

นายชลัช รัตนบุญนิธิ กรรมการผู้จัดการ ธนาคารเพื่อการส่งออกและนำเข้าแห่งประเทศไทย (EXIM BANK) นำคณะผู้บริหารและพนักงานลงพื้นที่ภาคใต้ เพื่อให้กำลังใจและติดตามสถานการณ์ของผู้ประกอบธุรกิจส่งออก พนักงาน และประชาชนที่ได้รับผลกระทบจากอุทกภัย โดยร่วมมอบอาหารแห้ง อาหารพร้อมรับประทาน เครื่องอุปโภคบริโภค และของใช้จำเป็น เพื่อบรรเทาความเดือดร้อนด้านการดำรงชีวิตและการประกอบอาชีพในพื้นที่อำเภอหาดใหญ่ จังหวัดสงขลา เมื่อวันที่ 2 ธันวาคม 2568
ในการช่วยเหลือผู้ประสบภัยที่ขาดแคลนอาหารสดและของใช้จำเป็น EXIM BANK ได้เร่งดำเนินการจัดส่งอาหารสดและวัตถุดิบจำเป็นแบบวันต่อวันเข้าสู่พื้นที่ พร้อมทั้งสนับสนุนรายได้ให้แก่ผู้ประกอบการรายย่อยในชุมชนอารีย์ ผ่านการจัดซื้อสินค้าอุปโภคบริโภค เพื่อให้เกิดประโยชน์ทั้งต่อผู้ค้าในกรุงเทพฯ และประชาชนในพื้นที่น้ำท่วม ตามหลักความรับผิดชอบต่อสังคม
คณะผู้บริหารยังได้ตรวจเยี่ยม EXIM BANK สาขาหาดใหญ่ ซึ่งได้รับผลกระทบจากอุทกภัย โดยพูดคุยกับพนักงานเพื่อรับฟังปัญหาและมอบแนวทางช่วยเหลือแก่พนักงานและครอบครัว เพื่อสร้างขวัญกำลังใจในการปฏิบัติงานและการดูแลผู้ประกอบการในพื้นที่ได้อย่างต่อเนื่อง
นายชลัช กล่าวว่า EXIM BANK ไม่เพียงดูแลประชาชนในยามวิกฤต แต่ยังยืนหยัดเคียงข้างผู้ประกอบการส่งออก โดยเฉพาะ SMEs ซึ่งเป็นพลังสำคัญของเศรษฐกิจไทย เรามุ่งมั่นลงพื้นที่จริง เพื่อสนับสนุนให้ผู้ประกอบการฟื้นตัวและเดินหน้าธุรกิจได้โดยเร็วที่สุด
ในฐานะสถาบันการเงินของรัฐ EXIM BANK ได้ดำเนินมาตรการพักชำระหนี้ เยียวยา และฟื้นฟูสำหรับผู้ประกอบการในห่วงโซ่การส่งออกที่ได้รับผลกระทบ ทั้งด้านการซ่อมแซมสถานประกอบการ โรงงาน เครื่องจักร รวมถึงการเสริมสภาพคล่อง เพื่อให้ธุรกิจกลับมาดำเนินงานได้อย่างต่อเนื่องและยั่งยืน
ลูกค้าที่ได้รับผลกระทบจากอุทกภัยสามารถขอรับคำปรึกษาหรือเข้าร่วมมาตรการช่วยเหลือได้ที่ EXIM Contact Center โทร. 0 2169 9999 หรือ EXIM Bank of Thailand Facebook
นายชลัช รัตนบุญนิธิ กรรมการผู้จัดการ ธนาคารเพื่อการส่งออกและนำเข้าแห่งประเทศไทย (EXIM BANK) เปิดเผยว่า EXIM BANK มีมาตรการช่วยเหลือและเยียวยาลูกค้าที่ได้รับผลกระทบทั้งทางตรงและทางอ้อมจากสถานการณ์อุทกภัยในพื้นที่หาดใหญ่และภาคใต้ของไทย ทั้งในส่วนของวงเงินกู้ระยะสั้นและวงเงินกู้ระยะยาว โดยเพิ่มวงเงินทุนหมุนเวียนระยะสั้นชั่วคราวสูงสุด 20% ของวงเงินเดิม เปลี่ยนแปลงภาระหนี้ระยะสั้นเป็นภาระหนี้ระยะยาว ผ่อนชำระเงินกู้ระยะสั้นได้นานสูงสุด 3 ปี และระยะยาวสูงสุด 7 ปี ลดภาระดอกเบี้ยเงินกู้ระยะยาว และพักชำระหนี้เงินต้นนานสูงสุด 1 ปี เพื่อให้ลูกค้าของ EXIM BANK สามารถดำเนินธุรกิจส่งออกหรือธุรกิจที่เกี่ยวเนื่องกับการส่งออกตลอดทั้ง Supply Chain ได้อย่างต่อเนื่อง
