

“อีซี่มันนี่” เดินหน้าสร้างความแข็งแกร่งทางการเงิน โดยจับมือกับสามสถาบันการเงินชั้นนำของไทย ได้แก่ ธนาคารกสิกรไทย ธนาคารออมสิน และธนาคารแลนด์แอนด์เฮ้าส์ ในพิธีลงนามความร่วมมือการเป็นพันธมิตรในการปล่อยเงินกู้ร่วม (Syndicated Loan Partnership) เพื่อสนับสนุนวงเงินสินเชื่อรวมกว่า 3,000 ล้านบาท ตอกย้ำความเชื่อมั่นของภาคการเงินที่มีต่ออีซี่มันนี่ในฐานะผู้นำธุรกิจสินเชื่อทางเลือกที่มีหลักทรัพย์ค้ำประกัน (Asset-Backed-Financing)
นายสุธี พนาวร ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร อีซี่มันนี่ กล่าวว่า ความร่วมมือครั้งนี้สะท้อนถึงความไว้วางใจที่สถาบันการเงินชั้นนำมอบให้กับอีซี่มันนี่ และถือเป็นก้าวสำคัญที่จะช่วยเสริมศักยภาพการเติบโตอย่างมั้งคั่งและมั่นคง “เงินทุน 3,000 ล้านบาทที่ได้รับการสนับสนุน จะถูกนำไปใช้เป็นเงินทุนหมุนเวียนในการปล่อยสินเชื่อทรัพย์ค้ำประกัน เพื่อตอบสนองต่อความต้องการที่เพิ่มขึ้นของประชาชน พร้อมเดินหน้าพัฒนามาตรฐานบริการในทุกมิติ ทั้งการประเมินราคาที่เป็นธรรม การเก็บรักษาทรัพย์สินที่ปลอดภัย และการบริการที่ให้เกียรติลูกค้า รวมถึงการเสริมด้วยเทคโนโลยีดิจิทัลผ่าน Easy Smart Application ที่ช่วยให้ลูกค้าสามารถเช็กข้อมูลตั๋ว ส่งดอกเบี้ยออนไลน์ ประเมินราคาทรัพย์ และโอนเงินได้อย่างสะดวกและโปร่งใส”
อีซี่มันนี่ปัจจุบันมี 98 สาขาทั่วประเทศ โดยบริษัทมีรายได้รวมในช่วง 8 เดือนแรกของปี 2568 กว่า 9,054 ล้านบาท และกำไรสุทธิ 842 ล้านบาท เติบโต 30% จากปีก่อนในช่วงเดียวกัน ตัวเลขเหล่านี้สะท้อนถึงความเชื่อมั่นที่ลูกค้ามีต่อบริการของบริษัท และศักยภาพการเติบโตในฐานะ “โซลูชันทางการเงินที่ชาญฉลาดและเข้าถึงได้”
นอกจากธุรกิจสินเชื่อทรัพย์ค้ำประกันแล้ว อีซี่มันนี่ ยังได้ขยาย Ecosystem ทางการเงินไปสู่ธุรกิจ “พรีเมี่ยมโกลด์เยาวราช” ห้างทองที่เน้นมาตรฐานและความโปร่งใส และ “Easy Money Shop” ร้านจำหน่ายสินค้าแบรนด์เนมมือสองของแท้คุณภาพสูง เพื่อสร้างระบบนิเวศการให้บริการเงินด่วนที่ครบถ้วนที่ตอบโจทย์ลูกค้าในทุกมิติด้วยการใช้ทรัพย์สินในการสร้างโอกาสและเสริมสภาพคล่อง
นายสุธีกล่าวเพิ่มเติมว่า “สิ่งที่อีซี่มันนี่ส่งต่อให้กับลูกค้า ไม่ใช่เพียงแค่เงิน แต่คือความมั่นใจและโอกาสใหม่ ๆ ในชีวิต นี่คือความหมายของคำว่า ‘ให้ทุกโอกาส…เป็นไปได้’ และความร่วมมือในครั้งนี้ไม่เพียงช่วยเสริมศักยภาพของ Easy Money แต่ยังเป็นการร่วมกันสร้างอนาคตที่มั่นคงให้กับระบบนิเวศการเงินไทย”
