December 05, 2025

นางสุภาพร ลีนะบรรจง กรรมการผู้จัดการ บริษัทหลักทรัพย์จัดการกองทุน กรุงศรี จำกัด (บลจ.กรุงศรี) เปิดเผยว่า “ในปี 2568 บริษัทมีทรัพย์สินภายใต้การบริหารอยู่ที่ 714,755 ล้านบาท เติบโต 10% ตั้งแต่ต้นปี และสูงกว่าอุตสาหกรรม 3% โดยกองทุนรวมยังคงเป็นธุรกิจหลักของบริษัทและมีการเติบโตโดดเด่นถึง 13% ตั้งแต่ต้นปี สูงกว่าอุตสาหกรรม 6% การเติบโตที่แข็งแกร่งนี้ได้รับประโยชน์จากเงินลงทุนไหลเข้าสุทธิกว่า 57,000 ล้านบาท คิดเป็น 23% ของเงินลงทุนไหลเข้าสุทธิทั้งหมด ทั้งนี้ กองทุนรวมของ บลจ.กรุงศรี มีขนาดใหญ่อันดับที่ 5 ของอุตสาหกรรม” (ข้อมูล ณ ก.ย. 68)

“กองทุนรวมของ บลจ.กรุงศรี ที่ได้รับความนิยมสูงสุด ได้แก่ กองทุนกรุงศรีสมาร์ทตราสารหนี้–สะสมมูลค่า (KFSMART-A) มีเงินไหลเข้าสุทธิกว่า 35,000 ล้านบาท สูงสุดเป็นอันดับที่ 2 ของอุตสาหกรรมในกลุ่มตราสารหนี้ระยะสั้น และกองทุนกรุงศรีแอคทีฟตราสารหนี้–สะสมมูลค่า (KFAFIX-A) ซึ่งมีเงินไหลเข้าสุทธิกว่า 39,000 ล้านบาท สูงสุดเป็นอันดับที่ 3 ของอุตสาหกรรมในกลุ่มตราสารหนี้ระยะกลาง”

“นอกจากนี้ ในปี 2568 บลจ.กรุงศรี ยังได้รับรางวัลจากสถาบันชั้นนำระดับสากลรวมทั้งสิ้น 13 รางวัล ประกอบด้วย รางวัลจากสถาบันในประเทศ 5 รางวัล รวมถึงรางวัลจากสถาบันต่างประเทศอีก 8 รางวัล ครอบคลุมทั้งรางวัลบริษัทจัดการกองทุนรวมดีเด่น รางวัลการบริหารกองทุนตราสารหนี้ และรางวัลกองทุนยอดเยี่ยมประเภทต่างๆ สะท้อนถึงศักยภาพ ความเป็นมืออาชีพ และความมุ่งมั่นในการพัฒนาอย่างต่อเนื่องของบริษัท” (ข้อมูล ณ พ.ย. 68)

“สำหรับแผนธุรกิจปี 2569 บริษัทยังคงมุ่งพัฒนากองทุนและผลิตภัณฑ์ที่ตอบโจทย์ภาวะตลาด โดยเพิ่มความหลากหลายของกองทุนสกุลเงินต่างประเทศ รวมถึงกองทุนที่เหมาะกับผู้ลงทุนรายย่อยและผู้ลงทุนรายใหญ่ พร้อมขยายช่องทางจัดจำหน่ายร่วมกับพันธมิตร รวมทั้งยกระดับประสบการณ์ใช้งานผ่าน @ccess Mobile อย่างต่อเนื่อง”

“ด้านมุมมองเศรษฐกิจโลกปี 2569 นายศิระ คล่องวิชา ประธานเจ้าหน้าที่กลุ่มการลงทุน บลจ.กรุงศรี เปิดเผยว่า “ภาพรวมเศรษฐกิจโลกมีสัญญาณเชิงบวกมากขึ้น หลายประเด็นมีความชัดเจน เช่น การผ่อนคลายมาตรการภาษีของสหรัฐฯ ความตึงเครียดทางการค้าที่ลดลง และแนวโน้มการลดดอกเบี้ยของธนาคารกลางหลายประเทศ ค่าเงินดอลลาร์ยังมีแนวโน้มแข็งค่าจากอัตราดอกเบี้ยที่อยู่ในระดับสูง ขณะที่เงินเยนอ่อนค่าต่อเนื่องจากการที่ธนาคารกลางญี่ปุ่นยังไม่ปรับขึ้นดอกเบี้ย แม้เศรษฐกิจประเทศหลักจะฟื้นตัวแตกต่างกัน แต่ภาพรวมยังอยู่ในทิศทางขยายตัว เห็นได้จากเศรษฐกิจสหรัฐฯ ยังแข็งแกร่ง เศรษฐกิจยุโรปมีแนวโน้มฟื้นตัวและเงินเฟ้อใกล้ระดับเป้าหมาย ส่วนเศรษฐกิจจีนยังเผชิญความท้าทายจากการชะลอตัวของการบริโภคและปัญหาอสังหาริมทรัพย์ ขณะที่เศรษฐกิจญี่ปุ่นฟื้นตัวจากการปรับขึ้นค่าจ้างและนโยบายของรัฐบาลใหม่”

“ตลาดหุ้นทั่วโลกยังคงมีแรงขายทำกำไรระยะสั้น แต่พื้นฐานของบริษัทจดทะเบียนโดยเฉพาะในกลุ่มเทคโนโลยีและ AI ยังคงแข็งแกร่ง ขณะที่ตลาดตราสารหนี้เริ่มฟื้นตัวจากทิศทางการลดดอกเบี้ย ซึ่งเหมาะกับการทยอยลงทุนของนักลงทุนระยะกลางถึงยาว ปัจจัยสนับสนุนเศรษฐกิจโลกมาจากการเติบโตของเทคโนโลยีและ AI รวมถึงการย้ายฐานการผลิตเพื่อลดผลกระทบจากนโยบายภาษีของสหรัฐฯ นโยบายการเงินที่ผ่อนคลาย และการยุติการลดขนาดงบดุลของเฟด (QT) วงเงิน 40,000 ล้านดอลลาร์ต่อเดือนถือเป็นปัจจัยบวกต่อตลาดโลก แต่ยังมีความเสี่ยงที่ต้องติดตาม เช่น ความไม่แน่นอนของนโยบายภาษีสหรัฐฯ ความตึงเครียดทางภูมิรัฐศาสตร์ ปัญหาการเมืองฝรั่งเศสที่อาจนำไปสู่วิกฤติในยุโรป และการแทนที่แรงงานด้วย AI ที่ส่งผลต่อการว่างงาน”

“ธีมการลงทุนเด่นในปี 2569 ได้แก่ หุ้นกลุ่ม AI, หุ้นสหรัฐฯ ที่ได้แรงสนับสนุนจากการลงทุนด้าน AI และการลดภาษี, หุ้น Healthcare ที่ราคาหุ้นไม่แพง, และหุ้นเทคโนโลยีจีนที่ได้รับการสนับสนุนจากการพัฒนา AI อย่างรวดเร็ว กองทุนเด่นที่น่าสนใจ ได้แก่ KFGDIV, KFHEALTH, และ KFCHINA-T10PLUS ซึ่งคัดเลือกหุ้นคุณภาพจากกลุ่มเติบโตสูง และได้แรงหนุนจากทิศทางนโยบายการเงินที่ผ่อนคลายในปี 2569”

