December 27, 2024

บลจ.กสิกรไทย ชู K-ESGSI-ThaiESG สร้างผลตอบแทนสูงสุดเป็นอันดับ 1 และมีผลการดำเนินงานที่ดีในทุกช่วง ในขณะที่ K-TNZ-ThaiESG ยังได้รับความนิยมจากผู้ลงทุนอย่างต่อเนื่อง ส่งผลให้กองทุนมีขนาดใหญ่ที่สุด และกองทุนผสมน้องใหม่ K-BL30-ThaiESG เน้นกระจายลงทุนในหุ้นและตราสารหนี้พร้อมลุยในทุกสภาวะตลาด พร้อมรับโปรโมชั่นพิเศษช่วงโค้งสุดท้ายของปี

นายวิน พรหมแพทย์, CFA, ประธานกรรมการบริหาร บริษัทหลักทรัพย์จัดการกองทุน กสิกรไทย จำกัด (บลจ.กสิกรไทย) เปิดเผยว่า บลจ.กสิกรไทย ครองส่วนแบ่งตลาดเป็นอันดับ 1 ในกลุ่มกองทุน ThaiESG ด้วยมูลค่าสินทรัพย์ภายใต้การบริหารจัดการ (AUM) รวมกว่า 3,410.45 ล้านบาท (ข้อมูล AIMC ณ พ.ย. 67) โดยกองทุน K-ESGSI-ThaiESG จากกสิกรไทย สร้างผลตอบแทนสูงสุดเป็นอันดับ 1 ในกลุ่มกองทุนตราสารหนี้ ThaiESG และมีผลการดำเนินงานที่ดีในทุกช่วง โดยมีผลการดำเนินงานย้อนหลัง 3 เดือน และตั้งแต่จัดตั้ง อยู่ที่ 3.13% และ 5.11%ต่อปี สามารถเอาชนะดัชนีชี้วัด ซึ่งอยู่ที่ 2.63% และ 4.69%ต่อปี ตามลำดับ (ข้อมูล Morningstar ณ วันที่ 29 พ.ย. 67) ทั้งนี้ กองทุน K-ESGSI-ThaiESG เป็นหนึ่งในกองทุน ESG ของ บลจ.กสิกรไทย ที่มีความเสี่ยงต่ำ โดยมีนโยบายการลงทุนที่เน้นลงทุนตราสารหนี้ภาครัฐของไทยในกลุ่มความยั่งยืนโดยเฉลี่ยในรอบปีบัญชีไม่น้อยกว่า 80% และลงทุนในตราสารเพื่ออนุรักษ์สิ่งแวดล้อม (Green Bond) ตราสารเพื่อความยั่งยืน (Sustainability Bond) ตราสารส่งเสริมความยั่งยืน (Sustainability – Linked Bond) รวมถึงลงทุนบางส่วนในเงินฝากหรือตราสารเทียบเท่าเงินฝากทั้งในและต่างประเทศ ซึ่งผู้ระดมทุนมุ่งนำเงินไปใช้ในโครงการที่เป็นมิตรต่อสิ่งแวดล้อมและเกิดประโยชน์ต่อสังคมไทย

ในขณะที่กองทุน K-TNZ-ThaiESG ยังได้รับความนิยมจากผู้ลงทุนอย่างต่อเนื่อง ส่งผลให้กองทุนมีขนาดใหญ่ที่สุดด้วย AUM มูลค่ากว่า 2,278.03 ล้านบาท และสร้างผลตอบแทนได้อย่างโดดเด่น โดยมีผลการดำเนินงานย้อนหลังตั้งแต่ต้นปี (YTD), 3 เดือน, 6 เดือน และตั้งแต่จัดตั้ง อยู่ที่ 4.90%, 6.45%, 9.46% และ 5.30%ต่อปี ใกล้เคียงกับดัชนีชี้วัด ซึ่งอยู่ที่ 5.80%, 6.75%, 9.89% และ 6.33%ต่อปี ตามลำดับ (ข้อมูล Morningstar ณ วันที่ 29 พ.ย. 67) ทั้งนี้ กองทุน K-TNZ-ThaiESG เป็นกองทุนแรกของไทยที่มีเป้าหมายสนับสนุนการลดการปล่อยก๊าซเรือนกระจกอย่างชัดเจน ซึ่งเป็นส่วนสำคัญในการแก้ไขปัญหาการเพิ่มขึ้นของอุณหภูมิโลก ผ่านกลยุทธ์การบริหารจัดการแบบเชิงรับ (Passive Management) สร้างโอกาสได้รับผลตอบแทนให้ใกล้เคียงกับดัชนีชี้วัด SET100 TRI