‘กรุงศรี ออโต้’ ผู้นำธุรกิจสินเชื่อยานยนต์ครบวงจร เครือธนาคาร กรุงศรีอยุธยา จำกัด (มหาชน) เดินหน้าสนับสนุนการเติบโตของภาคธุรกิจอย่างยั่งยืน ตอบโจทย์ทางการเงินสำหรับลูกค้านิติบุคคล ผ่านผลิตภัณฑ์ “กรุงศรี ฟลีท แอนด์ ลีสซิ่ง” สินเชื่อเพื่อซื้อรถยนต์ไว้ใช้ในกิจการ ตอบโจทย์การบริหารต้นทุนและเสริมสภาพคล่องให้แก่ธุรกิจ ครอบคลุมทั้งการจัดซื้อรถยนต์หลายคันในคราวเดียว (Fleet) และ การจัดซื้อเป็นรายคัน (Leasing) โดยมี 2 รูปแบบสินเชื่อ ได้แก่ สัญญาเช่าซื้อ หรือ สัญญาเช่าทางการเงิน ที่ยืดหยุ่นตามความต้องการ พร้อมสิทธิประโยชน์ทางภาษีเงินได้นิติบุคคลตามมาตรฐานบัญชี ควบคู่กับข้อเสนอพิเศษ “ดอกเบี้ยพิเศษ ผ่อนสูงสุด 60 เดือน” ชูจุดเด่นความโปร่งใส เข้าใจง่าย และช่วยให้ผู้ประกอบการวางแผนการเงินได้อย่างมั่นใจ
ในปีที่ผ่านมา SMEs ไทยเผชิญกับความท้าทายรอบด้าน โดยเฉพาะต้นทุนทางการเงินและค่าใช้จ่ายที่เพิ่มขึ้น ซึ่งถึงแม้ว่าการปรับลดอัตราดอกเบี้ยโดยคณะกรรมการนโยบายการเงิน (กนง.) ในปี 2568 จะเป็นปัจจัยบวกที่ช่วยบรรเทาภาระทางการเงินของภาคธุรกิจ แต่การเสริมสภาพคล่องยังคงเป็นโจทย์สำคัญ ดังนั้น การบริหารกระแสเงินสดและการวางแผนภาษีจึงเป็นเครื่องมือที่หลายองค์กรมองหาเพื่อเพิ่มขีดความสามารถในการทำกำไรของบริษัท ขณะเดียวกัน ยานพาหนะยังคงเป็นปัจจัยสำคัญในการดำเนินธุรกิจได้อย่างต่อเนื่อง การใช้บริการ “สัญญาเช่าซื้อ” หรือ “สัญญาเช่าทางการเงิน” เพื่อซื้อรถยนต์ไว้ใช้ในกิจการ ถือเป็นอีกหนึ่งทางเลือกที่จะช่วยเพิ่มกำลังขับเคลื่อนและสนับสนุนการเติบโตของธุรกิจได้อย่างมีประสิทธิภาพเช่นกัน
กรุงศรี ออโต้ จึงได้นำเสนอ “กรุงศรี ฟลีท แอนด์ ลีสซิ่ง” หรือ สินเชื่อเพื่อซื้อรถยนต์เพื่อใช้ในกิจการ ที่ครอบคลุมทั้งรถยนต์นั่งส่วนบุคคล และรถยนต์เพื่อการพาณิชย์ เช่น รถกระบะ รถบรรทุก รถพ่วง และรถหัวลาก เพื่อตอบโจทย์ความต้องการที่หลากหลายของผู้ประกอบการ โดยสามารถเลือกรูปแบบทางการเงิน ได้ทั้งสัญญาเช่าซื้อ หรือ สัญญาเช่าทางการเงิน โดยไม่ต้องใช้เงินสดก้อนใหญ่ แต่สามารถชำระค่าเช่าเป็นงวดรายเดือนพร้อมอัตราดอกเบี้ยคงที่ อีกทั้งยังสามารถนำค่าเช่าไปหักเป็นค่าใช้จ่ายเพื่อลดหย่อนภาษีเงินได้นิติบุคคลตามเกณฑ์บัญชี ซึ่งจะช่วยให้ผู้ประกอบการสามารถวางแผนภาษีและบริหารกระแสเงินสดได้มีประสิทธิภาพมากขึ้น
5 จุดเด่นของสินเชื่อเพื่อซื้อรถยนต์เพื่อใช้ในกิจการ:
· ช่วยประหยัดภาษี: ลูกค้านิติบุคคลสามารถนำค่าเช่ามาหักเป็นค่าใช้จ่ายเพื่อลดหย่อนภาษีเงินได้นิติบุคคลตามมาตรฐานบัญชี
