

กรมส่งเสริมการค้าระหว่างประเทศ (DITP) กระทรวงพาณิชย์ แถลง kick off การพัฒนานวัตกรรมดิจิทัลสู่โลกการค้ายุคใหม่ ในงาน "เสริมแกร่งทัพการค้าไทย ด้วยบริการดิจิทัล ยุค AI" เพื่อเสริมสร้างขีดความสามารถทางการแข่งขันแก่ผู้ประกอบการไทยในตลาดโลก โดยมีปลัดกระทรวงพาณิชย์ (นายวุฒิไกร ลีวีระพันธุ์ เป็นประธานเปิดงานและเป็นสักขีพยาน การลงนาม MOU 2 ฉบับ ได้แก่ 1) การพัฒนา AI Chatbot ผู้ช่วยอัจฉริยด้านการค้า ระหว่าง 6 หน่วยงาน ได้แก่ กรมส่งเสริมการค้าระห่างประเทศ กรมทรัพย์สินทางปัญญา กรมเจรจาการค้าระหว่างประเทศ สำนักงานนโยบายและยุทธศาสตร์การค้า กรมการค้าต่างประเทศ ซึ่งจะบูรณาการข้อมูลด้านการค้าร่วมกัน โดยมีศูนย์เทคโนโลยีอิเล็กทรอนิกส์และคอมพิวเตอร์แห่งชาติ (NECTEC) ภายใต้สำนักงานพัฒนาวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยีแห่งชาติ (สวทช.) เป็นผู้ให้ความช่วยเหลือทางวิชาการและผู้เชี่ยวชาญ 2) การเชื่อมโยงบัญชีผู้ใช้งานและข้อมูล SMEs ระหว่าง DITP และสำนักงานส่งเสริมวิสาหกิจขนาดกลางและขนาดย่อม (สสว.) เพื่อยกระดับการอำนวยความสะดวกแก่ SMEs ไทยในการเข้าถึงบริการระหว่าง 2 หน่วยงานแบบไร้รอยต่อ ทั้งนี้ ตั้งเป้าพัฒนา AI Chatbot แล้วเสร็จในปี 2569

นายวุฒิไกร ลีวีระพันธุ์ ปลัดกระทรวงพาณิชย์ กล่าวว่า “การจัดงานในครั้งนี้สะท้อนวิสัยทัศน์ของกระทรวงที่มุ่งสู่การเป็นองค์กรขับเคลื่อนเศรษฐกิจการค้าด้วยเทคโนโลยีดิจิทัลและนวัตกรรม ความก้าวหน้าของเทคโนโลยีปัญญาประดิษฐ์หรือ AI ในปัจจุบัน โดยเฉพาะ AI สาขา Generative AI จะเป็น change agent สำคัญของโลกการค้ายุคใหม่ ที่สามารถนำมาประยุกต์ใช้ในการยกระดับการให้บริการข้อมูลการค้าแก่ผู้ประกอบการและประชาชนได้อย่างดี ช่วยให้ผู้ประกอบการซึ่งเปรียบเสมือนกองทัพทางเศรษฐกิจ สามารถต่อสู้ในเวทีการค้าระหว่างประเทศได้ ท่ามกลางตลาดโลกปัจจุบันที่มีความผันผวนและความท้าทายที่ต้องปรับตัวได้เร็ว เพื่อต้องชิงความได้เปรียบในการแข่งขัน และช่วยให้ผู้ส่งออกรายใหม่มีโอกาสทางการค้าเพิ่มขึ้น นอกจากนี้การพัฒนา AI Chatbot ผู้ช่วยอัจฉริยะด้านการค้า ครั้งนี้ ยังถือเป็นครั้งแรกที่สามารถทะลายไซโลระหว่างหน่วยงานอย่างเป็นรูปธรรมของกระทรวง โดยมีการบูรณาการข้อมูลให้อยู่ในฐานเดียวกันแก้ pain point ของผู้ประกอบการที่ประสบปัญหาต้องติดต่อหลายหน่วยงานเพื่อให้ข้อมูลที่จำเป็นต่อการทำการค้าได้ครบถ้วน”

