

ปัญญาประดิษฐ์ (Artificial Intelligence: AI) ได้เข้ามาเป็นส่วนหนึ่งในชีวิตประจำวันของผู้คน และเริ่มมีบทบาทในการเพิ่มศักยภาพการแข่งขันและยกระดับองค์กรให้ก้าวทันโลก องค์กรต้องพร้อมสำหรับ AI Adoption หรือการนำ AI เข้ามาใช้ในกระบวนการทำงาน บริษัท บ้านปู จำกัด (มหาชน) ผู้นำด้านพลังงานที่หลากหลาย ก้าวสู่กระบวนการเปลี่ยนผ่านองค์กรในช่วงทศวรรษที่ผ่านมา บริษัทฯ ได้นำ AI เข้ามาช่วยขับเคลื่อน ปรับปรุงกระบวนการตัดสินใจ และสร้างโอกาสใหม่ ๆ ให้ธุรกิจ
นายวิธพล เจาะจิตต์ ผู้ช่วยประธานเจ้าหน้าที่บริหาร - ทรัพยากรมนุษย์ บริษัท บ้านปู จำกัด (มหาชน) กล่าวว่า “บ้านปูเน้นดำเนินธุรกิจด้วยความยืดหยุ่น คลื่นเทคโนโลยี AI กำลังเข้ามาปรับเปลี่ยนรูปแบบการทำงานอย่างต่อเนื่อง เราจึงต้องมีการคิดใหม่และวางแผนให้เป็นระบบ เพื่อนำพาองค์กรก้าวเข้าสู่ยุคใหม่ที่ผสานพลังการทำงานระหว่างพนักงานกับการเข้ามามีบทบาทของ AI อย่างเป็นทีมเวิร์ค บริษัทฯ มองระบบนิเวศทั้งภาพใหญ่และการปฏิบัติการ เชื่อมวิสัยทัศน์กับผลกระทบระยะยาว พร้อมรับความเปลี่ยนแปลงด้วยแนวทางและเป้าหมายการทำงานร่วมกับ AI ที่ชัดเจน เพื่อการสร้างการเติบโตที่ส่งเสริม ทุกฝ่ายและเดินหน้าได้อย่างมั่นคง”

แนวคิด 3R ที่บ้านปูใช้ขับเคลื่อนเพื่อนำองค์กรเข้าสู่ยุคพลังงานแห่งอนาคต
Reframe – ปรับมุมมองเกี่ยวกับ AI
พนักงานในองค์กรมักจะกังวลว่า AI จะเข้ามาแทนที่คน ผู้นำในองค์กรต้องหาวิธีปรับมุมมองพนักงานใหม่ ผ่านการสื่อสารด้วยความเข้าใจและเห็นอกเห็นใจ โดยชี้ให้เห็นถึงความสำคัญว่า AI สามารถเข้ามาช่วยให้การทำงานของพวกเขามีประสิทธิภาพมากขึ้น ไม่ใช่เข้ามาเปลี่ยนแปลงทุกอย่างโดยสิ้นเชิงอย่างที่กังวล โดยเฉพาะอย่างยิ่งบ้านปูมีแนวคิดว่า AI เปรียบเสมือนเพื่อนร่วมงาน เมื่อพนักงานรู้สึกว่าองค์กรเข้าใจและได้รับการสนับสนุน จึงเต็มใจยอมรับและพร้อมที่จะเรียนรู้การทำงานควบคู่ไปกับ AI ในช่วงที่ผ่านมา บริษัทฯ จัดกิจกรรมอบรมและกิจกรรมสื่อสารเรื่อง AI อย่างต่อเนื่องทุกไตรมาส เพื่อให้พนักงานในทุกประเทศเข้าใจตรงกันอย่างชัดเจนถึงบทบาทของ AI และประโยชน์ที่พนักงานจะได้รับจากการใช้ AI ให้เป็น อีกทั้งยังเปิดเวทีให้ผู้เชี่ยวชาญมาแบ่งปันแนวคิดและแนวทางการใช้ AI ในภาคธุรกิจอย่างสร้างสรรค์และมีประสิทธิภาพให้กับพนักงานอีกด้วย
Reskill – เรียนรู้การใช้
เมื่อองค์กรมอง AI เป็นเสมือนเพื่อนร่วมงานคนใหม่ ที่ต้องเข้ามาอบรมการทำงานร่วมกันและพัฒนาความรู้ควบคู่กันไปอย่างเป็นทีม สมาชิกใหม่ของทีมคนนี้ มาพร้อมกับความสามารถใหม่ ๆ ที่จะเสริมให้ทีมแข็งแกร่งขึ้น ช่วยให้องค์กรเข้าถึงข้อมูลเชิงลึกแบบเรียลไทม์ ผู้นำต้องเสริมทักษะพนักงานให้สามารถทำงานกับ AI ได้อย่างราบรื่น โดยเน้นให้พนักงานเป็นศูนย์กลาง ในขณะที่ AI เข้ามาสนับสนุนส่วนงานที่ท้าทายและมีความซับซ้อนสูง และเพื่อสนับสนุนให้เกิดการเปลี่ยนแปลงที่เร็วขึ้น