“เศรษฐกิจไทยมีสัญญาณฟื้นตัวดีขึ้นจากมาตรการกระตุ้นเศรษฐกิจ การส่งออกที่ปรับตัวดี และภาคการผลิตที่ฟื้นตัวตามตลาดโลก ขณะที่ผลประกอบการของบริษัทจดทะเบียนไตรมาส 3 ออกมาดีกว่าคาด แม้ยังมีปัจจัยต้องติดตาม เช่น ความไม่แน่นอนทางการเมือง และความล่าช้าในการปรับโครงสร้างเศรษฐกิจสู่เศรษฐกิจเทคโนโลยี ด้านตลาดหุ้นไทยปี 2569 ยังคงน่าสนใจจากระดับราคาที่ไม่สูงเมื่อเทียบภูมิภาค และอัตราเงินปันผลมากกว่า 4% ต่อปี ผลประกอบการของบริษัทจดทะเบียนในไตรมาส 3 ออกมาดี โดยเฉพาะหุ้นกลุ่มธนาคารที่ผลประกอบการเด่น กองทุนหุ้นไทยแนะนำ ได้แก่ KFENS50 และ KFTSTAR”

“บลจ.กรุงศรี ยังคงมีมุมมองเชิงบวกต่อตราสารหนี้ทั้งในและต่างประเทศ โดยประเมินว่าเฟดอาจทยอยลดดอกเบี้ยในช่วง 1–2 ปีข้างหน้า ประกอบกับเงินเฟ้อไทยอยู่ในระดับต่ำและอาจติดลบในปี 2568 จึงมีโอกาสที่ธปท.จะปรับลดดอกเบี้ยอีก 1–2 ครั้งสู่ระดับ 1.00–1.25% ภายในครึ่งแรกของปี 2569 กองทุนตราสารหนี้ที่น่าสนใจ ได้แก่ KFSMART-A และ KFAFIX-A ส่วนตราสารหนี้ต่างประเทศยังคงน่าสนใจ เช่น พันธบัตรรัฐบาลสหรัฐฯ และตราสารหนี้คุณภาพสูง โดยกองทุนตราสารหนี้ต่างประเทศแนะนำคือ KF-CSINCOME ที่กระจายการลงทุนทั่วโลกได้อย่างยืดหยุ่น เหมาะกับสภาวะตลาดที่ยังผันผวน”

“โดยสรุปการจัดพอร์ตปี 2569 บลจ.กรุงศรี แนะนำให้กระจายการลงทุนในหลากหลายสินทรัพย์ และหุ้นยังเป็นสินทรัพย์ที่ให้โอกาสเติบโตสูงที่สุด อัตราเงินเฟ้อสหรัฐฯ แม้ขยับขึ้นจากผลของมาตรการภาษี แต่อยู่ในระดับที่ควบคุมได้ ขณะที่นโยบายการเงินและการคลังของประเทศหลักทั่วโลกยังสนับสนุนการฟื้นตัวของเศรษฐกิจ ด้านตราสารหนี้ระยะกลางยังให้ผลตอบแทนที่ดีจากแนวโน้มดอกเบี้ยขาลงและช่วยลดความผันผวนของพอร์ต ส่วนทองคำควรมีสัดส่วน 5–10% ของพอร์ตเพื่อกระจายความเสี่ยง แม้ระยะสั้นราคาจะปรับตัวขึ้น แต่ในระยะยาวยังได้รับแรงหนุนจากการเข้าซื้อทองคำของธนาคารกลางทั่วโลก โดยแนะนำการทยอยสะสมเมื่อราคาย่อตัว” นายศิระ กล่าว

กรุงศรี (ธนาคารกรุงศรีอยุธยา จำกัด (มหาชน) และบริษัทในเครือ) ในฐานะผู้นำด้านดิจิทัลแบงก์กิ้งที่เดินหน้าด้วยความมุ่งมั่นสู่อนาคตที่ยั่งยืน โชว์วิสัยทัศน์ในการขับเคลื่อนนวัตกรรมด้านไอทีและดิจิทัลในงาน Krungsri Tech Day 2025: Empower People to Make Life Simple โดยมุ่งเน้นการพัฒนาเทคโนโลยีที่เชื่อมโยงทุกมิติของชีวิตประจำวันให้สะดวกและราบรื่นยิ่งขึ้น พร้อมยกระดับศักยภาพทั้งด้านเทคโนโลยีและผู้คน เพื่อสนับสนุนธุรกิจและสังคมไทยสู่อนาคตที่ยั่งยืน ในงานมหกรรมด้านเทคโนโลยีของกรุงศรีที่ร่วมมือกับพันธมิตรสายเทคชั้นนำจัดขึ้นต่อเนื่องเป็นปีที่สี่

นายเคนอิจิ ยามาโตะ กรรมการผู้จัดการใหญ่และประธานเจ้าหน้าที่บริหาร ธนาคารกรุงศรีอยุธยา จำกัด (มหาชน) ได้ให้เกียรติเป็นประธานกล่าวเปิดงาน กล่าวว่า “Krungsri Tech Day 2025 สะท้อนถึงความมุ่งมั่นของกรุงศรีในการขับเคลื่อนการเปลี่ยนแปลงผ่านนวัตกรรมที่ช่วยให้การบริการทางการเงินในชีวิตประจำวันและการทำธุรกิจง่ายขึ้น รวดเร็วขึ้น และปลอดภัยยิ่งขึ้น ด้วยการลงทุนในเทคโนโลยีดิจิทัล กรุงศรีมุ่งเน้นการให้บริการที่ตอบโจทย์ลูกค้า เพิ่มประสิทธิภาพการดำเนินงาน และสร้างความเชื่อมั่นอย่างยั่งยืน เพื่อก้าวสู่การเป็นธนาคารชั้นนำแห่งภูมิภาคเพื่อความยั่งยืน ที่พร้อมสนับสนุนธุรกิจและชุมชนให้เติบโตไปด้วยกัน ขณะเดียวกันก็หวังเป็นอย่างยิ่งว่าการขับเคลื่อนเทคโนโลยีของกรุงศรีจะเป็นแรงบันดาลใจให้ทุกคนมองเห็นว่าเทคโนโลยีไม่ใช่แค่เครื่องมือ แต่เป็นพลังแห่งการเปลี่ยนแปลงที่เข้าใจและส่งเสริมชีวิตผู้คนอย่างแท้จริง”