นางสาวสุนันทา กังวาลกุลกิจ อธิบดีกรมส่งเสริมการค้าระหว่างประเทศ (DITP) เสริมว่า “การพัฒนา AI Chatbot ครั้งนี้มุ่งยกระดับการให้บริการข้อมูลการค้า ช่วยลดอุปสรรคของผู้ประกอบการ โดยเฉพาะ SMEs ในการเข้าถึงข้อมูลและเทคโนโลยี ทลายข้อจำกัดในการวิเคราะห์ข้อมูลกฎระเบียบการค้าที่มีปริมาณมาก ซับซ้อนเข้าใจยาก กระจัดกระจายหลายแหล่ง และเป็นภาษาต่างประเทศอื่นที่ไม่ใช่แค่ภาษาอังกฤษ ช่วยให้ SMEs ไทยก้าวทันข้อมูลแนวโน้มความต้องการตลาดและพฤติกรรมผู้บริโภคที่มีการเปลี่ยนแปลงเร็ว อีกทั้ง AI Chatbot จะช่วยให้ผู้ประกอบการเข้าถึงข้อมูลได้สะดวกรวดเร็วและแม่นยำมากขึ้น ช่วยลดระยะเวลา กำลังคนและทรัพยากรในการวิเคราะห์ข้อมูล เสริมสร้างขีดความสามารถในการแข่งขันให้ผู้ส่งออกรายเดิม และเพิ่มความมั่นใจให้แก่ผู้ที่อยากเริ่มธุรกิจส่งออกรายใหม่ นอกจากนี้ AI Chatbot จะช่วยเพิ่มทั้งประสิทธิภาพและคุณภาพมาตรฐานในการให้บริการข้อมูลคำปรึกษาด้านการค้าของ DITP และหน่วยงานพันธมิตร ซึ่งมีผู้ขอรับข้อมูลคำปรึกษารวมกัน 180,000 – 200,000 ครั้งต่อปี
นางสาวสุนันทา กล่าวต่อว่า “DITP ได้รับการสนับสนุนเงินทุนในการพัฒนาระบบ AI Chatbot จากหน่วยบริหารและจัดการทุนด้านการเพิ่มความสามารถในการแข่งขันของประเทศ (บพข.) โดยมีมหาวิทยาลัยศิลปากรเป็นผู้ร่วมดำเนินการร่วมกับ DITP นอกจากนี้ ยังมีทีม Hackathon อีก 2 ทีมจากมหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์ และบริษัท เวสเทิร์น กรุ๊ป (ประเทศไทย) จำกัด ที่เข้ามาช่วยพิสูจน์แนวคิดการประยุกต์ใช้ AI ในการพัฒนาต้นแบบผู้ช่วยอัจฉริยะด้านการค้า โดยใช้โมเดล AI ที่แตกต่างกันไป ซึ่งกระทรวงพาณิชย์จะคัดเลือกโมเดลที่ฉลาดหรือมีประสิทธิภาพสูงสุด เพื่อนำมาพัฒนาเป็นบริการสำหรับผู้ประกอบการไทยต่อไป”

