December 05, 2025

สำนักงานคณะกรรมการกำกับและส่งเสริมการประกอบธุรกิจประกันภัย (สำนักงาน คปภ.) เดินหน้าสร้าง “วัฒนธรรมแห่งการให้ที่ยั่งยืน” ผ่านกิจกรรม “รวมพลังประกันภัย ให้โลหิต ครั้งที่ 3 ประจำปี 2568” โดยเชิญชวนผู้บริหาร พนักงาน ตลอดจนภาคอุตสาหกรรมประกันภัย ร่วมเป็น “ผู้ให้” ด้วยการบริจาคโลหิต ซึ่งนับเป็นการให้ที่ทรงคุณค่าและช่วยต่อชีวิตของผู้อื่น

กิจกรรมครั้งนี้จัดขึ้น ณ ห้องประชุมชั้น 1 สถาบันวิทยาการประกันภัยระดับสูง สำนักงาน คปภ. ถนนรัชดาภิเษก โดยมีผู้เข้าร่วมบริจาคกว่า 100 คน สามารถรวบรวมโลหิตได้ 94 ยูนิต หรือประมาณ 37,950 ซีซี ซึ่งทั้งหมดจะถูกส่งมอบให้ศูนย์บริการโลหิตแห่งชาติ สภากาชาดไทย เพื่อนำไปสำรองไว้ใช้รักษาผู้ป่วยทั่วประเทศ

ทั้งนี้ การจัดกิจกรรมดังกล่าวเป็นส่วนหนึ่งของโครงการ “รวมพลังประกันภัยให้โลหิต” ปีที่ 2 (ประจำปี 2568) ซึ่งตั้งเป้าหมายการรวบรวมโลหิตให้ครบ 10 ล้านซีซี ภายในสิ้นปี เพื่อสนับสนุนให้ประเทศมีปริมาณโลหิตเพียงพอต่อการรักษาพยาบาลผู้ป่วยที่ต้องการความช่วยเหลือ โดยกิจกรรมนี้นับเป็นอีกหนึ่งโครงการสำคัญที่ภาคอุตสาหกรรมประกันภัยได้ร่วมกันขับเคลื่อนอย่างต่อเนื่อง สะท้อนถึงความมุ่งมั่นในการคืนคุณค่าสู่สังคม ตลอดจนการส่งต่อความห่วงใยและการแบ่งปันแก่เพื่อนมนุษย์ เพราะทุกหยดโลหิตจากคุณ คือพลังที่สามารถต่อชีวิตและสร้างความหวังให้ใครอีกหลายคนบนโลกใบนี้

อย่างไรก็ตาม สำนักงาน คปภ. ยังคงเดินหน้าสานต่อกิจกรรมเพื่อสังคมอย่างไม่หยุดยั้ง โดยกำหนดจัดกิจกรรม “รวมพลังประกันภัยให้โลหิต ครั้งที่ 4” ขึ้นในวันที่ 22 ธันวาคม 2568 เพื่อเปิดโอกาสให้ทุกคนได้ร่วมสร้าง “พลังแห่งการให้” อันยิ่งใหญ่อีกครั้ง และร่วมเป็นส่วนหนึ่งในการเปลี่ยนชีวิตของผู้ป่วยให้เดินต่อไปได้

สำนักงานคณะกรรมการกำกับและส่งเสริมการประกอบธุรกิจประกันภัย (สำนักงาน คปภ.) เดินหน้ายกระดับกระบวนการตรวจสอบธุรกิจประกันภัยให้มีประสิทธิภาพและทันสมัย เปิดตัวโครงการพัฒนาระบบสารสนเทศเพื่อรองรับการตรวจสอบบริษัทประกันภัย (Onsite Examination System : OES) ซึ่งถือเป็นอีกก้าวสำคัญภายใต้นโยบาย Digital Transformation ขององค์กรในการพัฒนาเครื่องมือเพื่อเพิ่มประสิทธิภาพกระบวนการปฏิบัติงานตรวจสอบแบบครบวงจร รองรับในส่วนของการวิเคราะห์ข้อมูลความเสี่ยงของบริษัทเชิงลึกอย่างเป็นระบบสำหรับการวางแผนการตรวจสอบ การประเมินระดับความเสี่ยงรวม และการติดตามรายงานผลการแก้ไข รวมทั้งการใช้มาตรการแทรกแซงต่าง ๆ ทำให้การตรวจสอบและกำกับดูแลอุตสาหกรรมประกันภัยมีความยืดหยุ่นภายใต้การตรวจสอบที่เป็นมาตรฐานเดียวกันทั้งระบบ ที่สามารถสะท้อนตามความเสี่ยง ขนาด และความซับซ้อนของการดำเนินงานของบริษัท