ในปีนี้ บริษัทฯ ได้จัดอบรมด้าน AI ตอบโจทย์ทุกระดับ หลักสูตร AI for Everyone ที่เน้นเคล็ดลับและตัวอย่างการใช้งานจริง รวมถึง Generative AI for Business Productivity และ Generative AI Mastery for Leader เพื่อเสริมทักษะพนักงานในการทำงานกับ AI เช่น วิธีป้อนคำสั่งให้ได้ผลลัพธ์ที่ต้องการ การรู้ข้อจำกัด และผลกระทบ ตลอดจนการใช้ AI เพื่อออกแบบงานระดับวางกลยุทธ์ และสร้างวิธีทำงานใหม่ ๆ เป็นต้น
Reimagine – มองเห็นภาพการทำงานร่วมกัน
ในอุตสาหกรรมพลังงาน การเข้ามามีบทบาทของ AI ทำให้บริษัทสามารถยกระดับการทำงานและสร้างนวัตกรรมใหม่ ๆ ได้มากขึ้น จากคุณสมบัติของ AI ในการคาดการณ์และวางแผนการบำรุงรักษา การจัดสรรทรัพยากร การตัดสินใจที่แม่นยำ และการส่งมอบผลลัพธ์ที่เป็นรูปธรรมต่อธุรกิจในภาพรวมเพื่อมุ่งสู่ความสำเร็จ
ตัวอย่างการนำ AI เข้ามาผสานในการทำงานของบ้านปู ได้แก่ การทำธุรกิจระบบการซื้อขายพลังงานไฟฟ้าในประเทศออสเตรเลีย โดยทีมเทรดเดอร์ของบ้านปูนำ AI มาช่วยวิเคราะห์ข้อมูลจำนวนมหาศาลแบบเรียลไทม์ได้อย่างแม่นยำ และตัดสินใจได้อย่างชาญฉลาด เพื่อประเมินช่วงเวลาในการซื้อไฟฟ้าเมื่อราคาต่ำ และขายไฟฟ้าเมื่อความต้องการและราคาพุ่งสูง กลายเป็นการสร้างมูลค่าทางธุรกิจที่จับต้องได้ รวมถึงการใช้ AI เพิ่มความแม่นยำและรวดเร็วในการประมวลผลเกี่ยวกับพนักงาน เพื่อคัดกรองบุคลากรที่มีคุณสมบัติเหมาะสมกับองค์กรรวมไปถึงการพัฒนาพนักงานซึ่งมีระดับศักยภาพหลากหลาย และรักษาคนเก่งและดีให้อยู่กับองค์กรในระยะยาว
แนวคิด 3R ของบ้านปู สะท้อนการวางรากฐานการใช้ AI อย่างเป็นระบบ เพราะให้ความสำคัญตั้งแต่การปรับกรอบความเข้าใจของผู้ใช้ระยะยาวอย่างพนักงาน ต่อยอดสู่การเติมทักษะ และนำมาใช้จริงในการปฎิบัติการของธุรกิจพลังงาน ถือเป็นการนำ AI มาทำหน้าที่ผสานคน เทคโนโลยี และธุรกิจให้พัฒนาและสร้างมูลค่าเพิ่มไปด้วยกัน ช่วยให้องค์กรขับเคลื่อนสู่อนาคตได้อย่างแข็งแกร่ง
ดร.กิรณ ลิมปพยอม ประธานเจ้าหน้าที่ปฏิบัติการ บริษัท บ้านปู จำกัด (มหาชน) (ลำดับที่ 2 จากขวา) ได้ร่วมเสวนาในหัวข้อ การประยุกต์ใช้แผนธุรกิจ ESG และ Sustainability การกำกับดูแล เพื่อความยั่งยืนและมูลค่าเพิ่มต่อองค์กร ภายในงาน TFAC’s Accounting Professions Summit 2025 ณ โรงแรมเซ็นทาราแกรนด์ แอท เซ็นทรัลเวิลด์ จัดขึ้นโดยสภาวิชาชีพบัญชี ในพระบรมราชูปถัมภ์ โดยมีวัตถุประสงค์เพื่อแบ่งปันความรู้ด้านเศรษฐกิจ เทคโนโลยี และการพัฒนาอย่างยั่งยืนให้แก่ผู้ประกอบวิชาชีพบัญชี และพร้อมรับมือกับความเปลี่ยนแปลงที่รวดเร็วในปัจจุบัน โดยมีผู้เข้าร่วมจากหลากหลายหน่วยงาน ทั้งผู้ประกอบวิชาชีพบัญชีและผู้บริหารจากองค์กรภาครัฐและเอกชนกว่า 900 คน