สำหรับ MOU ฉบับที่ 2 เป็นความร่วมมือในการเชื่อมโยงบัญชีผู้ใช้งานระบบดิจิทัลและข้อมูลผู้ประกอบการ SMEs ระหว่างระบบ DITP Single Sign-on (DITP SSO) กับ SME One ID ของ สสว. เพื่ออำนวยความสะดวกแก่ผู้ใช้งานระบบของทั้งสองหน่วยงาน ซึ่งมีจำนวนมากกว่า 255,000 ราย ให้สามารถเข้าถึงบริการดิจิทัลที่สำคัญระหว่างกันได้อย่างสะดวกรวดเร็ว ครบวงจร ไร้รอยต่อ ไม่ต้องลงทะเบียนหรือกรอกข้อมูลซ้ำซ้อน ช่วยลดความยุ่งยากในการเข้าถึงบริการภาครัฐ และยังมีความมั่นคงปลอดภัยยิ่งขึ้น โดยจะสามารถเข้าถึงบริการดิจิทัลของทั้งสองหน่วยงานได้รวม 18 บริการ
พร้อมกันนี้ DITP ยังได้เปิดตัวบริการดิจิทัลใหม่ล่าสุดอีก 2 ระบบ ได้แก่ โมบายแอปพลิเคชัน DITP ONE ที่รวบรวมบริการดิจิทัลของกรมไว้ในที่เดียวในลักษณะ One Stop Service เพื่อตอบสนองพฤติกรรมของผู้ประกอบการในยุคดิจิทัลที่นิยมใช้งานผ่านโทรศัพท์มือถือ และระบบ DITP My Scores ซึ่งเป็นระบบวิเคราะห์ความพร้อมและศักยภาพในการส่งออกของผู้ประกอบการ ช่วยให้ผู้ประกอบการสามารถประเมินจุดแข็งและจุดอ่อนของตนเองได้ และจะได้รับคำแนะนำกิจกรรมหรือบริการที่เหมาะสม เพื่อยกระดับศักยภาพทางธุรกิจได้อย่างตรงจุด

“DITP ได้พัฒนาบริการดิจิทัลมาอย่างต่อเนื่อง เพื่อตอบสนองนโยบายรัฐบาลดิจิทัล โดยมุ่งหวังให้ผู้ประกอบการไทยเข้าถึงข้อมูลและบริการได้สะดวกรวดเร็ว การพัฒนาบริการเหล่านี้ไม่เพียงช่วยลดเวลาและค่าใช้จ่ายในการติดต่อราชการของผู้รับบริการ ซึ่งมีจำนวนมากกว่า 1 ล้านราย แต่ยังเป็นการสร้างแต้มต่อทางธุรกิจให้ผู้ประกอบการไทยท่ามกลางการแข่งขันที่เข้มข้นในยุคดิจิทัล และคาดว่าจะช่วยเสริมสร้างขีดความสามารถในการแข่งขันด้านการค้าระหว่างประเทศของไทยให้เป็น 1 ใน 3 ของโลก ภายในปี 2570 อีกทั้งยังสะท้อนถึงความมุ่งมั่นของกรมส่งเสริมการค้าระหว่างประเทศในการนำเทคโนโลยีสมัยใหม่มาใช้เป็นเครื่องมือสำคัญเพื่อขับเคลื่อนการค้าไทยสู่เวทีโลกอย่างมั่นคงและยั่งยืน” นางสาวสุนันทา กล่าวสรุป
เดินหน้าขยายพื้นที่ THAIFEX – ANUGA ยิ่งใหญ่กว่าเดิม รองรับผู้ร่วมงานที่เพิ่มขึ้นจากทั่วโลก
กรมส่งเสริมการค้าระหว่างประเทศ (DITP) ผู้จัดงานหลัก ผนึกกำลัง สถาบันวิจัยและพัฒนาอัญมณีและเครื่องประดับแห่งชาติ (องค์การมหาชน) หรือ GIT ผู้ร่วมจัดงาน และคณะกรรมการอำนวยการทั้งภาครัฐและเอกชน แถลงข่าวการจัดงาน Bangkok Gems and Jewelry Fair ครั้งที่ 72 วันที่ 9-13 กันยายนนี้ ณ ศูนย์สิริกิติ์ คาดเงินสะพัดไม่ต่ำกว่า 100 ล้านดอลลาร์สหรัฐ
