February 23, 2025

ธนาคารกรุงไทย จำกัด (มหาชน) ร่วมกับ บริษัทหลักทรัพย์ กรุงไทย เอ็กซ์สปริง จำกัด (KTX) จัดงาน “ทิศทางการลงทุนหุ้นรับตรุษจีน ปี 2568” สำหรับลูกค้า Krungthai Private Banking และ Krungthai Precious+ ภายในงานมีการวิเคราะห์แนวโน้มเศรษฐกิจโลกและตลาดหุ้นไทยในปี 2568 ท่ามกลางความผันผวนของเศรษฐกิจโลก พร้อมกลยุทธ์การลงทุนจากผู้เชี่ยวชาญของ KTX โดยได้รับเกียรติจาก นายสุริพงษ์ ตันติยานนท์ ประธานผู้บริหาร Retail Banking ธนาคารกรุงไทย จำกัด (มหาชน) (ที่ 4 จากขวา) และนายวีรยุทธ นรเศรษฐสถาพร รองกรรมการผู้จัดการ บริษัทหลักทรัพย์ กรุงไทย เอ็กซ์สปริง จำกัด (ที่ 1 จากซ้าย) นำทีมผู้บริหารให้การต้อนรับลูกค้า พร้อมมุ่งมั่นส่งเสริมโอกาสการลงทุนที่หลากหลาย เพื่อช่วยลูกค้าบริหารพอร์ตการลงทุนอย่างมั่นคงและยั่งยืน เมื่อวันศุกร์ที่ 31 มกราคม 2568 ณ Siam Kempinski Hotel Bangkok

ธนาคารยูโอบี ประเทศไทย ลงนามในบันทึกความเข้าใจกับ สำนักงานคณะกรรมการนโยบายเขตพัฒนาพิเศษภาคตะวันออก (สกพอ.) เพื่อสนับสนุนการลงทุนในเขตพัฒนาเศรษฐกิจสำคัญของประเทศ และเสริมสถานะให้ประเทศไทยยังคงเป็นจุดหมายปลายทางชั้นนำสำหรับนักลงทุนต่างชาติ พร้อมช่วยสนับสนุนการเติบโตทางเศรษฐกิจในระยะยาวของประเทศ ผ่านเครือข่ายธนาคารยูโอบี ที่ครอบคลุมทั่วทั้งภูมิภาคอาเซียน

ภายใต้ความร่วมมือนี้ ธนาคารยูโอบี และ สกพอ. จะนำความเชี่ยวชาญและทรัพยากรที่มีมาร่วมนำเสนอโซลูชันทางการเงินและบริการให้คำปรึกษาที่ตอบโจทย์ความต้องการของนักลงทุนต่างชาติ โดยมุ่งเน้นการปรับปรุงกระบวนการลงทุนให้ราบรื่นยิ่งขึ้น ยกระดับความสะดวกในการดำเนินธุรกิจ และส่งเสริมอุตสาหกรรมหลักตามกลยุทธ์การพัฒนาเศรษฐกิจของประเทศไทย อันได้แก่ ยานยนต์ยุคใหม่ การแพทย์และสุขภาพ ดิจิทัลและนวัตกรรม รวมถึงเศรษฐกิจสีเขียวและบริการที่เป็นมิตรต่อสิ่งแวดล้อม

นายริชาร์ด มาโลนี่ย์ กรรมการผู้จัดการใหญ่ ธนาคารยูโอบี ประเทศไทย กล่าวว่า “การร่วมมือระหว่างธนาคารยูโอบี และ สกพอ. แสดงถึงความมุ่งมั่นของเราในการมีส่วนร่วมในการเติบโตทางเศรษฐกิจของประเทศไทย โดยเราจะให้การสนับสนุนแบบครบวงจรแก่นักลงทุนทั้งในประเทศ ภูมิภาค และระดับนานาชาติ เพื่อให้ประเทศไทยยังคงเป็นศูนย์กลางชั้นนำด้านนวัตกรรมและการพัฒนาในภูมิภาคนี้ต่อไป ทั้งนี้ เพื่อให้สอดคล้องกับพันธกิจของ สกพอ.”