ดร.กิรณ เน้นยํ้าถึงความสำคัญของเรื่อง ESG และ Sustainability ว่าเป็นสิ่งที่องค์กรต้องให้ความสำคัญอย่างรอบด้าน โดยต้องสร้างความสมดุลระหว่างการดำเนินธุรกิจที่เป็นมิตรต่อสิ่งแวดล้อมและการสร้างคุณค่าแก่ผู้มีส่วนได้เสีย ซึ่งสอดคล้องกับกลยุทธ์ Energy Symphonics ของบ้านปูที่มุ่งผสานพลังงานหลากหลายอย่างสมดุลเพื่อส่งมอบพลังงานที่ยั่งยืน ซึ่งหมายถึงพลังงานที่เสถียร เข้าถึงได้ในราคาที่เหมาะสม และเป็นมิตรต่อสิ่งแวดล้อม
บริษัท บ้านปู จำกัด (มหาชน) รายงานความคืบหน้าการขับเคลื่อนกลยุทธ์ ‘Energy Symphonics’ ในประเทศยุทธศาสตร์ ในครึ่งปีแรก 2568 ทั้งขยายแหล่งก๊าซบาร์เน็ตต์และรุกโครงการ CCUS ในสหรัฐฯ เพิ่มการลงทุนในธุรกิจกักเก็บพลังงานในออสเตรเลีย และเริ่มก้าวแรกกับการลงทุนในธุรกิจนิกเกิลในอินโดนิเซีย รวมทั้งยังคงเน้นลดต้นทุนทั้งองค์กร ท่ามกลางเศรษฐกิจโลกที่ยังผันผวน ความคืบหน้าทั้งหมดนี้ตอกย้ำบทบาทของบ้านปูในฐานะผู้นำด้านพลังงานที่หลากหลาย เพื่อสร้างความสมดุลด้านพลังงานและขับเคลื่อนความยั่งยืนอย่างเป็นรูปธรรม
นายสินนท์ ว่องกุศลกิจ ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร บริษัท บ้านปู จำกัด (มหาชน) กล่าวว่า “ครึ่งปีแรกนี้ บ้านปูขยายการเติบโตภายใต้กลยุทธ์ Energy Symphonics โดยมุ่งบริหารพอร์ตโฟลิโออย่างมีประสิทธิภาพ (Portfolio Optimization) หมุนเวียนเงินทุนเข้าสู่สินทรัพย์ศักยภาพสูง ควบคู่กับการปรับโครงสร้างการดำเนินงาน (Operations & Cost Excellence) และการใช้เทคโนโลยีดิจิทัลและ AI ลดต้นทุนในธุรกิจเหมือง รวมถึงการบริหารโครงสร้างเงินทุน (Rebalanced Capital Structure) ให้สอดคล้องกับเป้าหมายระยะยาว ความคืบหน้าที่โดดเด่นเห็นได้จาก 3 ธุรกิจ ได้แก่ ธุรกิจก๊าซธรรมชาติและ CCUS ธุรกิจ Renewables+ และธุรกิจเหมืองยุคใหม่ ที่เรามองว่าเป็นภารกิจสำคัญที่จะสร้างมูลค่าเพิ่มให้กับบริษัทฯ และเป็นกลไกสำคัญในการสร้างการเปลี่ยนผ่านที่ยั่งยืน”

สำหรับไฮไลท์ผลการดำเนินงานของ 3 กลุ่มธุรกิจหลักในครึ่งปีแรก 2568 มีรายละเอียดดังต่อไปนี้
กลุ่มธุรกิจแหล่งพลังงาน ธุรกิจเหมือง ปริมาณการผลิตและขายรวมครึ่งแรกปี 2568 เพิ่มขึ้นเล็กน้อยเมื่อเทียบกับช่วงเวลาเดียวกันของปีที่ผ่านมา แต่จากสภาวะราคาถ่านหินทั่วโลกอ่อนตัวอย่างมากเมื่อเทียบกับปีก่อน จึงกระทบต่อผลการดำเนินงานโดยรวม การมุ่งเน้นประสิทธิภาพในการจัดซื้อจัดจ้างงานด้านวิศวกรรม การเงิน และดำเนินงาน (Value Efficiency Program) ที่เหมืองสำคัญในออสเตรเลียทำให้ต้นทุนเฉลี่ยลดลงอย่างมีนัยสำคัญ ในขณะที่เหมืองในประเทศอื่น ๆ สามารถบริหารต้นทุนและเพิ่มประสิทธิภาพในการดำเนินงานอยู่ในระดับที่ดี สะท้อนประสิทธิภาพการบริหารจัดการต้นทุนได้ดี นอกจากนี้ยังได้เริ่มลงทุนใน PT Aneka Tambang (AKP) ถือเป็นจุดเริ่มต้นในการเข้าสู่อุตสาหกรรมแร่พลังงานแห่งอนาคต เสริมความแข็งแกร่งให้กับห่วงโซ่อุปทานที่ใช้ในอุตสาหกรรมพลังงานสะอาดและยานยนต์ไฟฟ้า โดยการเข้าถึงแหล่งนิกเกิลคุณภาพสูงตั้งแต่ต้นน้ำ ธุรกิจก๊าซธรรมชาติ ในครึ่งปีที่ผ่านมา ปริมาณการขายอยู่ในระดับใกล้เคียงกันกับช่วงเวลาเดียวกันของปีก่อน ในขณะที่ราคาขายเฉลี่ยของบ้านปูอยู่ที่ 2.92 เหรียญสหรัฐต่อล้านบีทียู เพิ่มขึ้นจาก 1.82 เหรียญสหรัฐต่อล้านบีทียู ในช่วงเดียวกันของปีก่อน โครงการดักจับและกักเก็บคาร์บอน (CCUS) เดินหน้าขยายพอร์ตจากการร่วมทุนเชิงกลยุทธ์ และได้ตัดสินใจลงทุนขั้นสุดท้ายในโครงการ East Texas ซึ่งจะสามารถกักเก็บคาร์บอนได้ประมาณ 70,000 ตันต่อปี คาดดำเนินการเชิงพาณิชย์ได้ในช่วงต้นปี 2570 นอกจากนั้นยังมีการเข้าซื้อกิจการ Bedrock Production, LLC เจ้าของธุรกิจก๊าซธรรมชาติและธุรกิจกลางน้ำในแหล่งบาร์เน็ตต์ รัฐเท็กซัส หลังการทำธุรกรรมเสร็จสิ้นประมาณเดือนตุลาคมปีนี้ กำลังการผลิตรวมของ BKV จะเพิ่มขึ้นจากปัจจุบันประมาณ 108 ล้านลูกบาศก์ฟุตต่อวัน และปริมาณสำรองก๊าซธรรมชาติ 1P จะเพิ่มขึ้นประมาณ 1 ล้านล้านลูกบาศก์ฟุต
กลุ่มธุรกิจผลิตพลังงาน ธุรกิจผลิตไฟฟ้าจากพลังงานความร้อน โรงไฟฟ้าในทุกประเทศมีผลการดำเนินงานที่น่าพอใจส่งผลให้สามารถสร้างกระแสเงินสดได้อย่างต่อเนื่อง ธุรกิจพลังงานหมุนเวียน มีกำลังการผลิตไฟฟ้าจากพลังงานหมุนเวียนรวม 969 เมกะวัตต์เพิ่มขึ้นจากครึ่งปีแรกของปี 2567 ที่ 66 เมกะวัตต์ ทั้งนี้ กำลังผลิตรวมของกลุ่มธุรกิจผลิตพลังงานคงที่ 3,935 เมกะวัตต์เทียบเท่า

กลุ่มธุรกิจเทคโนโลยีพลังงาน ธุรกิจระบบกักเก็บพลังงาน มีกำลังการผลิตติดตั้งรวมกว่า 1,130 เมกะวัตต์ชั่วโมง (MWh) ตามสัดส่วนการลงทุน ที่ดำเนินการผ่านบ้านปู เน็กซ์ มีความคืบหน้าที่สำคัญในครึ่งปีแรก โดยในญี่ปุ่น โครงการ Iwate Tono กำลังการผลิต 14.5 เมกะวัตต์ ความจุพลังงาน 58 เมกะวัตต์ชั่วโมง เปิดดำเนินการเชิงพาณิชย์เดือนมิถุนายน 2568 และในออสเตรเลีย มีการลงทุนในโครงการระบบกักเก็บพลังงานวูรีน (Wooreen Energy Storage System: WESS) กำลังการผลิตติดตั้ง 350 เมกะวัตต์ และความจุพลังงาน 1,400 เมกะวัตต์ชั่วโมง คาดว่าจะเปิดดำเนินการภายในปี 2570 ธุรกิจจัดการพลังงาน เดินหน้าขับเคลื่อนกลยุทธ์สู่ Net Zero ควบคู่กับความร่วมมือระดับนานาชาติผ่านเวทีนโยบายไทย-ญี่ปุ่น และการลงนาม MOU กับ Asuene ประเทศญี่ปุ่น เพื่อพัฒนาแพลตฟอร์มดิจิทัลด้านการลดคาร์บอนในภาคธุรกิจ และยังได้รับการรับรองฉลากคาร์บอนสำหรับองค์กร (Carbon Footprint for Organization: CFO) จากองค์การบริหารจัดการก๊าซเรือนกระจก (TGO) ต่อเนื่องเป็นปีที่สอง สำหรับธุรกิจการซื้อขายไฟฟ้า (Energy Trading) ในประเทศญี่ปุ่น ในช่วงครึ่งแรกของปี 2568 สามารถจำหน่ายไฟฟ้าจำนวนรวม 3,525 กิกะวัตต์ชั่วโมง โดยให้บริการลูกค้ารวม 1,956 ราย ซึ่งได้มีการนำระบบ AI เข้ามาช่วยเพิ่มประสิทธิภาพและความแม่นยำในการคาดการณ์ราคาซื้อขายไฟฟ้า เพื่อยกระดับความสามารถในการทำกำไร