มาตรการช่วยเหลือสำหรับวงเงินกู้ระยะสั้น
มาตรการช่วยเหลือสำหรับวงเงินกู้ระยะยาว
“EXIM BANK ขอส่งความห่วงใยต่อผู้ได้รับผลกระทบจากอุทกภัยในพื้นที่หาดใหญ่และภาคใต้ ขอให้ทุกท่านปลอดภัยและผ่านพ้นสถานการณ์นี้ไปด้วยกัน ทั้งนี้ เพื่อให้ลูกค้ามีสภาพคล่องหมุนเวียนหรือฟื้นฟูกิจการ สามารถดำเนินธุรกิจต่อไปได้อย่างต่อเนื่อง EXIM BANK พร้อมให้คำปรึกษาและช่วยเหลือเยียวยา สอบถามข้อมูลเพิ่มเติมได้ที่ EXIM Contact Center โทร. 0 2169 9999 หรือ Inbox Facebook ‘EXIM Bank of Thailand’”
คณะกรรมการธนาคารเพื่อการส่งออกและนำเข้าแห่งประเทศไทย (EXIM BANK) มีมติแต่งตั้ง นายชลัช รัตนบุญนิธิ เป็นกรรมการผู้จัดการ EXIM BANK โดยเข้ารับตำแหน่งตั้งแต่วันที่ 1 ตุลาคม 2568
ทั้งนี้ EXIM BANK ได้ดำเนินการตามกระบวนการสรรหากรรมการผู้จัดการตามเกณฑ์ของกระทรวงการคลังและธนาคารแห่งประเทศไทย และคณะกรรมการธนาคารมีมติแต่งตั้งนายชลัช รัตนบุญนิธิ ผู้ช่วยผู้บริหารองค์กร EXIM BANK ดำรงตำแหน่งกรรมการผู้จัดการ EXIM BANK โดยได้รับความเห็นชอบจากรัฐมนตรีว่าการกระทรวงการคลัง ตามพระราชบัญญัติธนาคารเพื่อการส่งออกและนำเข้าแห่งประเทศไทย พ.ศ. 2536 เรียบร้อยแล้ว
โดย นายชลัช รัตนบุญนิธิ ผู้นำคนล่าสุดของ EXIM BANK มีภูมิหลังด้านการศึกษาเป็นที่น่าจับตา โดยสำเร็จการศึกษาปริญญาโท บริหารธุรกิจมหาบัณฑิต มหาวิทยาลัยรัฐแคลิฟอร์เนีย สหรัฐฯ และปริญญาตรี บัญชีบัณฑิต สาขาระบบสารสนเทศทางการบัญชี คณะพาณิชยศาสตร์และการบัญชี จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย
ทั้งนี้ นายชลัช เคยดำรงตำแหน่งผู้จัดการธุรกิจภาครัฐ สายงานธุรกิจขนาดใหญ่ ธนาคารไทยพาณิชย์ จำกัด (มหาชน) ผู้อำนวยการฝ่ายอาวุโส สายงานธุรกิจภาครัฐ ธนาคารกรุงไทย จำกัด (มหาชน) และล่าสุดดำรงตำแหน่งผู้ช่วยผู้บริหารองค์กร EXIM BANK ก่อนจะได้รับแต่งตั้งเป็นกรรมการผู้จัดการ EXIM BANK คนที่ 7 นับตั้งแต่ก่อตั้ง EXIM BANK เมื่อปี 2537 มีวาระการดำรงตำแหน่ง 4 ปี ตั้งแต่วันที่ 1 ตุลาคม 2568 ถึง 30 กันยายน 2572
