บริษัท ทรู คอร์ปอเรชั่น จำกัด (มหาชน) บริษัทโทรคมนาคม-เทคโนโลยี ชั้นนำอันดับ 1 ของไทย และอันดับ 1 ของโลกด้านความยั่งยืน ด้วยคะแนน DJSI 2023 สูงสุดในกลุ่มอุตสาหกรรมโทรคมนาคมเป็นปีที่ 6 ติดต่อกัน ประกาศดอกเบี้ยหุ้นกู้ชุดใหม่ 5 ชุด อายุตั้งแต่ 2 ปี ถึง 10 ปี ผลตอบแทนระหว่าง 2.95-4.00% ต่อปี ด้วยอันดับความน่าเชื่อถือระดับ “A+” แนวโน้ม “คงที่” (Stable) จากทริสเรทติ้ง ตอกย้ำสถานะที่แข็งแกร่งของ TRUE ที่มีความมั่นคงทั้งในธุรกิจโทรคมนาคม และธุรกิจเทคโนโลยีดิจิทัล คาดเปิดให้จองซื้อระหว่างวันที่ 21 - 22 และ 25 พฤศจิกายน พ.ศ. 2567 โดยมีธนาคารกรุงเทพ กสิกรไทย ไทยพาณิชย์ ซีไอเอ็มบี ยูโอบี บริษัทหลักทรัพย์เกียรตินาคินภัทร และบริษัทหลักทรัพย์ เอเซีย พลัส เป็นผู้จัดการการจัดจำหน่ายหุ้นกู้ รวมถึงการขายผ่านแอปพลิเคชัน TrueMoney Wallet
บริษัท ทรู คอร์ปอเรชั่น จำกัด (มหาชน) ได้ยื่นแบบแสดงรายการข้อมูลการเสนอขายตราสารหนี้ และร่างหนังสือ ชี้ชวนต่อสำนักงานคณะกรรมการกำกับหลักทรัพย์และตลาดหลักทรัพย์ (สำนักงาน ก.ล.ต.) เพื่อเสนอขายหุ้นกู้ TRUE ชุดใหม่ ต่อประชาชนเป็นการทั่วไป (Public Offering) ซึ่งเป็นหุ้นกู้ชนิดระบุชื่อผู้ถือ ประเภทไม่ด้อยสิทธิ ไม่มีประกัน และมีผู้แทนผู้ถือหุ้นกู้ อันดับความน่าเชื่อถือของบริษัทฯ และหุ้นกู้อยู่ที่ระดับ “A+” แนวโน้ม “คงที่” (Stable) จากทริสเรทติ้ง เมื่อวันที่ 4 ตุลาคม พ.ศ. 2567 คาดว่าจะเปิดจองซื้อระหว่างวันที่ 21 – 22 และ 25 พฤศจิกายน พ.ศ. 2567 สำหรับผู้ลงทุนทั่วไป มูลค่าจองซื้อขั้นต่ำ 100,000 บาท และทวีคูณครั้งละ 100,000 บาท ชำระดอกเบี้ยทุกๆ 3 เดือนตลอดอายุหุ้นกู้ โดยอัตราดอกเบี้ยหุ้นกู้ TRUE ชุดใหม่ ทั้ง 5 ชุด มีดังนี้
1. หุ้นกู้ชุดที่ 1 อายุ 2 ปี อัตราดอกเบี้ยคงที่ 2.95% ต่อปี
2. หุ้นกู้ชุดที่ 2 อายุ 3 ปี อัตราดอกเบี้ยคงที่ 3.40% ต่อปี
3. หุ้นกู้ชุดที่ 3 อายุ 5 ปี อัตราดอกเบี้ยคงที่ 3.70% ต่อปี
4. หุ้นกู้ชุดที่ 4 อายุ 7 ปี อัตราดอกเบี้ยคงที่ 3.86% ต่อปี
5. หุ้นกู้ชุดที่ 5 อายุ 10 ปี อัตราดอกเบี้ยคงที่ 4.00% ต่อปี
ซึ่งเฉพาะรุ่นอายุ 10 ปี ผู้ออกหุ้นกู้มีสิทธิไถ่ถอนหุ้นกู้ก่อนวันครบกำหนดได้ตั้งแต่หุ้นกู้ครบปีที่ 5 เป็นต้นไป
นางสาวยุภา ลีวงศ์เจริญ หัวหน้าคณะผู้บริหารด้านการเงิน (ร่วม) บริษัท ทรู คอร์ปอเรชั่น จำกัด (มหาชน) กล่าวว่า “ทรู คอร์ปอเรชั่น ประสบความสำเร็จและสามารถสร้างการเติบโตอย่างต่อเนื่อง โดย EBITDA เติบโตเป็นไตรมาสที่ 7 ติดต่อกัน พร้อมทำกำไร (หลังรายการปรับปรุง) ในไตรมาส 3/2567 ถึง 3,107 ล้านบาท ขณะที่มีรายได้จากการให้บริการ (ไม่รวมค่าเชื่อมต่อโครงข่าย หรือ IC) 41,509 ล้านบาท เติบโต 4.2% เมื่อเทียบกับปีก่อน จากการเติบโตของธุรกิจโทรศัพท์เคลื่อนที่และออนไลน์ ตลอดจนการบริหารค่าใช้จ่ายอย่างมีประสิทธิภาพ ทำให้ EBITDA ในไตรมาส 3/2567 อยู่ที่ระดับ 24,981 ล้านบาท เติบโต 16.5% เมื่อเทียบกับปีก่อน หรือเติบโต 2.7% จากไตรมาสก่อน นอกจากนี้อัตราส่วน EBITDA ต่อรายได้จากการให้บริการยังปรับตัวดีขึ้นสู่ระดับสูงสุดนับตั้งแต่การควบรวมกิจการที่ 60.2% โดยทรูจะยังคงมุ่งเน้นการบริหารต้นทุนที่มีประสิทธิภาพและการผสานปัญญาประดิษฐ์ (Artificial Intelligence) เพื่อยกระดับการบริการลูกค้าและการบริหารงานภายใน พร้อมมุ่งมั่นสร้างนวัตกรรมอย่างต่อเนื่อง เพื่อให้มั่นใจว่าเราสามารถตอบสนองความต้องการของลูกค้าได้เป็นอย่างดี”
การออกหุ้นกู้ครั้งนี้ มีวัตถุประสงค์เพื่อนำเงินที่ได้ไปใช้คืนหนี้หุ้นกู้ที่ถึงกำหนดชำระ (Refinancing) โดยหุ้นกู้ TRUE ชุดใหม่มีอายุระหว่าง 2 ปี ถึง 10 ปี เพื่อรองรับความต้องการของนักลงทุนทุกกลุ่ม โดยนักลงทุนที่ชอบลงทุนระยะสั้นสามารถเลือกลงทุนในรุ่น 2 ปี ถึง 3 ปี สำหรับนักลงทุนที่ชอบลงทุนระยะกลางก็อาจเลือกลงทุนในรุ่น 5 ปี หรือนักลงทุนที่ชอบลงทุนระยะยาวและต้องการรับดอกเบี้ยอย่างสม่ำเสมอเพื่อนำไปใช้จ่ายในชีวิตประจำวันก็อาจเลือกลงทุนในรุ่น 7 ปี และ 10 ปี ซึ่งให้ผลตอบแทนที่สูงกว่า
หุ้นกู้ TRUE เป็นอีกหนึ่งโอกาสการลงทุนที่น่าสนใจ และคาดว่าจะได้รับการตอบรับจากผู้ลงทุนเป็นอย่างดีเหมือนครั้งที่ผ่านมาซึ่งมีผู้ลงทุนจำนวนมากให้ความสนใจจองซื้อครบเต็มจำนวน สำหรับผู้ลงทุนที่ต้องการลงทุนในหุ้นกู้ที่มีความมั่นคง โดยเฉพาะในช่วงที่สถานการณ์ตลาดหุ้นกู้ผันผวน และในช่วงดอกเบี้ยขาลง ดังเช่นการที่ธนาคารแห่งประเทศ
ไทยได้มีการปรับลดอัตราดอกเบี้ยนนโยบายลง 0.25% จาก 2.50% เป็น 2.25% เมื่อวันที่ 16 ตุลาคมที่ผ่านมา นอกจากนี้ดอกเบี้ยนโยบายยังมีแนวโน้มปรับตัวลดลงอย่างต่อเนื่อง การลงทุนในหุ้นกู้ TRUE ถือเป็นโอกาสให้ผู้ลงทุนได้รับผลตอบแทนคงที่ในระยะยาวได้
ทั้งนี้ บริษัทฯ อยู่ระหว่างการยื่นแบบแสดงรายการข้อมูลการเสนอขายตราสารหนี้ และร่างหนังสือชี้ชวนซึ่งยังไม่มีผลบังคับใช้ เนื่องจากอยู่ระหว่างการพิจารณาของสำนักงาน ก.ล.ต. ผู้ลงทุนสามารถศึกษารายละเอียดเพิ่มเติมได้จากแบบแสดงรายการข้อมูลการเสนอขายตราสารหนี้ และร่างหนังสือชี้ชวนที่ www.sec.or.th หรือ สอบถามรายละเอียดที่ผู้จัดการการจัดจำหน่ายหุ้นกู้ทั้ง 7 แห่ง ได้แก่
• ธนาคารกรุงเทพ จำกัด (มหาชน) ทุกสาขา (ยกเว้นสาขาไมโคร) หรือ โทร. 1333 หรือจองซื้อทางออนไลน์ผ่าน Bangkok Bank Mobile Banking
• ธนาคารกสิกรไทย จำกัด (มหาชน) ทุกสาขา โทร. 02 888 8888 กด 869 หรือจองซื้อทางออนไลน์ผ่าน https://www.kasikornbank.com/kmyinvest (ยกเว้นบุคคลสัญชาติต่างด้าว และนิติบุคคล สามารถจองซื้อผ่านสำนักงานใหญ่และสาขา) และรวมถึงบริษัทหลักทรัพย์ กสิกรไทย จำกัด (มหาชน) ในฐานะหน่วยงานขายของธนาคารกสิกรไทย จำกัด (มหาชน)
• ธนาคารไทยพาณิชย์ จำกัด (มหาชน) ทุกสาขา หรือ โทร. 02 777 6784 หรือจองซื้อทางออนไลน์ผ่านแอป SCB EASY และรวมถึงบริษัทหลักทรัพย์ อินโนเวสท์ เอกซ์ จำกัด ในฐานะหน่วยงานขายของธนาคารไทยพาณิชย์ จำกัด (มหาชน)
• ธนาคารซีไอเอ็มบี ไทย จำกัด (มหาชน) ทุกสาขา หรือ โทร. 02 626 7777 หรือจองซื้อทางออนไลน์ผ่าน แอป CIMB Thai
• ธนาคารยูโอบี จำกัด (มหาชน) ทุกสาขา หรือ โทร. 02 285 1555
• บริษัทหลักทรัพย์ เอเซีย พลัส จำกัด โทร. 02 680 4004
• บริษัทหลักทรัพย์ เกียรตินาคินภัทร จำกัด (มหาชน) โทร. 02 165 5555 หรือจองซื้อทางออนไลน์ผ่านแอปฯ Dime! และรวมถึง ธนาคารเกียรตินาคินภัทร จำกัด (มหาชน) ในฐานะหน่วยงานขายของบริษัทหลักทรัพย์ เกียรตินาคินภัทร จำกัด (มหาชน)
สำหรับผู้สนใจจองซื้อหุ้นกู้ผ่านแอปพลิเคชัน TrueMoney Wallet สามารถศึกษาเพิ่มเติมถึงรายละเอียด ขั้นตอน และวิธีการสมัคร TrueMoney Wallet Application และวิธีการจองซื้อ ได้ที่เว็บไซต์ www.truemoney.com หรือติดต่อขอคำแนะนำจากเจ้าหน้าที่ของ บริษัท ทรู มันนี่ จำกัด โทร. 1240 กด 6
กรุงเทพฯ – (8 พฤศจิกายน 2567) – บริษัท แอสเซนด์ มันนี่ จำกัด ผู้นำบริการทางการเงินรวมทั้งสินเชื่อดิจิทัล และผู้ให้บริการแอปพลิเคชันทรูมันนี่ ประกาศความสำเร็จในการไถ่ถอนหุ้นกู้ไม่ด้อยสิทธิของบริษัทย่อย ได้แก่ บริษัท แอสเซนด์ นาโน จำกัด มูลค่า 392,300,000 บาท ก่อนครบกำหนด ทั้งนี้ หุ้นกู้ดังกล่าวมีกำหนดครบไถ่ถอนในวันที่ 15 พฤศจิกายน 2568 แต่บริษัทฯ สามารถดำเนินการไถ่ถอนหุ้นกู้ก่อนครบกำหนดไถ่ถอนในวันที่ 15 พฤศจิกายน 2567 ซึ่งแสดงให้เห็นถึงความมั่นคงทางการเงินและการบริหารจัดการทางการเงินที่มีประสิทธิภาพของบริษัทฯ โดยหุ้นกู้ดังกล่าวให้อัตราดอกเบี้ย 6.75% ต่อปี
คุณอชิรา เตาลานนท์ ประธานเจ้าหน้าที่ฝ่ายการเงิน บริษัท แอสเซนด์ กรุ๊ป จำกัด กล่าวว่า “การตัดสินใจไถ่ถอนหุ้นกู้ แอสเซนด์ นาโน ก่อนกำหนดในครั้งนี้เป็นส่วนหนึ่งของกลยุทธ์ระยะยาวของบริษัทฯ รวมทั้งสะท้อนให้เห็นถึงความแข็งแกร่งทางการเงิน และความสามารถในการบริหารจัดการทางการเงินได้อย่างมีประสิทธิภาพ สร้างความมั่นใจแก่นักลงทุนในการบริหารจัดการและรักษาผลประโยชน์ของผู้ถือหุ้นกู้ ซึ่งการปรับปรุงโครงสร้างเงินทุน และลดภาระดอกเบี้ยในครั้งนี้ จะช่วยเสริมสร้างความมั่นคงและเตรียมพร้อมสำหรับการขยายธุรกิจของกลุ่มบริษัท แอสเซนด์ มันนี่ ต่อไป ทั้งนี้ บริษัทฯ ขอขอบคุณนักลงทุนที่ให้ความสนใจและเชื่อมั่นในการลงทุนหุ้นกุ้ของกลุ่มบริษัทเสมอมาทั้งหุ้นกู้ แอสเซนด์ นาโน และหุ้นกู้ ทรูมันนี่ ในช่วงที่ผ่านมา”
บริษัท แอสเซนด์ นาโน จำกัด อยู่ภายใต้กลุ่มบริษัท แอสเซนด์ มันนี่ จำกัด และมีบทบาทสำคัญในการขยายบริการและการเข้าถึงสินเชื่อดิจิทัลในประเทศไทย โดยหนึ่งในผลิตภัณฑ์สำคัญของแอสเซนด์ นาโน คือ เพย์เน็กซ์ (Pay Next) ซึ่งเป็นบริการวงเงินและสินเชื่อที่ให้บริการผ่านแอปพลิเคชันทรูมันนี่ (TrueMoney) ที่มีผู้ใช้งานครอบคลุมกว่า 32 ล้านคนในประเทศไทย