นางสาวสายสุนีย์ หาญประเทืองศิลป์ ประธานกลุ่มสนับสนุนธุรกิจด้านเทคโนโลยีสารสนเทศและดิจิทัล ธนาคารกรุงศรีอยุธยา จำกัด (มหาชน) กล่าวว่า “ทิศทางและกลยุทธ์ด้านเทคโนโลยีและนวัตกรรมของกรุงศรี มุ่งเน้นการพัฒนาเทคโนโลยีควบคู่กับการเสริมศักยภาพของผู้คน เพื่อสร้างคุณค่าให้กับองค์กร สังคม และธุรกิจอย่างรอบด้าน ภายใต้แนวคิดดังกล่าว เราปรับโครงสร้างเทคโนโลยีให้มีความยืดหยุ่น เน้นการปรับปรุงกระบวนการทำงานให้เรียบง่ายและคล่องตัว เพื่อเพิ่มประสิทธิภาพการทำงานของพนักงาน และพร้อมรองรับการเปลี่ยนแปลงของโลกธุรกิจในอนาคต ผลักดันบทบาทของธนาคารในฐานะพันธมิตรทางธุรกิจด้วยการร่วมมือกับบริษัทเทคโนโลยีชั้นนำในการสรรค์สร้างนวัตกรรมที่ใช้ประโยชน์ได้จริงและตอบโจทย์ลูกค้าอย่างแท้จริง ควบคู่กับการจัดตั้งหน่วยงานที่เป็นศูนย์กลางด้านการพัฒนาและผลักดันการใช้ AI พร้อมวางกรอบธรรมาภิบาลด้าน AI เพื่อให้การนำเทคโนโลยีมาใช้เกิดประโยชน์สูงสุดอย่างมีจริยธรรม และส่งเสริมเศรษฐกิจและสังคมไทยให้เติบโตยั่งยืน”

กลยุทธ์ในการขับเคลื่อนด้านเทคโนโลยีและนวัตกรรมของกรุงศรีประกอบด้วย 3 เสาหลัก ได้แก่

1. Technology Simplicity – ปรับปรุงโครงสร้างพื้นฐานด้านเทคโนโลยีจากภายในสู่ภายนอก ที่ออกแบบเป็น 3 ระยะสำคัญ ได้แก่ Leaner - ปรับโครงสร้างพื้นฐานให้เรียบง่ายและมีประสิทธิภาพมากขึ้น ด้วยการนำระบบ Hybrid Cloud มาใช้ เพื่อเพิ่มประสิทธิภาพในการบริหารจัดการแอปพลิเคชัน รวมถึงโปรแกรม Jupiter ที่เป็นโครงการต่อเนื่องเพื่อทรานส์ฟอร์มระบบ Core Banking สำหรับรองรับการเติบโตในระยะยาว Simpler - ยกระดับการดำเนินงานด้วยระบบอัตโนมัติ ลดขั้นตอนที่ไม่จำเป็น เพิ่มความเร็วในการให้บริการ และลดต้นทุนการดำเนินงานอย่างมีนัยสำคัญ และ Ahead of Business - นำเทคโนโลยี AI เข้ามาเสริมในกระบวนการทำงาน เพื่อยกระดับประสบการณ์ลูกค้า เพิ่มความแม่นยำในการตัดสินใจ และสร้างความได้เปรียบทางธุรกิจในระยะยาว

ผลลัพธ์จากการทรานส์ฟอร์มดังกล่าว ช่วยให้ระบบปฏิบัติงานหลักของธนาคารทำงานได้มีประสิทธิภาพมากขึ้น สร้างความยืนหยุ่นในการการเชื่อมโยงระหว่างแอปพลิเคชันหน้าบ้านและระบบหลังบ้าน ลดต้นทุนด้านการพัฒนาและบำรุงรักษา อีกทั้งยังช่วยปรับปรุงโครงสร้างระบบสถาปัตยกรรมไอทีให้เป็นรูปแบบ “Microservices” เกิดเป็น Hub ย่อย ที่สามารถต่อยอดการทำงานภายในและต่อยอดเป็นโซลูชั่นส์เพื่อให้บริการลูกค้าได้ โดยในปีที่ผ่านมา กรุงศรีช่วยเพิ่มความสะดวกให้กับลูกค้าธุรกิจโรงงานน้ำตาลและเกษตรกรผู้ปลูกอ้อยโดยร่วมพัฒนาระบบการขายลดเช็คให้เป็นระบบอิเล็กทรอนิกส์ผ่าน Payment Hub ทำให้ขั้นตอนการรับซื้อลดสิทธิรับเงินค่าเช็คเกี๊ยว/เช็คอ้อยทำได้โดยไม่จำเป็นต้องมีเอกสารเช็คอีกต่อไป ช่วยลดต้นทุนและช่วยให้เกษตรกรได้รับเงินเร็วขึ้นจากเดิม 2 วัน เหลือเพียง 3–5 นาที 

2. Enabling for Growth – ในยุคที่โลกเต็มไปด้วยความไม่แน่นอน ทั้งเศรษฐกิจที่ชะลอตัว เทคโนโลยีอย่าง AI ที่เปลี่ยนรวดเร็ว และพฤติกรรมผู้บริโภคที่ไม่ยึดติดกับแบรนด์เดิม ธุรกิจจึงต้องหาสูตรลับของตัวเองให้เจอ และโฟกัสกับสิ่งที่สร้างความต่าง ขณะที่เรื่องสำคัญแต่ไม่ใช่หัวใจ เช่น การจัดการด้านการเงิน ควรมอบให้ผู้เชี่ยวชาญที่ไว้ใจได้ดูแล เพื่อให้ผู้ประกอบการมีเวลาไปสร้างนวัตกรรมและประสบการณ์ใหม่ ๆ ให้ลูกค้า ภายใต้แนวคิด “Enabling for Growth” กรุงศรีพร้อมสนับสนุนการเติบโตของธุรกิจไทยด้วย โซลูชันทางการเงินดิจิทัลที่ครบวงจร ครอบคลุมตั้งแต่ โครงสร้างพื้นฐานทางการเงินเพื่อธุรกิจ ไปจนถึง บริการทางการเงินที่เชื่อมต่อเข้ากับแพลตฟอร์มขององค์กรได้โดยตรง ทั้งหมดนี้ออกแบบให้เชื่อมต่อได้ง่าย ปลอดภัย และพร้อมใช้งานทันที ปัจจุบันกรุงศรีได้รับรางวัลกว่า 20 รางวัล มีพันธมิตรกว่า 1,200 ราย และรองรับธุรกรรมกว่า 90 ล้านครั้งต่อปี สะท้อนความเชื่อมั่นในฐานะพันธมิตรทางการเงินที่ธุรกิจไว้วางใจ ภายใต้คำมั่นสัญญา “ชีวิตง่ายได้ทุกวัน” เพื่อให้ทุกองค์กรใช้เวลาไปกับสิ่งที่สำคัญที่สุด—การสร้างคุณค่า ความต่าง และอนาคตที่ยั่งยืน