· เสริมสภาพคล่องทางการเงิน: สัญญาเช่าทางการเงินสามารถแบ่งชำระรายเดือน ไม่กระทบกระแสเงินสด เพื่อรักษาสภาพคล่องและได้รับประโยชน์ทางบัญชีได้อย่างเต็มที่
· ไม่ต้องใช้เงินก้อนใหญ่: ลงทุนในรถยนต์เพื่อใช้ในกิจการได้โดยไม่ต้องจ่ายเงินก้อน
· อัตราดอกเบี้ยคงที่ตลอดอายุสัญญา: สามารถวางแผนทางการเงินได้มีประสิทธิภาพ
· เงื่อนไขโปร่งใสและเข้าใจง่าย: วางแผนการเงินได้สะดวกและแม่นยำ
รายละเอียดข้อเสนอ กรุงศรี ฟลีท แอนด์ ลีสซิ่ง: วงเงินสินเชื่อรถยนต์พร้อมใช้ (ฟลีท)
· ครอบคลุมสินเชื่อรถยนต์ใหม่ ทั้งรถยนต์นั่งส่วนบุคคลและรถยนต์เพื่อการพาณิชย์
· วงเงินสินเชื่อตั้งแต่ 10 ล้านบาทขึ้นไป
· วงเงินสินเชื่อมีอายุ 1 ปี และสามารถต่ออายุได้โดยยื่นเอกสารเพื่อพิจารณาอนุมัติ
· ระยะเวลาทำสัญญา 12-60 เดือน
สัญญาเช่าทางการเงิน (ลีสซิ่ง)
· ให้บริการสินเชื่อรถยนต์ใหม่ ทั้งรถยนต์นั่งส่วนบุคคล รถตู้ และรถกระบะ
· ระยะเวลาทำสัญญา 36-60 เดือน
· อัตราดอกเบี้ยคำนวณแบบลดต้นลดดอก และคงที่ตลอดอายุสัญญา
นอกจากนี้ ลูกค้ายังสามารถชำระค่างวดได้อย่างสะดวกผ่านหลากหลายช่องทางใกล้บ้าน ไม่ว่าจะเป็น ธนาคารกรุงศรีอยุธยา (เคาน์เตอร์, ATM, ระบบออนไลน์) หักบัญชีอัตโนมัติ (Direct Debit) รวมถึง โลตัส, 7-Eleven, เคาน์เตอร์เซอร์วิส, ที่ทำการไปรษณีย์ และ CenPay
ผู้ที่สนใจสามารถสอบถามรายละเอียดเพิ่มเติมได้ที่ กรุงศรี ออโต้ คอล เซ็นเตอร์ 0 2740 7400 หรือ LINE Official Account @krungsriauto เว็บไซต์ bit.ly/3Jqi45U
เคทีซีเดินหน้าสร้างโอกาสทางการเงินให้กับคนไม่ท้อ ผนึกความร่วมมือกับไปรษณีย์ไทยเปิดโครงการนำร่อง ขยายช่องทางให้คนไทยเข้าถึงแหล่งสินเชื่อจำนำทะเบียนรถ “เคทีซี พี่เบิ้ม รถแลกเงิน” ได้สะดวก รวดเร็ว ครบจบ ณ ที่ทำการไปรษณีย์ไทย 45 แห่ง ในพื้นที่ 5 จังหวัด ผ่านเจ้าหน้าที่ไปรษณีย์ เพียงลูกค้าเตรียมเอกสารสมัครให้พร้อม อนุมัติไวภายใน 1 ชั่วโมง รับเงินทันที วงเงินใหญ่สูงสุด 1 ล้านบาท ไม่ต้องมีคนค้ำประกัน

นางสาวเรือนแก้ว เกษมสวัสดิ์ศรี ผู้บริหารสูงสุด สายงานสินเชื่อรถยนต์ “เคทีซี” หรือ บริษัท บัตรกรุงไทย จำกัด (มหาชน) กล่าวว่า “ในปี 2568 นี้ สภาพเศรษฐกิจโดยรวมยังมีการชะลอตัวต่อเนื่องจากปีก่อนหน้า ซึ่งอาจส่งผลให้การปล่อยสินเชื่อของสถาบันการเงินต่างๆ ต้องพิจารณาจากหลายปัจจัย อย่างไรก็ดี พอร์ตสินเชื่อธุรกิจ “เคทีซี พี่เบิ้ม รถแลกเงิน” ในปีที่ผ่านมาถึงปัจจุบันยังมีแนวโน้มเติบโตต่อเนื่อง ด้วยการใช้กลยุทธ์ที่เน้นการเติบโตในเชิงคุณภาพตั้งแต่การคัดกรองสมาชิกเข้าพอร์ต