คุณอชิรา เตาลานนท์ ประธานเจ้าหน้าที่ฝ่ายการเงิน บริษัท แอสเซนด์ กรุ๊ป จำกัด
ที่ผ่านมา แอสเซนด์ นาโน ได้มีการนำระบบบริหารความเสี่ยงที่ครอบคลุมมาใช้เพื่อให้มั่นใจว่าการให้สินเชื่อเป็นไปตามนโยบายการให้สินเชื่ออย่างยั่งยืนและมีความรับผิดชอบ โดยบริษัทฯ ได้นำเทคโนโลยีเอไอและการวิเคราะห์ข้อมูลขั้นสูง รวมทั้งการคำนวณความเสี่ยงทางการเงินที่ประเมินจากข้อมูลทางเลือก (Alternative Data) อาทิ พฤติกรรมการเติมเงินและการใช้จ่ายผ่านแอป มาประยุกต์ใช้ในการประเมินสินเชื่อ ซึ่งการประเมินแบบครอบคลุมนี้ ทำให้ แอสเซนด์ นาโน สามารถวิเคราะห์ความสามารถในการชำระหนี้ของผู้ที่สมัครสินเชื่อได้อย่างมีประสิทธิภาพ โดยไม่จำเป็นต้องพึ่งพาข้อมูลเครดิตแห่งชาติเพียงอย่างเดียว ซึ่งช่วยให้ผู้บริโภคและธุรกิจรายย่อยที่แต่ก่อนไม่สามารถเข้าถึงแหล่งเงินกู้จากสถาบันการเงิน สามารถสมัคร รู้ผล และเข้าถึงแหล่งเงินทุนและผลิตภัณฑ์การเงินที่หลากหลายได้อย่างสะดวกรวดเร็วผ่านแอปพลิเคชันทรูมันนี่ โดยการบริการวงเงินและสินเชื่อในรูปแบบดังกล่าวได้เปิดโอกาสให้ผู้บริโภคและผู้ประกอบธุรกิจรายย่อย เช่น พ่อค้า แม่ค้า สามารถเข้าถึงแหล่งเงินฉุกเฉินในเวลาที่จำเป็น ไปพร้อม ๆ กับต่อยอดการเติบโตของธุรกิจของตนได้โดยไม่ต้องพึ่งพาแหล่งเงินกู้นอกระบบ นอกจากนี้ แอสเซนด์ นาโน ยังมีการควบคุมการปล่อยวงเงินและสินเชื่อโดยปรับไปตามพฤติกรรมและความสามารถในการชำระหนี้ของผู้ใช้ เพื่อเสริมสร้างวินัยและการใช้วงเงินอย่างมีความรับผิดชอบ ซึ่งจะนำไปสู่การพัฒนาคุณภาพชีวิตให้ดีขึ้นของพวกเขาเหล่านี้อย่างยั่งยืน
“บริการและนโยบายต่างๆ ของ แอสเซนด์ นาโน สอดคล้องกับพันธกิจของกลุ่ม แอสเซนด์ มันนี่ ในการสร้างนวัตกรรมทางการเงินที่ช่วยทำให้ทุกคนสามารถเข้าถึงบริการทางการเงินที่หลากหลายและมีชีวิตความเป็นอยู่ที่ดีขึ้น แอสเซนด์ นาโน จะยังคงมุ่งมั่นที่จะขยายบริการสินเชื่อดิจิทัล ไปพร้อม ๆ กับขยายความร่วมมือกับหน่วยงานกำกับดูแล
หน่วยงานภาครัฐ และพันธมิตรที่เกี่ยวข้อง เพื่อให้นวัตกรรมทางการเงินเป็นเครื่องมือสำคัญในการเสริมสร้างความมั่นคงทางการเงินของคนไทย และสร้างเสถียรภาพทางเศรษฐกิจให้ประเทศไทยต่อไป” คุณอชิรา กล่าวสรุป
บริษัท ทรู คอร์ปอเรชั่น จำกัด (มหาชน) (บริษัทฯ) บริษัทโทรคมนาคม-เทคโนโลยีชั้นนำอันดับ 1 ของไทย และอันดับ 1 ของโลกด้านความยั่งยืน ด้วยคะแนน DJSI 2023 สูงสุดในกลุ่มอุตสาหกรรมโทรคมนาคมเป็นปีที่ 6 ติดต่อกัน เตรียมเสนอขายหุ้นกู้ชุดใหม่ให้แก่ผู้ลงทุนทั่วไป จำนวน 5 ชุด อายุหุ้นกู้ตั้งแต่ 2 ปี ถึง 10 ปี อัตราดอกเบี้ยคงที่ระหว่าง [2.95 - 4.10]% ต่อปี ด้วยอันดับความน่าเชื่อถือ “A+” แนวโน้ม “คงที่” (Stable) จากทริสเรทติ้ง สะท้อนถึงความแข็งแกร่งของบริษัททรู คอร์ปอเรชั่นในธุรกิจโทรคมนาคม และธุรกิจเทคโนโลยีดิจิทัล คาดเปิดให้จองซื้อระหว่างวันที่ 21-22 และ 25 พฤศจิกายน 2567 ผ่าน 7 สถาบันการเงินชั้นนำได้แก่ ธนาคารกรุงเทพ กสิกรไทย ไทยพาณิชย์ ซีไอเอ็มบี ยูโอบี บริษัทหลักทรัพย์เกียรตินาคินภัทร และบริษัทหลักทรัพย์ เอเซีย พลัส รวมถึงการขายผ่านแอปพลิเคชัน TrueMoney Wallet โดยมีธนาคารกรุงศรีอยุธยา เป็นนายทะเบียนหุ้นกู้และผู้แทนผู้ถือหุ้นกู้
นางสาวยุภา ลีวงศ์เจริญ หัวหน้าคณะผู้บริหารด้านการเงิน (ร่วม) บริษัท ทรู คอร์ปอเรชั่น จำกัด (มหาชน)กล่าวว่า “เรามุ่งมั่นสร้างการเติบโตอย่างต่อเนื่องและยั่งยืน โดยผลประกอบการไตรมาส 2 ปี 2567 ของทรู คอร์ปอเรชั่นแสดงถึงความสำเร็จต่อเนื่องจากการควบรวมทรูและดีแทค ด้วยกำไรสุทธิ (หลังหักภาษีและหลังปรับปรุงรายการพิเศษ) 2.4 พันล้านบาท และ EBITDA ที่เติบโตเป็นไตรมาสที่ 6 ติดต่อกัน สะท้อนการเติบโตของรายได้จากธุรกิจหลักและการบริหารต้นทุนที่มีประสิทธิภาพ เรายังมุ่งสู่การเป็นผู้นำโทรคมนาคมและเทคโนโลยีที่ยั่งยืน เน้นการใช้ AI และระบบอัตโนมัติเพื่อยกระดับประสบการณ์ลูกค้าและเพิ่มประสิทธิภาพในองค์กร นอกจากนี้ การลงทุนในเครือข่าย 5G ที่ครอบคลุม 92% ของประชากร จะช่วยผลักดันการเติบโตของบริษัทและสร้างคุณค่าแก่ผู้ที่เกี่ยวข้องทุกฝ่ายอย่างยั่งยืน”