นายอดิศร พิพัฒน์วรพงศ์ รองเลขาธิการ ด้านกฎหมายและตรวจสอบเปิดเผยว่า ระบบตรวจสอบบริษัทประกันภัยในรูปแบบดิจิทัล หรือ OES ดังกล่าว สำนักงาน คปภ. ได้มอบหมายให้สายตรวจสอบ โดยนายโสรัจจ์ แรกสกุลชัย ผู้ช่วยเลขาธิการ สายตรวจสอบ พัฒนาขึ้น โดย OES จะช่วยเพิ่มประสิทธิภาพให้การปฏิบัติงานตรวจสอบในมิติของการวิเคราะห์ข้อมูลความเสี่ยงและการประเมินความเสี่ยง รวมการประเมินประสิทธิภาพและความเพียงพอของการควบคุมภายใน การติดตามผลการรายงานการบริหารความเสี่ยงของบริษัทประกันภัย รวมถึงการวางแผนการตรวจสอบมีความรวดเร็ว แม่นยำ และทันต่อสถานการณ์มากขึ้น โดยระบบ OES ได้ถูกออกแบบให้รองรับการทำงานแบบบูรณาการผ่านการเชื่อมโยงข้อมูลในลักษณะศูนย์กลาง (Centralized Data Platform) ทั้งระหว่างหน่วยงานภายในสำนักงาน คปภ. และภาคธุรกิจประกันภัยที่สามารถเข้าถึงร่วมกันได้อย่างปลอดภัย อันเป็นการช่วยลดความซับซ้อนของข้อมูล

นอกจากนี้ ยังสามารถรองรับการปฏิบัติงานตรวจสอบ การจัดทำแบบประเมินความเสี่ยงและประเมินประสิทธิภาพในการบริหารความเสี่ยง การควบคุมภายใน รวมถึงการประเมินการปฏิบัติตามกฎหมายสำหรับบริษัทประกันภัยในทุกกระบวนการ โดยบริษัทประกันภัยสามารถทำแบบประเมินความเสี่ยงต่าง ๆ ได้ผ่านระบบออนไลน์ รวมถึงสนับสนุนและรองรับการวางแผนการตรวจสอบของสำนักงาน คปภ. โดยข้อมูลที่ได้รับจากการจัดทำแบบประเมินและจากการเชื่อมโยงข้อมูลผ่านระบบต่างๆ จะถูกนำมาวิเคราะห์ความเสี่ยงและกำหนดแผนการตรวจสอบได้อย่างตรงจุดและรวดเร็วขึ้น รองรับการสั่งการ การกำหนดมาตรการแทรกแซง รวมถึงติดตามประเด็นความเสี่ยงที่ต้องแก้ไขและติดตามความคืบหน้าของการแก้ไขปัญหาจากผลตรวจสอบได้แบบ Realtime นอกจากนี้ ยังพัฒนาให้มีการนำเทคโนโลยี AI มาช่วยอ่านรายงาน วิเคราะห์แบบฟอร์มติดตาม Top 10 Risks ของแต่ละบริษัท วิเคราะห์ข้อมูลธุรกิจและรายงานผลการตรวจสอบ เพื่อตรวจจับประเด็นและสัญญาณความเสี่ยงต่าง ๆ ก่อนที่ปัญหาจะเกิดขึ้นหรือปัญหาลุกลามบานปลาย

