December 04, 2024

 

 

บริษัท เอ็นทีที เดต้า (ประเทศไทย) จำกัด ภายใต้เครือบริษัท เอ็นทีที เดต้า คอร์ปอเรชัน จำกัด ผู้นำด้านธุรกิจดิจิทัลและบริการด้านไอทีชั้นนำระดับโลก ลงนามความร่วมมือกับมหาวิทยาลัยบูรพา คลอดโครงการ NTT DATA Critical Resource Preparation เดินหน้าสร้างบุคลากรไอทีคุณภาพป้อนตลาดงาน นำร่องเร่งบ่มเพาะบุคลากร COBOL ป้อนเข้าตลาด หลังเริ่มประสบปัญหาขาดแคลน เผยกว่า 70% ขององค์กรขนาดใหญ่ยังใช้ภาษา COBOL โดยเฉพาะอุตสาหกรรมธนาคารและการเงิน ประกัน กองทุน โรงแรม โรงพยาบาล ที่มีการขยายธุรกิจต่อเนื่อง สวนทางกับจำนวน COBOL Programmer ที่เริ่มขาดแคลนมีจำนวนลดลง เผยผู้เชี่ยวชาญด้านภาษา COBOL ทั่วโลกมีอายุเฉลี่ย 55 ปี และมีเพียง 30% มหาวิทยาลัยทั่วโลกที่เปิดสอนหลักสูตร เอ็นทีที เดต้าพร้อมพัฒนาบุคคลากรด้าน COBOL เล็งสนับสนุนพัฒนาด้านไอทีด้านอื่นป้อนตลาดแรงงานในปัจจุบันและอนาคต

NTT Ltd., ผู้ให้บริการเทคโนโลยีชั้นนำระดับโลก เผยถึงการคาดการณ์แนวโน้มเทคโนโลยีปี 2020 ใน Future Disrupted : 2020  โดยชี้แนวโน้ม 6 เทคโนโลยีสำคัญช่วยพัฒนาธุรกิจ สอดรับการพลิกโฉมและยกระดับธุรกิจสู่ยุคดิจิทัล

โดยแนวโน้มเทคโนโลยีที่สำคัญทั้ง 6 ด้าน ประกอบด้วย

เทคโนโลยีด้าน Disruptive (Disruptive Technologies)

การรักษาความปลอดภัยบนโลกไซเบอร์ (Cybersecurity)

รูปแบบสถานที่ทำงาน (Workplace)

โครงสร้างพื้นฐาน (Infrastructure)

ธุรกิจ (Business)

และการบริการด้านเทคโนโลยี (Technology Services)

Ettienne Reinecke ประธานเจ้าหน้าที่ฝ่ายเทคโนโลยี บริษัท NTT Ltd. คาดการณ์ว่า "การใช้เทคโนโลยีด้าน Disruptive ( disruptive technologies ) ที่จะเกิดเป็นกระแสหลักในปี 2020 โดยจะเป็นการผสมผสานระหว่างข้อมูล ระบบอัตโนมัติ และ IoT (Internet of Things) เข้าด้วยกันเพื่อสร้างการเชื่อมต่อของเมืองและสังคมให้เชื่อมโยงถึงกัน"

เอ็นทีที ยังคาดการณ์ว่า ในปี 2020 หลายสิ่งหลายอย่างที่เคยกล่าวถึงในช่วงทศวรรษที่ผ่านมา จะมีการเชื่อมต่อกันเพื่อนำไปสู่การสร้างเมืองอัจฉริยะที่มีความชาญฉลาด รวมทั้งสร้างสภาพแวดล้อมการทำงาน และธุรกิจยุคใหม่ที่เชื่องโยงถึงกันบนพื้นฐานของความปลอดภัย

ทั้งนี้ ระบบข้อมูล เทคโนโลยีด้าน  AI (Artificial Intelligence) และระบบรักษาความปลอดภัยที่ได้รับการออกแบบมาโดยตรง จะเป็นหัวใจที่ช่วยเพิ่มขีดความสามารถของอุปกรณ์ต่างๆ ให้เชื่อมโยงและสื่อสารข้อมูลถึงกันได้ด้วยตัวเอง โดยปราศจากการควบคุมของมนุษย์ เมืองอัจฉริยะและการใช้ IoT จะกลายเป็นบรรทัดฐานในการปรับปรุงประสิทธิภาพ สร้างการเติบโต และพัฒนานวัตกรรมในทุกภูมิภาค