สำหรับผลการดำเนินงานครึ่งปีแรก 2568 บริษัทฯ มีรายได้จากการขายรวม 2,521 ล้านเหรียญสหรัฐ (ประมาณ 84,543 ล้านบาท) กำไรก่อนหักดอกเบี้ย ภาษี และค่าเสื่อมราคา (EBITDA) 571 ล้านเหรียญสหรัฐ (ประมาณ 19,144 ล้านบาท) อย่างไรก็ตาม บริษัทฯ รายงานผลขาดทุนสุทธิจำนวน 42.76 ล้านเหรียญสหรัฐ (ประมาณ 1,428 ล้านบาท) ซึ่งเป็นการรับรู้ผลขาดทุนจากการแข็งค่าของเงินบาทเทียบกับดอลลาร์สหรัฐที่ยังไม่เกิดขึ้นจริง ทั้งนี้ไม่กระทบต่อกระแสเงินสด และความแข็งแกร่งของการดำเนินงานของบริษัทฯ
ศึกษาข้อมูลเพิ่มเติมได้ที่ www.banpu.com และ https://www.facebook.com/Banpuofficialth
**คำนวณโดยอ้างอิงอัตราแลกเปลี่ยนถัวเฉลี่ยครึ่งปีแรก 2568 ที่ USD 1: THB 33.5307
ปัจจุบันโลกกำลังเผชิญกับความท้าทายด้านพลังงาน เมื่อความต้องการใช้ไฟฟ้าเพิ่มขึ้นอย่างรวดเร็วจากหลายปัจจัย เช่น อุณหภูมิที่สูงขึ้นอย่างต่อเนื่อง การเปลี่ยนมาใช้ไฟฟ้าแทนเชื้อเพลิงอื่น ๆ (Electrification) และการเข้าสู่ยุคดิจิทัล (Digitalization) ที่ทุกอย่างเชื่อมโยง ผ่านเทคโนโลยี ขณะเดียวกันความขัดแย้งด้านภูมิรัฐศาสตร์และแรงกดดันด้านสิ่งแวดล้อม ทำให้ทุกภาคส่วนเร่งสร้างระบบพลังงานที่มั่นคงและยั่งยืน โดยเทคโนโลยีและนวัตกรรมพลังงานมีบทบาทสำคัญในการปรับเปลี่ยนรูปแบบการผลิตและการใช้พลังงาน ที่เพิ่มประสิทธิภาพและ ความยืดหยุ่น พร้อมเดินหน้าสู่ความมั่นคงด้านพลังงานและการลดการปล่อยคาร์บอนไดออกไซด์ (Decarbonization) เพื่อขับเคลื่อนการเติบโตทางธุรกิจให้สอดรับกับภูมิทัศน์พลังงานที่กำลังเปลี่ยนแปลงไป (Energy Landscape Transformation) บริษัท บ้านปู เพาเวอร์ จำกัด (มหาชน) หรือ BPP ในฐานะผู้ผลิตพลังงานระดับสากล ได้รวบรวม 5 เทรนด์พลังงานสำคัญที่องค์กรธุรกิจควรจับตา ดังนี้
1. ความมั่นคงทางพลังงาน ปัจจัยสำคัญผลักดันการลงทุนทั่วโลก
รายงานล่าสุดจากองค์กรพลังงานระหว่างประเทศ (IEA) ระบุว่า “ความมั่นคงทางพลังงาน (Energy Security)” กลายเป็นแรงขับเคลื่อนสำคัญที่ทำให้การลงทุนด้านพลังงานทั่วโลกในปี 2025 พุ่งสูงถึง 3.3 ล้านล้านดอลลาร์สหรัฐ โดยแบ่งเป็นการลงทุนในพลังงานจากเชื้อเพลิงฟอสซิล เช่น น้ำมัน ก๊าซธรรมชาติ และถ่านหิน รวมมูลค่า 1.1 ล้านล้านดอลลาร์สหรัฐ และการลงทุนในเทคโนโลยีพลังงานสะอาด เช่น พลังงานหมุนเวียน พลังงานนิวเคลียร์ ระบบโครงข่ายไฟฟ้า และแบตเตอรี่ รวมมูลค่า 2.2 ล้านล้านดอลลาร์สหรัฐ[1] ท่ามกลางความต้องการใช้ไฟฟ้าที่เพิ่มขึ้นอย่างต่อเนื่องและความกังวลด้านความมั่นคงทางพลังงาน ภาครัฐและภาคธุรกิจทั่วโลกจึงเร่งวางแผนรับมือความเสี่ยงรอบด้านผ่านการลงทุนที่สมดุลทั้งในพลังงานดั้งเดิมและพลังงานสะอาดเพื่อรักษาความต่อเนื่องในการใช้ไฟฟ้า สร้างความมั่นใจว่าจะมีไฟฟ้าที่เพียงพอต่อความต้องการใช้งานภายในประเทศอย่างยั่งยืน พร้อมเสริมความมั่นคงทางธุรกิจและเศรษฐกิจระดับประเทศในระยะยาว
2. เทคโนโลยี Co-firing ทางเลือกสู่เป้าหมายลด CO₂