บริษัทฯ และหุ้นกู้ได้รับการจัดอันดับความน่าเชื่อถือที่ “A+” แนวโน้ม “คงที่” (Stable) จากบริษัท ทริสเรทติ้ง จำกัด เมื่อวันที่ 4 ตุลาคม 2567 ซึ่งสะท้อนถึงสถานะผู้นำทางการตลาด (market position) ในตลาดโทรศัพท์เคลื่อนที่และอินเทอร์เน็ตบรอดแบนด์ เสริมทัพด้วยโครงข่ายทั่วประเทศ ชุดคลื่นความถี่ที่ครอบคลุม และชื่อแบรนด์ที่ผู้บริโภคคุ้นเคย อีกทั้งปัจจัยบวกจากประโยชน์ที่คาดว่า จะเกิดขึ้นจากการควบรวม รวมถึงประสิทธิภาพในการดำเนินงานของบริษัทฯที่คาดว่าน่าจะปรับตัวดีขึ้นในอนาคตอีกด้วย
ทางด้านผู้จัดการการจัดจำหน่ายหุ้นกู้กล่าวเพิ่มเติมว่า “ถือเป็นจังหวะที่ดีสำหรับนักลงทุนที่ต้องการสะสมหุ้นกู้ที่มีคุณภาพก่อนที่อัตราดอกเบี้ยนโยบายจะเริ่มปรับตัวลดลง โดยเมื่อวันที่ 18 กันยายน 2567 ที่ผ่านมาธนาคารกลางสหรัฐฯ ได้ปรับอัตราดอกเบี้ยนโยบายลงครั้งแรกในรอบ 4 ปี โดยปรับลดลง 0.50% และส่งสัญญาณที่จะปรับลดอัตราดอกเบี้ยลงอีกในช่วงเวลาที่เหลือของปีนี้ สำหรับประเทศไทย แม้ว่าการประชุมเมื่อวันที่ 21 สิงหาคม 2567 ที่ผ่านมา คณะกรรมการนโยบายการเงิน (กนง.) จะประกาศคงอัตราดอกเบี้ยนโยบายไว้ที่ 2.50% แต่ก็มีโอกาสที่ กนง. จะประกาศปรับลดอัตราดอกเบี้ยนโยบายได้หลังจากที่ธนาคารกลางสหรัฐฯประกาศลดอัตราดอกเบี้ยต่อเนื่อง โดยการประชุมครั้งต่อไปคือวันที่ 16 ตุลาคม 2567 ช่วงเวลานี้จึงเป็นจังหวะที่ดีสำหรับนักลงทุนในการสะสมหุ้นกู้ เพื่อล็อคผลตอบแทนไว้ล่วงหน้า โดยเฉพาะนักลงทุนที่นิยมลงทุนในหุ้นกู้ที่มีคุณภาพสูง และด้วยอันดับความน่าเชื่อถือที่ระดับ A+ แนวโน้ม “คงที่” ของทรู น่าจะเป็นตัวเลือกที่น่าสนใจสำหรับนักลงทุน”
หุ้นกู้ครั้งนี้จะเสนอขายแก่ผู้ลงทุนทั่วไป (Public Offering) โดยมีอายุหุ้นกู้ระหว่าง 2 ปี ถึง 10 ปี เพื่อรองรับความต้องการของนักลงทุนทุกกลุ่ม ตอบโจทย์ทั้งนักลงทุนที่ต้องการลงทุนระยะสั้น ระยะกลาง และระยะยาว วัตถุประสงค์ในการออกหุ้นกู้ครั้งนี้เพื่อชำระคืนหนี้จากการออกตราสารหนี้ โดยเป็นหุ้นกู้ชนิดระบุชื่อผู้ถือ ประเภทไม่ด้อยสิทธิ ไม่มีประกัน และมีผู้แทนผู้ถือหุ้นกู้ จ่ายดอกเบี้ยทุกๆ 3 เดือนตลอดอายุหุ้นกู้ และคาดว่าจะเปิดให้จองซื้อระหว่างวันที่ 21-22 และ 25 พฤศจิกายน 2567 สำหรับผู้ลงทุนทั่วไป มูลค่าจองซื้อขั้นต่ำ 100,000 บาท และทวีคูณครั้งละ 100,000 บาท ซึ่งบริษัทฯ หวังว่าหุ้นกู้ที่เสนอขายในครั้งนี้จะได้รับการตอบรับจากนักลงทุนเป็นอย่างดีเหมือนหุ้นกู้ทุกชุดที่ผ่านมาของบริษัทฯ โดยหุ้นกู้ทั้ง 5 ชุดที่เสนอขาย มีรายละเอียดดังนี้
1. หุ้นกู้ชุดที่ 1 อายุ 2 ปี อัตราดอกเบี้ยคงที่ [2.95 - 3.10]% ต่อปี
2. หุ้นกู้ชุดที่ 2 อายุ 3 ปี อัตราดอกเบี้ยคงที่ [3.25 - 3.40]% ต่อปี
3. หุ้นกู้ชุดที่ 3 อายุ 5 ปี อัตราดอกเบี้ยคงที่ [3.65 – 3.80]% ต่อปี
4. หุ้นกู้ชุดที่ 4 อายุ 7 ปี อัตราดอกเบี้ยคงที่ [3.80 – 3.95]% ต่อปี
5. หุ้นกู้ชุดที่ 5 อายุ 10 ปี อัตราดอกเบี้ยคงที่ [3.95 – 4.10]% ต่อปี
ซึ่งเฉพาะรุ่นอายุ 10 ปี ผู้ออกหุ้นกู้มีสิทธิไถ่ถอนหุ้นกู้ก่อนวันครบกำหนดได้ตั้งแต่หุ้นกู้ครบปีที่ 5 เป็นต้นไป
ทั้งนี้ บริษัทฯ อยู่ระหว่างการยื่นแบบแสดงรายการข้อมูลการเสนอขายตราสารหนี้ และร่างหนังสือชี้ชวนซึ่งยังไม่มีผลบังคับใช้ เนื่องจากอยู่ระหว่างการพิจารณาของสำนักงาน ก.ล.ต. ผู้ลงทุนสามารถศึกษารายละเอียดเพิ่มเติมได้จากแบบแสดงรายการข้อมูลการเสนอขายตราสารหนี้ และร่างหนังสือชี้ชวนที่ www.sec.or.th หรือ สอบถามรายละเอียดที่ผู้จัดการการจัดจำหน่ายหุ้นกู้ทั้ง 7 แห่ง ได้แก่
• ธนาคารกรุงเทพ จำกัด (มหาชน) ทุกสาขา (ยกเว้นสาขาไมโคร) หรือ โทร. 1333 หรือจองซื้อทางออนไลน์ผ่าน Bangkok Bank Mobile Banking
• ธนาคารกสิกรไทย จำกัด (มหาชน) ทุกสาขา โทร. 02 888 8888 กด 869 หรือจองซื้อทางออนไลน์ผ่าน https://www.kasikornbank.com/kmyinvest (ยกเว้นบุคคลสัญชาติต่างด้าว และนิติบุคคล สามารถจองซื้อผ่านสำนักงานใหญ่และสาขา) และรวมถึงบริษัทหลักทรัพย์ กสิกรไทย จำกัด (มหาชน) ในฐานะหน่วยงานขายของธนาคารกสิกรไทย จำกัด (มหาชน)
• ธนาคารไทยพาณิชย์ จำกัด (มหาชน) ทุกสาขา หรือ โทร. 02 777 6784 หรือจองซื้อทางออนไลน์ผ่านแอป SCB EASY และรวมถึงบริษัทหลักทรัพย์ อินโนเวสท์ เอกซ์ จำกัด ในฐานะหน่วยงานขายของธนาคารไทยพาณิชย์ จำกัด (มหาชน)