ที่ผ่านมา เอ็นทีที มีการควบรวมบริษัทต่างๆ ในเครือ ให้อยู่ภายใต้แบรนด์ NTT Ltd. ปัจจุบัน  NTT Ltd. มีพนักงาน 40,000 คนจาก 31 แบรนด์ ซึ่งรวมทั้งบริษัท  NTT Communications บริษัท Dimension Data และบริษัท NTT Security เพื่อให้บริการลูกค้ากว่า 10,000 รายทั่วโลก

การใช้ข้อมูลเชิงลึกที่รวบรวมจากฐานลูกค้าทั่วโลก ทำให้เอ็นทีทีสามารถคาดการณ์อนาคตเพื่อสร้างสรรค์โซลูชั่นด้านเทคโนโลยีอัจฉริยะที่มีประสิทธิภาพสูงสุดให้กับลูกค้า ทั้งนี้ รายงานการคาดการณ์แนวโน้มเทคโนโลยีปี 2020 ใน Future Disrupted : 2020 จะช่วยให้องค์กรธุรกิจและอุตสาหกรรมเห็นทิศทางและแนวทางที่จำเป็นเพื่อเตรียมพร้อมรับมือกับการเปลี่ยนแปลงที่จะเกิดขึ้นตลอดปี 2020

          “ที่ผ่านมา หลายอุตสาหกรรมมักพูดถึงเทคโนโลยีต่างๆ ทั้งระบบคลาวด์ ข้อมูล เทคโนโลยีเอไอ และระบบความปลอดภัยในมุมที่แตกต่างกันอย่างสิ้นเชิง แต่ปีหน้าสิ่งเหล่านี้จะเปลี่ยนไป โดยเราจะเห็นการใช้งานระบบคอมพิวเตอร์มีการประมวลผลอย่างสมบูรณ์แบบ เพื่อนำไปสู่การสร้างสภาพแวดล้อมใหม่ ที่มีความเป็นอัจฉริยะมากขึ้น มีการเชื่อมต่อกันอย่างสมบูรณ์ ซึ่งการเปลี่ยนแปลงนี้จะส่งผลกระทบครั้งใหญ่ต่อการดำเนินชีวิตของผู้คนในสังคม" Ettienne Reinecke กล่าว

Reinecke กล่าวต่อว่า ในปี 2020 เมืองและสังคมต่างๆ ทั่วโลกจะเริ่มเดินตามรอยการพัฒนาเมืองของลาสเวกัส ซึ่งได้กลายเป็นต้นแบบของเมืองอัจฉริยะที่มีการแบ่งปันข้อมูลระหว่างภูมิภาค และสร้างการรับรู้สถานการณ์ต่างๆ ผ่านเทคโนโลยีในรูปแบบวิดีโอและเสียงด้วยการใช้เทคโนโลยี IoT บนโครงสร้างพื้นฐานที่มีความปลอดภัย ลาสเวกัสได้พัฒนาเมืองให้มีสภาพแวดล้อมที่ปลอดภัยต่อการอยู่อาศัย มีการปรับปรุงสภาพความเป็นอยู่ เพื่อไปสู่เป้าหมายของการมีชีวิตที่ยืนยาว ซึ่งการพัฒนาโครงการเมืองอัจฉริยะ จำเป็นต้องอาศัยการผสมผสานเทคโนโลยีที่หลากหลาย เพื่อสร้างสภาพแวดล้อมที่เชื่อมต่อกันอย่างสมบูรณ์ โดยเรามองว่าการพัฒนาเมืองในรูปแบบดังกล่าวจะเป็นเป้าหมายสำคัญในการพัฒนาเทคโนโลยีในปีหน้า