ความร่วมมือครั้งนี้จะครอบคลุมโครงการต่างๆ ที่จะดำเนินการร่วมกัน อาทิ แคมเปญส่งเสริมการลงทุน การจัดโรดโชว์สำหรับนักลงทุน และการสนับสนุนผ่านหน่วยงานที่ปรึกษาการลงทุนโดยตรงจากต่างประเทศ (FDIA) ของธนาคาร ซึ่งนับตั้งแต่ปี 2563 หน่วยงาน FDIA ของยูโอบีได้สนับสนุนให้บริษัทกว่า 450 แห่งขยายธุรกิจเข้าสู่ประเทศไทย โดยคาดว่าสร้างมูลค่าการลงทุนจากต่างประเทศกว่า 45,000 ล้านบาท และสร้างโอกาสการจ้างงานให้กับคนไทยมากกว่า 31,000 ตำแหน่ง

นายจุฬา สุขมานพ เลขาธิการคณะกรรมการนโยบายเขตพัฒนาพิเศษภาคตะวันออก กล่าวว่า “การร่วมมือกับธนาคารยูโอบี สะท้อนให้เห็นถึงความสำคัญของการทำงานร่วมกันระหว่างภาครัฐและเอกชน ในการขับเคลื่อนเป้าหมายทางเศรษฐกิจของไทย การดำเนินงานที่แข็งแกร่งของธนาคารยูโอบีในประเทศไทย และเครือข่ายที่ครอบคลุมทั่วทั้งภูมิภาคอาเซียน จะมีบทบาทสำคัญในการเชื่อมโยงเขตพัฒนาพิเศษภาคตะวันออกกับนักลงทุนที่มีศักยภาพ นอกจากนี้ ความร่วมมือนี้จะช่วยเสริมความสามารถของ สกพอ. ในการเสนอโซลูชันทางการเงินแบบครบวงจร ไม่เพียงแต่สำหรับโครงการในประเทศเท่านั้น แต่ยังเชื่อมโยงกับฐานลูกค้าที่หลากหลายและขยายตัวเพิ่มขึ้นของธนาคารยูโอบี โดยทั้งสององค์กรมุ่งมั่นดึงดูดการลงทุนมูลค่าสูงที่ส่งเสริมการเติบโตอย่างยั่งยืนและสร้างโอกาสให้กับชุมชนในประเทศไทย”

เขตพัฒนาพิเศษภาคตะวันออก ซึ่งประกอบด้วยจังหวัดชลบุรี ระยอง และฉะเชิงเทรา กลายเป็นศูนย์กลางการลงทุนที่สำคัญในภูมิภาคเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ ด้วยทำเลที่ตั้งเชิงกลยุทธ์ โครงสร้างพื้นฐานระดับโลก และนโยบายที่เอื้อต่อการดำเนินธุรกิจ ความร่วมมือนี้จะช่วยเสริมสร้างปัจจัยบวกให้ประเทศไทย โดยนักลงทุนจะได้รับบริการธนาคารที่ราบรื่นไร้รอยต่อ คำแนะนำด้านการลงทุนที่ครอบคลุมทุกมิติ และการเข้าถึงสิทธิประโยชน์จากภาครัฐ เป็นต้น

บริษัท เอ็กซ์สปริง ดิจิทัล จำกัด (XD) มองรัฐยกเว้นการจัดเก็บภาษีมูลค่าเพิ่มที่เกิดจากโทเคนดิจิทัลเพื่อการลงทุน (Investment Token) ช่วยเพิ่มความคุ้มค่าและสร้างความเชื่อมั่นให้นักลงทุนทั้งในและต่างประเทศ ตอกย้ำความน่าสนใจลงทุนโทเคนดิจิทัลในไทย พร้อมเป็นแรงสนับสนุนสำคัญให้โทเคนดิจิทัลกลายเป็นสินทรัพย์ยอดนิยมในยุคเศรษฐกิจดิจิทัล ขับเคลื่อนประเทศไทยเป็นศูนย์กลางการลงทุนโทเคนดิจิทัลของภูมิภาคเอเชีย

