

ดีป้า ร่วมกับ บีโอไอ ขับเคลื่อนมาตรการสนับสนุนผู้ประกอบการไทยเพื่อเพิ่มขีดความสามารถในการแข่งขันด้านการใช้เทคโนโลยีดิจิทัล ระบุผู้ประกอบการองมีการลงทุนและ/หรือค่าใช้จ่ายในการใช้เทคโนโลยีดิจิทัลที่พัฒนาหรือปรับปรุงโดยผู้ประกอบการดิจิทัลที่ได้รับการรับรองหรือขึ้นทะเบียนสินค้าหรือบริการบนบัญชีบริการดิจิทัลจาก ดีป้า เพื่อรับการสนับสนุน 30% ของมูลค่าการลงทุน สูงสุด 100 ล้านบาท ภายในระยะเวลา 1 ปี
ผศ.ดร.ณัฐพล นิมมานพัชรินทร์ ผู้อำนวยการใหญ่ สำนักงานส่งเสริมเศรษฐกิจดิจิทัล หรือ ดีป้า เปิดเผยว่า ตามที่ สำนักงานคณะกรรมการส่งเสริมการลงทุน หรือ บีโอไอ ออกประกาศสำนักงานคณะกรรมการส่งเสริมการลงทุน เรื่อง การขอรับการส่งเสริมภายใต้มาตรการสนับสนุนผู้ประกอบการไทยเพื่อเพิ่มขีดความสามารถในการแข่งขัน ตามประกาศคณะกรรมการนโยบายเพิ่มขีดความสามารถในการแข่งขันของประเทศสำหรับอุตสาหกรรมเป้าหมายนั้น ดีป้า ร่วมยกระดับขีดความสามารถทางการแข่งขันด้านการใช้เทคโนโลยีดิจิทัลแก่ผู้ประกอบการในอุตสาหกรรมเป้าหมาย ประกอบด้วย อุตสาหกรรมการเกษตรและเทคโนโลยีชีวภาพ อุตสาหกรรมอิเล็กทรอนิกส์อัจฉริยะ อุตสาหกรรมการแปรรูปอาหารที่มีมูลค่าเพิ่มสูง อุตสหากรรมการแพทย์ครบวงจร อุตสาหกรรมยานยนต์สมัยใหม่ อุตสาหกรรมป้องกันประเทศ อุตสาหกรรมเชื้อเพลิงและเคมีชีวภาพ และอุตสาหกรรมหุ่นยนต์ ที่ต้องการปรับปรุงประสิทธิภาพของกิจการด้วยเทคโนโลยีที่ทันสมัย โดยผู้ประกอบการไทยต้องนำเทคโนโลยีดิจิทัลที่ถูกพัฒนาหรือปรับปรุงโดยผู้ประกอบการดิจิทัล
ที่ได้รับการรับรองหรือขึ้นทะเบียนสินค้าหรือบริการบนบัญชีบริการดิจิทัลจาก ดีป้า มาใช้เพื่อเพิ่มประสิทธิภาพของกิจการในกรณีใดกรณีหนึ่งหรือหลายกรณี ดังนี้
“กรณีผู้ประกอบการวิสาหกิจขนาดกลางและขนาดย่อมไทยต้องมีเงินลงทุนไม่น้อยกว่า 20 ล้านบาท โดยไม่รวมค่าที่ดินและทุนหมุนเวียน ส่วนกรณีอื่นต้องมีเงินลงทุนไม่น้อยกว่า 50 ล้านบาท โดยไม่รวมค่าที่ดิน และทุนหมุนเวียน ซึ่งผู้ประกอบการที่ต้องการขอรับการส่งเสริมและสนับสนุนต้องมีการลงทุนและ/หรือค่าใช้จ่ายในการใช้เทคโนโลยีดิจิทัลที่พัฒนาหรือปรับปรุงโดยผู้ประกอบการไทยที่ขึ้นทะเบียนบนบัญชีบริการดิจิทัล โดย ดีป้า จะสนับสนุน 30% ของมูลค่าการลงทุน สูงสุด 100 ล้านบาทต่อนิติบุคคล ตามสัดส่วนเงินลงทุนหรือค่าใช้จ่ายที่เกิดขึ้นจริง และเป็นโครงการที่ต้องดำเนินการให้แล้วเสร็จภายในระยะเวลา 1 ปี” ผู้อำนวยการใหญ่ ดีป้า กล่าว