รองเลขาธิการ ด้านกฎหมายและตรวจสอบ กล่าวเพิ่มเติมว่า ระบบ OES เป็นการเดินหน้าขับเคลื่อนองค์กรสู่ยุคดิจิทัล และยกระดับคุณภาพการกำกับธุรกิจประกันภัยไปอีกก้าว โดยใช้เครื่องมือการตรวจสอบยุคใหม่ ด้วยเทคโนโลยีที่ทันสมัย มาสนับสนุนและเพิ่มประสิทธิภาพการตรวจสอบตามแนวทาง Risk - Based Supervision ที่สามารถรองรับกระบวนการปฏิบัติงานตรวจสอบ ทั้งในส่วนบริษัทประกันชีวิตและประกันวินาศภัย ซึ่งระบบดังกล่าวจะเริ่มใช้งานจริงในช่วงปี 2569 ขณะเดียวกันภาคธุรกิจประกันภัยต้องเตรียมความพร้อมและปรับตัวเพื่อรองรับการทำงานในอนาคต เช่น การบริหารจัดการข้อมูล ( Data Management) ให้สามารถเชื่อมโยงกับแพลตฟอร์ม OES และเข้าถึงการใช้งานได้อย่างถูกต้องและปลอดภัย รวมถึงพัฒนาและเตรียมความพร้อมด้านบุคลากร เพื่อรองรับกระบวนการปฏิบัติงานตรวจสอบในรูปแบบดิจิทัลร่วมกับสำนักงาน คปภ. โดยสำนักงาน คปภ. เชื่อมั่นว่า ระบบดังกล่าว ไม่เพียงแต่จะเพิ่มประสิทธิภาพในการตรวจสอบอย่างเข้มข้น หากแต่ยังมีการติดตามสถานการณ์และมีข้อมูลสำหรับการตัดสินใจได้อย่างแม่นยำมากขึ้น สามารถป้องกันความเสี่ยงเชิงระบบ ช่วยเสริมสร้างและเพิ่มความเชื่อมั่นให้กับประชาชน พร้อมทั้งยกระดับคุณภาพของการตรวจสอบในทุกมิติ ให้ทันสมัย และมีประสิทธิภาพในระดับสากล

สำนักงาน คปภ. ให้การต้อนรับผู้แทนธนาคารแห่งประเทศไทย ในการเข้าหารือแนวทางการดำเนินคดีกับบุคคลหรือบริษัทที่ไม่ได้รับอนุญาตให้ประกอบธุรกิจ เพื่อไปปรับใช้กับกรณีผู้กระทำการเป็นธนาคารที่ไม่ได้รับอนุญาต

สำนักงาน คปภ. โดยนายอดิศร พิพัฒน์วรพงศ์ รองเลขาธิการ ด้านกฎหมายและตรวจสอบ และ นายจอม จีระแพทย์ ผู้ช่วยเลขาธิการสายกฎหมายและคดี ได้กล่าวต้อนรับคณะผู้แทนจากธนาคารแห่งประเทศไทย พร้อมร่วมสนทนาและกล่าวถึงหลักการ วิธีการดำเนินงานของสำนักงาน คปภ. กรณีดำเนินคดีกับผู้กระทำการประกอบธุรกิจประกันภัยโดยไม่ได้รับอนุญาตและกรณีผู้กระทำการเป็นคนกลางประกันภัยโดยไม่ได้รับอนุญาต ซึ่งทั้ง 2 หน่วยงานได้มีการแลกเปลี่ยนองค์ความรู้ บูรณาการข้อมูลร่วมกันเกี่ยวกับแนวทางในการดำเนินคดีตามกฎหมาย ยกระดับการกำกับดูแลภาคธุรกิจ และการคุ้มครองผู้บริโภคให้มีประสิทธิภาพผ่านมาตรการทางกฎหมาย

ทั้งนี้ ในปัจจุบัน สำนักงาน คปภ. ได้มีการบังคับใช้กฎหมายและการดำเนินการทางอาญา ทางปกครองต่อผู้กระทำความผิดตามกฎหมาย โดยการใช้ระบบเทคโนโลยีสารสนเทศเข้ามาช่วยในการปฏิบัติงาน เช่น ระบบ CARES (Comprehensive Anti - Fraud & Risk Elimination System) ระบบ IRIS เพื่อวิเคราะห์ ตรวจจับ รายงานพฤติกรรมที่อาจเข้าข่ายฉ้อฉลประกันภัย รวมไปถึงการเพิกถอนหรือพักใช้ใบอนุญาตกรณีตัวแทน/นายหน้าประกันภัยที่มีพฤติกรรมไม่เหมาะสม โดยมีการพัฒนาระบบปัญญาประดิษฐ์ (Artificial Intelligence : AI) มาใช้เพื่อเพิ่มประสิทธิภาพในการปฏิบัติงาน