• ธนาคารซีไอเอ็มบี ไทย จำกัด (มหาชน) ทุกสาขา หรือ โทร. 02 626 7777 หรือจองซื้อทางออนไลน์ผ่าน แอป CIMB Thai Digital Banking
• ธนาคารยูโอบี จำกัด (มหาชน) ทุกสาขา หรือ โทร. 02 285 1555
• บริษัทหลักทรัพย์ เอเซีย พลัส จำกัด โทร. 02 680 4004
• บริษัทหลักทรัพย์ เกียรตินาคินภัทร จำกัด (มหาชน) โทร. 02 165 5555 หรือจองซื้อทางออนไลน์ผ่านแอปฯ Dime! และรวมถึง ธนาคารเกียรตินาคินภัทร จำกัด (มหาชน) ในฐานะหน่วยงานขายของบริษัทหลักทรัพย์ เกียรตินาคินภัทร จำกัด (มหาชน)
สำหรับผู้สนใจจองซื้อหุ้นกู้ผ่านแอปพลิเคชัน TrueMoney Wallet สามารถศึกษาเพิ่มเติมถึงรายละเอียด ขั้นตอน และวิธีการสมัคร TrueMoney Wallet Application และวิธีการจองซื้อ ได้ที่เว็บไซต์ www.truemoney.com หรือติดต่อขอคำแนะนำจากเจ้าหน้าที่ของ บริษัท ทรู มันนี่ จำกัด โทร. 1240 กด 6
TPIPL เสนอขายหุ้นกู้ 2 ชุด ได้แก่ ชุดที่ 1 อายุ 4 ปี 4 เดือน อัตราดอกเบี้ย 3.85% ต่อปี มูลค่าเสนอขายไม่เกิน 7,000 ล้านบาท และชุดที่ 2 อายุ 5 ปี อัตราดอกเบี้ย 4.00% ต่อปี มูลค่าเสนอขายไม่เกิน 7,000 ล้านบาท จ่ายดอกเบี้ยทุก 3 เดือน คาดเปิดจองซื้อวันที่ 5 - 7 พฤศจิกายน 2567 สำหรับผู้ลงทุนทั่วไป และผู้ลงทุนสถาบัน ผ่านสถาบันการเงินที่เป็นผู้จัดการการจัดจำหน่ายรวม 19 แห่ง เผยหุ้นกู้และองค์กรได้รับการจัดอันดับความน่าเชื่อถือจากทริสเรทติ้งที่ระดับ “A-” แนวโน้ม “คงที่” (Stable) สะท้อนความแข็งแกร่งและความสามารถในการแข่งขันในตลาดปูนซีเมนต์ในประเทศ รวมถึงกระแสเงินสดที่มีความมั่นคงจากธุรกิจผลิตไฟฟ้า และประโยชน์จากการกระจายการลงทุนในธุรกิจที่หลากหลาย มั่นใจเป็นทางเลือกที่น่าสนใจและจะได้รับการตอบรับที่ดีจากผู้ลงทุน ชี้หุ้นกู้มีความเสี่ยงต่ำที่ระดับ 3 (ความเสี่ยงสูงสุดอยู่ที่ระดับ 8)
นายประชัย เลี่ยวไพรัตน์ ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร บริษัท ทีพีไอ โพลีน จำกัด (มหาชน) หรือ TPIPL ผู้ผลิตและจำหน่ายปูนซีเมนต์ ธุรกิจคอนกรีตผสมเสร็จ รวมทั้งผลิตภัณฑ์วัสดุก่อสร้างรายใหญ่ของประเทศ ธุรกิจโพลีเมอร์ชนิดพิเศษ (Specialty Polymer) และธุรกิจโรงไฟฟ้า (ผ่านบริษัทย่อย) เปิดเผยว่า บริษัทฯ เตรียมออกและเสนอขายหุ้นกู้ชนิดระบุชื่อผู้ถือ ประเภทไม่ด้อยสิทธิ ไม่มีประกัน และมีผู้แทนผู้ถือหุ้นกู้ จำนวน 2 ชุด ได้แก่ หุ้นกู้ชุดที่ 1 อายุ 4 ปี 4 เดือน อัตราดอกเบี้ย 3.85% ต่อปี มูลค่าเสนอขายไม่เกิน 7,000 ล้านบาท และหุ้นกู้ชุดที่ 2 อายุ 5 ปี อัตราดอกเบี้ย 4.00% ต่อปี มูลค่าเสนอขายไม่เกิน 7,000 ล้านบาท กำหนดชำระดอกเบี้ยทุก 3 เดือน โดยหุ้นกู้ได้รับการจัดอันดับความน่าเชื่อถือจากบริษัท ทริสเรทติ้ง จำกัด เมื่อวันที่ 25 กันยายน 2567 ที่ระดับ A- แนวโน้ม “คงที่” (Stable) เช่นเดียวกับอันดับความน่าเชื่อถือองค์กร โดยคาดว่าจะเสนอขายในระหว่างวันที่ 5-7 พฤศจิกายน 2567 ให้แก่ผู้ลงทุนทั่วไป และผู้ลงทุนสถาบัน
ทั้งนี้ บริษัทฯ มั่นใจว่า หุ้นกู้ TPIPL จะได้รับความสนใจและการตอบรับจากผู้ลงทุนเป็นอย่างดี เนื่องจากได้กำหนดอัตราผลตอบแทนจากการลงทุนที่เหมาะสม สอดคล้องกับอันดับความน่าเชื่อถือของหุ้นกู้ที่ระดับ “A-” จากทริสเรทติ้งโดยมีความเสี่ยงต่ำที่ระดับ 3 (ความเสี่ยงสูงสุดอยู่ที่ระดับ 8) ซึ่งสะท้อนความแข็งแกร่งของบริษัทฯ ในการเป็นผู้นำในอุตสาหกรรมปูนซิเมนต์เขียว และผลิตภัณฑ์ปูนซิเมนต์เขียว รวมถึงธุรกิจปิโตรเคมีและเคมีภัณฑ์ ธุรกิจพลังงานทดแทนจากขยะเทศบาลและแสงอาทิตย์ และสาธารณูปโภค ธุรกิจการเกษตรชีวะอินทรีย์ และอื่นๆ ซึ่งมีโอกาสและศักยภาพในการเติบโตในอนาคต ขณะที่ ทริสเรทติ้ง ระบุด้วยว่า “ทีพีไอ โพลีน” มีความสามารถในการแข่งขันในตลาดปูนซีเมนต์ในประเทศไทย ตลอดจนอยู่ในตำแหน่งผู้นำในตลาด Ethylene Vinyl Acetate (EVA) ซึ่งเป็นเม็ดพลาสติกที่มีความยืดหยุ่นสูง นอกจากนี้ บริษัทฯ ยังมีกระแสเงินสดที่มั่นคงจากธุรกิจผลิตไฟฟ้า และได้รับประโยชน์จากการกระจายความเสี่ยงทางธุรกิจที่หลากหลาย
ปัจจุบัน บมจ. ทีพีไอ โพลีน และบริษัทในเครือประกอบธุรกิจหลัก แบ่งเป็น 4 กลุ่มธุรกิจ ดังนี้
(1) ธุรกิจวัสดุก่อสร้าง โดยเป็นผู้ผลิตและจำหน่ายปูนซีเมนต์เขียว คอนกรีตผสมเสร็จเขียว กระเบื้องคอนกรีตเขียว ไฟเบอร์ซีเมนต์เขียว อิฐมวลเบาเขียว สี และวัสดุก่อสร้างอื่น โดยเป็นบริษัทผู้ผลิตปูนซีเมนต์รายใหญ่ที่สามารถลด CO2 ได้มากที่สุดของประเทศไทย