และการบริหารจัดการพอร์ตลูกหนี้ตลอดวงจรของการเป็นสมาชิกกับเคทีซี สำหรับกลยุทธ์การทำธุรกิจ "เคทีซี พี่เบิ้ม รถแลกเงิน" ในปี 2568 นี้ ตั้งเป้าหมายยอดสินเชื่อใหม่ที่ 3,000 ล้านบาท โดยมุ่งขยายพอร์ตสินเชื่อผ่านช่องทางธุรกิจต่างๆ เพื่อรุกเข้าถึงพนักงานประจำและเจ้าของกิจการขนาดเล็กที่มีรถยนต์หรือรถจักรยานยนต์ และต้องการเงินทุนเพื่อต่อยอดธุรกิจ ทำอาชีพเสริมและเพิ่มสภาพคล่อง ให้สามารถเข้าถึงแหล่งเงินทุนได้ง่าย สะดวกและปลอดภัยด้วยระบบการรักษาข้อมูลลูกค้าที่ได้มาตรฐานการจัดการความปลอดภัยของข้อมูล ISO/IEC 27001: 2013 และมาตรฐานการจัดการข้อมูลส่วนบุคคล ISO/IEC 27701: 201 โดยลูกค้าเคทีซี พี่เบิ้ม รถแลกเงินจะได้รับวงเงินใหญ่สูงสุด 100% ของราคาประเมิน อนุมัติไวภายใน 1 ชั่วโมง รับเงินทันที โดยไม่ต้องมีคนค้ำประกัน”
"การร่วมมือกับไปรษณีย์ไทยในครั้งนี้ เป็นหนึ่งในกลยุทธ์สำคัญในการเข้าหากลุ่มลูกค้าเป้าหมาย เพราะไปรษณีย์ไทยมีเครือข่ายที่ครอบคลุม และเป็นสถานที่ที่ประชาชนคุ้นเคยและใช้บริการอยู่เป็นประจำ โดยเฉพาะพ่อค้าแม่ค้าออนไลน์ บริการรับสมัครสินเชื่อ “เคทีซี พี่เบิ้ม รถแลกเงิน” ณ จุดบริการในที่ทำการไปรษณีย์ไทย ถูกออกแบบมาให้ง่าย เพื่ออำนวยความสะดวกให้กับลูกค้าที่เข้ารับบริการที่ไปรษณีย์ไทย ที่มีความต้องการเงินทุนเพื่อนำไปลงทุนต่อยอดธุรกิจ โดยสามารถเข้ารับคำปรึกษาเกี่ยวกับสินเชื่อรถแลกเงินได้จากเจ้าหน้าที่ไปรษณีย์ที่ผ่านการอบรม ซึ่งสามารถให้ข้อมูลเกี่ยวกับคุณสมบัติของผลิตภัณฑ์สินเชื่อ รวมไปถึงทำรายการรับสมัครสินเชื่อเคทีซี พี่เบิ้ม รถแลกเงิน ให้กับผู้มาใช้บริการได้ทันที โดยในช่วงแรก จะเริ่มให้บริการที่จุดบริการไปรษณีย์ไทย 45 แห่ง”

ดร.วราภรณ์ ข้องเกี่ยวพันธุ์ ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร สายงานกลยุทธ์และขับเคลื่อนองค์กร บริษัท ไปรษณีย์ไทย จำกัด กล่าวว่า “ไปรษณีย์ไทยทำงานร่วมกับเคทีซีมาอย่างต่อเนื่อง โดยพี่ไปรฯ หรือบุรุษไปรษณีย์ทำหน้าที่ส่งจดหมายใบแจ้งหนี้ บริการจัดเก็บเอกสารชุดสัญญา และบริการพิสูจน์ยืนยันตัวตน (e-KYC) วันนี้ไปรษณีย์ไทยและเคทีซีได้พัฒนาความร่วมมือทางธุรกิจใหม่ร่วมกัน ในการแนะนำลูกค้าที่ประสงค์จะใช้บริการสินเชื่อทะเบียนรถยนต์ ภายใต้ผลิตภัณฑ์ “เคทีซี พี่เบิ้ม รถแลกเงิน” ในรูปแบบการสรรหากลุ่มลูกค้าเป้าหมายที่เป็นเจ้าของรถยนต์หรือรถจักรยานยนต์ขนาดใหญ่ และถือกรรมสิทธิ์ในเล่มทะเบียนรถ โดยมี 2 รูปแบบการให้บริการ คือ 1. ลูกค้าสนใจสมัครสินเชื่อและฝากข้อมูลที่ช่องทางของไปรษณีย์ไทยและทางเคทีซีติดต่อกลับเพื่อให้บริการรับสมัครสินเชื่อ และ 2. ให้บริการรับสมัครและอนุมัติสินเชื่อโดยเจ้าหน้าที่ไปรษณีย์ไทยแบบเรียลไทม์”
