน บริษัทสามารถสร้างนวัตกรรมในการใช้วันลา ‘อย่างสบายใจ’ โดยทุกคนสามารถออกแบบเวลาพักเบรกได้ และบริษัทฯ ยังคงให้สวัสดิการเกี่ยวกับสุขภาพกายและจิตใจได้ 4.สร้างบรรยากาศในที่ทำงานที่ส่งเสริมสุขภาพจิต คือการสร้างพื้นที่ที่ทำงานสำหรับทุกคนให้สามารถมีส่วนร่วมได้ เช่น นโยบาย DE&I ที่สามารถพาลูกมาที่ทำงานได้ เป็นต้น 5.สร้างความเคารพ และมีส่วนร่วม สถานที่ทำงานควรเป็นที่ปลอดภัยทางจิตใจ สามารถแสดงความเห็นได้ พร้อมยังส่งเสริมให้คนทำงานมีความสุข สุขภาพจิตที่ดีในการทำงาน 6.พนักงานมีความต้องการและจำเป็นหลากหลาย การออกแบบการทำงาน การสื่อสาร สวัสดิการ การอบรมที่สามารถตอบโจทย์ความต้องการหรือตัวตนของพนักงาน ความหลากหลายเหล่านี้ เป็นสิ่งที่ HR ต้องคำนึง และสิ่งสำคัญคือการใช้ประโยชน์จากข้อมูลที่เก็บจากพนักงาน สำรวจความรู้จัก ความต้องการเป็นประจำ

ทั้งนี้ อาจารย์ ดร.เจนนิเฟอร์ยังได้กล่าวเสริมอีกว่า “องค์กรควรจะใส่ใจพนักงาน พร้อมหมั่นสังเกตว่า หากพบพนักงานมีแนวโน้มที่จะรู้สึกหมดไฟในการทำงาน ทั้งหมดใจหรือหมดไฟ การเข้าไปช่วยเหลือและให้คำปรึกษาทันที ตามแนวทางที่เหมาะสม หรือการที่พนักงานจะเข้าไปพูดคุยกับคนรอบข้างที่ไว้ใจและเข้าใจจะช่วยบรรเทาอาการของภาวะ Burnout Syndrome ได้ และสิ่งสำคัญสำหรับพนักงานเมื่อต้องเผชิญกับภาวะหมดไฟในการทำงาน การหยุดพักผ่อน ให้เวลาตัวเองได้จัดการกับความเครียดที่เกิดขึ้น ไม่ว่าจะเป็นทางร่างกาย อารมณ์ จิตใจ เพื่อปรับสมดุลชีวิตให้กลับสู่ภาวะปกติ และหา Work Life Balance ในการทำงาน ก็จะเป็นการผ่อนคลายและช่วยป้องกันภาวะ Burnout Syndrome ไม่ให้กลับมากวนใจในชีวิตได้อีก เพราะทุกคนมีส่วนร่วมในการสร้างบรรยากาศที่ส่งเสริมความสุขได้ค่ะ”

“สำหรับกิจกรรมสัมมนาออนไลน์ seekTALKS ภายใต้แนวคิด “ก้าวไปข้างหน้าด้วยกัน” เราจัดเป็นประจำทุกเดือน โดยหัวข้อก็จะสลับเปลี่ยนไปตามประเด็นที่น่าสนใจในช่วงนั้น วัตถุประสงค์ก็เพื่อช่วยให้ผู้ประกอบการ พาร์ทเนอร์และองค์กร ได้นำองค์ความรู้เหล่านี้ไปพัฒนาองค์กรทั้งในปัจจุบันและอนาคตได้ หากบริษัทไหนที่สนใจ ก็สามารถเข้าร่วมกิจกรรมได้ หรือสามารถติดต่อได้ที่ https://th.jobsdb.com/ ค่ะ” คุณดวงพร กล่าวปิดท้าย

X

Right Click

No right click