นายวินกล่าวต่อไปว่า ล่าสุด บลจ.กสิกรไทย ได้ออกกองทุนผสมหุ้นและตราสารหนี้ K-BL30-ThaiESG ที่มีนโยบายการลงทุนในหุ้นไทยเฉลี่ยไม่เกิน 30% โดยเน้นหุ้นที่มีคะแนน SET ESG Rating อยู่ในระดับ AAA ผ่านกลยุทธ์การลงทุนที่นำปัจจัยด้านสิ่งแวดล้อม สังคม และธรรมาภิบาล (ESG) มาพิจารณาในกระบวนการตัดสินใจลงทุน (ESG Integration) และลงทุนในตราสารหนี้หลากหลายประเภท ทั้งตราสารเพื่ออนุรักษ์สิ่งแวดล้อม (Green Bond) ตราสารเพื่อความยั่งยืน (Sustainability Bond) และตราสารส่งเสริมความยั่งยืน (Sustainability - Linked Bond) รวมถึงหุ้นกู้เอกชนที่อยู่ในระดับเข้าลงทุนได้ (Investment Grade) ผ่านกลยุทธ์การคัดกรองเชิงบวก (Positive Screening) ประกอบกับการประเมินความสามารถในการชำระหนี้ของผู้ออกตราสาร (Credit Analysis) ทั้งในเชิงปริมาณและเชิงคุณภาพ เพื่อลดโอกาสการผิดนัดชำระหนี้

“จากตัวเลขเศรษฐกิจไทยในปีหน้าที่ทางสภาพัฒน์ได้คาดการณ์ว่าจะขยายตัวอยู่ในช่วง 2.3% - 3.3% โดยมีปัจจัยสนับสนุนจากการใช้จ่ายภาครัฐ การลงทุนและการบริโภคภาคเอกชน การฟื้นตัวต่อเนื่องของการท่องเที่ยว และการเติบโตของการส่งออก ประกอบกับนโยบายผ่อนคลายทางการเงินและการคลังจะช่วยสนับสนุนการฟื้นตัวทางเศรษฐกิจในระยะกลางถึงยาวได้ ทั้งนี้ บลจ.กสิกรไทย มองเป้าดัชนีหุ้นไทย (SET Index) ปลายปี 2025 ที่ 1,600 จุด คาดการณ์การเติบโตของกำไรบริษัทจดทะเบียนในปี 2025 ที่ 12% โดย ณ ระดับ forward P/E 2025 ในปัจจุบันที่ 14.8 เท่า ยังถูกเมื่อเทียบกับค่าเฉลี่ย 10 ปี ย้อนหลังที่ 15.4 เท่า อย่างไรก็ดี ในช่วงโค้งสุดท้ายของปีนี้ ขอเชิญชวนผู้ลงทุนเข้าลงทุนในกองทุนลดหย่อนภาษี เพื่อสร้างโอกาสรับผลตอบแทนในระยะยาว ควบคู่กับการได้รับสิทธิประโยชน์ทางภาษี โดยเฉพาะกองทุน ThaiESG จากกสิกรไทย ที่มีครบทุกนโยบายการลงทุน และครอบคลุมทุกระดับความเสี่ยง” นายวินกล่าว

นายวินกล่าวเพิ่มเติมว่า บลจ.กสิกรไทย มุ่งนำหลักการลงทุนเพื่อความยั่งยืนมาปรับใช้ในการบริหารจัดการกองทุนเพื่อให้เกิดประสิทธิผลสูงสุด การันตีได้จากการคว้ารางวัลบลจ.ยอดเยี่ยมแห่งปีด้านความยั่งยืน (Best Asset Management Company Awards – ESG) จากงาน SET Awards 2024 มาครองได้สำเร็จในปีนี้ ทั้งนี้ สิทธิประโยชน์ทางภาษีของกองทุน ThaiESG ที่ประกาศออกมาอย่างเป็นทางการ นั่นคือ ระยะเวลาการถือครอง 5 ปี และวงเงินลดหย่อน 300,000 บาท ทำให้กองทุน ThaiESG เป็นอีกทางเลือกที่น่าสนใจ และช่วยให้ผู้ลงทุนสามารถบริหารจัดการเงินลงทุนได้อย่างมีประสิทธิภาพในอนาคต