นายธนศักดิ์ กฤษณะเศรณี รักษาการประธานเจ้าหน้าที่บริหาร บริษัท เอ็กซ์สปริง ดิจิทัล จำกัด (XD) กล่าวว่า “ในช่วงไม่กี่ปีที่ผ่านมา การลงทุนในโทเคนดิจิทัลในประเทศไทยได้รับความสนใจจากนักลงทุนทั้งในและต่างประเทศอย่างมาก ด้วยความพร้อมด้านโครงสร้างพื้นฐานทางดิจิทัล รวมถึงการสนับสนุนของทั้งภาครัฐและเอกชน โดยเฉพาะการปรับปรุงกฎหมายและกฎระเบียบ เพื่อสร้างความมั่นคงและความเชื่อมั่นให้แก่นักลงทุน ซึ่งเป็นปัจจัยสำคัญที่จะส่งเสริมให้โทเคนดิจิทัลกลายเป็นสินทรัพย์ยอดนิยมในยุคเศรษฐกิจดิจิทัล และเปิดโอกาสให้นักลงทุนทั่วโลกสนใจเข้ามาลงทุน ทำให้ประเทศไทยกลายเป็นหนึ่งในศูนย์กลางการลงทุนโทเคนดิจิทัลที่สำคัญในภูมิภาคเอเชีย”

ในอดีตเงินส่วนแบ่งของกำไรหรือผลประโยชน์อื่นใดของผู้ถือครองโทเคนดิจิทัลเพื่อการลงทุนต้องถูก หักภาษี ณ ที่จ่าย ในอัตราร้อยละ 15 รวมทั้งผู้มีเงินได้ต้องนำรายได้ดังกล่าวไปรวมเพื่อคำนวณภาษีเงินได้บุคคลธรรมดาซึ่งเท่ากับว่าเสียภาษีถึงสองต่อ แต่ในปัจจุบันตามประมวลกฎหมายรัษฎากรได้กำหนดให้กำไรหรือผลประโยชน์อื่นใด ของผู้ถือโทเคนดิจิทัลเพื่อการลงทุนได้รับการยกเว้นในส่วนของภาษีเงินได้บุคคลธรรมดา และยกเว้นภาษีมูลค่าเพิ่มสำหรับการโอนโทเคนดิจิทัลเพื่อการลงทุน นอกจากนี้นักลงทุนที่ดำเนินการผ่านศูนย์ซื้อขายสินทรัพย์ดิจิทัล นายหน้าซื้อขายสินทรัพย์ดิจิทัล และผู้ค้าสินทรัพย์ดิจิทัล ที่ได้รับอนุญาตจากสำนักงานคณะกรรมการกำกับหลักทรัพย์และตลาดหลักทรัพย์ (ก.ล.ต.) ยังได้รับสิทธิประโยชน์เพิ่มเติม โดยอนุญาตให้นักลงทุนนำผลขาดทุนจากการลงทุนในโทเคนดิจิทัลมาหักลบกับกำไรในปีภาษีเดียวกันได้ ช่วยให้นักลงทุนได้รับผลตอบแทนอย่างเต็มจำนวน ทำให้โทเคนดิจิทัลเป็นทางเลือกการลงทุนที่มีความคุ้มค่า และสร้างแรงจูงใจให้กล้าลงทุนในสินทรัพย์ดิจิทัลมากขึ้น ซึ่งทำให้ทำธุรกรรมได้สะดวกและมีความชัดเจนมากขึ้น ลดข้อกังวลด้านภาษีและช่วยสร้างความมั่นใจในการลงทุนในระยะยาว

“โทเคนดิจิทัลเป็นทางเลือกการลงทุนที่ทันสมัยและมีศักยภาพสูง เนื่องจากใช้เทคโนโลยีบล็อกเชนและสัญญาอัจฉริยะ (Smart Contract) ที่ทำให้ธุรกรรมมีความปลอดภัย โปร่งใส และตรวจสอบได้ง่าย นักลงทุนสามารถมั่นใจในกระบวนการทำงานของระบบโทเคนดิจิทัลที่ช่วยลดความเสี่ยงจากการทุจริตและข้อผิดพลาดทางการเงิน ทำให้หลายอุตสาหกรรมกำลังนำโทเคน

ดิจิทัลไปใช้ เพื่อเพิ่มความคล่องตัวในการทำธุรกรรม ลดต้นทุน และเพิ่มประสิทธิภาพ เช่น การเงิน อสังหาริมทรัพย์ และการท่องเที่ยว”

นอกจากนี้ ความนิยมในโทเคนดิจิทัลยังได้รับแรงกระตุ้นจากการคาดการณ์ของบริษัทที่ปรึกษาชั้นนำ เช่น Boston Consulting Group (BCG) ที่ระบุว่า ตลาดโทเคนดิจิทัลทั่วโลกจะเติบโตจนมีมูลค่าสูงถึง 10% ของ GDP โลกภายในปี 2030 คิดเป็นมูลค่ามากกว่า 86 ล้านล้านเหรียญสหรัฐ ซึ่งโอกาสเปิดกว้างสำหรับนักลงทุนที่มีความพร้อมและเข้าใจตลาด