3. Sustainable AI – จัดตั้งหน่วยงานศูนย์กลางด้าน AI (AI COE) พร้อมกรอบ AI Governance ที่เป็นรูปธรรม ครอบคลุมกระบวนการ คัดเลือกและจัดลำดับความสำคัญของ Use Case ให้สอดคล้องกับยุทธศาสตร์องค์กร, ออกแบบและพัฒนาโมเดล ทดสอบความเสี่ยง/อคติ ดำเนินการ MLOps และวัดผล เป้าหมายคือการใช้งาน Traditional AI/ML, Generative AI และ Agentic AI อย่างเป็นระบบ โปร่งใส และสร้างคุณค่าจริงทั้งต่อธุรกิจและลูกค้า โดยภายในองค์กร กรุงศรีนำ GenAI เดินคู่กับการวิเคราะห์เชิงลึก เช่น AI ประเมินมูลค่าสินทรัพย์ บนโครงสร้างข้อมูลที่ถูกกำกับดูแล เพื่อความเร็ว ความแม่นยำ และการตรวจสอบย้อนกลับที่โปร่งใส และในการพัฒนาเพื่อลูกค้า กรุงศรีมุ่งยกระดับประสบการณ์อนุมัติสินเชื่อและงานรับประกันความเสี่ยง (underwriting) ให้ปลอดภัยและราบรื่นยิ่งขึ้น ด้วยโมเดล Fraud Score พร้อมใช้โมเดล Customer Lifetime Value และ Churn Prevention เพื่อการดูแลเชิงรุกและข้อเสนอที่สอดคล้องกับความต้องการของลูกค้ามากขึ้น

บนรากฐานนี้ กรุงศรีได้ขยายความร่วมมือกับ กองบัญชาการตำรวจสอบสวนกลาง (CIB) โดยใช้ API ที่ปลอดภัย เป็นสะพานข้อมูลเชิงปฏิบัติการ สร้าง “ภาพเดียวกัน” ผ่านแดชบอร์ดเรียลไทม์ และยกระดับการวิเคราะห์ด้วย Machine Learning เพื่อคัดกรองพฤติกรรมต้องสงสัยเชิงรุก ช่วยลดเวลาประสานงานและเพิ่มประสิทธิภาพการจัดการคดีร่วมกับ CIB ทั้งหมดนี้สะท้อน Sustainable AI ที่ใช้งานได้จริง วัดผลได้ และอยู่ภายใต้การกำกับดูแลที่รัดกุม สอดคล้องกับหลักจริยธรรมและเป้าหมายการเติบโตอย่างมั่นคงและยั่งยืนของสังคมไทย

Krungsri Tech Day 2025 จัดต่อเนื่องเป็นปีที่สี่ ภายใต้แนวคิด “Empower People to Make Life Simple” ซึ่งกรุงศรีได้ร่วมมือกับพันธมิตรเทคโนโลยีชั้นนำ อาทิ Accenture, AWS | OnebyZero, Cisco | OSD, HPE, IBM, Kyndryl, Dynatrace, EmbedIT, G-Able, MFEC, YIP IN TSOI | Archer, Atlassian | iZeno, Microsoft, NTT | World Line, Nutanix, Redhat, และ VMWare by Broadcom นำเสนอเทรนด์และโซลูชันนวัตกรรมล่าสุดที่ช่วยทำให้ชีวิตและการทำธุรกิจง่ายขึ้น มุ่งยกระดับความรู้และทักษะดิจิทัลผ่านกิจกรรมเวิร์กชอปและสัมมนา พร้อมแลกเปลี่ยนความคิดและประสบการณ์จากผู้เชี่ยวชาญ ซึ่งจะช่วยให้ผู้เข้าร่วมงานสามารถนำเทคโนโลยีไปประยุกต์ใช้เชิงปฏิบัติ ทั้งในธุรกิจและชีวิตประจำวัน

“กรุงศรีขอขอบคุณพันธมิตรทุกท่านที่เป็นแรงขับเคลื่อนสำคัญเบื้องหลังนวัตกรรม ช่วยเปลี่ยนแนวคิดให้เป็นความสามารถจริง พร้อมสร้างสภาพแวดล้อมการทำงานที่ชาญฉลาด และสนับสนุนการเติบโตอย่างมั่นคงและยั่งยืนให้กับองค์กร สังคม และผู้คน ซึ่งตอกย้ำบทบาทของกรุงศรีในฐานะธนาคารที่ไม่เพียงให้บริการทางการเงิน แต่ยังเป็นพันธมิตรทางธุรกิจและแรงขับเคลื่อนสำคัญในการส่งเสริมให้เศษรฐกิจและสังคมไทยเข้มแข็งและเติบโตอย่างยั่งยืน” นางสาวสายสุนีย์ กล่าวปิดท้าย

   สหรัฐ   

การปิดหน่วยงานราชการกระทบความเชื่อมั่น  ขณะที่ข้อมูลล่าสุดยังคงสะท้อนภาพการชะลอตัวของเศรษฐกิจสหรัฐฯ โดยการจ้างงานภาคเอกชนลดลง 32,000 ตำแหน่ง ในเดือนกันยายน ซึ่งย่ำแย่สุดในรอบกว่า 2 ปีครึ่ง ส่วนความเชื่อมั่นผู้บริโภคลดลงสู่ระดับต่ำสุดในรอบ 5 เดือนที่ 94.2 ขณะที่ผลจากการปิดหน่วยงานรัฐบาลของสหรัฐฯ ทำให้ต้องเลื่อนการรายงานตัวเลขจ้างงานนอกภาคเกษตรในเดือนกันยายนออกไปชั่วคราว

วุฒิสภาไม่สามารถผ่านร่างกฎหมายงบประมาณชั่วคราวได้ทันก่อนเริ่มต้นปีงบประมาณใหม่ส่งผลให้หน่วยงานหลายแห่งต้องปิดการดำเนินงาน หรือเข้าสู่ภาวะชัตดาวน์ตั้งแต่วันที่ 1 ตุลาคม แม้ว่าผลกระทบต่อเศรษฐกิจคาดว่าจะไม่สูงมากเมื่อพิจารณาจากการปิดหน่วยงานในอดีต อย่างไรก็ตาม ยังคงต้องระมัดระวังกรณีที่สถานการณ์ยืดเยื้อจนกดดันต่อรายได้และกำลังซื้อ ซึ่งอาจก่อให้เกิดผลเชิงลบต่อเศรษฐกิจอย่างมีนัยสำคัญ ขณะที่ดัชนีชี้วัดที่สำคัญอื่นๆ เช่น การจ้างงานภาคเอกชน ความเชื่อมั่นผู้บริโภค รวมถึง PMI ภาคการผลิต ยังคงสะท้อนภาพเศรษฐกิจที่ชะลอตัวต่อเนื่อง จากปัจจัยดังกล่าว วิจัยกรุงศรีคาดว่าเฟดมีแนวโน้มปรับลดอัตราดอกเบี้ยลงอีก 2 ครั้ง (ครั้งละ 0.25%) สู่ระดับ 3.50-3.75% ภายในสิ้นปีนี้

   ญี่ปุ่น   

แรงขับเคลื่อนทางเศรษฐกิจของญี่ปุ่นยังคงอ่อนแอ ขณะที่ การเลือกตั้งผู้นำพรรค LDP เพิ่มความหวังต่อมาตรการกระตุ้นเศรษฐกิจ ดัชนีความเชื่อมั่นของผู้ผลิตรายใหญ่เพิ่มขึ้นเพียงเล็กน้อยสู่ +14 ในไตรมาส 3 จาก +13 ในไตรมาส 2 ส่วนภาคบริการทรงตัวที่ระดับ +34 อย่างไรก็ตาม ผู้ผลิตรายใหญ่มีแผนเพิ่มการใช้จ่ายเพื่อการลงทุน 12.5% YoY สูงสุดในรอบ 7 ไตรมาส ขณะที่ยอดค้าปลีกหดตัว -1.1% YoY ในเดือนสิงหาคม จากเดือนก่อนขยายตัว +0.4% นอกจากนี้ ซานาเอะ ทาคาอิจิ ได้รับเลือกเป็นผู้นำพรรค LDP คนใหม่ ปูทางสู่นายกรัฐมนตรีหญิงคนแรกของญี่ปุ่น