“การพบกันในวันนี้ จึงถือเป็นนิมิตหมายที่ดีและเป็นก้าวสำคัญในการยกระดับความร่วมมือในการกำกับดูแลและบังคับใช้กฎหมายของทั้ง 2 หน่วยงาน ที่ต่างเป็นหน่วยงานกำกับธุรกิจภาคการเงิน ซึ่งเป็นฟันเฟืองสำคัญในการขับเคลื่อนเศรษฐกิจของประเทศ ได้มีโอกาสแลกเปลี่ยนเรียนรู้ แนวทางการดำเนินคดีกับบุคคลที่กระทำการหลอกลวงประชาชน รวมไปถึงการพัฒนารูปแบบวิธีการดำเนินการต่าง ๆ อันเป็นการช่วยยกระดับมาตรการการกำกับ ป้องกันและปราบปรามการกระทำความผิดให้มีประสิทธิภาพ เนื่องจาก ในปัจจุบัน รูปแบบการกระทำความผิดทั้งธุรกรรมทางการเงินและประกันภัยมีความซับซ้อนมากขึ้น มีความเสียหายรวมนับพันล้านบาท ดังนั้น การดำเนินการในทางกฎหมาย จึงต้องมีความเข้มข้นและทันท่วงที เพื่อสร้างความเชื่อมั่นให้กับประชาชนและระบบเศรษฐกิจของประเทศไทย” รองเลขาธิการ ด้านกฎหมายและตรวจสอบ กล่าวในตอนท้าย

สำนักงานคณะกรรมการกำกับและส่งเสริมการประกอบธุรกิจประกันภัย (สำนักงาน คปภ.) จัดงานพิธีมอบรางวัลประกันภัยดีเด่นครบวงจร (Prime Minister’s Insurance Awards 2025) ภายใต้แนวคิด “INSURENEXT Driving the Future of Insurance with Digital Innovation & Sustainability - ขับเคลื่อนอนาคตประกันภัย ด้วยนวัตกรรมดิจิทัลและความยั่งยืน” ซึ่งพิธีมอบรางวัลจัดขึ้นอย่างยิ่งใหญ่ ณ ห้องบางกอกคอนเวนชัน เซ็นเตอร์ เอวัน โรงแรม  เซ็นทาราแกรนด์ และบางกอกคอนเวนชันเซ็นเตอร์ เซ็นทรัลเวิลด์  โดยได้รับเกียรติจาก นายพิชัย ชุณหวชิร รองนายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงการคลัง เป็นประธานในการมอบรางวัล

นายชูฉัตร ประมูลผล เลขาธิการ คปภ. เปิดเผยว่า การจัดพิธีมอบรางวัลครั้งนี้ถือเป็นเวทีสำคัญที่สุดของอุตสาหกรรมประกันภัยไทย เพื่อเชิดชูเกียรติและยกย่ององค์กร บุคลากร และสถาบันที่มีผลงานโดดเด่น ทั้งในด้านการบริหารจัดการ การบริการลูกค้า การสร้างสรรค์นวัตกรรม และการทำงานด้วยความโปร่งใสเป็นธรรม โดยในปีนี้ นายภูมิธรรม เวชยชัย รองนายกรัฐมนตรี รักษาราชการแทนนายกรัฐมนตรี ได้อนุญาตให้ใช้ลายมือชื่อสลักลงบนโล่เกียรติยศ เพื่อเป็นเกียรติสูงสุดแก่ผู้ได้รับรางวัล ซึ่งการพิจารณารางวัลดำเนินไปอย่างเข้มข้นและรอบคอบภายใต้หลักเกณฑ์ ที่กำหนดไว้อย่างโปร่งใส และได้มีการเพิ่มเติม “รางวัลผู้ประเมินวินาศภัยคุณภาพดีเด่น” เพื่อสะท้อนความสำคัญของบุคลากรในทุกภาคส่วนของวงการประกันภัย รวมรางวัลทั้งสิ้น 12 ประเภท จำนวน 61 รางวัล ประกอบด้วย

1. รางวัลบริษัทประกันภัยเกียรติยศสูงสุด (Hall of Fame) ได้แก่ บริษัท เมืองไทยประกันชีวิต จำกัด (มหาชน)

2. รางวัลเกียรติยศบริษัทประกันภัยที่มีการบริหารงานดีเด่น ได้แก่ บริษัท ทิพยประกันภัย จำกัด (มหาชน)