นางสาวสุนันทา กังวาลกุลกิจ อธิบดีกรมส่งเสริมการค้าระหว่างประเทศ (DITP) ประธานงานแถลงข่าวเปิดเผยว่า “งานแสดงสินค้า Bangkok Gems and Jewelry Fair จัดมาอย่างต่อเนื่องยาวนานกว่า 40 ปี ถือเป็นหนึ่งในแผนงานสำคัญของกรม ภายใต้ยุทธศาสตร์เร่งรัดผลักดันการส่งออกเชิงรุก เพื่อเป็นเวทีการค้าระดับนานาชาติ เปิดโอกาสให้ผู้ประกอบการและนักธุรกิจจากทั่วโลกได้พบและเจรจาการค้า ได้สร้างเครือข่ายพันธมิตร ขยายโอกาสทางธุรกิจ และเกิดความร่วมมือระหว่างกันแบบครบวงจร กำหนดจัดขึ้นปีละ 2 ครั้ง ปัจจุบันเป็น 1 ใน 4 งานแสดงสินค้าสำคัญของโลก และเป็นกลไกสำคัญที่สนับสนุนให้ประเทศไทยเป็นหนึ่งในศูนย์กลางการค้าอัญมณีและเครื่องประดับที่สำคัญของโลกในวันนี้”

“บางกอกเจมส์ ครั้งที่ 72 นี้ จัดแสดงเต็มพื้นที่ฮอลล์ 1-8 ของศูนย์สิริกิติ์ ระหว่างวันที่ 9-13 กันยายน 2568 งานนี้มีผู้เข้าร่วมงาน (Exhibitor) 1,104 บริษัท 2,628 คูหา คาดการณ์ผู้เข้าชมงาน (Visitor) จากทั่วโลกไม่ต่ำกว่า 40,000 ราย และคาดว่าจะสร้างมูลค่าการค้าได้ไม่ต่ำกว่า 100 ล้านดอลลาร์สหรัฐ ทั้งนี้ จากแบบประเมินผลความพึงพอใจงานครั้งที่ผ่านมา พบว่าความพึงพอใจภาพรวมการจัดงานในระดับดีเยี่ยม และพึงพอใจงานบางกอกเจมส์เป็นอันดับหนึ่ง เมื่อเทียบกับงานสำคัญทั่วโลก ปัจจุบันงานบางกอกเจมส์เติบโตขึ้นในทุกมิติอย่างเห็นได้ชัด และได้รับการยอมรับจากผู้ซื้อผู้นำเข้าทั่วโลกว่าเป็น 1 ใน 4 งานแสดงที่สำคัญของโลก รวมถึงเป็นแหล่งค้าพลอยสีที่ใหญ่ที่สุดในโลกอีกด้วย” อธิบดีสุนันทา กล่าวเสริม
ด้านนายสุเมธ ประสงค์พงษ์ชัย ผู้อำนวยการ GIT พันธมิตรร่วมจัดงานสำคัญของ DITP กล่าวว่า “ความสำเร็จของงานบางกอกเจมส์ในวันนี้ ถือเป็นบทพิสูจน์ความเชื่อมั่นที่ผู้ซื้อทั่วโลกมีต่ออุตสาหกรรมอัญมณีและเครื่องประดับไทย โดยในช่วงที่ผ่านมางานบางกอกเจมส์ได้ต้อนรับแบรนด์จิวเวลรี่ดังระดับโลกหลากหลายแบรนด์ ถือเป็นการตอกย้ำความสำคัญของงานได้อย่างดี และการจัดงานครั้งที่ 72 ยังคงได้รับการตอบรับอย่างอบอุ่นจากผู้แสดงสินค้าทั้งในประเทศและต่างประเทศอย่างต่อเนื่อง แม้ว่าเราจะขยายพื้นที่จัดแสดงบริเวณ Foyer ชั้น LG ตั้งแต่ครั้งที่ 71 ที่ผ่านมา ทำให้สามารถรองรับได้เพิ่มขึ้นถึงกว่า 2,600 คูหา แต่ยังคงมี waiting list”