อย่างไรก็ตาม การลงทุนในโทเคนดิจิทัลมีความเสี่ยงที่นักลงทุนควรพิจารณาอย่างรอบคอบ โดยความเสี่ยงหลักคือ ความผันผวนของราคาที่อาจเกิดขึ้นได้จากหลายปัจจัย และนักลงทุนควรมีการศึกษาเกี่ยวกับโทเคนดิจิทัลแต่ละประเภทอย่างถี่ถ้วน รวมถึงประเมินความเสี่ยงที่อาจเกิดขึ้นจากการลงทุนในแต่ละตัว นอกจากนี้ การติดตามข่าวสารและกฎเกณฑ์ที่เปลี่ยนแปลงอยู่เสมอจะช่วยให้นักลงทุนสามารถปรับตัวและรับมือกับความท้าทายต่าง ๆ ได้อย่างมีประสิทธิภาพ

“การผสมผสานระหว่างนโยบายสนับสนุนและเทคโนโลยีที่ล้ำสมัย ทำให้โทเคนดิจิทัลกลายเป็นสินทรัพย์ที่มีศักยภาพในการเติบโตในระยะยาว ในอนาคตโทเคนดิจิทัลจะไม่ได้เป็นเพียงสินทรัพย์เพื่อการลงทุนเท่านั้น แต่ยังเป็นเครื่องมือสำคัญในการขับเคลื่อนนวัตกรรมและการเติบโตของเศรษฐกิจดิจิทัลทั่วโลก โดยบริษัท เอ็กซ์สปริง ดิจิทัล จำกัด ยังคงมุ่งมั่นที่จะสนับสนุนและพัฒนาโอกาสการลงทุนในโทเคนดิจิทัล เพื่อช่วยให้นักลงทุนไทยและต่างชาติสามารถเข้าถึงสินทรัพย์ที่มีศักยภาพนี้ได้อย่างมั่นใจและยั่งยืน” นายธนศักดิ์ กล่าวปิดท้าย

 Bridgewise (บริดจ์ไวส์) แพลตฟอร์มข้อมูลข่าวสารการลงทุนทางการเงินสำหรับหลักทรัพย์ทั่วโลก ประกาศเปิดตัว BRIDGETTM เครื่องมือการลงทุนด้วย AI แบบสนทนา ที่พัฒนาขึ้นมาโดยเฉพาะสำหรับภาคการลงทุนสถาบัน รวมถึงโบรกเกอร์และแพลตฟอร์มการซื้อขาย โดยนำเทคโนโลยี AI โมเดลภาษาขนาดใหญ่ (LLM - Large Language Model) ที่สามารถประมวลผลภาษาได้อย่างเป็นธรรมชาติและมีประสิทธิภาพมาใช้ให้เกิดประโยชน์สูงสุด BRIDGETTM ช่วยพลิกโฉมการรายงานข้อมูลการลงทุนแบบดั้งเดิม ให้กลายเป็นการสนทนาแบบโต้ตอบและให้คำแนะนำการลงทุน ผ่านแพลตฟอร์มที่ปรับแต่งได้หลากหลายภาษา ปัจจุบันบริดจ์ไวส์ มีให้บริการกว่า 25 ภาษา ใน 15 ตลาด และครอบคลุมเครื่องมือทางการเงินทั่วโลกมากกว่า 50,000 รายกา

การเปิดตัวในครั้งนี้ ได้รวมถึงการประกาศความสำเร็จในการระดมทุนได้ถึง 21 ล้านดอลลาร์ มีการเปิดตัว Bridgewise Funds (FundWise) และการแต่งตั้งบุคคลากรในอุตสาหกรรมตลาดทุนอีกหลายท่านเข้าร่วมเป็นคณะกรรมการที่ปรึกษา ซึ่งทั้งหมดนี้แสดงให้เห็นถึงการเติบโตและนวัตกรรมของบริดจ์ไวส์อย่างรวดเร็ว นับตั้งแต่ก่อตั้งในปี 2019 โดยมีสมาชิกคณะกรรมการที่ปรึกษาปัจจุบันหลากหลายท่าน หลากหลายประสบการณ์ อาทิ คริสเตียน รูส (อดีต CEO ของตลาดหลักทรัพย์สวิส) ดาโต เนโต (อดีตกรรมการผู้จัดการของ Banco Model ประเทศบราซิล) เดวิด เลนชัส (กรรมการผู้จัดการและหัวหน้าฝ่ายวิจัยของ HC Wainright) เดวิด ซีเกล (อดีต CEO ของ Investopedia และประธานของ Seeking Alpha) และ โยไค คอร์น (อดีตหัวหน้าฝ่ายข้อมูลตลาดและการวิจัยทั่วโลก Interactive Brokers)