สำหรับผู้ประกอบการที่สนใจขอรับการสนับสนุนสามารถค้นหา/คัดเลือกรายชื่อผู้ประกอบการดิจิทัลที่ได้รับการขึ้นทะเบียนบนบัญชีบริการดิจิทัลของ ดีป้า ได้ทาง https://short.depa.or.th/1LOik และศึกษารายละเอียดของมาตรการสนับสนุนผู้ประกอบการไทยเพื่อเพิ่มขีดความสามารถในการแข่งขันได้ที่ https://short.depa.or.th/yAPQ6
สำนักงานส่งเสริมเศรษฐกิจดิจิทัล หรือ ดีป้า ร่วมหารือนัดพิเศษกับเครือข่ายพันธมิตรในแวดวงอุตสาหกรรมดิจิทัลของประเทศไทย ไม่ว่าจะเป็น สมาคมไทยไอโอที สมาคมการค้าผู้ประกอบการเทคโนโลยี สมาคมอุตสาหกรรมซอฟต์แวร์เกมไทย สมาคมดิจิทัลคอนคอนเทนต์ไทย สมาคมการค้าสตาร์ทอัพไทย สมาคมโปรแกรมเมอร์ไทย สมาคมสินทรัพย์ดิจิทัลไทย สมาคมผู้ประกอบการปัญญาประดิษฐ์ประเทศไทย สมาคมระบบกล้องวงจรปิดอัจฉริยะไทย สภาอุตสาหกรรมแห่งประเทศไทย สมาคมเทคโนโลยีเพื่อการตลาด สมาคมผู้ดูแลเว็บไซต์และสื่อออนไลน์ไทย เพื่อรวบรวมความคิดเห็นที่เป็นประโยชน์ ก่อนนำมาปรับใช้เพื่อเป็นแนวทางการทำงานของ ดีป้า ในการส่งเสริมและสนับสนุนเทคโนโลยีและอุตสาหกรรมดิจิทัล อีกทั้งขับเคลื่อนเศรษฐกิจและสังคมดิจิทัลของประเทศต่อไป โดยมี ผศ.ดร.ณัฐพล นิมมานพัชรินทร์ ผู้อำนวยการใหญ่ ดีป้า พร้อมคณะผู้บริหารระดับสูง ร่วมรับฟังความคิดเห็นในครั้งนี้โดยพร้อมเพรียง ณ อาคารสำนักงานส่งเสริมเศรษฐกิจดิจิทัล (สำนักงานใหญ่) ซอยลาดพร้าว 10 เขตจตุจักร

ทั้งนี้ ผู้บริหารและผู้แทนจากหน่วยงานต่าง ๆ ได้เสนอความคิดเห็นและมุมมองด้านการขับเคลื่อนอุตสาหกรรมดิจิทัลในประเทศไทย ไม่ว่าจะเป็น
ภาคอุตสาหกรรมเห็นพ้องว่า ประเทศไทยจำเป็นต้องยกระดับตั้งแต่โครงสร้างพื้นฐานด้าน Cloud, Data Center รวมถึงมาตรฐาน IoT ตลอดจนโครงสร้างพื้นฐานดิจิทัลด้านอื่น ๆ เพื่อรองรับการลงทุนจากทั้งในประเทศและต่างประเทศ รวมถึงการดึงดูดงานสร้างสรรค์ เช่น ภาพยนตร์หรือดิจิทัลคอนเทนต์ให้อยู่ในประเทศแบบครบวงจร
ที่ประชุมสะท้อนว่า ผู้ประกอบการไทย โดยเฉพาะสาย AI, MarTech และดิจิทัลคอนเทนต์ ต้องการการสนับสนุนที่ช่วยสร้างความได้เปรียบ เช่น การลดข้อจำกัดด้านกฎหมาย การสนับสนุนให้เกิด IP ไทย การสร้างความเชื่อมโยงกับต่างประเทศ การเปิดพื้นที่ทดสอบ (POC) โดยมีรัฐช่วยเป็นผู้รับรองความน่าเชื่อถือ ขณะเดียวกัน SMEs ต้องเผชิญแรงกดดันให้ปรับตัวสู่เทคโนโลยีใหม่อย่างรวดเร็ว แต่ยังขาดความพร้อม ทำให้เกิดช่องว่างระหว่าง Demand-Supply ที่ต้องเร่งแก้ไข