แม้ว่าความเชื่อมั่นของผู้ผลิตรายใหญ่ในญี่ปุ่นปรับตัวดีขึ้นต่อเนื่องเป็นไตรมาสที่สองติดต่อกัน รวมถึงภาคธุรกิจยังคงขยายแผนการลงทุน แต่เครื่องชี้ทางเศรษฐกิจที่สำคัญอื่นๆอ่อนแอลง เช่น การหดตัวของยอดค้าปลีก นอกจากนี้ นโยบายปรับขึ้นภาษีนำเข้าของสหรัฐฯ มีแนวโน้มเพิ่มแรงกดดันต่อภาคการผลิต การส่งออก รวมถึงผลประกอบการของภาคธุรกิจ ซึ่งอาจส่งผลให้เศรษฐกิจญี่ปุ่นยังคงเติบโตต่ำ ปัจจัยดังกล่าวสร้างความยากลำบากให้กับ BOJ ในการพิจารณาปรับขึ้นอัตราดอกเบี้ย อย่างไรก็ตาม ความคาดหวังจากมาตรการกระตุ้นเศรษฐกิจของผู้นำพรรค LDP คนใหม่อาจเพิ่มโอกาสปรับขึ้นอัตราดอกเบี้ยในช่วงปลายปีนี้

   จีน   

ภาคบริการยังหนุนเศรษฐกิจจีน ขณะที่ช่วงหยุดยาววันชาติคาดว่าจะช่วยทำให้บรรยากาศทางเศรษฐกิจคึกคักมากขึ้น โดย PMI ภาคการผลิตขยับขึ้นเล็กน้อยจาก 49.4 ในเดือนสิงหาคมเป็น 49.8 ในเดือนกันยายน แต่ยังอยู่ในโซนหดตัวต่อเนื่องเป็นเดือนที่ 6 นานที่สุดนับตั้งแต่ปี 2562 ขณะที่ PMI ภาคบริการยังขยายตัวแม้ชะลอลงเล็กน้อยจาก 50.5 เป็น 50.1 ส่วนยอดขายบ้านใหม่ในเดือนกันยายนขยายตัวเพียง 0.4% YoY จาก -17.6% ในเดือนสิงหาคม อีกด้านหนึ่ง รัฐบาลท้องถิ่นอุดหนุนเงินกว่า 330 ล้านหยวนเพื่อส่งเสริมการท่องเที่ยว โดยเฉพาะช่วงหยุดยาววันชาติจีนตั้งแต่ 1 ถึง 8 ตุลาคม

ภาคบริการยังหนุนเศรษฐกิจจีนต่อเนื่อง และคาดว่าจะมีความสำคัญมากขึ้นภายหลังรัฐบาลขยายมาตรการหนุนการบริโภคภาคบริการเพิ่มเติมในเดือนกันยายน สำหรับภาคการผลิตเดือนล่าสุดเริ่มดีขึ้นบ้าง แต่ยังเผชิญแรงกดดันหลายด้านจากทั้งภาวะอุปทานส่วนเกิน การบริโภคที่อ่อนแอ และนโยบายภาษีนำเข้าของสหรัฐฯ นอกจากนี้ ภาคอสังหาริมทรัพย์โดยพื้นฐานยังคงอ่อนแอ และอุปสงค์บ้านใหม่มีแนวโน้มลดลงในระยะยาวตามโครงสร้างประชากรที่หดตัวลง ขณะที่วันหยุดยาวในช่วงเฉลิมฉลองวันชาติจีนคาดว่าจะช่วยให้เศรษฐกิจในเดือนตุลาคมคึกคักมากขึ้น โดยรัฐบาลประเมินว่าการเดินทางทั่วประเทศจะสูงขึ้น 3.2% YoY สู่ระดับ 2.4 พันล้านทริป

เศรษฐกิจไทย: ภาคส่งออกและอุปสงค์ในประเทศแผ่วลงในไตรมาส 3 คาดการดำเนินมาตรการทางการคลังและการผ่อนคลายนโยบายการเงินที่ต่อเนื่องอาจช่วยพยุงเศรษฐกิจในไตรมาสสุดท้าย

เศรษฐกิจไทยมีสัญญาณอ่อนแอลงชัดเจน คาดหนุนให้ธปท.ปรับลดดอกเบี้ย ธนาคารแห่งประเทศไทย (ธปท.) รายงานเศรษฐกิจโดยรวมในเดือนสิงหาคม มูลค่าการส่งออกสินค้าไม่รวมทองคำลดลงจากเดือนก่อน (-0.1% MoM sa) โดยการส่งออกไปสหรัฐฯลดลงเป็นเดือนแรกหลังภาษีนำเข้ามีผลบังคับใช้ตั้งแต่วันที่ 7 สิงหาคม ด้านการลงทุนภาคเอกชนหดตัว (-0.2%) จากการลดลงในหมวดเครื่องจักรและอุปกรณ์ และการบริโภคภาคเอกชนไม่มีการเติบโต (0%) โดยเฉพาะการใช้จ่ายในหมวดสินค้าคงทนและหมวดสินค้ากึ่งคงทนที่ลดลงจากเดือนก่อน อย่างไรก็ตามจำนวนนักท่องเที่ยวต่างชาติและรายรับที่ขจัดปัจจัยฤดูกาลเพิ่มขึ้นจากเดือนก่อน (+2.8% และ +2.7% ตามลำดับ)

เครื่องชี้ในเดือนกรกฎาคมถึงสิงหาคมสะท้อนว่าแรงขับเคลื่อนเศรษฐกิจไทยหลายภาคส่วนในไตรมาส 3 มีทิศทางอ่อนแรงลงชัดเจน การประชุมคณะกรรมการนโยบายการเงิน (กนง.) วันที่ 8 ตุลาคมนี้ ซึ่งเป็นนัดแรกภายใต้การกำกับของผู้ว่าการ ธปท. ท่านใหม่ (นายวิทัย รัตนากร) วิจัยกรุงศรีประเมินว่ามีความเป็นไปได้ที่กนง.จะปรับลดอัตราดอกเบี้ยนโยบายต่อเนื่องจากปัจจุบันที่ 1.50% สู่ 1.25% เนื่องจากอุปสงค์ภายใน ประเทศชะลอลงอย่างมากทั้งด้านการบริโภคและการลงทุนเอกชน ตลอดจนภาคการส่งออกที่เผชิญแรงกดดันมากขึ้นจากมาตรการภาษีนำเข้าของสหรัฐฯ ทั้งนี้ การผ่อนคลายนโยบายการเงินเพิ่มเติมในช่วงต้นเดือนตุลาคมเสริมกับมาตรการการคลังระยะสั้นของรัฐบาลที่จะทยอยมีผลบังคับใช้เบื้องต้นตั้งแต่ปลายเดือนตุลาคม คาดว่าจะเป็นปัจจัยหนุนช่วยให้เศรษฐกิจรอดพ้นจากภาวะถดถอยทางเทคนิค