นอกจากนี้ นายสุเมธ ยังได้กล่าวถึงกิจกรรมภายในงานครั้งที่ 72 ว่า “เราได้จัดให้มีกิจกรรมพิเศษที่เกี่ยวเนื่องกับอุตสาหกรรม ไม่ว่าจะเป็นการจัดสัมมนาองค์ความรู้ด้านการตลาดและเชิงเทคนิค กิจกรรม Networking reception เพื่อสร้างพันธมิตรทางธุรกิจ การจัดนิทรรศการเพื่อส่งเสริมภาพลักษณ์อุตสาหกรรมจิวเวลรี่ไทย ตลอดจนการจัดประชุมของหน่วยงานพันธมิตรระดับโลก โดยในครั้งนี้สภาทองคำโลก ได้ร่วมกับ สถาบัน GIT และสมาคมค้าทองคำแห่งประเทศไทย จัดงานประชุม “Thailand Gold Forum” ภายในงานบางกอกเจมส์ เพื่อแลกเปลี่ยนองค์ความรู้และความร่วมมือระดับนานาชาติ ซึ่งถือเป็นกิจกรรมคู่ขนานที่สนับสนุนแผนยุทธศาสตร์เร่งรัดผลักดันการส่งออกเชิงรุกของ DITP อีกด้วย”

สำหรับการส่งออกกลุ่มสินค้าอัญมณีและเครื่องประดับของไทยไม่รวมทองคำแท่ง ในปี 2567 สามารถทำรายได้เข้าประเทศถึง 9,600 ล้านดอลลาร์สหรัฐ ขยายตัวเพิ่มขึ้นร้อยละ 11.5 และในช่วง 6 เดือนแรกของปี 2568 (มกราคม - มิถุนายน) เติบโตเพิ่มขึ้นถึงร้อยละ 63 หรือคิดเป็นมูลค่า 7,400 ล้านดอลลาร์สหรัฐ สินค้าส่งออกหลัก ได้แก่ เครื่องประดับทอง เครื่องประดับเงิน และพลอยสี โดยมีตลาดส่งออกสำคัญ ได้แก่ อินเดีย ฮ่องกง และสหรัฐอเมริกา ทั้งนี้ อัตราการขยายตัวตลอดปี 2568 คาดว่าจะทะลุเป้าส่งออกร้อยละ 5 แน่นอน

งาน Bangkok Gems and Jewelry Fair ครั้งที่ 72 มีกำหนดจัดขึ้นระหว่างวันที่ 9-13 กันยายน 2568 ณ ศูนย์การประชุมแห่งชาติสิริกิติ์ กรุงเทพฯ นอกจากนี้ ภายในงาน ยังมีกิจกรรมพิเศษ และกิจกรรมคู่ขนานที่เกี่ยวเนื่องกับอุตสาหกรรมอัญมณีและเครื่องประดับอีกมากมาย ติดตามข้อมูลเพิ่มเติมได้ที่ www.bkkgems.com หรือ facebook.com/Bangkokgemsofficial
กรมส่งเสริมการค้าระหว่างประเทศ (DITP) กระทรวงพาณิชย์ จับมือสภาหอการค้าแห่งประเทศไทยจัดงาน STYLE Bangkok 2025 ที่สุดของงานแสดงสินค้าไลฟ์สไตล์และแฟชั่นคุณภาพเยี่ยม จากผู้ผลิต ผู้ส่งออก และนักออกแบบรุ่นใหม่ โชว์ศักยภาพ 7 กลุ่มสินค้าไลฟ์สไตล์และแฟชั่น พร้อมเป็นเวทีเจรจาการค้าระดับนานาชาติ ให้ผู้ผลิต ผู้ประกอบการไทย รวมทั้งกระตุ้นเศรษฐกิจ ขับเคลื่อนมูลค่าส่งออก โดยงานจะจัดระหว่างวันที่ 2-6 เมษายน 2568 นี้ ที่ศูนย์การประชุมแห่งชาติสิริกิติ์