คุณ เคลวิน ฟัว ผู้อำนวยการทั่วไปของบริจ์ไวส์ เอเชียแปซิฟิก กล่าวว่า “เรารู้สึกตื่นเต้นเป็นอย่างยิ่งที่จะนำ BRIDGETTM มาสู่เอเชีย ซึ่งเราเห็นศักยภาพมหาศาลในการเปลี่ยนแปลงการลงทุนด้วยข้อมูลข่าวสารทางการเงินที่ขับเคลื่อนด้วย AI บริดจ์ไวส์มองว่าตลาดเอเชียแปซิฟิกเป็นยุทธศาสตร์สำคัญ เห็นได้จากเรากำลังเติบโตอย่างรวดเร็วด้วยการขยายตัวในประเทศไทย มาเลเซีย และอินโดนีเซีย พร้อมทั้งการขยายไปสู่สหรัฐอาหรับเอมิเรตส์อีกด้วย เราเชื่อว่าเทคโนโลยีของบริดจ์ไวส์ และความสามารถด้านข้อมูล

ข่าวสารทางการเงิน AI สามารถปฏิวัติวิธีการดำเนินงานของตลาดทุนเอเชียแปซิฟิก ช่วยเพิ่มประสิทธิภาพและขยายการเข้าถึงของภูมิภาคนี้ในตลาดทุนโลก”

จากงานวิจัยได้มีการประเมินว่า Generative AI (Gen AI) สามารถเพิ่มมูลค่าให้กับอุตสาหกรรมได้ตั้งแต่ 200,000 ล้านดอลลาร์ ถึง 340,000 ล้านดอลลาร์ต่อปี หรือ 2.8 ถึง 4.7 เปอร์เซ็นต์ของรายได้ทั้งหมดของอุตสาหกรรมในภาคการธนาคารทั่วโลก ท่ามกลางศักยภาพการเติบโตสูงนี้ Gen AI ได้กลายเป็นตัวขับเคลื่อนสำคัญของนวัตกรรมและการพลิกโฉมอุตสาหกรรม เสริมพลังให้สถาบันการเงินสามารถให้บริการได้มากกว่าความคาดหวังของลูกค้าและนักลงทุนในปัจจุบัน ที่มีความต้องการบริการที่รวดเร็ว สะดวก และทันสมัยมากขึ้น เนื่องจากกฎระเบียบ ข้อปฏิบัติระหว่างประเทศมีความเปลี่ยนแปลงอย่างรวดเร็วเช่นกัน

คุณ กาเบรียล ดิอาแมนต์ ผู้ร่วมก่อตั้งและซีอีโอของบริดจ์ไวส์ กล่าวว่า “BRIDGETTM ของบริดจ์ไวส์ เป็นตัวช่วยการลงทุนด้วย AI แบบสนทนาที่นำเสนอการพลิกโฉมที่สำคัญสำหรับอุตสาหกรรมการลงทุนและหลักทรัพย์ระดับโลก โดยการผสาน AI ขั้นสูงเข้ากับการปฏิบัติตามกฎระเบียบ เราไม่เพียงแต่เพิ่มประสิทธิภาพและความแม่นยำของการตัดสินใจลงทุนเท่านั้น แต่ยังทำให้มั่นใจว่าการตัดสินใจเหล่านี้เกิดขึ้นภายในกรอบที่ปลอดภัยและสอดคล้องกับกฎระเบียบ ในฐานะหนึ่งในแพลตฟอร์มข้อมูลข่าวสารการลงทุนทางการเงินเพียงไม่กี่แห่งของโลกที่มุ่งให้บริการแก่ภาคการลงทุนสถาบัน เราสามารถปรับแต่ง BRIDGETTM ให้ตรงกับมาตรฐานและข้อกำหนดเฉพาะของสถาบัน เครื่องมือนี้นับเป็น Game Changer สำหรับสถาบันการเงินที่ต้องการอยู่แถวหน้าในภาคการเงินที่พัฒนาอย่างรวดเร็ว ช่วยให้ผู้วิเคราะห์และนักลงทุนได้รับข้อมูลที่เฉียบคมจากการโต้ตอบกับระบบในรูปแบบที่ใช้งานง่าย พร้อมมีข้อมูลเชิงลึก ส่งผลให้กระบวนการตัดสินใจมีประสิทธิภาพยิ่งขึ้น”