ปัจจุบันโรงไฟฟ้าพลังงานความร้อนยังคงเป็นแหล่งผลิตไฟฟ้าหลักที่ช่วยให้เรามีไฟฟ้าใช้อย่างต่อเนื่อง รองรับการใช้ชีวิตและกิจกรรมทางเศรษฐกิจได้อย่างไม่สะดุด เทคโนโลยี Co-firing คือ การนำเชื้อเพลิงทางเลือก เช่น ชีวมวล (Biomass), ไฮโดรเจน (Hydrogen) และแอมโมเนีย (Ammonia) มาใช้ร่วมกับเชื้อเพลิงหลักอย่างฟอสซิลในโรงไฟฟ้า เพื่อช่วยลดการปล่อย CO₂ โดยหลายประเทศให้ความสนใจและเริ่มทดลองใช้งานจริงอย่างเป็นรูปธรรม เช่น จีน ได้กำหนดให้โรงไฟฟ้าถ่านหินที่ผ่านการปรับปรุงหรือสร้างใหม่ต้องสามารถผสมชีวมวลหรือแอมโมเนียไม่น้อยกว่า 10%[2] ภายในปี 2027 เพื่อบรรลุเป้าหมายลด CO₂ ลง 50% เมื่อเทียบจากระดับการปล่อย CO₂ ในปี 2023[3] ตามแผนปฏิบัติการ “Low-Carbon Transformation of Coal Power Plants (2024–2027)” ด้านไทย แผนพัฒนากำลังผลิตไฟฟ้า (PDP 2024) ได้มีการวางแผนใช้ไฮโดรเจนเริ่มต้นที่ 5% ผสมกับก๊าซธรรมชาตินำร่องใช้ในโรงไฟฟ้าในช่วงปี 2030-2037[4] ซึ่งเทคโนโลยี Co-firing กำลังเปลี่ยนโฉมโรงไฟฟ้าพลังงานความร้อนแบบเดิมให้เป็นมิตรต่อสิ่งแวดล้อมมากขึ้น
3. Data Centers โตดันดีมานด์ไฟฟ้าพุ่ง พลังงานหมุนเวียน หนึ่งในทางเลือกที่ตอบโจทย์
พลังงานหมุนเวียนเติบโตต่อเนื่องเพื่อตอบรับความต้องการไฟฟ้าที่เพิ่มขึ้นจากเศรษฐกิจดิจิทัลและศูนย์ข้อมูล (Data Centers) โดยองค์กรพลังงานระหว่างประเทศ (IEA) คาดว่าภายในปี 2030 ความต้องการใช้ไฟฟ้าจากศูนย์ข้อมูลจะเพิ่มขึ้นกว่า 2 เท่า เป็นประมาณ 945 เทราวัตต์-ชั่วโมง[5] โดยกลุ่มยักษ์ใหญ่ด้านเทคโนโลยี เช่น Amazon Web Services ได้ตั้งเป้าใช้พลังงานหมุนเวียน 100% ในศูนย์ข้อมูล ภายในปี 2025[6]
ขณะที่ Microsoft และ Google Cloud ได้ขยายความมุ่งมั่นไปสู่การใช้พลังงานที่ปราศจากคาร์บอน (Carbon-Free Energy หรือ CFE) ตลอด 24 ชั่วโมง ภายในปี 2030[7] อย่างไรก็ตาม พลังงานความร้อนยังคงมีบทบาทสำคัญในการรักษาเสถียรภาพของระบบไฟฟ้า โดยเฉพาะในช่วงเวลาที่พลังงานหมุนเวียนไม่สามารถผลิตไฟฟ้าได้อย่างต่อเนื่อง รายงานจาก Precedence Research คาดว่า ตลาดโรงไฟฟ้าพลังงานความร้อนทั่วโลกจะมีมูลค่า 1.56 ล้านล้านดอลลาร์สหรัฐในปี 2025 และจะเติบโตถึง 2.13 ล้านล้านดอลลาร์สหรัฐภายในปี 2034[8] นอกจากนี้ เทคโนโลยี ระบบกักเก็บพลังงานด้วยแบตเตอรี่ (Battery Energy Storage: BESS) กำลังมีบทบาทสำคัญในการสำรองและจ่ายไฟฟ้ากลับสู่ระบบในช่วงที่ไม่มีการผลิตไฟฟ้าจากพลังงานหมุนเวียน ทำให้บริหารความต้องการใช้ไฟฟ้าได้อย่างมีประสิทธิภาพ โดยตลาด BESS ในเอเชียแปซิฟิกคาดว่าจะมีมูลค่าสูงถึง 14.67 พันล้านดอลลาร์สหรัฐภายในปี 2033[9] สะท้อนว่า การเปลี่ยนผ่านด้านพลังงานยังคงต้องอาศัยการผสมผสานระหว่างพลังงานความร้อน พลังงานหมุนเวียน และเทคโนโลยีพลังงาน เพื่อเสริมความมั่นคงและความยืดหยุ่นของระบบไฟฟ้า