โดยงานแถลงข่าวฯ ซึ่งจัดขึ้นเมื่อเร็วๆนี้ ณ กระทรวงพาณิชย์ มีนางสาวสุนันทา กังวาลกุลกิจ อธิบดีกรมส่งเสริมการค้าระหว่างประเทศ และนายสนั่น อังอุบลกุล ประธานกรรมการสภาหอการค้าแห่งประเทศไทยร่วมแถลงข่าวการจัดงานฯ และเสวนากับผู้แทนหน่วยงาน/สมาคมผู้ร่วมจัด ได้แก่ ดร.เนาวรัตน์ ทรงสวัสดิ์ชัย นายกสมาคมเครื่องหนังไทย และกรรมการผู้จัดการ บริษัท ธำมรงค์ จำกัด และนายอมรเทพ คัชชานนท์ นายกสมาคมผู้ผลิตผลิตภัณฑ์แนวดีไซน์ ในหัวข้อ “STYLE Bangkok: งานแสดงสินค้านานาชาติและการกำหนดทิศทางอุตสาหกรรมไลฟ์สไตล์และแฟชั่นของไทย”

อธิบดีกรมส่งเสริมการค้าระหว่างประเทศ กล่าวว่า “STYLE Bangkok 2025 จัดขึ้นภายใต้ธีม ‘The International Trade Fair for Visionary Design, Lifestyle, Fashion and Experience’ เพื่อตอกย้ำภาพลักษณ์อันดี ในฐานะ งานแสดงสินค้าไลฟ์สไตล์และแฟชั่นที่ครบวงจร เป็นที่ยอมรับทั้งจากผู้ซื้อ/ผู้นำเข้า และผู้แสดงสินค้าในระดับนานาชาติ STYLE Bangkok ถือเป็นหนึ่งในเครื่องมือส่งเสริมการค้าระหว่างประเทศเชิงรุกของกรมฯ ที่เปิดโอกาสให้ผู้ผลิต/ผู้ส่งออก นักออกแบบไทย รวมถึงผู้ประกอบการรายเล็กในกลุ่มสินค้าไลฟ์สไตล์และแฟชั่น ได้แสดงศักยภาพ รวมถึงเจรจาธุรกิจ กับผู้ซื้อจากทั่วโลก รวมทั้งช่วยผลักดันให้เกิดการขยายตัว ของการส่งออกสินค้า ไลฟ์สไตล์ไทย ทั้งในด้าน ปริมาณ และมูลค่าอีกด้วย”
“อุตสาหกรรมสินค้าไลฟ์สไตล์และแฟชั่น ถือเป็นอุตสาหกรรมที่สำคัญของประเทศ และยังคงเป็น แรงขับเคลื่อนเศรษฐกิจตามนโยบายส่งเสริมซอฟท์เพาวเวอร์ของรัฐบาล ผู้ประกอบการ ผู้ผลิต และผู้ส่งออกสินค้าไลฟ์สไตล์และแฟชั่นของไทย มีศักยภาพและจุดแข็งที่การออกแบบอย่างสร้างสรรค์ และมีการผลิตที่มีคุณภาพมาตรฐานสากล โดยกรมฯ มุ่งหวังที่จะผลักดันให้ประเทศไทยเป็นศูนย์กลางการผลิตและการส่งออกสินค้าไลฟ์สไตล์และแฟชั่นในภูมิภาคอาเซียน” อธิบดีสุนันทา กล่าวเสริม
สถานการณ์การส่งออกกลุ่มสินค้าไลฟ์สไตล์และกลุ่มสินค้าแฟชั่น ปี 2567 ไทยส่งออกสินค้าไลฟ์สไตล์และแฟชั่น คิดเป็นมูลค่ากว่า 9,744.22 ล้านดอลลาร์สหรัฐฯ โดยสินค้าไลฟ์สไตล์ ขยายตัว +6.97% สินค้าแฟชั่น ขยายตัว +2.86% โดยเฉพาะตลาดสหรัฐอเมริกามีแนวโน้มขยายตัว ขณะที่ตลาดต่างประเทศอื่นๆ มูลค่าส่งออกมีแนวโน้มเติบโตเช่นกัน