“ไปรษณีย์ไทย เป็นหน่วยงานรัฐวิสาหกิจด้านสื่อสารและขนส่งหลักของชาติ ซึ่งมีเครือข่ายที่ทำการไปรษณีย์ครอบคลุมทุกพื้นที่ทั่วประเทศ จึงเป็นช่องทางสำคัญในการเข้าถึงประชาชนที่มีความสนใจในการสมัครสินเชื่อฯ ที่ยังไม่เคยเข้าถึงบริการทางการเงิน (Underserved) และกลุ่มที่อาจไม่ได้รับการดูแลทางการเงินอย่างเพียงพอ (Unserved) และด้วยศักยภาพของพนักงานไปรษณีย์ที่สามารถเรียนรู้และพัฒนาเพื่อยกระดับทักษะใหม่ๆ รวมทั้งไปรษณีย์ไทยยังเล็งเห็นถึงความสำคัญในการสนับสนุนให้ผู้ใช้บริการไปรษณีย์ได้ต่อยอดธุรกิจและการใช้ชีวิต จากการเข้าถึงแหล่งเงินทุนในระบบที่น่าเชื่อถือ ไปรษณีย์ไทยจึงได้ร่วมกับ เคทีซีเปิดช่องทางให้พนักงานไปรษณีย์ไทยสามารถแนะนำผลิตภัณฑ์สินเชื่อ “เคทีซี พี่เบิ้ม รถแลกเงิน” ให้กับประชาชนที่สนใจ”
“การนำร่องความร่วมมือกับเคทีซี จะดำเนินการในลักษณะการแนะนำผลิตภัณฑ์ และการให้บริการรับสมัครสินเชื่อจนลูกค้าได้รับอนุมัติและเงินโอนเข้าบัญชี โดยการปรับใช้ศักยภาพของเจ้าหน้าที่ไปรษณีย์ ที่ผ่านการอบรมจากเคทีซี (Employee Program) เพื่อทำความเข้าใจในกระบวนการและเงื่อนไขในการขอสินเชื่อฯ เพื่อให้ผู้ขอสินเชื่อฯ เลือกวงเงินสินเชื่อให้เหมาะสมตรงตามความต้องการ และได้รับอนุมัติสินเชื่อตามที่ยื่นขอ ซึ่งจะเป็นการพัฒนาทักษะและส่งเสริมให้พนักงานไปรษณีย์สามารถเข้าถึงกลุ่มลูกค้าเป้าหมายในพื้นที่จังหวัดนำร่องต่างๆ โดยนอกจากการสมัครสินเชื่อ ณ ที่ทำการไปรษณีย์ไทย 45 แห่ง นำร่องใน 5 จังหวัด ได้แก่ นนทบุรี ปทุมธานี สมุทรปราการ สมุทรสาคร และนครปฐม แล้ว ยังสามารถสมัครออนไลน์ผ่านเว็บไซต์และ โซเชียล มีเดียของไปรษณีย์ไทย หรือผ่านแอปพลิเคชัน Wallet@Post ได้อีกด้วย ทั้งนี้ หากผลการตอบรับจากประชาชนผู้ใช้บริการเป็นไปในทิศทางที่ดี อาจมีการขยายพื้นที่ไปยังจังหวัดอื่นๆ ที่มีความต้องการเข้าถึงบริการทางด้านสินเชื่อต่อไป”
![]()
นางสาวเรือนแก้วกล่าวเพิ่มเติมว่า "ในอนาคต “เคทีซี พี่เบิ้ม รถแลกเงิน” ยังมีแผนจะขยายเครือข่ายพันธมิตรเพื่อเพิ่มช่องทางเข้าถึงกลุ่มเป้าหมายให้ครอบคลุมมากขึ้น เช่นเดียวกับที่ได้ผสานความร่วมมือกับไปรษณีย์ไทยในวันนี้ รวมถึงพัฒนาสิทธิประโยชน์ต่างๆ สำหรับสมาชิกสินเชื่อ “เคทีซี พี่เบิ้ม รถแลกเงิน” เพื่อให้สามารถใช้บริการได้อย่างคุ้มค่ามากขึ้น โดยทั้งหมดนี้เป็นไปตามเป้าหมายของเคทีซีในการทำให้การเข้าถึงแหล่งเงินทุนเป็นเรื่องง่าย สะดวกรวดเร็ว เพื่อเป็นทางเลือกให้กับคนไม่ท้อได้ต่อยอดความสำเร็จและสร้างรายได้จากการทำธุรกิจต่อไป"