การแก้ไขปัญหาสำคัญ

ในสภาพแวดล้อมทางการเงินที่ดำเนินไปอย่างรวดเร็วในปัจจุบัน ผู้วิเคราะห์และนักลงทุนเผชิญกับความท้าทายมากมาย ไม่ว่าจะเป็นการได้รับข้อมูลที่ล้นหลาม ข้อจำกัดด้านเวลา และความต้องการข้อมูลเชิงลึกที่แม่นยำและสามารถนำไปใช้ได้จริง BRIDGETTM ของบริดจ์ไวส์ มอบข้อมูลเชิงลึกในการลงทุน รวมถึงคำแนะนำการซื้อ/ขายที่เฉพาะเจาะจงสำหรับหุ้น BRIDGETTM ยังแก้ไขข้อบกพร่องที่เกี่ยวข้องกับแชทบอท AI หลายประการ เช่น

· การขาดคำแนะนำการลงทุน: แชทบอทแบบดั้งเดิมไม่สามารถแนะนำการลงทุนในหุ้นตัวใด ๆ ได้ ในขณะที่ BRIDGETTM ให้คำแนะนำที่สามารถนำไปใช้ได้ รวมถึงคำแนะนำการซื้อ/ขายที่เฉพาะเจาะจง

· ความเชี่ยวชาญด้านการเงิน: BRIDGETTM ใช้ Micro Language Model (MLM) เฉพาะสำหรับการสนทนาเกี่ยวกับการลงทุนและตลาดทุน

· การวิเคราะห์ข้อมูลที่ผิดพลาด: แชทบอทอื่น ๆ มักสร้างข้อเสนอแนะที่ไม่ถูกต้องหรือไร้เหตุผล เช่น แนะนำหุ้นที่ไม่มีอยู่จริงหรือหุ้นที่มีพื้นฐานไม่ดี BRIDGETTM ได้รับการออกแบบเพื่อลดข้อบกพร่องเหล่านี้ เนื่องจาก MLM ของบริษัทได้รับการฝึกอบรมโดยเฉพาะเพื่อทำความเข้าใจและแก้ไขความละเอียดของหัวข้อเฉพาะการลงทุน

เมื่อพูดถึงการล่อลวงทางการเงิน หลายคนอาจคิดถึงฉากที่มิจฉาชีพสวมหมวกปีกกว้างและแว่นดำ คอยมองหาผู้ที่พร้อมจะ "รวยทางลัด" แต่ในความเป็นจริงแล้ว วิธีการเหล่านี้กลับแยบยลและทันสมัยกว่าที่คุณคิดมาก ลองนึกภาพดิไอคอนกรุ๊ปที่เต็มไปด้วยความหรูหรา ความวาววับ และการนำเสนอการลงทุนที่ฟังแล้วเหมือนฝันที่คุณสามารถแตะต้องได้ แม้ว่าความเป็นจริงจะไม่เป็นเช่นนั้นก็ตาม

ในกรณีของกลุ่ม ดิ ไอคอน กรุ๊ป การตลาดที่ใช้ไม่ใช่แค่การนำเสนอว่าคุณสามารถทำกำไรได้เร็ว แต่ยังสอดแทรกด้วยภาพลักษณ์ของความสำเร็จที่ดูจับต้องได้ ตัวอย่างเช่น การจัดงานหรูหรา ใช้รถหรูเป็นรางวัล และให้ความรู้สึกว่า "ถ้าคุณไม่ลงทุนตอนนี้ คุณอาจจะพลาดโอกาสทอง" นี่คือจุดเริ่มต้นของความหวังในการทำกำไรอย่างรวดเร็วที่เป็นกับดักสำคัญสำหรับหลายคน ผู้ลงทุนจำนวนมากจึงก้าวเข้ามาโดยไม่คำนึงถึงความเสี่ยงหรือที่มาของเงินทุน