มาตรการกระตุ้นเศรษฐกิจระยะสั้น คาดช่วยประคองความเชื่อมั่นและการใช้จ่ายในช่วงท้ายปี ล่าสุดรัฐบาลเตรียมดำเนินมาตรการเพิ่มกำลังซื้อแก่ประชาชนในช่วงปลายปี (เดือนพฤศจิกายน-เดือนธันวาคม) จำนวน 33 ล้านคน วงเงินราว 6.6 หมื่นล้านบาท ซึ่งจำแนกเป็น (i) การเติมเงินเในบัตรสวัสดิการแห่งรัฐให้แก่ผู้ถือบัตรฯ 13.4 ล้านคน จากเดิม 300 บาทต่อเดือน เพิ่มให้อีกเดือนละ 850 บาท รวมเป็น 1,150 บาทเป็นเวลา 2 เดือน วงเงินรวม 2.2 หมื่นล้านบาท  (ii) โครงการคนละครึ่งพลัส สำหรับประชาชนทั่วไปอายุ 16 ปีขึ้นไป จำนวน 20 ล้านคน วงเงิน 4.4 หมื่นล้านบาท (รายละเอียดจะเข้า ค.ร.ม. สัปดาห์นี้) นอกจากนี้ ยังมีมาตรการสนับสนุนการท่องเที่ยวในประเทศและการลงทุน รวมถึงการเพิ่มสภาพคล่องแก่ธุรกิจ SMEs

อานิสงส์จากมาตรการกระตุ้นเศรษฐกิจข้างต้นคาดว่าจะช่วยพยุงความเชื่อมั่นและหนุนการใช้จ่ายในประเทศในปีนี้ให้ฟื้นตัวได้บางส่วน ขณะเดียวกันการเข้าสู่ช่วงไฮซีซั่นของฤดูกาลท่องเที่ยว อาจช่วยหนุนให้จำนวนและรายรับจากนักท่องเที่ยวต่างชาติปรับเพิ่มขึ้นได้บ้าง ปัจจัยบวกเหล่านี้จะช่วยบรรเทาผลกระทบจากการส่งออกที่อ่อนแรงได้ในระดับหนึ่ง โดยวิจัยกรุงศรียังคงคาดการณ์เศรษฐกิจทั้งปี 2568 จะเติบโตที่ 2.1% อย่างไรก็ตาม การทยอยลดลงของผลเชิงบวกจากการเร่งส่งออกล่วงหน้า ประกอบกับผลเชิงลบที่มากขึ้นจากมาตรการภาษีศุลกากรของสหรัฐฯ คาดว่าจะส่งผลให้เศรษฐกิจในช่วงครึ่งปีหลังอาจเติบโตชะลอลงเหลือ 1.3% จาก 3.0% ในช่วงครึ่งปีแรก

 

กรุงศรี (ธนาคารกรุงศรีอยุธยา จำกัด (มหาชน) และบริษัทในเครือ) เดินหน้าขับเคลื่อนสังคมไทยสู่ยุคอุตสาหกรรม 4.0 ผ่านการลงนามบันทึกข้อตกลงความร่วมมือ (MOU) กับ จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย ในการพัฒนาหลักสูตรวิศวกรรมศาสตรบัณฑิต สาขาวิชาวิศวกรรมคอมพิวเตอร์และเทคโนโลยีดิจิทัล (Bachelor of Engineering in Computer Engineering and Digital Technology) มุ่งผลิตบุคลากรด้านดิจิทัลรุ่นใหม่ให้สอดรับกับความต้องการของตลาดที่เปลี่ยนแปลงไป

 ดร.วศิน อุดมรัชตวนิชย์ ประธานคณะเจ้าหน้าที่ด้านทรัพยากรบุคคล ธนาคารกรุงศรีอยุธยา จำกัด (มหาชน) กล่าวว่า “กรุงศรี ตระหนักถึงความสำคัญของการพัฒนาบุคลากรรุ่นใหม่ โดยเฉพาะทักษะด้านดิจิทัล ที่ถือเป็นกลไกสำคัญในการขับเคลื่อนองค์กรให้เติบโตอย่างยั่งยืนไปอย่างต่อเนื่องในอนาคต ซึ่งความร่วมมือกับจุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัยในครั้งนี้ ถือเป็นก้าวสำคัญในการวางรากฐานที่มั่นคงให้กับคนไทยรุ่นใหม่ได้เรียนรู้ และต่อยอดสู่เส้นทางอาชีพอย่างเต็มศักยภาพ ผ่านหลักสูตรที่ถูกพัฒนามาเพื่อตอบโจทย์ความต้องการของตลาดแรงงานในยุคปัจจุบัน นอกจากนั้น ความร่วมมือในครั้งนี้ ยังช่วยตอกย้ำบทบาทขององค์กรที่ไม่เพียงมุ่งสร้างความก้าวหน้าในธุรกิจ แต่ยังมุ่งมั่นยกระดับโครงสร้าง มอบโอกาสในการเรียนรู้ และการทำงานที่สร้างคุณค่าให้แก่คนรุ่นใหม่ และสังคมไทยอีกด้วย”

 ความร่วมมือในครั้งนี้ถือเป็นการบูรณาการความรู้ด้านวิชาการเข้ากับการปฏิบัติงานจริงในภาคธุรกิจ โดยนิสิตที่เข้าร่วมหลักสูตรจะได้รับประสบการณ์จริงจากกิจกรรมและโครงการต่าง ๆ อาทิ โปรแกรมฝึกงานและสหกิจศึกษาที่เปิดโอกาสให้นิสิตได้เรียนรู้และพัฒนาทักษะจากประสบการณ์จริงที่กรุงศรี พร้อมสำรวจเส้นทางอาชีพในอนาคต กิจกรรมการแข่งขันด้านธุรกิจ (Case Competition) หรือ Hackathon เพื่อให้นิสิตได้ท้าทายความสามารถในการแก้โจทย์จริงและค้นพบเส้นทางอนาคตของตนเอง รวมถึงการบรรยายพิเศษและการพูดคุยในชั้นเรียน โดยมีผู้เชี่ยวชาญของกรุงศรี ร่วมถ่ายทอดความรู้ ให้คำแนะนำ และสร้างแรงบันดาลใจ ตลอดจนการเสริมสร้างทักษะให้กับเยาวชนรุ่นใหม่ทั้งด้านวิชาชีพ การพัฒนาทักษะทางสังคมที่จำเป็น และการปลูกฝังภาวะผู้นำ เพื่อพร้อมก้าวเข้าสู่โลกของการทำงานในยุคดิจิทัลที่มีการแข่งขันสูงได้อย่างแข็งแกร่งมากที่สุด