3. รางวัลบริษัทประกันภัยที่มีการบริหารงานดีเด่น ประกอบด้วย

- บริษัทประกันชีวิตที่มีการบริหารงานดีเด่น จำนวน 3 รางวัล ได้แก่ อันดับที่ 1 บริษัท ไทยประกันชีวิต จำกัด (มหาชน) อันดับที่ 2 บริษัท ไทยสมุทรประกันชีวิต จำกัด (มหาชน) และอันดับที่ 3 บริษัท กรุงเทพประกันชีวิต จำกัด (มหาชน)

- รางวัลบริษัทประกันวินาศภัยที่มีการบริหารงานดีเด่น จำนวน 4 รางวัล ได้แก่ อันดับที่ 1 บริษัท เมืองไทยประกันภัย จำกัด (มหาชน) อันดับที่ 2 บริษัท มิตซุย สุมิโตโม อินชัวรันซ์ จำกัด สาขาประเทศไทย และบริษัท ธนชาตประกันภัย จำกัด (มหาชน) อันดับที่ 3 บริษัท วิริยะประกันภัย จำกัด (มหาชน)

4. รางวัลบริษัทประกันภัยที่มีการพัฒนาดีเด่น ประกอบด้วย

- รางวัลบริษัทประกันชีวิตที่มีการพัฒนาดีเด่น จำนวน 1 รางวัล ได้แก่ บริษัท เอฟดับบลิวดี ประกันชีวิต จำกัด (มหาชน)

- รางวัลบริษัทประกันวินาศภัยที่มีการพัฒนาดีเด่น จำนวน 2 รางวัล ได้แก่ บริษัท มิตรแท้ประกันภัย จำกัด (มหาชน) และบริษัท เอ็ม เอส ไอ จี ประกันภัย (ประเทศไทย) จำกัด (มหาชน)

5. รางวัลบริษัทประกันภัยและรางวัลนายหน้าประกันภัยนิติบุคคลที่มีการส่งเสริมกรมธรรม์ประกันภัยเพื่อประชาชนดีเด่น รวมจำนวน 4 รางวัล ประกอบด้วย

- รางวัลบริษัทประกันชีวิต ได้แก่ บริษัท เมืองไทยประกันชีวิต จำกัด (มหาชน)

- รางวัลบริษัทประกันวินาศภัย ได้แก่ บริษัท กรุงเทพประกันภัย จำกัด (มหาชน)

- รางวัลบริษัทนายหน้าประกันชีวิต นิติบุคคล ได้แก่ บริษัท เคาน์เตอร์เซอร์วิส จำกัด

- รางวัลบริษัทนายหน้าประกันวินาศภัยนิติบุคคล ได้แก่ บริษัท ทีคิวเอ็ม อินชัวร์รันส์ โบรคเกอร์ จำกัด

6. รางวัลบริษัทประกันภัยที่สร้างสรรค์นวัตกรรมเทคโนโลยีประกันภัยดีเด่น ประกอบด้วย

- รางวัลบริษัทประกันชีวิต ได้แก่ บริษัท เอไอเอ จำกัด

- รางวัลบริษัทประกันวินาศภัย ได้แก่ บริษัท ทิพยประกันภัย จำกัด (มหาชน)

7. รางวัลบริษัทประกันภัยที่มีการพัฒนาด้านความยั่งยืนในธุรกิจประกันภัยดีเด่น ประกอบด้วย

- รางวัลบริษัทประกันชีวิต ได้แก่ บริษัท ไทยประกันชีวิต จำกัด (มหาชน)

- รางวัลบริษัทประกันวินาศภัย ได้แก่ บริษัท กรุงเทพประกันภัย จำกัด (มหาชน)

8. รางวัลตัวแทนประกันภัยคุณภาพดีเด่น ประกอบด้วย

- รางวัลตัวแทนประกันชีวิตคุณภาพดีเด่น จำนวน 20 ราย

- รางวัลตัวแทนประกันวินาศภัยคุณภาพดีเด่น จำนวน 3 ราย

9. รางวัลนายหน้าประกันภัยนิติบุคคลคุณภาพดีเด่น ประกอบด้วย

- รางวัลนายหน้าประกันชีวิตนิติบุคคลคุณภาพดีเด่น จำนวน 2 รางวัล ได้แก่ 1. บริษัท ไทยพาณิชย์โพรเทค จำกัด และ 2. บริษัท ทีคิวเอ็ม ไลฟ์ อินชัวร์รันส์ โบรคเกอร์ จำกัด