4. โรงไฟฟ้านิวเคลียร์ขนาดเล็ก (Small Modular Reactor: SMR) เทคโนโลยีพลังงานสะอาด
โรงไฟฟ้านิวเคลียร์ขนาดเล็ก หรือ SMR คือ โรงไฟฟ้าพลังงานสะอาดที่ใช้ความร้อนจากปฏิกิริยานิวเคลียร์แบบฟิชชัน (Nuclear Fission) ในการผลิตไฟฟ้า โดยมีจุดเด่นสำคัญคือ การบริหารจัดการวัสดุกัมมันตรังสีใช้แล้วอย่างมีประสิทธิภาพ และการออกแบบที่ส่งเสริมความปลอดภัยทางนิวเคลียร์ด้วยระบบระบายความร้อนที่ช่วยรักษาอุณหภูมิให้อยู่ในระดับที่เหมาะสม ซึ่งเครื่องปฏิกรณ์ถูกออกแบบให้เป็นโมดูลขนาดเล็กช่วยลดระยะเวลาก่อสร้างและติดตั้งจาก 5-6 ปี เหลือเพียง 3-4 ปี โดยมีกำลังผลิตสูงสุดถึง 300 เมกะวัตต์ (MW) ซึ่งช่วยเพิ่มความยืดหยุ่นในการผลิตไฟฟ้าได้ต่อเนื่องโดยไม่ปล่อย CO₂ ปัจจุบันหลายประเทศอยู่ระหว่างพัฒนาและทดลองการใช้งาน เช่น จีน มีโครงการ ACP100 หรือ Linglong One กำลังการผลิตประมาณ 125 เมกะวัตต์ ตั้งอยู่ที่มณฑลไห่หนาน คาดว่าจะเริ่มดำเนินการในปี 2026[10] ขณะที่ในสหรัฐฯ ได้อนุมัติแบบเครื่องปฏิกรณ์ SMR ขนาด 77 เมกะวัตต์ของ NuScale Power[11] สำหรับไทย ในร่างแผนพัฒนากำลังผลิตไฟฟ้าฉบับใหม่ (PDP2024) ได้มีการบรรจุแผนสร้างโรงไฟฟ้านิวเคลียร์ขนาดเล็ก 2 แห่ง ขนาดกำลังผลิตแห่งละ 300 เมกะวัตต์ โดยอยู่ระหว่างเตรียมโครงสร้างพื้นฐานเพื่อรองรับการพัฒนาในอนาคต[12] เทคโนโลยี SMR จึงเป็นอีกหนึ่งทางเลือกที่น่าจับตามองในการเสริมความมั่นคงด้านพลังงาน และลดการปล่อยคาร์บอนในระยะยาว
5. Grid Modernization อัปเกรดโครงข่ายไฟฟ้าให้ชาญฉลาดและทันสมัยยิ่งขึ้น
Grid Modernization คือ การปรับปรุงระบบโครงข่ายไฟฟ้าให้ชาญฉลาด ยืดหยุ่น และมีประสิทธิภาพสูงขึ้น เพื่อรองรับแหล่งพลังงานที่หลากหลาย เช่น พลังงานหมุนเวียน และตอบโจทย์การใช้พลังงานในอนาคต โดยการพัฒนาโครงสร้างพื้นฐานและการนำเทคโนโลยีดิจิทัลมาใช้ เช่น ระบบควบคุมอัตโนมัติ การวิเคราะห์ข้อมูล และการจัดการโหลดไฟฟ้าแบบเรียลไทม์ ช่วยลดการปล่อย CO₂ และรักษาเสถียรภาพของระบบไฟฟ้าโดยรวม[13] ในเอเชียแปซิฟิก ตลาด Grid Modernization คาดว่าจะเติบโตจาก 12.7 พันล้านดอลลาร์สหรัฐในปี 2024 เป็นกว่า 51.5 พันล้านดอลลาร์สหรัฐภายในปี 2032[14] ขณะที่สหรัฐฯ ดำเนินโครงการ Grid Resilience and Innovation Partnerships (GRIP) มูลค่า 10.5 พันล้านดอลลาร์สหรัฐ เพื่อเพิ่มความยืดหยุ่นของโครงข่ายไฟฟ้าในการรับมือกับสภาพอากาศที่ผันผวน[15] ส่วนจีนมีการประกาศแผนลงทุนในระบบโครงข่ายไฟฟ้ามูลค่าสูงถึง 800 พันล้านดอลลาร์สหรัฐ ภายในปี 2030 เพื่อรองรับความต้องการไฟที่เพิ่มขึ้นและสนับสนุน การเปลี่ยนผ่านด้านพลังงาน[16]
อนาคตพลังงานกำลังขับเคลื่อนด้วยเทคโนโลยีและนวัตกรรม เพื่อสร้างระบบพลังงานที่มั่นคง ยืดหยุ่น และลดการปล่อยคาร์บอนอย่างเป็นรูปธรรม แนวโน้มนี้ไม่ได้เป็นเพียงนโยบาย แต่เกิดขึ้นจริงในภาคธุรกิจทั่วโลก ในฐานะผู้ดำเนินธุรกิจพลังงานใน 8 ประเทศทั่วโลก BPP มุ่งมั่น