สำหรับผู้ลงทุนที่สนใจกองทุน ThaiESG จากกสิกรไทย สามารถเริ่มต้นลงทุนได้เพียง 500 บาท พร้อมรับโปรโมชั่นพิเศษเมื่อลงทุนแบบ DCA ผ่านบริการ K-Saving Plan และ/หรือ DCA ผ่านแอป K-My Funds ในกลุ่มกองทุน ThaiESG/SSF/RMF กสิกรไทย รับ Fund Back สูงสุด 1,200 บาท โปรโมชั่นเริ่มตั้งแต่วันที่ 1 กุมภาพันธ์ 2567 – 30 ธันวาคม 2567 ผู้ลงทุนสามารถสอบถามรายละเอียดเพิ่มเติมได้ที่ KAsset Contact Center 0 2673 3888 หรือ ศึกษาข้อมูลผ่านทางเว็บไซต์ของ บลจ.กสิกรไทย ได้ที่ www.kasikornasset.com 

บริษัทหลักทรัพย์จัดการกองทุน กสิกรไทย จำกัด (บลจ.กสิกรไทย) จัดงานเสวนาพิเศษ Exclusive Luncheon Roundtable : Climate Tipping Point, A Race Against Time เพื่อสร้างความตระหนักรู้ถึงจุดเปลี่ยนของสภาพภูมิอากาศ โดยเชิญองค์กรชั้นนำของประเทศที่มีบทบาทสำคัญทั้งในภาคการเงินและตลาดทุน มาร่วมแลกเปลี่ยนความคิดเห็น และหาแนวทางลดการปล่อยก๊าซเรือนกระจก มุ่งสร้างผลกระทบเชิงบวกต่อสังคม และสิ่งแวดล้อมอย่างเป็นรูปธรรม  โดยเฉพาะประเด็นการเงินเพื่อความยั่งยืน (Sustainable Finance) ซึ่งมีความสำคัญต่อการกำหนดทิศทางเชิงกลยุทธ์ขององค์กรให้เปลี่ยนแปลงไปสู่เศรษฐกิจโลกที่มีคาร์บอนต่ำ และมีความยืดหยุ่นต่อสภาพภูมิอากาศ โดยมี ดร.พิพัฒน์พงศ์ โปษยานนท์ (คนที่ 8 จากขวา) ผู้จัดการใหญ่ ธนาคารกสิกรไทย และ ประธานกรรมการ บลจ.กสิกรไทย พร้อมด้วยนายวิน พรหมแพทย์ (คนที่ 7 จากซ้าย) ประธานกรรมการบริหาร บลจ.กสิกรไทย ร่วมให้การต้อนรับ ณ ธนาคารกสิกรไทย สำนักงานใหญ่ พหลโยธิน เมื่อเร็วๆ นี้

นายวิน พรหมแพทย์, CFA, ประธานกรรมการบริหาร บลจ.กสิกรไทย เป็นหนึ่งในสมาชิกบริษัทจัดการลงทุน 16 แห่ง ที่เข้าร่วมงาน “แถลงความพร้อมของอุตสาหกรรมและเปิดตัวกองทุน ThaiESG ปี 2567” จัดโดยสมาคมบริษัทจัดการลงทุน โดยมีวัตถุประสงค์เพื่อแสดงความพร้อมเสนอขายกองทุน ThaiESG ในช่วงเทศกาลลดหย่อนภาษีส่งท้ายปี และพร้อมให้การสนับสนุนธุรกิจที่มุ่งสร้างความยั่งยืนให้กับประเทศไทย ทั้งนี้ บลจ.กสิกรไทย ครองส่วนแบ่งตลาดเป็นอันดับ 1 ในกลุ่มกองทุน ThaiESG ด้วยมูลค่าสินทรัพย์ภายใต้การบริหารจัดการ (AUM) รวมกว่า 2,694.34 ล้านบาท (ข้อมูล ณ ต.ค. 67) โดยกองทุน K-TNZ-ThaiESG เป็นกองทุนแรกของไทยที่มีเป้าหมายสนับสนุนการลดการปล่อยก๊าซเรือนกระจก และประสบความสำเร็จเป็นอย่างมาก การันตีได้จากขนาดกองทุนที่ใหญ่ที่สุด และเป็นกองทุน ThaiESG ที่สร้างผลตอบแทนได้สูงที่สุด ในขณะที่กองทุน K-ESGSI-ThaiESG ได้รับเสียงตอบรับที่ดีจากผู้ลงทุนเช่นกัน ด้วยขนาดกองทุนใหญ่เป็นอันดับ 2 ในกลุ่มกองทุน ThaiESG ตราสารหนี้ นอกจากนี้ บลจ.กสิกรไทย เตรียมเปิดเสนอขายกองทุนผสม ThaiESG เร็วๆ นี้ ที่เน้นลงทุนทั้งในหุ้นและตราสารหนี้ เพื่อเป็นทางเลือกให้กับผู้ลงทุนที่รับความเสี่ยงได้ปานกลาง และสร้างโอกาสรับผลตอบแทนได้ในทุกสภาวะตลาดจากการลงทุนในสินทรัพย์หลากหลายประเภท