ภาคอุตสาหกรรมระบุว่า ไทยยังมีจำนวนผู้ประกอบการด้านเทคโนโลยี เช่น AI ต่ำเมื่อเทียบกับประเทศคู่แข่ง อีกทั้งบัณฑิตจบใหม่จำนวนมากยังไม่มีงานทำ เพราะทักษะไม่ตรงตามความต้องการของตลาด จึงเสนอให้มีการพัฒนาทักษะเชิงลึก การสร้างแรงงานฝีมือ และการกระจายโอกาสให้เยาวชนจากต่างจังหวัดเข้าถึงอุตสาหกรรมได้มากขึ้น
ผู้ประกอบการและกลุ่มอาชีพต่าง ๆ ต้องการพื้นที่พบปะ แลกเปลี่ยน และสร้างเครือข่ายร่วมกันอย่างต่อเนื่อง เช่น Meet up เวิร์กชอป หรือกิจกรรมสร้างความร่วมมือ โดยเสนอให้ ดีป้า ทำให้พื้นที่ขององค์กรเป็น Digital Hub ที่เปิดกว้างให้ชุมชนดิจิทัลเข้ามาใช้ได้ เพื่อให้เกิดความร่วมมือใหม่ ๆ

เสียงส่วนใหญ่สะท้อนว่า ภาครัฐยังมีขั้นตอนที่ยุ่งยาก การยื่นข้อเสนอช้า และการพิจารณาเอกสารใช้เวลานาน ทำให้ผู้ประกอบการ โดยเฉพาะรายเล็กเข้าถึงได้ยาก พร้อมกันนี้ ภาคเอกชนต้องการให้ภาครัฐยอมรับความเสี่ยงในการล้มเหลวของนวัตกรรม ไม่ใช่มองว่าการสนับสนุนทุกโครงการต้องประสบความสำเร็จเสมอ เพราะอุตสาหกรรมเทคโนโลยีต้องมีพื้นที่สำหรับความผิดพลาดเพื่อเติบโต
หลายภาคส่วนต้องการให้หน่วยงานรัฐทำงานร่วมกับสมาคมมากขึ้น โดยเฉพาะในโครงการขนาดใหญ่ เช่น งานระดับนานาชาติ เพื่อให้สมาคมมีบทบาทตัดสินใจอย่างแท้จริงและสะท้อนความต้องการของอุตสาหกรรมได้ชัดเจน
ผู้ประกอบการจำนวนมากสะท้อนว่าปัญหา Credit Term ยังคงเป็นอุปสรรคสำคัญ แม้กฎหมายกำหนด 45 วัน แต่หลายธุรกิจยังปฏิบัติไม่ได้จริง ส่งผลต่อสภาพคล่องของ SMEs จึงเสนอให้มีมาตรการช่วยเหลือ หรือแนวทางเพื่อให้ระบบการชำระเงินเป็นธรรมและสอดคล้องกับความเป็นจริงของอุตสาหกรรม
อุตสาหกรรมเกมสะท้อนว่า ไทยยังมีศักยภาพสูง สามารถดึงงานและการลงทุนจากต่างชาติได้ หากมีการผลักดันเชิงระบบ โดยที่ประชุมมีการเสนอว่าไทยควรใช้ความสำเร็จของงาน gamescom x Thailand Game Show 2025 ที่จัดในไทยเป็นจุดเริ่มต้นในการดึงดูดนักลงทุน ครีเอเตอร์ และแรงงานต่างชาติให้เข้ามาทำงานในประเทศ นอกจากนี้ รัฐควรกระจายกิจกรรมและโอกาสไปยังภูมิภาค เพื่อเปิดพื้นที่ให้เยาวชนในต่างจังหวัดเข้าสู่อุตสาหกรรมเกมมากขึ้น พร้อมเปิดให้สมาคมและภาคอุตสาหกรรมมีบทบาทตัดสินใจร่วมกับภาครัฐในการจัดกิจกรรมระดับนานาชาติ เพื่อให้การขับเคลื่อนสอดคล้องกับความต้องการจริงของอุตสาหกรรม อันสะท้อนความต้องการให้ประเทศไทยเป็นศูนย์กลางคอนเทนต์–เกมของภูมิภาคในอนาคต