ผลิตและพัฒนาพลังงานคุณภาพสูงที่เป็นมิตรต่อสิ่งแวดล้อม ควบคู่กับการลดการปล่อยคาร์บอนไดออกไซด์ เพื่อสนับสนุนความมั่นคงด้านพลังงานและการเติบโตอย่างยั่งยืนในทุกประเทศที่ดำเนินธุรกิจ
ท่ามกลางการเปลี่ยนแปลงครั้งใหญ่ของโลกที่ขับเคลื่อนด้วยเทคโนโลยี ความต้องการใช้พลังงานกำลังเพิ่มขึ้นอย่างรวดเร็ว โดยเฉพาะจากการเติบโตของปัญญาประดิษฐ์ (AI) ที่ทำให้จำนวนศูนย์ข้อมูล (Data Center) ทั่วโลกขยายตัวอย่างต่อเนื่อง ผนวกกับความตึงเครียดทางภูมิรัฐศาสตร์ และเป้าหมาย Net Zero ภายในปี 2050 ที่เป็นเป้าหมายของหลายๆ ประเทศ ล้วนเป็นแรงกดดันสำคัญต่อระบบพลังงานในปัจจุบัน
บริษัท บ้านปู จำกัด (มหาชน) ผู้นำด้านพลังงานที่หลากหลาย จึงหาแนวทางการรับมือความท้าทายเหล่านี้ ด้วยการสร้าง “สมดุลพลังงาน” ซึ่งหมายถึงพลังงานที่มีความเสถียร เข้าถึงได้ในราคาที่เหมาะสม และเป็นมิตรต่อสิ่งแวดล้อม ภายใต้กลยุทธ์ “Energy Symphonics” ที่เน้นการผสานพลังงานที่หลากหลายอย่างสมดุล เพื่อสร้างมูลค่าเพิ่มให้ห่วงโซ่ธุรกิจ และส่งมอบคุณค่าระยะยาวแก่ผู้มีส่วนได้เสียทุกกลุ่ม
![]()
นายสินนท์ ว่องกุศลกิจ ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร บริษัท บ้านปู จำกัด (มหาชน) กล่าวว่า “บ้านปูมุ่งมั่นที่จะเป็นผู้นำการเปลี่ยนผ่านพลังงานอย่างรับผิดชอบและยั่งยืน สิ่งนี้จะเกิดขึ้นไม่ได้หากเราไม่สร้างสมดุลด้านพลังงาน เราใช้เทคโนโลยีช่วยให้พลังงานของเราตอบโจทย์ความต้องการในยุคนี้ เช่น การพัฒนาก๊าซธรรมชาติที่มีคาร์บอนเป็นกลาง (Carbon Sequestered Gas: CSG) ด้วยการดักจับและกักเก็บคาร์บอน (CCUS) ทำให้เกิดเป็นแหล่งพลังงานที่มีความเสถียรและคาร์บอนต่ำ ซึ่งบ้านปูเป็นบริษัทไทยรายแรกที่เข้าไปลงทุนทำธุรกิจนี้ในสหรัฐฯ ในขณะเดียวกัน เราก็ขยายธุรกิจที่เกี่ยวข้องกับพลังงานสะอาดและเทคโนโลยีพลังงานอย่างต่อเนื่องเพื่อเพิ่มพลังงานที่จำเป็นต่อโลกอนาคต เช่น ล่าสุดที่เราได้เข้าไปลงทุนใน
โครงการระบบกักเก็บพลังงานในออสเตรเลีย และการพัฒนาโครงการแบตเตอรี่ฟาร์ม 2 แห่งใหม่ในญี่ปุ่น ทั้งหมดนี้ไม่เพียงเสริมความแข็งแกร่งให้ธุรกิจเติบโตอย่างยั่งยืน แต่ยังมีบทบาทสำคัญในการขับเคลื่อนโลกสู่สังคมคาร์บอนต่ำ เพื่ออนาคตที่ดีของทุกคน”
เปิดมุมมองใหม่สู่ “พลังงานที่สมดุล” ผ่านวิดีโอองค์กร (Corporate Video) ล่าสุดจากบ้านปู ที่ถ่ายทอดแนวคิดพลังงานแห่งอนาคต ด้วยการใช้เทคโนโลยีการสร้างภาพผ่านปัญญาประดิษฐ์ (AI-generated visual) โดยใช้สัญลักษณ์ “สามเหลี่ยม” ที่เชื่อมโยงสามองค์ประกอบสำคัญสู่ความสมดุลอย่างกลมกลืน ด้วยบ้านปูมุ่งมั่นที่จะปูทางให้ทุกคนก้าวสู่อนาคตที่ยั่งยืนไปด้วยกัน ติดตามชมวิดีโอได้ที่ THAI | สมดุลพลังงาน ปูทางสู่อนาคต | Full Version
ติดตามข้อมูลข่าวสารของบ้านปูได้ที่ https://www.banpu.com หรือ https://www.facebook.com/Banpuofficialth