(2) ธุรกิจปิโตรเคมีและเคมีภัณฑ์ โดยเป็นผู้ผลิตและจำหน่ายโพลีเมอร์ชนิดพิเศษ (Specialty Polymer) ประกอบด้วย พลาสติก LDPE และ EVA (โดยสามารถพัฒนาเทคโนโลยีการผลิตพลาสติก EVA รายเดียวในประเทศไทย) กาวน้ำ กาวผง Solar Film แอมโมเนียมไนเตรท และกรดไนตริก เป็นต้น โดยเป็นผู้ผลิตแอมโมเนียมไนเตรทรายใหญ่ที่สุดในประเทศไทย
(3) ธุรกิจพลังงานและสาธารณูปโภค ได้แก่ ธุรกิจโรงไฟฟ้าจากพลังงานเชื้อเพลิงขยะ (โดยมีโรงไฟฟ้าเชื้อเพลิงขยะที่ใหญ่ที่สุดในโลกที่ไม่ปล่อยของเสียออกนอกโรงงาน (Zero Waste) และได้รับ Carbon Credits มากที่สุด มีโรงกำจัดขยะในพื้นที่แห่งเดียวกันที่ใหญ่ที่สุดในโลก) (โรงไฟฟ้าถ่านหิน อยู่ระหว่างปรับเปลี่ยนเป็นโรงไฟฟ้าเชื้อเพลิงขยะ 100% ภายในปี 2568 โรงงานแปรรูปขยะเป็นเชื้อเพลิงทดแทน) โรงงานผลิตเชื้อเพลิงเหลวจากยางรถยนต์เก่า สถานีให้บริการน้ำมันและก๊าซธรรมชาติ (NGV) พร้อมด้วย Charger ไฟฟ้า สำหรับรถไฟฟ้า (EV) และโรงงานรับกำจัดกากอุตสาหกรรม
(4) ธุรกิจการเกษตรชีวะอินทรีย์และอื่น ๆ ดังนี้
(4.1) ผลิตภัณฑ์สำหรับพืชไร้สารพิษ ได้แก่ ปุ๋ยชีวะอินทรีย์ สารปรับปรุงสภาพดิน และสารไล่แมลง โดยไม่ต้องใช้ยาเคมีพิษฆ่าแมลง
(4.2) ผลิตภัณฑ์สำหรับสัตว์ไร้สารพิษ ได้แก่ จุลินทรีย์ชีวนะ สำหรับปศุสัตว์และประมง ไร้สารพิษและสารฆ่า VIRUSES ในสัตว์บกและสัตว์น้ำ โดยไม่ต้องใช้ยาปฏิชีวนะ
(4.3) ผลิตภัณฑ์สุขอนามัยชีวภาพ ได้แก่ เครื่องดื่มโพรไบโอติกผสมวิตามิน (Pro vita) อาหารเสริมโพรไบโอติกแคลเซียมและวิตามินซี น้ำยาบ้วนปากไบโอน็อค (Bio Knox) เป็นน้ำยาบ้วนปากเพื่อฆ่าเชื้อจุลินทรีย์และแบคทีเรียในช่องปาก ป้องกันไม่ให้เชื้อ Virus เข้าสู่ร่างกายทางปาก ผลิตภัณฑ์ทำความสะอาด น้ำยาล้างจาน และน้ำยาขจัดคราบ นอกจากนี้มี น้ำยาล้างผัก สบู่เหลวอาบน้ำ สบู่ล้างมือ รวมถึงน้ำดื่มตราทีพีไอพีแอล อีกทั้งยังมีธุรกิจประกันชีวิตที่ดำเนินการภายใต้บริษัทในเครือทีพีไอโพลีน
นอกจากนี้ กลุ่มทีพีไอโพลีน ได้ส่งเสริมการพัฒนาด้านความยั่งยืน ในด้านสิ่งแวดล้อม สังคม และบรรษัทภิบาล (ESG) อย่างต่อเนื่อง เพื่อเข้าสู่สังคมคาร์บอนต่ำ เพื่อบรรลุเป้าหมาย Net Zero Emission โดยใช้เชื้อเพลิงขยะในการผลิตไฟฟ้า และใช้เชื้อเพลิงขยะแทนถ่านหินบางส่วนในกระบวนการผลิตปูนซีเมนต์ ใช้ระบบสายพานลำเพียงวัตถุดิบ ปรับปรุงประสิทธิภาพเครื่องจักรโรงปูนซิเมนต์เพื่อลดอัตราการใช้เชื้อเพลิงฟอสซิลและลดฝุ่น (Green Cement Process) เปลี่ยนใช้มอเตอร์ ไฟฟ้าในรถและเครื่องจักร เหมืองแทนเครื่องยนต์สันดาป (Green Mining) ผลิตวัสดุก่อสร้างที่เป็นมิตรกับสิ่งแวดล้อม (Green Products) ปรับปรุงระบบขนส่งด้วยรถไฟฟ้า (Green Logistics) ใช้รถไฟฟ้าในการปฏิบัติงาน (Green Management) และใช้รถโฟล์คลิฟท์ไฟฟ้าในการปฏิบัติงาน (Green Warehouse) นอกจากนี้กลุ่มทีพีไอโพลีนได้บริจาคเงินช่วยเหลือชุมชนและสังคมอย่างต่อเนื่อง โดยคำนึงถึงสิทธิมนุษยชน และผู้มีส่วนได้เสียทุกภาคส่วนที่เกี่ยวข้องอย่างเหมาะสม
โดยในช่วงที่ผ่านมา บริษัทฯได้รับรางวัลในส่วนที่เกี่ยวข้อง ดังนี้
1. ได้รับการคัดเลือกให้เป็น 1 ใน 100 บริษัทจดทะเบียนที่มีผลการดำเนินงานโดดเด่น ESG 100 ประจำปี 2567 ต่อเนื่องเป็นปีที่ 3 (2565-2567) และเป็นบริษัทที่น่าลงทุนในกลุ่มอสังหาริมทรัพย์และก่อสร้างจากการประเมินของสถาบันไทยพัฒน์
2. ได้รับการประเมินเป็น “หุ้นยั่งยืนระดับ AA” ประจำปี 2566 จากตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทย
3. ได้รับการประเมินการกำกับดูแลกิจการของบริษัทจดทะเบียนประจำปี 2566 โดยสมาคมส่งเสริมสถาบันกรรมการบริษัทไทยในระดับ 5 ดาว “ดีเลิศ”
4. ได้รับรางวัล 3G Excellence Award in CSR Activities 2023 จากเวทีระดับโลก Global Good Governance Awards 2023 จากบริษัทที่ปรึกษาทางการเงิน Cambridge IFA International Financial Advisory สหราชอาณาจักร
สำหรับผู้ลงทุนทั่วไปที่สนใจลงทุนในหุ้นกู้ TPIPL สามารถศึกษารายละเอียดเพิ่มเติมจากหนังสือชี้ชวนการเสนอขายได้ที่ www.sec.or.th และสามารถสอบถามรายละเอียดเพิ่มเติมจากผู้จัดการการจัดจำหน่ายหุ้นกู้ทั้ง 19 แห่ง ดังนี้
จัดจำหน่ายสำหรับผู้ลงทุนทั่วไปและผู้ลงทุนสถาบัน