- รางวัลนายหน้าประกันวินาศภัยนิติบุคคลคุณภาพดีเด่น จำนวน 4 รางวัล ได้แก่ 1. บริษัท ที คิว อาร์ จำกัด (มหาชน) 2. บริษัท โฟร์ อินชัวร์รันส์ โบรคเกอร์ (ไทยแลนด์) จำกัด 3. บริษัท เอ เอ็น ซี โบรกเกอร์เรจ จำกัด และ 4.บริษัท ฮาวเด้น แมกซี่ อินชัวรันส์ โบรกเกอร์ จำกัด

10. รางวัลผู้ประเมินวินาศภัยคุณภาพดีเด่น จำนวน 3 รางวัล ได้แก่ 1. บริษัท โกลบอล แอดจัสติ้ง เทคนิคอล เซอร์วิสเซส (ประเทศไทย) จำกัด 2. บริษัท ครอฟอร์ด แอนด์ คัมพะนี (ประเทศไทย) จำกัด และ 3. บริษัท เทคนิคัล อินดิเพนเด้นท์ เซอร์เวย์ จำกัด

11. รางวัลผู้ทำคุณประโยชน์ต่อสำนักงาน คปภ. และระบบประกันภัย จำนวน 6 รางวัล ได้แก่

1) นายไชย ไชยวรรณ กรรมการและประธานเจ้าหน้าที่บริหาร บริษัท ไทยประกันชีวิต จำกัด (มหาชน)

2) นางนวลพรรณ ล่ำซำ ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร บริษัท เมืองไทยประกันภัย จำกัด (มหาชน)

3) พล.ต.ต ทัศน์ภูมิ จารุปรัชญ์ ผู้บังคับการปราบปรามการกระทำความผิดเกี่ยวกับอาชญกรรมทางเศรษฐกิจสังกัดกองบัญชาการตำรวจสอบสวนกลาง

4) นายวีระพันธ์ ดีอ่อน ผู้ว่าราชการจังหวัดปราจีนบุรี

5) นายชาญณรงค์ บุริสตระกูล ประธานหอการค้ากลุ่มภาคตะวันออกเฉียงเหนือตอนกลาง และที่ปรึกษาอาวุโส หอการค้าจังหวัดขอนแก่น

6) นายมนัส ตันสุภายน อาสาสมัครประกันภัย

12. รางวัลการประกวดยุวชนนักสื่อสารประกันภัยรุ่นใหม่ ปี 2568 (Insurefluencer the new GEN 2025) รางวัลระดับประเทศ จำนวน 3 รางวัล ได้แก่

- รางวัลชนะเลิศ โรงเรียนวชิรปราการวิทยาคม จังหวัดกำแพงเพชร

- รางวัลรองชนะเลิศอันดับ 1 โรงเรียนวังวิเศษ จังหวัดตรัง

- รางวัลรองชนะเลิศอันดับ 2 วิทยาลัยอาชีวศึกษาสุรินทร์ จังหวัดสุรินทร์

เลขาธิการ คปภ. กล่าวเพิ่มเติมว่า รางวัลประกันภัยดีเด่นครบวงจร หรือ Prime Minister’s Insurance Awards ไม่เพียงเป็นการยกย่องเกียรติคุณ แต่ยังตอกย้ำถึงมาตรฐาน ธรรมาภิบาล และคุณค่าของธุรกิจประกันภัยไทย รางวัลนี้คือสัญลักษณ์แห่งความภาคภูมิใจ และแรงบันดาลใจในการก้าวสู่เวทีสากล พร้อมยืนยันศักยภาพของอุตสาหกรรมประกันภัยไทยในการเป็นกลไกสำคัญของการพัฒนาเศรษฐกิจและสังคมอย่างยั่งยืน และเป็นอีกหนึ่งแรงผลักดันให้อุตสาหกรรมประกันภัยเกิดการพัฒนาและเติบโตอย่างต่อเนื่องทั้งในด้านเบี้ยประกันภัยรับโดยตรง และสินทรัพย์ลงทุนรวม