เตรียมส่งกองทุนผสม ThaiESG ตอบโจทย์คนชอบกระจายความเสี่ยง

บลจ.กสิกรไทย มองเห็นโอกาสการลงทุนบนโปรเจกต์อสังหาริมทรัพย์ไทย โดยเฉพาะในกลุ่มธุรกิจโรงแรมและที่พักอาศัย จึงได้จัดตั้งกองทุน K-THRE24A-UI ขายเฉพาะผู้ลงทุนสถาบันและผู้ลงทุนรายใหญ่พิเศษ ชูจุดเด่นลงทุนผ่านกองทุนหลัก CG Capital Real Estate Partners Fund I, L.P. เน้นลงทุนในอสังหาริมทรัพย์ภาคการบริการ เช่น โรงแรม และ Branded Residence เป็นหลัก และเน้นพื้นที่ Key Tourist Destination ของไทย อาทิ ภูเก็ต กรุงเทพฯ กระบี่ และเกาะสมุย เป็นต้น เริ่มต้นลงทุน 500,000 บาท เปิดเสนอขายครั้งเดียว 11-25 พ.ย.นี้

นายวจนะ วงศ์ศุภสวัสดิ์ รองกรรมการผู้จัดการ สายงานจัดการลงทุน บริษัทหลักทรัพย์จัดการกองทุน กสิกรไทย จำกัด (บลจ.กสิกรไทย) เปิดเผยว่า ตลาดอสังหาริมทรัพย์ของไทย โดยเฉพาะในกลุ่มธุรกิจโรงแรมและที่พักอาศัยยังคงมีความน่าสนใจ โดยจากภาพรวมของธุรกิจท่องเที่ยวไทยหลังโควิด-19 สามารถพลิกฟื้นกลับมาขยายตัวได้อย่างรวดเร็ว และมีโอกาสขยายตัวได้เพิ่มขึ้นอีกในระยะยาว ประกอบกับทางภาครัฐได้เล็งเห็นถึงความสำคัญของธุรกิจท่องเที่ยว จึงมีการปรับกฎเกณฑ์ต่างๆ ให้เอื้อต่อนักท่องเที่ยวและการลงทุนในธุรกิจที่เกี่ยวข้องกับภาคการท่องเที่ยว รวมถึงการพัฒนาโครงสร้างพื้นฐานที่สำคัญ อาทิ การขยายสนามบิน การขยายสายรถไฟฟ้า และการขยายเส้นทางด่วนใหม่ เป็นต้น ทั้งนี้ บลจ.กสิกรไทย มองเห็นโอกาสการลงทุนบนโปรเจกต์อสังหาริมทรัพย์ไทย จึงได้จัดตั้ง กองทุนเปิดเค Thailand Real Estate 24A ห้ามขายผู้ลงทุนรายย่อย (K-THRE24A-UI) สำหรับผู้ลงทุนสถาบันและผู้ลงทุนรายใหญ่พิเศษเท่านั้น เริ่มต้นลงทุน 500,000 บาท โดยเปิดเสนอขายครั้งเดียวในระหว่างวันที่ 11 - 25 พฤศจิกายน 2567