รายงานการคาดการณ์ Future Disrupted : 2020 จัดทำและรวบรวมขึ้นโดยผู้เชี่ยวชาญของเอ็นทีที โดยได้ระบุแนวโน้มสำคัญใน 12 เดือนข้างหน้า รวมถึงเทคโนโลยีที่จะเข้ามามีบทบาทในอนาคต และขั้นตอนต่างๆ ที่ธุรกิจสามารถนำไปใช้เพื่อสร้างให้เกิดประโยชน์ตลอดปี 2020

แม้เทคโนโลยีมีการเปลี่ยนแปลงอย่างรวดเร็ว แต่ช่วงที่ผ่านมากลับเป็นการเปลี่ยนแปลงที่ค่อนข้างช้ากว่าที่เคยเป็นมา ซึ่งชี้ให้เห็นชัดว่า เรายังไม่มีเทคโนโลยีที่มีประสิทธิภาพเพียงพอที่ช่วยแก้ปัญหาในสังคม ธุรกิจ หรือในชุมชน ฉะนั้นยังมีโอกาสอีกมากที่เราจะใช้เทคโนโลยีหรือเครื่องมือต่างๆ เพื่อสนับสนุนการริเริ่มสร้างนวัตกรรมในหลากหลายสาขา เพื่อนำไปสู่การเปลี่ยนแปลงที่ดีขึ้นในอนาคต

เทคโนโลยีสำคัญที่เอ็นทีทีคาดว่าจะมีบทบาทในอนาคต ประกอบด้วย

  1. Digital Twining : เทคโนโลยีการสร้างแบบจำลองเสมือน โดยอาศัยข้อมูล (datapoints) ที่เพียงพอ เพื่อสร้างแบบจำลองที่มีรูปแบบพฤติกรรมและความเข้าใจใกล้เคียงกับต้นแบบจริงเพื่อให้ได้ผลแม่นยำและรวดเร็วขึ้น
  2. การสร้างความไว้วางใจผ่านการโต้ตอบบนระบบดิจิตอล (Building trust through digital interactions) : เมื่อ AI ได้รับการพัฒนาขึ้น ธุรกิจสามารถปรับปรุงรูปแบบการสร้างความสัมพันธ์กับลูกค้าให้มีความใกล้ชิดมากขึ้น จากเพียงการให้บริการเชิงธุรกรรมเพียงอย่างเดียว ไปสู่การสร้างระบบที่สามารถดูแลลูกค้าเพื่อสร้างความไว้วางใจให้แก่ลูกค้ามากยิ่งขึ้น
  3. การสร้าง Phygital Space (Immersive, responsive ‘phygital’ spaces) ซึ่งเป็นการผสมผสานระหว่างโลกดิจิทัล (Digital) และโลกกายภาพ (Physical) โดยอาศัยพื้นที่ทางกายภาพ เช่น ห้องประชุม สำนักงาน หรือร้านค้า ติดตั้งเทคโนโลยีที่จำเป็นเพื่อสร้างสภาพแวดล้อมเสมือนจริงให้ผู้ใช้เกิดประสบการณ์ที่หลากหลาย
  4. อาคารอัจฉริยะ (Smart Buildings) ที่ใช้ IoT เพื่อให้ผู้อยู่อาศัยมีความสะดวกสบายและยั่งยืนมากขึ้น โดยอาคารอัจฉริยะสามารถปรับอุณหภูมิให้เหมาะสมกับจำนวนผู้คนในอาคาร หรือปรับแสงสว่างให้เหมาะสมกับแต่ละช่วงเวลาของวันโดยอัตโนมัติ
  5. Data Wallets เทคโนโลยีการเก็บข้อมูลส่วนบุคคลที่ข้อมูลนั้นๆ จะอยู่ที่เจ้าของข้อมูลอย่างปลอดภัย โดยผู้อื่นไม่สามารถเข้าถึงข้อมูลนั้นได้หากไม่ได้รับอนุญาต และหากเจ้าของข้อมูลถูกคุกคาม ข้อมูลนั้นจะถูกล็อคและไม่สามารถเข้าถึงได้

รายละเอียดเกี่ยวกับแนวโน้มเทคโนโลยีในปี 2020 สามารถอ่านเพิ่มเติมได้ที่ dedicated Future Disrupted page

X

Right Click

No right click