ธนาคารซีไอเอ็มบี ไทย จำกัด (มหาชน) โทร. 02-626-7777
บริษัทหลักทรัพย์ เอเซีย พลัส จำกัด โทร. 02-680-4004
บริษัทหลักทรัพย์ เคจีไอ (ประเทศไทย) จำกัด (มหาชน) โทร. 02-658-8888
บริษัทหลักทรัพย์ กรุงไทย เอ็กซ์สปริง จำกัด โทร. 02-695-5000
บริษัทหลักทรัพย์ หยวนต้า (ประเทศไทย) จำกัด โทร. 02-009-8351-56
บริษัทหลักทรัพย์ เมย์แบงก์ (ประเทศไทย) จำกัด (มหาชน) โทร. 02-658-5050
จัดจำหน่ายสำหรับผู้ลงทุนสถาบัน
ธนาคารทหารไทยธนชาต จำกัด (มหาชน) โทร. 02-676-8000
จัดจำหน่ายสำหรับผู้ลงทุนทั่วไป
บริษัทหลักทรัพย์ กรุงศรี จำกัด (มหาชน) โทร. 02-638-5500
บริษัทหลักทรัพย์ ดาโอ (ประเทศไทย) จำกัด (มหาชน) โทร. 02-351-1800 กด 1
บริษัทหลักทรัพย์ พาย จำกัด (มหาชน) โทร. 02-205-7000 ต่อ 7311 หรือ 7391
บริษัทหลักทรัพย์ โกลเบล็ก จำกัด โทร. 02-687-7543
บริษัทหลักทรัพย์ ฟิลลิป (ประเทศไทย) จำกัด (มหาชน) โทร. 02-635-1700
บริษัทหลักทรัพย์ เมอร์ชั่น พาร์ทเนอร์ จำกัด (มหาชน) โทร. 02-660-6688
บริษัทหลักทรัพย์ ซีจีเอส อินเตอร์เนชั่นแนล (ประเทศไทย) จำกัด โทร. 02-846-8675
บริษัทหลักทรัพย์ บียอนด์ จำกัด (มหาชน) โทร.02-820-0100
บริษัทหลักทรัพย์ บลูเบลล์ จำกัด โทร. 02-249-2999
บริษัทหลักทรัพย์ ฟินันเซีย ไซรัส จำกัด (มหาชน) โทร. 02-625-2422
บริษัทหลักทรัพย์ ยูโอบี เคย์เฮียน (ประเทศไทย) จำกัด (มหาชน) โทร. 02-659-5272-73
บริษัทหลักทรัพย์ ทรีนิตี้ จำกัด โทร. 02-088-9100
สององค์กรผู้ให้บริการด้านการเงินชั้นนำ ธนาคาร CIMB THAI ผู้นำหุ้นกู้ตลาดรอง เจ้าของรางวัล Best Bond Dealer และ บริษัท ทรูมันนี่ จำกัด ผู้นำด้านการให้บริการทางการเงินแบบดิจิทัล ร่วมเปิดช่องทางลงทุนหุ้นกู้ตลาดรอง (Secondary Bond) ผ่านแอปทรูมันนี่ เพื่อมอบโอกาสให้คนไทยและผู้ใช้กว่า 34 ล้านคน เข้าถึงการลงทุนในหุ้นกู้คุณภาพดีเพื่อสร้างการเติบโตทางการเงินได้ง่ายกว่าที่เคย เพราะไม่ต้องรอ ไม่ต้องจองล่วงหน้าเหมือนหุ้นกู้ตลาดแรก และเป็นอีกทางเลือกของการออมเพื่อรับผลตอบแทนมากกว่าเงินฝากประจำ
พอล วอง ชี คิน กรรมการผู้จัดการใหญ่และประธานเจ้าหน้าที่บริหาร ธนาคาร ซีไอเอ็มบี ไทย กล่าวว่า “เราต้องการให้เกิด Digital Ecosystem ตามวิสัยทัศน์ของการเป็น ‘a Digital – led Bank with ASEAN Reach: ธนาคารอาเซียนขับเคลื่อนด้วยดิจิทัล’ เพื่อส่งมอบบริการอันเป็นเลิศให้ลูกค้า พัฒนาธุรกิจ และเพิ่มศักยภาพการแข่งขัน โดยนำเอาจุดแข็งด้านความเชี่ยวชาญธุรกิจ Wealth Management ของธนาคาร เดินหน้าผนึกกำลังกับพันธมิตรที่มีความเชี่ยวชาญเฉพาะด้านอย่าง บริษัท ทรูมันนี่ จำกัด ซึ่งเป็นผู้นำด้านการให้บริการทางการเงินแบบดิจิทัล ความร่วมมือครั้งนี้ เป็นการใช้เทคโนโลยี เปิดช่องทางใหม่ให้ลูกค้าสามารถเข้าถึงการลงทุนหุ้นกู้คุณภาพดีที่ CIMB THAI คัดสรรมาแล้ว ได้ 24 ชั่วโมง ตลอด 7 วัน ผ่านแอปทรูมันนี่ จากทุกที่ ทุกเวลา ทั่วโลก”
นายธัญญพงศ์ ธรรมาวรานุคุปต์ กรรมการผู้จัดการใหญ่ (ร่วม) บริษัท แอสเซนด์ มันนี่ จำกัด
ธัญญพงศ์ ธรรมาวรานุคุปต์ กรรมการผู้จัดการใหญ่ (ร่วม) บริษัท แอสเซนด์ มันนี่ จำกัด ผู้ให้บริการแอปพลิเคชันทรูมันนี่ เปิดเผยว่า “แอสเซนด์ มันนี่ และ ทรูมันนี่ มีพันธกิจในการมอบการเข้าถึงบริการทางการเงินและยกระดับชีวิตให้กับผู้คนผ่านการสร้างนวัตกรรมทางการเงิน โดยการจับมือกับ ธนาคารซีไอเอ็มบี ไทย เพื่อเปิดให้ผู้ใช้สามารถซื้อ ‘หุ้นกู้ตลาดรอง’ (Secondary Bond) ผ่านแอปทรูมันนี่ในครั้งนี้ ถือเป็นก้าวสำคัญในการมอบความสะดวกสบายและช่วยขจัดอุปสรรคในการเข้าถึงการลงทุน เนื่องจากปกติแล้ว ‘หุ้นกู้ตลาดแรก’ หรือที่เรียกว่า ‘หุ้นกู้มือหนึ่ง’ นั้นมีจำนวนไม่มากและมีขั้นตอนในการติดต่อขอจองซื้อที่ยุ่งยาก ทำให้ไม่ใช่ทุกคนจะสามารถเข้าถึงได้ ทาง ทรูมันนี่ จึงร่วมกับ ธนาคารซีไอเอ็มบี ไทย ทำให้การลงทุนในหุ้นกู้เป็นเรื่องง่ายยิ่งขึ้นผ่านแพลตฟอร์มและเทคโนโลยีของเรา พร้อมส่งเสริมให้นักลงทุนรายย่อยที่อาจยังไม่คุ้นเคยกับการลงทุนในหุ้นกู้ตลาดรองได้เข้ามาศึกษาและเลือกลงทุน เพราะเป็นทางเลือกที่เหมาะกับผู้ที่ต้องการกระจายการลงทุนไปยังสินทรัพย์ที่ให้ดอกเบี้ยสูงกว่าเงินฝากประจำ โดยหุ้นกู้ตลาดรองสามารถสร้างผลตอบแทนสูงถึง 5% ต่อปี และในครั้งนี้ ทรูมันนี่ จับมือกับธนาคาร ซีไอเอ็มบี ไทย ที่มีความเชี่ยวชาญเรื่องของหุ้นกู้ตลาดรอง มีหุ้นกู้ตลาดรองให้เลือกหลากหลาย อัปเดตใหม่ทุกสัปดาห์ และซื้อได้ทุกวันผ่านแอปทรูมันนี่ นอกจากนี้ ผู้ลงทุนยังมั่นใจอุ่นใจได้ในความปลอดภัยเพราะเป็นการร่วมมือกับสถาบันการเงินชั้นนำอย่าง ธ.