นายวจนะกล่าวต่อไปว่า กองทุน K-THRE24A-UI มีอายุโครงการประมาณ 9 ปี 5 เดือน เป็นกองทุนที่มีความเสี่ยงสูง ซึ่งมีนโยบายการลงทุนในสินทรัพย์นอกตลาด (Private Asset) ผ่านกองทุนหลัก CG Capital Real Estate Partners Fund I, L.P. ที่เน้นลงทุนในอสังหาริมทรัพย์ในกลุ่มธุรกิจโรงแรมและการบริการ (Hospitality Assets) ในไทย และอาจลงทุนในต่างประเทศได้ไม่เกิน 15% โดยตัวอย่างอสังหาริมทรัพย์ที่กองทุนลงทุน ได้แก่ Sukhumvit 16 Branded Residence ซึ่งเกิดจากความร่วมมือของ CG Capital กับแบรนด์โรงแรมชั้นนำระดับ 5 ดาว และ The Standard Residences Phuket Bangtao ที่พักอาศัยบนพื้นที่บางเทา จังหวัดภูเก็ต จำนวน 188 ห้อง โดยโครงการมียอดจองและขายได้แล้ว 64% เป็นต้น (ที่มา : CG Capital ต.ค. 2567)

“ความน่าสนใจของกองทุน K-THRE24A-UI อยู่ที่ 1) ลงทุนในอสังหาริมทรัพย์ที่มีศักยภาพการเติบโตสูง กระจายตัวอยู่ใน Key Tourist Destination ของไทย ไม่ว่าจะเป็นภูเก็ต กรุงเทพฯ กระบี่ และเกาะสมุย 2) ลงทุนในอสังหาริมทรัพย์ภาคการบริการ เช่น โรงแรม และที่พักอาศัย Branded Residence ที่ตอบสนองความต้องการการท่องเที่ยวรูปแบบใหม่ๆ เช่น Workation, Second-Home Buyers และกลุ่มนักท่องเที่ยวแบบครอบครัว ที่คาดว่าจะขยายตัวได้ดีในระยะ 10 ปีข้างหน้า 3) สรรหาโอกาสการลงทุนในโปรเจกต์ทุกรูปแบบ โดยมุ่งเน้นการเพิ่มมูลค่าให้กับสินทรัพย์และสร้างการเติบโตในระยะยาว และ 4) กองทุนหลักบริหารจัดการโดยทีมงานที่มีประสบการณ์ด้านอสังหาริมทรัพย์ทั้งในและต่างประเทศมาอย่างยาวนาน ไม่ว่าจะเป็นที่ปรึกษาจากเครือเซ็นทรัล และผู้เชี่ยวชาญด้านอสังหาริมทรัพย์ ที่เคยพัฒนาอสังหาริมทรัพย์ในกรุงเทพฯ พัทยา ภูเก็ต เกาะสมุย ญี่ปุ่น เกาหลีใต้ และออสเตรเลีย ทั้งนี้ CG Capital เป็นกลุ่มธุรกิจใหม่ของ Central Group จัดตั้งขึ้นมาเพื่อแสวงหาโอกาสการลงทุนนอกเหนือขอบเขตการดำเนินงานของบริษัทอื่นๆ ภายใต้ Central Group” นายวจนะกล่าว

นายวจนะกล่าวเพิ่มเติมว่า กองทุน K-THRE24A-UI เหมาะสำหรับลงทุนสถาบันและผู้ลงทุนรายใหญ่พิเศษ ที่มีประสบการณ์การลงทุนใน Private Asset และต้องการขยายพอร์ตการลงทุนมายังกลุ่มอสังหาริมทรัพย์ เพื่อกระจายความเสี่ยงออกจากสินทรัพย์ทั่วไป และเพื่อเพิ่มโอกาสรับผลตอบแทนจากสินทรัพย์ที่มีศักยภาพการเติบโตที่โดดเด่นในระยะยาว ทั้งนี้ ผู้ลงทุนที่สนใจสามารถลงทุนขั้นต่ำ 500,000 บาท ผ่าน Private Banking Group ธนาคารกสิกรไทย และผู้สนับสนุนการขายและรับซื้อคืนหน่วยลงทุน โดยติดต่อขอรับหนังสือชี้ชวนได้ตามช่องทางดังกล่าว หรือ สอบถามเพิ่มเติมได้ที่ KAsset Contact Center 0 2673 3888

Page 1 of 2
X

Right Click

No right click