 รศ.ดร.วิทยา วัณณสุโภประสิทธิ์ คณบดีคณะวิศวกรรมศาสตร์ จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย กล่าวว่า “คณะวิศวกรรมศาสตร์ จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัยมุ่งมั่นที่จะพัฒนาหลักสูตรและกระบวนการเรียนการสอนที่ตอบสนองต่อการเปลี่ยนแปลงของโลกยุคดิจิทัล รวมไปถึงความต้องของตลาดในประเทศไทย ดังนั้น เราจึงมีความยินดีเป็นอย่างยิ่งที่ได้ร่วมมือกับทางกรุงศรี สร้างบุคลากรคุณภาพที่มีความรู้และทักษะที่จำเป็นต่อการทำงานในยุคเศรษฐกิจดิจิทัล ซึ่งนิสิตที่เข้าร่วมโครงการ ไม่เพียงจะได้รับความรู้เชิงวิชาการผ่านการเรียนการสอนภายในห้องเรียน แต่ยังได้สัมผัสประสบการณ์จริงจากผู้เชี่ยวชาญในภาคอุตสาหกรรมโดยตรง ซึ่งจะช่วยเสริมสร้างองค์ความรู้โดยรวมได้เป็นอย่างดี และเป็นประโยชน์สำหรับการทำงานในอนาคตต่อไป”

 ความร่วมมือระหว่างภาคการศึกษาและภาคธุรกิจในครั้งนี้ จะเป็นอีกหนึ่งแรงขับเคลื่อนสำคัญในการสร้างบุคลากรคุณภาพด้านดิจิทัล เพื่อรองรับการเติบโตทางเศรษฐกิจและนวัตกรรมของประเทศไทยอย่างยั่งยืน

   สหรัฐ   

สหรัฐฯ เผชิญความไม่แน่นอนสูงขึ้นทั้งด้านเศรษฐกิจ เงินเฟ้อ และดอกเบี้ย หลังทรัมป์ยกระดับสงครามการค้า เศรษฐกิจสหรัฐฯ ไตรมาส 2 ขยายตัว 3.8% QoQ annualized สูงกว่าคาดการณ์ที่ 3.3% ขณะที่จำนวนผู้ขอรับสวัสดิการว่างงานครั้งแรกในสัปดาห์สิ้นสุดวันที่ 20 กันยายน 2568 ปรับลดลงสู่ 2.18 แสนราย ต่ำสุดตั้งแต่เดือนกรกฎาคม อย่างไรก็ตาม ดัชนีความเชื่อมั่นผู้บริโภคเดือนกันยายนร่วงลงสู่ 55.1 จากเดือนก่อนที่ 58.2 ขณะที่เงินเฟ้อที่วัดจากดัชนีราคา PCE เดือนสิงหาคมเร่งขึ้นสู่ 2.7% YoY ซึ่งสูงสุดในรอบ 6 เดือน

ประธานาธิบดีทรัมป์เตรียมเรียกเก็บภาษีนำเข้าเพิ่มเติม ตั้งแต่วันที่ 1 ตุลาคม ได้แก่ เฟอร์นิเจอร์ 30-50% รถบรรทุกขนาดใหญ่ 25% และผลิตภัณฑ์เภสัชกรรม 100% ซึ่งเพิ่มแรงกดดันต่อเงินเฟ้อในระยะถัดไป เมื่อประกอบกับตัวเลขเศรษฐกิจบางตัวที่รายงานออกมาดีกว่าคาดอาจทำให้เฟดต้องดำเนินนโยบายการเงินด้วยความระมัดระวังมากขึ้น อย่างไรก็ตาม การร่วงลงของความเชื่อมั่นและการชะลอตัวอย่างชัดเจนของตลาดแรงงาน รวมทั้งผลกระทบจากการขึ้นภาษีนำเข้า คาดว่าจะส่งผลเชิงลบมากขึ้นต่อการเติบโตทางเศรษฐกิจในช่วงครึ่งปีหลัง ดังนั้นเฟดจึงมีแนวโน้มปรับลดดอกเบี้ยอีก 2 ครั้ง (ครั้งละ 0.25%) ในการประชุมที่เหลือของปีนี้

   ญุี่ปุ่น   

การเลือกตั้งผู้นำ LDP คนใหม่ หนุนความเชื่อมั่นแผนกระตุ้นเศรษฐกิจ ในเดือนกันยายน ดัชนี PMI ภาคการผลิตเบื้องต้นลดลงสู่ระดับ 48.4 จาก 49.7 ในเดือนก่อน ซึ่งหดตัวแรงที่สุดในรอบ 6 เดือน ขณะที่ PMI ภาคบริการเบื้องต้นชะลอลงเล็กน้อยจาก 53.1 สู่ 53.0 ส่วนอัตราเงินเฟ้อกรุงโตเกียว (Tokyo CPI) ทรงตัวที่ 2.5% YoY

ภาพรวมเศรษฐกิจญี่ปุ่นมีสัญญาณชะลอตัวชัดเจนขึ้น โดยภาคการผลิตหดตัวแรงและการส่งออกติดลบต่อเนื่องเป็นเดือนที่ 4 ซึ่งได้รับผลกระทบจากนโยบายกีดกันทางการค้าของสหรัฐฯ และการชะลอตัวของเศรษฐกิจโลก ขณะเดียวกันการบริโภคในประเทศยังถูกกดดันจากเงินเฟ้อที่ทรงตัวในระดับสูง อย่างไรก็ตาม การเลือกตั้งหัวหน้าพรรครัฐบาล (LDP) ที่จะมีขึ้นวันที่ 4 ตุลาคม คาดว่าจะช่วยหนุนความเชื่อมั่นต่อมาตรการกระตุ้นเศรษฐกิจจากรัฐบาลชุดใหม่ เช่น นโยบายปรับลดภาษี รวมถึงการมอบเงินสนับสนุนแก่ครัวเรือนในประเทศ ซึ่งหากนโยบายต่างๆ มีบทบาทสำคัญในการขับเคลื่อนเศรษฐกิจในระยะถัดไปอาจเพิ่มโอกาสที่ BOJ จะพิจารณาปรับขึ้นดอกเบี้ยอีกครั้งในช่วงปลายปีนี้

   จีน   

ภาวะอุปทานส่วนเกินและตลาดแรงงานที่เปราะบางยังคงกดดันเศรษฐกิจจีน กำไรภาคอุตสาหกรรมในช่วง 8 เดือนแรกของปีนี้ขยายตัวเพียง 0.9% YoY จาก -1.7% ในช่วง 7 เดือนแรก ส่วนอัตราการว่างงานในกลุ่มคนหนุ่มสาว (อายุ 16-24 ปีไม่รวมนักเรียน) เพิ่มขึ้นสู่ระดับ 18.9% ในเดือนสิงหาคมจาก 17.8% ในเดือนกรกฎาคม ขณะที่ดัชนี PMI ย่อยด้านการจ้างงานในภาคการผลิตและนอกการผลิตในเดือนสิงหาคมยังคงอยู่ในโซนการหดตัวติดต่อกันเป็นเดือนที่ 30 ที่ 47.9 และ 45.6 ตามลำดับ