นอกจากนี้ ผู้ประสงค์จะสมัครสมาชิกสินเชื่อจำนำทะเบียนรถยนต์ รถจักรยานยนต์และบิ๊กไบค์ ยัง สามารถสมัครผ่านเว็บไซต์ www.ktc.co.th/loan/ktc-p-berm หรือติดต่อโทร. 02 123 5300 ธนาคารกรุงไทยทุกสาขา หรือผู้แนะนำผลิตภัณฑ์เคทีซีทั่วประเทศ
หมายเหตุ กู้เท่าที่จำเป็นและชำระคืนไหว อัตราดอกเบี้ย 21% - 24% ต่อปี
บริษัท ศรีสวัสดิ์ คอร์ปอเรชั่น จำกัด (มหาชน) หรือ SAWAD ประกาศผลการดำเนินงานปี 2567 เติบโตโดดเด่น ทำรายได้รวม 21,046 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 11.27% สะท้อนการเติบโตของพอร์ตสินเชื่อที่แข็งแกร่งและคุณภาพสินทรัพย์ที่อยู่ในเกณฑ์ดี พร้อมจ่ายปันผลรวมเป็นเงิน 211.47 ล้านบาท เตรียมเดินหน้าสร้างผลประกอบการที่มั่นคงด้วยกลยุทธ์การบริหารพอร์ตที่มีประสิทธิภาพ
บริษัท ศรีสวัสดิ์ คอร์ปอเรชั่น จำกัด (มหาชน) หรือ SAWAD ประกาศผลการดำเนินงานประจำปี 2567 ของบริษัทและบริษัทย่อย (สิ้นสุด ณ วันที่ 31 ธันวาคม 2567) มีกำไรรวมสุทธิ 5,246 ล้านบาท โดยบริษัทมีรายได้ดอกเบี้ยราว 18,027 ล้านบาท และรายได้อื่นราว 3,018 ล้านบาท รวมรายได้อยู่ที่ 21,046 ล้านบาท เมื่อเทียบกับช่วงเดียวกันของปีก่อน สะท้อนการเติบโตของพอร์ตสินเชื่อที่แข็งแกร่งและคุณภาพสินทรัพย์ที่อยู่ในเกณฑ์ดี เดินหน้าสร้างผลประกอบการที่มั่นคงได้ต่อเนื่อง ด้วยกลยุทธ์การบริหารพอร์ตที่มีประสิทธิภาพ
นางสาวธิดา แก้วบุตตา ผู้อำนวยการฝ่ายกลยุทธ์องค์กรของ SAWAD เปิดเผยว่า ในไตรมาสที่ 4 ปี 2567 บริษัทสามารถรักษา อัตราหนี้ที่ไม่ก่อให้เกิดรายได้ (NPL) ให้อยู่ที่ 3.5% ซึ่งเป็นไปตามแผนการบริหารความเสี่ยงของบริษัท สำหรับปี 2568 บริษัทตั้งเป้าขยายพอร์ตสินเชื่อ 10-15% โดยเน้นปล่อยสินเชื่อที่มีหลักประกัน เช่น สินเชื่อจำนำทะเบียนรถ สินเชื่อบ้านและที่ดิน และสินเชื่อสำหรับผู้ประกอบการรายย่อย ซึ่งเป็นธุรกิจหลักของ SAWAD ทั้งนี้ บริษัทจะยังคงดำเนินกลยุทธ์การเติบโตแบบรอบคอบภายใต้แนวทางการปล่อยสินเชื่ออย่างมีความรับผิดชอบและสอดคล้องกับมาตรการของภาครัฐ