ในโอกาสนี้ นายพิชัย ชุณหวชิร รองนายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงการคลัง ได้แสดงความยินดีต่อผู้ได้รับรางวัล โดยกล่าวชื่นชมผู้ได้รับรางวัลได้แสดงศักยภาพ ความคิดสร้างสรรค์ และความรับผิดชอบต่อสังคมอย่างเป็นรูปธรรม รางวัลนี้ไม่เพียงเป็นเครื่องหมายแห่งความสำเร็จขององค์กร แต่ยังเป็นแรงบันดาลใจให้ทุกภาคส่วนมุ่งมั่นสู่ความเป็นเลิศ ความสำเร็จในวันนี้มิใช่จุดหมายปลายทาง หากแต่คือพลังขับเคลื่อนที่นำพาประเทศไปสู่อนาคต ทั้งนี้ รองนายกรัฐมนตรี กล่าวย้ำว่า การพัฒนาอุตสาหกรรมประกันภัยจะช่วยสนับสนุนความเจริญเติบโตทางเศรษฐกิจของประเทศ และมีส่วนสำคัญในการผลักดันให้มูลค่าเบี้ยประกันภัยรับโดยตรงของอุตสาหกรรมสูงเกินกว่า 1 ล้านล้านบาท ในอนาคตอันใกล้ต่อไป

สำนักงานคณะกรรมการกำกับและส่งเสริมการประกอบธุรกิจประกันภัย (สำนักงาน คปภ.) ได้ออกคำสั่งนายทะเบียนที่ 51/2568 ลงวันที่ 26 สิงหาคม 2568 เรื่อง ให้แก้ไขแบบ ข้อความ ของกรมธรรม์ประกันภัยคุ้มครองผู้ประสบภัยจากรถ และพิกัดอัตราเบี้ยประกันภัย ของกรมธรรม์ประกันภัยรถยนต์ และกรมธรรม์ประกันภัยรถยนต์ไฟฟ้า โดยกำหนดให้ปรับเพิ่มวงเงินความคุ้มครองสูงสุดต่อครั้งของกรมธรรม์ประกันภัยคุ้มครองผู้ประสบภัยจากรถ จากเดิม 5 ล้านบาท และ 10 ล้านบาท เป็น 20 ล้านบาท และปรับเพิ่มวงเงินความคุ้มครองสูงสุดต่อครั้ง ของกรมธรรม์ประกันภัยรถยนต์ และกรมธรรม์ประกันภัยรถยนต์ไฟฟ้า ให้มีจำนวนเงินขั้นต่ำไม่น้อยกว่า 20 ล้านบาท เพื่อรองรับกรณีเกิดอุบัติเหตุรายใหญ่ที่มีผู้เสียชีวิตหรือทุพพลภาพถาวรสิ้นเชิงบ่อยครั้ง โดยมีผลบังคับใช้ตั้งแต่วันที่ 1 สิงหาคม 2568 เป็นต้นไป

นายไพบูลย์ เปี่ยมเมตตา ผู้ช่วยเลขาธิการ สายกำกับผลิตภัณฑ์ประกันภัย และประธาน คณะทำงานแนวทางพัฒนาการจัดทำกรมธรรม์ประกันภัยสำหรับรถยนต์ไฟฟ้าและพิกัดอัตราเบี้ยประกันภัย กล่าวเพิ่มเติมว่า ในช่วง 1-2 ปีที่ผ่านมา ประเทศไทยเกิดอุบัติเหตุรายใหญ่บ่อยครั้ง ส่งผลให้จำนวนเงินความคุ้มครองสูงสุดต่อครั้งของกรมธรรม์ประกันภัยคุ้มครองผู้ประสบภัยจากรถ ซึ่งกำหนดไว้เพียง 5 ล้านบาท และ 10 ล้านบาท ต่ออุบัติเหตุแต่ละครั้ง รวมถึงกรมธรรม์ประกันภัยรถยนต์ และกรมธรรม์ประกันภัยรถยนต์ไฟฟ้า ที่ส่วนใหญ่กำหนดวงเงินความคุ้มครองความรับผิดต่อชีวิต ร่างกาย และอนามัยของบุคคลภายนอกไว้ที่ 10 ล้านบาทต่อครั้ง ไม่เพียงพอต่อการชดใช้  ค่าสินไหมทดแทนตามจำนวนเงินความคุ้มครองสูงสุดต่อคน ที่กำหนดไว้ 500,000 บาท ดังนั้น สำนักงาน คปภ. โดยสายกำกับผลิตภัณฑ์ประกันภัย จึงได้นำประเด็นดังกล่าวเข้าสู่การพิจารณาของคณะทำงานแนวทางพัฒนาการจัดทำกรมธรรม์ประกันภัยสำหรับรถยนต์ไฟฟ้าและพิกัดอัตราเบี้ยประกันภัย ซึ่งที่ประชุมมีมติให้ปรับเพิ่มวงเงินความคุ้มครองสูงสุดต่อครั้ง สำหรับการประกันภัยรถภาคบังคับ (พ.ร.บ.) เป็น 20 ล้านบาท โดยไม่มีการปรับเพิ่มเบี้ยประกันภัย และให้ปรับเพิ่มวงเงินความคุ้มครองขั้นต่ำต่อครั้ง สำหรับการประกันภัยรถยนต์  ภาคสมัครใจ เป็น 20 ล้านบาท โดยให้ใช้อัตราเบี้ยประกันภัยเดิมที่กำหนดไว้ในพิกัดอัตราเบี้ยประกันภัย เพื่อให้ประชาชนที่ได้รับความเสียหายจากอุบัติเหตุรายใหญ่ ที่มีจำนวนผู้เสียชีวิตหรือทุพพลภาพถาวรสิ้นเชิงเกิน 20 รายขึ้นไป มีโอกาสได้รับค่าสินไหมทดแทนเต็มจำนวนเงินความคุ้มครองสูงสุดต่อคนที่กำหนดไว้ในกรมธรรม์ประกันภัย โดยสาระสำคัญของคำสั่งนายทะเบียนมี ดังนี้