“เสียงสะท้อนทั้งหมดชี้ชัดว่า หากประเทศไทยต้องการก้าวไปสู่เศรษฐกิจดิจิทัลอย่างเต็มรูปแบบ ภาครัฐต้องมีบทบาทสำคัญในการปรับกฎเกณฑ์ให้ทันสมัย เปิดพื้นที่ให้ผู้ประกอบการเติบโตอย่างยั่งยืน และสร้างระบบนิเวศดิจิทัลที่ครอบคลุมตั้งแต่โครงสร้างพื้นฐาน การพัฒนาคน ไปจนถึงการสนับสนุนความเสี่ยงของนวัตกรรมใหม่” ผู้อำนวยการใหญ่ ดีป้า กล่าว
รองนายกรัฐมนตรี และรัฐมนตรีว่าการกระทรวงดิจิทัลเพื่อเศรษฐกิจและสังคม พร้อมด้วย รัฐมนตรีว่าการกระทรวงการอุดมศึกษา วิทยาศาสตร์ วิจัยและนวัตกรรม ร่วมเปิดกิจกรรมจับสลากเลือกหลักสูตร/ประเทศ และสอบสัมภาษณ์โครงการ ODOS Summer Camp ยืนยันรัฐบาลพร้อมส่งมอบโอกาสให้กับเยาวชนไทยทุกคน ในทุกพื้นที่ เพื่อสร้างพลังแห่งอนาคตที่ยิ่งใหญ่ให้กับประเทศ
นายประเสริฐ จันทรรวงทอง รองนายกรัฐมนตรี และรัฐมนตรีว่าการกระทรวงดิจิทัลเพื่อเศรษฐกิจและสังคม พร้อมด้วย นางสาวสุดาวรรณ หวังศุภกิจโกศล รัฐมนตรีว่าการกระทรวงการอุดมศึกษา วิทยาศาสตร์ วิจัยและนวัตกรรม และ ผศ.ดร.ณัฐพล นิมมานพัชรินทร์ ผู้อำนวยการใหญ่ สำนักงานส่งเสริมเศรษฐกิจดิจิทัล หรือ ดีป้า ร่วมเปิดกิจกรรม ODOS Summer Camp Selection Day กิจกรรมจับสลากเลือกหลักสูตร/ประเทศ และสอบสัมภาษณ์ในโครงการ ODOS Summer Camp ค่ายแห่งโอกาสภาคฤดูร้อน โดยมี ดร.วาริน รัชนานุสรณ์ รักษาการรองผู้อำนวยการใหญ่ ดีป้า ในฐานะผู้อำนวยการโครงการกล่าวรายงานที่มาและความสำคัญของโครงการ ณ บางกอกคอนเวนชั่นเซ็นเตอร์ ชั้น 22 โรงแรมเซ็นทาราแกรนด์ แอท เซ็นทรัลเวิลด์

นายประเสริฐ กล่าวว่า โครงการทุนการศึกษาเพื่อขยายโอกาสและพัฒนาประเทศ (Outstanding Development Opportunity Scholarship: ODOS) เป็นการต่อยอดมาจากโครงการ 1 อำเภอ 1 ทุนการศึกษาในอดีต แต่มีการขยายโอกาสให้กับเด็กและเยาวชนที่เป็นกำลังสำคัญของประเทศเพื่อเปิดโลกทัศน์และเสริมสร้างทักษะที่จำเป็นในศตวรรษที่ 21 ซึ่ง ODOS Summer Camp ทุนการศึกษาแบบให้เปล่าจำนวน 928 ทุน คือหนึ่งในความตั้งใจของรัฐบาลที่จะส่งมอบ ‘โอกาส’ ให้กับเยาวชนไทย ในนามของรัฐบาลขอแสดงความยินดีกับน้อง ๆ ทั้ง 928 คน ตัวแทนจาก 878 อำเภอทั่วประเทศ และ 50 เขตในกรุงเทพฯ ที่สามารถผ่านกระบวนการคัดเลือกที่เข้มข้น และเข้ามาถึงการคัดเลือกรอบสุดท้าย ซึ่งเป็นการจับสลากเพื่อเลือกหลักสูตร/ประเทศ และสอบสัมภาษณ์กับคณะกรรมการผู้ทรงคุณวุฒิในวันนี้