ในปี 2568 SAWAD ยังให้ความสำคัญกับ ธุรกิจประกันออนไลน์ ซึ่งได้รับใบอนุญาตขายประกันออนไลน์จาก คปภ. ตั้งแต่เดือนพฤศจิกายน 2567 โดยขณะนี้อยู่ระหว่างการพัฒนาแพลตฟอร์มออนไลน์เพื่อให้บริการประกันภัยอย่างครบวงจร ซึ่งมีเป้าหมายที่จะเพิ่มสัดส่วนรายได้จากธุรกิจประกันให้เติบโตจากเดิมที่ไม่มีนัยสำคัญ มาเป็น 10% ของรายได้รวมในอนาคต ปัจจุบันบริษัทฯ มีผลิตภัณฑ์ประกันที่ครอบคลุมทั้ง ประกันรถยนต์, พ.ร.บ., และประกันอุบัติเหตุ โดยเน้นคัดเลือกพาร์ทเนอร์ที่เหมาะสม และนำเสนอราคาที่ย่อมเยาเพื่อตอบโจทย์ลูกค้าในทุกกลุ่ม ควบคู่ไปกับการพัฒนา เว็บไซต์ เพื่อรองรับลูกค้ากลุ่มใหม่ที่ต้องการซื้อประกันออนไลน์
สำหรับแผนการขยายเครือข่ายสาขา บริษัทตั้งเป้าเปิดเพิ่ม 200 สาขาใหม่ จากเดิมที่มีเกือบ 6,000 สาขา เพื่อขยายการเข้าถึงบริการสินเชื่อให้ครอบคลุมมากยิ่งขึ้น พร้อมทั้งพัฒนาแอปพลิเคชัน "ศรีสวัสดิ์" ให้สามารถให้บริการด้านสินเชื่อและประกันภัยได้อย่างสะดวกและครบวงจร
ทั้งนี้ จากการที่คณะกรรมการนโยบายการเงิน (กนง.) มีมติลดอัตราดอกเบี้ยนโยบายลง 0.25% จาก 2.25% มาอยู่ที่ 2.00% ต่อปี สะท้อนแนวโน้มดอกเบี้ยขาลงชัดเจน ช่วยให้บริษัทฯ บริหารต้นทุนทางการเงินได้อย่างมีประสิทธิภาพมากขึ้น ส่งผลให้ต้นทุนดำเนินงานลดลง อย่างไรก็ตาม หุ้นกู้ชุดใหม่ที่เตรียมเสนอขายในเดือนมีนาคม 2568 ซึ่งได้รับการจัดอันดับเครดิต A- (tha) ยังคงให้ผลตอบแทนที่น่าสนใจแก่ผู้ลงทุน เนื่องจากอัตราดอกเบี้ยถูกกำหนดล่วงหน้าก่อนที่ กนง. จะประกาศลดดอกเบี้ยนโยบาย
นางสาวธิดา กล่าวเพิ่มเติมว่า SAWAD ยังคงให้ความสำคัญกับการช่วยเหลือลูกค้าที่ได้รับผลกระทบทางเศรษฐกิจ พร้อมเดินหน้านโยบายปล่อยสินเชื่ออย่างรับผิดชอบและเป็นธรรม SAWAD มุ่งมั่นที่จะสร้างการเติบโตอย่างมั่นคงในปี 2568 ผ่านการบริหารความเสี่ยงที่มีประสิทธิภาพ การขยายธุรกิจประกันออนไลน์เพื่อสร้างแหล่งรายได้ใหม่ และการเสริมสร้างโอกาสในการเข้าถึงสินเชื่อให้กับผู้บริโภคทั่วประเทศ ในขณะที่ยังคงรักษาคุณภาพพอร์ตสินเชื่อ และสนับสนุนมาตรการของภาครัฐในการพัฒนาเศรษฐกิจระดับฐานรากต่อไป
นอกจากนี้ บริษัทได้ประกาศจ่ายปันผลจากผลประกอบการปี 2567 รวมเป็นเงิน 211.47 ล้านบาท โดยแบ่งเป็น การจ่ายปันผลเป็นเงินสดในอัตราหุ้นละ 0.04 บาท รวมเป็นเงิน 60.42 ล้านบาท และ การจ่ายปันผลเป็นหุ้นสามัญในอัตรา 10 หุ้นเดิมต่อ 1 หุ้นปันผล รวมเป็นจำนวน 151.05 ล้านหุ้น กำหนดรายชื่อผู้ถือหุ้นที่มีสิทธิได้รับปันผลในวันที่ 9 พฤษภาคม 2568 และกำหนดจ่ายเงินปันผลในวันที่ 27 พฤษภาคม 2568