  1. ประกันภัยรถภาคบังคับ (พ.ร.บ.) กำหนดวงเงินความคุ้มครองสูงสุดต่อครั้งเป็น 20 ล้านบาท สำหรับทุกประเภทรถ โดยไม่เพิ่มเบี้ยประกันภัย และให้มีผลบังคับใช้ทันทีกับทุกกรมธรรม์ ทั้งกรมธรรม์ที่ยังมีผลคุ้มครองและกรมธรรม์ที่ทำสัญญาใหม่ โดยกำหนดให้ บริษัทประกันวินาศภัยต้องใช้แบบและข้อความกรมธรรม์ประกันภัยให้เป็นไปตามคำสั่งนายทะเบียน ตั้งแต่วันที่ 1 มกราคม 2569 เป็นต้นไป
  2. ประกันภัยรถยนต์ภาคสมัครใจ กำหนดวงเงินความคุ้มครองขั้นต่ำต่อครั้งในหมวดความรับผิดชอบต่อบุคคลภายนอก กรณีเสียชีวิตหรือทุพพลภาพถาวรสิ้นเชิง ไม่น้อยกว่า 20 ล้านบาท สำหรับทุกประเภทรถ โดยให้เริ่มมีผลใช้บังคับกับกรมธรรม์ใหม่ ตั้งแต่วันที่ 1 มกราคม 2569 เป็นต้นไป

“แม้ว่าเมื่อปี 2563 สำนักงาน คปภ. ได้ปรับเพิ่มจำนวนเงินความคุ้มครองตามกรมธรรม์ประกันภัยรถภาคบังคับในส่วนของการคุ้มครองต่อคนจาก 300,000 บาท เป็น 500,000 บาท แต่ยังคงวงเงินความรับผิดสูงสุดต่อครั้งไม่เกิน 5 ล้านบาทสำหรับรถยนต์นั่งไม่เกิน 7 ที่นั่ง และไม่เกิน 10 ล้านบาทสำหรับรถยนต์นั่งเกิน 7 ที่นั่ง ขณะที่กรมธรรม์ประกันภัยรถยนต์ภาคสมัครใจได้มีการปรับเพิ่มจำนวนเงินคุ้มครองขั้นต่ำเป็น 500,000 บาทต่อคน แต่ส่วนใหญ่ยังคงกำหนดวงเงินสูงสุดต่อครั้งไว้ที่ 10 ล้านบาท การออกคำสั่งนายทะเบียนในครั้งนี้ จึงนับเป็นการยกระดับความคุ้มครองให้สอดคล้องกับความเป็นจริงและเพียงพอต่อการดูแลผู้ประสบภัยอย่างมีประสิทธิภาพ โดยไม่เป็นภาระเพิ่มขึ้นต่อผู้เอาประกันภัย เนื่องจากไม่มีการปรับเพิ่มเบี้ยประกันภัยแต่อย่างใด”  ผู้ช่วยเลขาธิการ สายกำกับผลิตภัณฑ์ประกันภัย กล่าวในตอนท้าย

Page 1 of 37
X

Right Click

No right click