ซีไอเอ็มบี ไทย เพื่อคัดสรรหุ้นกู้ Investment Grade คุณภาพดี เหมาะสำหรับนักลงทุนมืออาชีพ และนักลงทุนหน้าใหม่ และธนาคารมีเกณฑ์ในพิจารณาเลือกซื้อหุ้นกู้ ซึ่งหนึ่งในนั้นคือ ต้องเป็นบริษัทที่มีพื้นฐานธุรกิจแข็งแกร่ง และแพลตฟอร์มทรูมันนี่ของเราที่มีระบบความปลอดภัยที่ใช้เอไอในการ ตรวจ จับ หยุด ทุกความเสี่ยงและปกป้องบัญชีลูกค้า”
เพา จาตกานนท์ รองกรรมการผู้จัดการใหญ่ ธุรกิจบริหารเงิน ธนาคาร ซีไอเอ็มบี ไทย กล่าวเพิ่มเติมว่า “การบริหารเงินเพื่อสร้างความมั่งคั่งให้ลูกค้า คือเป้าหมายสำคัญของเรา เรามุ่งมั่นผลักดันให้ ‘ตราสารหนี้ตลาดรอง (Secondary Bond)’ เติบโตขึ้น สร้างสภาพคล่องให้สามารถซื้อ – ขายเปลี่ยนมือได้ตลอด เพื่อตอบโจทย์ของนักลงทุนทุกกลุ่ม ทั้งสถาบัน นิติบุคคล รวมถึงนักลงทุนรายย่อย
การร่วมมือครั้งนี้กับบริษัท ทรูมันนี่ จำกัด สอดรับกับกลยุทธ์ของเรา ผ่านการนำเสนอผลิตภัณฑ์ ‘ตราสารหนี้ตลาดรอง (Secondary Bond)’ ซึ่งเป็นผลิตภัณฑ์ที่เราเป็นผู้นำตลาดในปัจจุบัน สะท้อนจากรางวัลใหญ่ ‘Best Bond Dealer: ธนาคารที่เป็นที่ยอมรับในความสามารถในการให้บริการกับคู่ค้าในตลาดรองที่ยอดเยี่ยม’ และรางวัล ‘Most Active Bank in Corporate Bond Secondary Market: ธนาคารที่มีมูลค่าซื้อ – ขายหุ้นกู้เอกชนตลาดรองสูงที่สุด’ จาก ThaiBMA ติดต่อกัน 5 ปีซ้อน (2019 – 2023) ซึ่งทั้ง 2 รางวัลเป็นเครื่องการันตีว่า เรามี “พันธบัตรและหุ้นกู้ตลาดรองคุณภาพดี” พร้อมรองรับความต้องการของนักลงทุนตลอดปี การทำงานร่วมกันกับพันธมิตรที่แข็งแกร่ง จะช่วยเสริมให้คนไทยและผู้ใช้งานทรูมันนี่ที่มีไลฟ์สไตล์ดิจิทัล 34 ล้านคน สามารถเข้าถึงโอกาสบริการทางการเงิน ได้อย่างสะดวกและรวดเร็ว สามารถจัดสรรเงินออม มาลงทุนพันธบัตรและหุ้นกู้คุณภาพดีได้ทุกวัน สร้างโอกาสให้กับนักลงทุนได้เติบโตอย่างมั่งคั่ง และมั่นคง”
ภูดินันท์ เศรษฐนันท์ ผู้บริหารพัฒนาผลิตภัณฑ์การเงิน ธุรกิจผลิตภัณฑ์การเงินและที่ปรึกษา Equity Derivatives และผู้บริหารการขายลูกค้าบุคคลธนกิจ ธนาคาร ซีไอเอ็มบี ไทย เสริมว่า “ ตลาดตราสารหนี้ปัจจุบันมีมูลค่าการซื้อ – ขายอยู่ที่ 5,921,913 ล้านบาท (ข้อมูล: มูลค่าธุรกรรมซื้อขายตราสารหนี้ทุกประเภทที่มีอายุมากกว่า 1 ปี มกราคม – กันยายน 2567 จากสมาคมตลาดตราสารหนี้ไทย ) ซึ่งแม้ว่าจะมีลูกค้าบุคคลเข้ามาเป็นผู้เล่นในตลาดรองเพิ่มขึ้น และมีมูลค่าซื้อขายมีเพิ่มขึ้นเรื่อยๆ จนแตะระดับ 37,089 ล้านบาท ในปัจจุบัน แต่ก็คิดเป็นสัดส่วนไม่ถึง 1% เมื่อเทียบกับมูลค่าการซื้อ – ขายทั้งตลาด ในขณะที่หันกลับมาที่ตลาดหุ้น กลับพบว่า ลูกค้าบุคคลมีสัดส่วนสูงถึง 30% นั่นหมายถึง ‘โอกาส’ และเราเองในฐานะผู้นำ รวมถึงเป็นผู้บุกเบิกตราสารหนี้ตลาดรองของลูกค้าบุคคล เรามุ่งมั่นผลักดันให้ลูกค้าบุคคลเข้าถึงโอกาสของการลงทุนในตราสารหนี้ตลาดรอง เพื่อเข้ามาเป็นผู้เล่นสำคัญที่ทำให้ตลาดตราสารหนี้นี้เติบโตได้อย่างก้าวกระโดด และมีสภาพคล่องทัดเทียมตลาดหุ้น เพื่อให้เป็นอีกแหล่งระดมทุนที่สำคัญของประเทศ
ซึ่งการร่วมมือกับบริษัท ทรูมันนี่ จำกัด ที่มีบริการหลากหลายครอบคลุมไลฟ์สไตล์การใช้ชีวิตของลูกค้าในครั้งนี้ คือหนึ่งในกลยุทธ์สำคัญ ที่ทำให้เราเข้าถึงลูกค้าได้ในวงกว้าง ในขณะเดียวกันก็สามารถพาลูกค้าผู้ใช้งานทรูมันนี่ เข้าถึงการลงทุนตราสารหนี้ โดยเฉพาะในช่วงเวลานี้หลังเฟดลดดอกเบี้ย ซึ่งเปิดโอกาสให้ธนาคารแห่งประเทศไทยปรับลดดอกเบี้ยลงเช่นกัน จึงเป็นจังหวะของการลงทุนพันธบัตรและหุ้นกู้คุณภาพดีเข้าพอร์ต เพื่อล็อคผลตอบแทน สร้าง passive income โดยนักออมเงินหรือนักลงทุนที่สนใจสามารถลงทุนหุ้นกู้ตลาดรองได้ทั้งแอปพลิเคชันทรูมันนี่และแอปพลิเคชั่น CIMB THAI
นอกจากนี้ CIMB THAI ยังเตรียมจัดกิจกรรมดี ๆ ร่วมกับพันธมิตร ที่จะให้ความรู้กับนักลงทุน พร้อมกับการสร้างความสุขและสนุกสนาน เพื่อขยายฐานลูกค้าใหม่และส่งเสริมการสร้างความมั่งคั่งผ่านผลิตภัณฑ์หุ้นกู้คุณภาพดี”