ธนาคารเกียรตินาคินภัทร จำกัด (มหาชน) มุ่งหน้าดำเนินธุรกิจอย่างยั่งยืน ปล่อยสินเชื่อสีเขียว (Green Loan) มูลค่า 370 ล้านบาทแก่ บริษัท ซีเอ็นอีเอส ดีวัน จำกัด (D1) ซึ่งเป็นบริษัทย่อยของ บริษัท คริสเตียนีและนีลเส็น (ไทย) จำกัด (มหาชน) หรือ CNT เพื่อนำไปพัฒนาโครงการผลิตและจำหน่ายไฟฟ้าจากพลังงานแสงอาทิตย์ (Solar Cell) จำนวน 10 โครงการ รวมกำลังการผลิตไฟฟ้า 19.40 เมกะวัตต์ ติดตั้งในอาคารขนาดใหญ่ อาทิ โรงพยาบาลและโรงงานอุตสาหกรรม ซึ่งมีความต้องการใช้พลังงานสูง ช่วยลดต้นทุนค่าไฟฟ้าและเพิ่มการใช้พลังงานสะอาดให้กับภาคธุรกิจ
การสนับสนุนสินเชื่อดังกล่าวเป็นส่วนหนึ่งในการผลักดันเศรษฐกิจคาร์บอนต่ำของ KKP ผ่านแนวทาง ESG (Environment, Social and Governance) โดยมุ่งเน้นการให้สินเชื่อแก่ธุรกิจที่มีความรับผิดชอบต่อสิ่งแวดล้อมและสังคม พร้อมส่งเสริมการเปลี่ยนผ่านสู่พลังงานสะอาดอย่างเป็นรูปธรรม ในขณะที่ด้าน CNT มีวิสัยทัศน์ในการเป็นผู้นำด้านโครงสร้างพื้นฐานที่เป็นมิตรต่อสิ่งแวดล้อม ทำให้การสนับสนุนครั้งนี้เป็นอีกหนึ่งความร่วมมือสำคัญระหว่างภาคการเงินและภาคธุรกิจที่จะช่วยขับเคลื่อนประเทศไทยสู่เป้าหมาย Net Zero ในอนาคต
นายสุรัตน์ ลีลาทวีวัฒน์ ประธานสายสินเชื่อธุรกิจและประธานสายสินเชื่อบรรษัท ธนาคารเกียรตินาคินภัทร จำกัด (มหาชน) กล่าวว่า "ธนาคารเกียรตินาคินภัทรดำเนินธุรกิจโดยให้ความสำคัญกับการขับเคลื่อนเศรษฐกิจสีเขียว ผ่านทั้งการสนับสนุนสินเชื่อที่เป็นมิตรต่อสิ่งแวดล้อมและการส่งเสริมองค์ความรู้มาอย่างต่อเนื่อง สำหรับความร่วมมือในครั้งนี้ เรามีความยินดีเป็นอย่างยิ่งที่ได้เป็นส่วนหนึ่งในการสนับสนุนโครงการพลังงานแสงอาทิตย์ของ D1 ซึ่งถือเป็นอีกก้าวสำคัญในการเพิ่มการใช้พลังงานทดแทนในภาคธุรกิจ สะท้อนบทบาทสำคัญของสถาบันการเงินในการขับเคลื่อนแนวทาง ESG อย่างเป็นรูปธรรม เพื่อร่วมสร้างธุรกิจและเศรษฐกิจไทยที่มีความยั่งยืนให้เกิดขึ้นได้อย่างแท้จริง"
ด้านนายคูชรู คาลี วาเดีย ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร กลุ่มบริษัท คริสเตียนีและนีลเส็น (ไทย) จำกัด (มหาชน) (CNT) กล่าวว่า “CNT ภูมิใจที่ได้ร่วมเป็นพันธมิตรกับ KKP ในโครงการที่มีความสำคัญนี้ ความร่วมมือครั้งนี้จะช่วยให้ CNT สามารถเติบโตต่อไปและส่งมอบการผลิตพลังงานไฟฟ้าจากแสงอาทิตย์ที่ตอบสนองความต้องการของอุตสาหกรรมไทยในการใช้พลังงานสะอาดได้มากขึ้น ซึ่งจะมีส่วนสำคัญต่อการเปลี่ยนผ่านไปสู่อนาคตพลังงานที่ยั่งยืนของประเทศไทย”
ทั้งนี้ คริสเตียนีและนีลเส็น (ไทย) หรือ CNT เป็นบริษัทชั้นนำด้านวิศวกรรมและการก่อสร้างที่มีประสบการณ์ยาวนานในประเทศไทย โดยมีวิสัยทัศน์ในการขยายธุรกิจด้านพลังงานหมุนเวียน เพื่อตอบสนองความต้องการของตลาดพลังงานสะอาดที่เติบโตขึ้นอย่างต่อเนื่อง