สิ่งที่ทำให้เรื่องนี้น่าดึงดูดยิ่งขึ้นไปอีกก็คือ การสร้างบรรยากาศ "ความสำเร็จทันตาเห็น" ผ่านการใช้คนดังและสังคมออนไลน์ นักแสดงที่เราคุ้นเคยหรือผู้มีอิทธิพลในโลกออนไลน์มักเป็นหน้าตาของการลงทุนเหล่านี้ ทำให้ทุกอย่างดูเหมือนเป็นเรื่องธรรมดา ไม่ใช่แค่คุณที่ลงทุน แต่คนดังเหล่านี้ก็ทำเหมือนกัน!

ยิ่งไปกว่านั้น กรณีของดิไอคอนกรุ๊ปยังเน้นหนักไปที่การทำให้ผู้คนรู้สึกว่าการลงทุนนี้เป็นเรื่องง่าย มีคนลงทุนแล้วสำเร็จมาแล้วมากมาย ผลตอบแทนสูงและมีการชักชวนแบบ "ถ้าคุณไม่เข้าร่วม คุณอาจจะพลาดอะไรบางอย่างที่ยิ่งใหญ่" ซึ่งส่งผลให้หลายคนรู้สึกกดดันที่จะต้องตัดสินใจอย่างรวดเร็วเพื่อไม่ให้ตกกระแส การหลอกลวงในลักษณะนี้จึงเปรียบเสมือนการนำเสนอการเดินเข้าสู่โลกของผู้ประสบความสำเร็จ ซึ่งเป็นสิ่งที่ใครๆ ก็อยากจะเป็น

แม้ว่าการขาดความรู้ทางการเงินและการลงทุนจะเป็นเหตุผลหลักที่ทำให้คนจำนวนมากตกเป็นเหยื่อ แต่เสน่ห์ของการตลาดที่ถูกออกแบบมาอย่างแยบยลก็ไม่สามารถมองข้ามได้ ความรู้สึกว่าคุณกำลังเข้าใกล้กับ "การเป็นเศรษฐีคนใหม่" ทำให้ผู้คนหลงลืมความเสี่ยงที่ซ่อนอยู่ในนั้น บางคนอาจจะคิดว่า "ก็มีคนที่ได้รับผลตอบแทนจริงๆ นี่นา" แต่ความจริงคือการลงทุนลักษณะนี้มักดำเนินไปในลักษณะแชร์ลูกโซ่ โดยผู้ที่เข้ามาในช่วงแรกอาจได้รับผลตอบแทน แต่เมื่อเวลาผ่านไป การจ่ายผลตอบแทนจะกลายเป็นเรื่องยากเมื่อไม่มีผู้ลงทุนใหม่เข้ามาเพิ่มเติม

สิ่งสำคัญที่ทำให้ดิไอคอนกรุ๊ปดูมีเสน่ห์เกินกว่าจะต้านทานได้ คือบรรยากาศของ "โอกาสที่พลาดไม่ได้" งานเปิดตัวอลังการที่เปล่งประกาย รางวัลรถหรู และการโฆษณาที่ดูเหมือนทุกคนกำลังประสบความสำเร็จอยู่แล้ว หากคุณไม่เข้าร่วมก็เหมือนกับการปล่อยให้โอกาสหลุดมือ ซึ่งกดดันให้หลายคนต้องเข้าร่วมโดยไม่มีเวลาคิดให้รอบคอบ

สุดท้ายนี้ ความหลงใหลใน "ความสำเร็จที่ง่ายดาย" ที่หลายคนเห็นผ่านคนดังหรือภาพลักษณ์หรูหราของการลงทุน เป็นอีกปัจจัยที่ทำให้ผู้คนไม่สามารถต้านทานการตัดสินใจร่วมลงทุนได้ อย่างไรก็ตาม การลงทุนที่แท้จริงต้องมีการตรวจสอบ การศึกษา และประเมินความเสี่ยงอย่างละเอียด เพื่อลดโอกาสในการตกเป็นเหยื่อของการหลอกลวงที่ดูหรูหราเกินจริง

 เรื่อง   ชายกลาง

14/10/2567

Page 1 of 9
X

Right Click

No right click