กำไรภาคอุตสาหกรรมล่าสุดยังคงสะท้อนถึงแรงกดดันจากการแข่งขันด้านราคาที่รุนแรงและภาวะอุปทานส่วนเกิน แม้จีนได้ออกมาตรการเพื่อแก้ไขปัญหาดังกล่าว แต่คาดว่าต้องอาศัยเวลากว่าจะเห็นผลชัดเจน อีกทั้งประสิทธิผลของมาตรการอาจถูกลดทอนจากนโยบายภาษีนำเข้าของสหรัฐฯ ซึ่งกดดันให้ธุรกิจจีนต้องคงราคาสินค้าในระดับต่ำเพื่อรักษาความสามารถในการแข่งขัน ขณะที่เครื่องชี้ด้านการจ้างงานสะท้อนถึงความไม่สมดุลระหว่างอุปทานแรงงานที่เพิ่มขึ้นตามฤดูกาล (นักศึกษาจบใหม่) กับอุปสงค์แรงงานที่อ่อนแอจากภาคธุรกิจซึ่งกังวลกับการขยายการลงทุน นอกจากนี้ คำตัดสินของศาลสูงจีนที่ห้ามหลีกเลี่ยงการจ่ายเงินสมทบประกันสังคมตั้งแต่ 1 กันยายน อาจทำให้ธุรกิจบางส่วนต้องลดการจ้างงานจากต้นทุนที่สูงขึ้น

   เศรษฐกิจไทย   

การคลังที่อ่อนแอและการเติบโตที่เผชิญปัจจัยลบสร้างแรงกดดันต่ออันดับความน่าเชื่อถือ ขณะที่ภาษีตอบโต้ของสหรัฐฯฉุดการส่งออกชะลอตัว

ฟิทซ์ปรับลดแนวโน้มอันดับความน่าเชื่อถือของไทยสู่เชิงลบ ปัจจัยฉุดจากภาคการคลังที่อ่อนแอลงและการเมืองที่เปราะบาง ล่าสุดบริษัทฟิทซ์ เรnติงส์ แม้ประกาศคงอันดับความน่าเชื่อถือของไทยไว้ที่ BBB+ แต่ได้ปรับลดแนวโน้มลงจาก “มีเสถียรภาพ” เป็น “เชิงลบ” เนื่องจาก (i) ความเสี่ยงที่เพิ่มขึ้นต่อแนวโน้มภาคการคลังที่ได้รับผลพวงจากความไม่แน่นอนทางการเมืองที่ยืดเยื้อ ประกอบกับ (ii) ปัจจัยลบต่อการเติบโตทางเศรษฐกิจ เช่น ผลจากการชะลอตัวของอุปสงค์โลก การฟื้นตัวที่ล่าช้าของภาคท่องเที่ยว และภาระหนี้ครัวเรือน

การปรับลดแนวโน้มอันดับความเชื่อถือลงสู่เชิงลบของฟิทซ์ เรตติ้งส์ล่าสุด หลังจากที่ Moody’s ได้ปรับลดแนวโน้มไปก่อนหน้าในช่วงปลายเดือนเมษายนนั้น  สะท้อนว่าประเทศไทยกำลังเผชิญความท้าทายเชิงโครงสร้างด้านการคลังและศักยภาพการเติบโตทางเศรษฐกิจ ทั้งนี้ ในระยะสั้น รัฐบาลได้เตรียมดำเนินมาตรการกระตุ้นเศรษฐกิจผ่านการช่วยเหลือกลุ่มเปราะบาง รวมถึงสนับสนุนการใช้จ่ายและการท่องเที่ยวภายในประเทศ เพื่อช่วยพยุงการฟื้นตัวของอุปสงค์ภายในประเทศและบรรเทาผลกระทบจากการชะลอตัวของภาคส่งออก สำหรับในระยะกลางถึงยาว ความท้าทายสำคัญอยู่ที่การดำเนินนโยบายที่เอื้อต่อการเพิ่มศักยภาพการเติบโตทางเศรษฐกิจ ควบคู่กับการลดการขาดดุลทางการคลังหรือการรักษาวินัยการคลัง เพื่อลดภาระหนี้สาธารณะและบรรเทาความเสี่ยงในการถูกปรับลดอันดับความน่าเชื่อถือในอนาคต

มูลค่าส่งออกเดือนสิงหาคมเติบโตชะลอเหลือเลขหลักเดียวในรูปเงินดอลลาร์ และหดตัวต่อเนื่องเป็นเดือนที่ 2 ในรูปเงินบาท กระทรวงพาณิชย์รายงานมูลค่าส่งออกในเดือนสิงหาคมอยู่ที่ 27.7 พันล้านดอลลาร์ ขยายตัวต่ำสุดในรอบ 11 เดือนที่  5.8% YoY หากหักสินค้าที่เกี่ยวเนื่องกับน้ำมัน และทองคำ การส่งออกเติบโต 5.4% โดยการส่งออกสินค้าสำคัญที่ยังขยายตัว อาทิ เครื่องคอมพิวเตอร์และอุปกรณ์ แผงวงจรไฟฟ้า และผลิตภัณฑ์ยาง ขณะที่การส่งออกสินค้าเกษตรกลับมาหดตัวโดยได้รับแรงกดดันจากการแข่งขันทางด้านราคา อาทิ ข้าว ยางพารา และมันสำปะหลัง ด้านตลาดส่งออกพบว่าตลาดหลักที่ขยายตัว เช่น สหรัฐฯ จีน และอาเซียน ขณะที่หดตัวในตลาดสหภาพยุโรป และญี่ปุ่น สำหรับในช่วง 8 เดือนแรกของปี 2568 มูลค่าการส่งออกอยู่ที่ 223.2 พันล้านดอลลาร์ ขยายตัว 13.3%

การส่งออกของไทยในเดือนสิงหาคมชะลอลงชัดเจน หลังจากเริ่มมีการบังคับใช้อัตราภาษีตอบโต้ของสหรัฐฯที่ 19% ตั้งแต่วันที่ 7 สิงหาคม โดยการส่งออกไปตลาดสหรัฐฯเติบโตเหลือเพียง 12.8% YoY ชะลอลงจากที่เคยขยายตัวเฉลี่ยเกือบ 30% ในช่วง 7 เดือนแรก สะท้อนว่าปัจจัยบวกจากการเร่งส่งออกล่วงหน้าได้ทยอยสิ้นสุดลง และการส่งออกไปสหรัฐฯ อาจมีแนวโน้มชะลอตัวต่อเนื่อง ขณะเดียวกันเงินบาทที่แข็งค่าขึ้นในเดือนสิงหาคมยังทำให้มูลค่าส่งออกในรูปเงินบาทหดตัวต่อเนื่องเป็นเดือนที่ 2 ที่ -5.5% YoY สถานการณ์ดังกล่าวกดดันรายได้ผู้ส่งออกในประเทศโดยเฉพาะกลุ่มผู้ผลิตที่มีการนำเข้าวัตถุดิบในสัดส่วนที่น้อยหรือใช้วัตถุดิบในประเทศ (local content) เป็นหลัก ทั้งนี้ แรงกดดันทั้งจากการปรับขึ้นอัตราภาษีนำเข้าสหรัฐฯ และการแข็งค่าของเงินบาท มีแนวโน้มทำให้บทบาทของภาคส่งออกในฐานะเครื่องยนต์หลักของเศรษฐกิจไทยอ่อนแรงลงอย่างมีนัยสำคัญโดยเฉพาะตั้งแต่ไตรมาส 3 ของปีนี้

 

Page 1 of 47
X

Right Click

No right click