“รัฐบาลให้ความสำคัญกับการสร้างโอกาสแก่เยาวชนไทยในทุกจังหวัดอย่างทั่วถึง โดยเยาวชนที่ผ่านการคัดเลือกเข้าสู่โครงการ ODOS Summer Camp จะได้รับโอกาสในการเข้าถึงการศึกษาจากสถาบันการศึกษาชั้นนำ และบริษัทเทคโนโลยีระดับโลก ไม่ว่าจะเป็น AWS, Google, Microsoft, Huawei, Alibaba, Nokia, Canva, LinkedIn, Sony, Nintendo ฯลฯ ซึ่งรัฐบาลเชื่อว่า โอกาสในการเรียนรู้ไม่ควรถูกจำกัดอยู่แค่ในห้องเรียน นอกจากนี้ เยาวชนจะได้รับโอกาสในการค้นหาแรงบันดาลใจที่จะช่วยปรับมุมมอง และทำให้เห็นภาพฝันของตัวเองได้ชัดเจนขึ้น รวมถึงโอกาสในการสร้างคนรุ่นใหม่ของประเทศที่ไม่เพียงรู้เท่าทันโลก แต่ยังเป็นคนกล้าที่จะฝันและลงมือทำ เราหวังเป็นอย่างยิ่งว่า โอกาสที่น้อง ๆ ได้รับจะเป็นต้นทุนที่มีค่าสำหรับการดำเนินชีวิต และขอให้ทุกคนเก็บเกี่ยวความรู้และประสบการณ์ทั้งหมดก่อนกลับมาส่งต่อและแบ่งปันให้กับเพื่อนพี่น้อง เพื่อเป็นแรงบันดาลใจและสร้างสรรค์พลังแห่งอนาคตที่ยิ่งใหญ่ให้กับประเทศไทย” นายประเสริฐ กล่าว
ด้าน ดร.วาริน กล่าวว่า คณะรัฐมนตรีได้มอบหมายให้ กระทรวงดีอี โดย ดีป้า เป็นหน่วยงาน หลักในการดำเนินโครงการ ODOS Summer Camp หลักสูตรระยะสั้น 5 - 6 สัปดาห์ที่เปิดโอกาสให้นักเรียน/นักศึกษา อายุไม่เกิน 19 ปีที่มีภูมิลำเนาใน 878 อำเภอทั่วประเทศ 50 เขตในกรุงเทพฯ รวม 928 คน ซึ่งเป็นตัวแทนเขต/อำเภอได้มีประสบการณ์การใช้ชีวิตและการศึกษาในมหาวิทยาลัยชั้นนำใน 9 ประเทศ ประกอบด้วย สหรัฐอเมริกา สหราชอาณาจักร ฟินแลนด์ เอสโตเนีย ออสเตรเลีย จีน ญี่ปุ่น เกาหลีใต้ และสิงคโปร์ รวม 16 หลักสูตร พร้อมยกระดับทักษะดิจิทัลจากเจ้าของเทคโนโลยีที่เป็นบริษัทเทคโนโลยีระดับโลก และค้นหาแรงบันดาลใจในการต่อยอดไปสู่การเลือกสายการเรียนในระดับที่สูงขึ้น รวมถึงสายอาชีพในอนาคต

หลังจากนี้ โครงการจะประกาศรายชื่อผู้ผ่านการคัดเลือกรอบสุดท้ายในวันศุกร์ที่ 1 สิงหาคมนี้ทาง https://odos.thaigov.go.th/Announcement และเพจเฟซบุ๊ก ODOS Summer Camp ส่วนผู้ที่สนใจสามารถติดตามข้อมูลข่าวสารของโครงการ ODOS Summer Camp ได้ทาง https://odos.thaigov.go.th/ และเพจเฟซบุ๊ก ODOS Summer Camp