นายบัณฑิต สะเพียรชัย กรรมการ และรักษาการกรรมการผู้จัดการ ธนาคารเพื่อการส่งออกและนำเข้าแห่งประเทศไทย (EXIM BANK) เปิดเผยว่า EXIM BANK ได้รับการรับรองมาตรฐาน ISO 14064-1:2018 สำหรับการจัดทำบัญชีและรายงานการปล่อยก๊าซเรือนกระจก (GHG Inventory) ปี 2567 จากบริษัท บูโร เวอริทัส เซอทิฟิเคชั่น (ประเทศไทย) จำกัด ต่อเนื่องเป็นปีที่ 2 ซึ่งเป็นมาตรฐานที่มอบให้กับองค์กรที่ดำเนินการยกระดับการรายงานและจัดการการปล่อยก๊าซเรือนกระจกได้เทียบเท่าระดับสากล โดย EXIM BANK เป็นสถาบันการเงินเฉพาะกิจของรัฐแห่งแรกที่ได้รับการรับรองมาตรฐาน ISO 14064-1:2018 เป็นผลจากความสำเร็จในการมุ่งมั่นดำเนินธุรกิจโดยคำนึงถึงสิ่งแวดล้อม สังคม และการกำกับดูแลกิจการที่ดี (Environmental, Social, and Governance : ESG) โดยเฉพาะด้านสิ่งแวดล้อม เพื่อเป็นส่วนหนึ่งของการแก้ไขปัญหาการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศ (Climate Change) อย่างเป็นรูปธรรม ผ่านการจัดทำข้อมูลการปล่อยก๊าซเรือนกระจกที่โปร่งใสและเป็นไปตามมาตรฐานสากล
EXIM BANK ในฐานะธนาคารเพื่อการพัฒนายังคงเดินหน้าสู่การเป็นองค์กรที่มีความเป็นกลางทางคาร์บอน (Carbon Neutral Organization) พัฒนาเครื่องมือการจัดเก็บ คำนวณการปล่อยก๊าซเรือนกระจกจากการดำเนินงาน และกำหนดแนวทางลดการปล่อยคาร์บอนอย่างเป็นระบบ สอดคล้องกับเป้าหมายการพัฒนาที่ยั่งยืนขององค์การสหประชาชาติ (SDGs) พร้อมขับเคลื่อนเศรษฐกิจสีเขียวของไทยสู่ระดับโลกอย่างยั่งยืน ผ่านการดำเนินงานอย่างโปร่งใส มีธรรมาภิบาล และรับผิดชอบต่อผู้มีส่วนได้ส่วนเสียทุกภาคส่วน
นายบัณฑิต สะเพียรชัย กรรมการ และรักษาการกรรมการผู้จัดการ ธนาคารเพื่อการส่งออกและนำเข้าแห่งประเทศไทย (EXIM BANK) ให้การต้อนรับนายประกอบ เพียรเจริญ ประธานคณะเจ้าหน้าที่ด้านลูกค้าธุรกิจขนาดใหญ่และวาณิชธนกิจ ธนาคารกรุงศรีอยุธยา จำกัด (มหาชน) และนางสาวปภากร รัตนเศรษฐ รองผู้อำนวยการธนาคารออมสินอาวุโส กลุ่มลงทุนและบริหารการเงิน ในโอกาสร่วมแสดงความยินดีงานฉลองความสำเร็จ “การออกพันธบัตรเพื่อความยั่งยืน (Sustainability Bond)” ณ EXIM BANK สำนักงานใหญ่ เมื่อวันที่ 15 กรกฎาคม 2568
EXIM BANK ประสบความสำเร็จในการออกพันธบัตรสกุลบาท จำนวน 2 ชุด มูลค่ารวม 6,000 ล้านบาท เมื่อวันที่ 20 มิถุนายน 2568 โดยมีธนาคารออมสินและธนาคารกรุงศรีอยุธยา จำกัด (มหาชน) เป็นผู้จัดการการจัดจำหน่ายพันธบัตร ซึ่งการออกพันธบัตรในครั้งนี้เป็นการออกพันธบัตรเพื่อความยั่งยืน (Sustainability Bond) รุ่นแรกของธนาคาร จำนวน 3,000 ล้านบาท เพื่อนำไปใช้ขับเคลื่อนธุรกิจสีเขียว (Green Bond) และธุรกิจ SMEs (Social Bond) ของไทยให้สามารถเข้าถึงแหล่งเงินทุน สร้างผลกระทบเชิงบวกต่อเศรษฐกิจ สังคม และสิ่งแวดล้อม ต่อยอดความเข้มแข็งตั้งแต่เศรษฐกิจฐานรากเชื่อมโยงกับ Global Supply Chain