ด้านนายสนั่น อังอุบลกุล กล่าวในโอกาสเดียวกันว่า “สภาหอการค้าแห่งประเทศไทยในฐานะองค์กรภาคเอกชน ตระหนักถึงความสำคัญในการร่วมจัดงานแสดงสินค้า STYLE Bangkok ซึ่งเป็นการผนึกความร่วมมือระหว่างภาคเอกชน รวมทั้งเครือข่ายสภาหอการค้าประเทศไทย ซึ่งจะเป็นการบูรณาการที่สำคัญที่จะก่อให้เกิดประโยชน์ ต่อภาคธุรกิจและผู้ประกอบการไทยใน กลุ่มธุรกิจไลฟ์สไตล์และแฟชั่น ให้มีโอกาสในการแสดงศักยภาพ และเพิ่มขีดความสามารถ ทางการแข่งขันของสินค้าไทยในเวทีโลก เป็นการเพิ่มมูลค่าการส่งออกสินค้าไลฟ์สไตล์และแฟชั่น”
ประธานกรรมการสภาหอการค้าฯ เสริมว่า นโยบายของตลาดส่งออกสำคัญของสินค้าไลฟ์สไตล์และชั่นของไทยอย่างสหรัฐอเมริกา ส่งผลกระทบเชิงบวก โดยหลังจากประธานาธิบดีทรัมป์ ประกาศเรียกเก็บภาษีนำเข้า 10% สำหรับสินค้าจากจีน ทำให้ผู้ผลิตจีนย้ายฐานการผลิตไปยังเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ ส่วนหนึ่งย้ายฐานการผลิตมาที่ไทย จากข้อมูลจากกระทรวงพาณิชย์ของจีนระบุว่า การลงทุนโดยตรงจากจีนในภาคการผลิตของอาเซียนอยู่ที่ประมาณ 9,100 ล้านดอลลาร์สหรัฐ ในปี 2566 ซึ่งเพิ่มขึ้นจาก 4,500 ล้านดอลลาร์สหรัฐในปี 2561 ส่งผลดีทำให้การผลิตไทยขยายตัว เกิดการจ้างงานและกระตุ้นตัวเลขทางเศรษฐกิจ
“การจัดงาน STYLE Bangkok ในครั้งนี้ สภาหอการค้าฯ ได้เชิญชวนไปยังสมาชิกให้เข้าร่วมเป็น Exhibitor นอกจากนี้ ยังได้เชิญชวนพันธมิตรสภาหอการค้าในประเทศต่างๆ ให้มาร่วมจัดแสดงสินค้า และได้เชิญ Visitor และ Buyer จากหอการค้าจังหวัดและหอการค้าต่างประเทศในไทย และสมาชิกหอการค้าไทยทั่วประเทศเข้าชมงานเพื่อชมศักยภาพของผู้ประกอบการไทยซึ่งเป็นที่ยอมรับในสายตาชาวโลก” นายสนั่นกล่าวทิ้งท้าย

STYLE Bangkok จัดแสดงสินค้าไลฟ์สไตล์ แฟชั่น และสินค้ามีดีไซน์ จากผู้ผลิต ผู้ประกอบการผู้ส่งออกไทย นักออกแบบหน้าใหม่จากไทยและนานาชาติ โดยรวบรวมสินค้าในกลุ่มเฟอร์นิเจอร์ ของขวัญ ของตกแต่งบ้าน เครื่องใช้ในครัวเรือน ผลิตภัณฑ์เพื่อสุขภาพและความงาม สินค้าแฟชั่น และของเล่น โดยมุ่งเจาะตลาดผู้ซื้อจากกลุ่มตลาดศักยภาพ อาทิ สหรัฐอเมริกา จีน ญี่ปุ่น ตะวันออกกลาง อินเดีย ยุโรป และอาเซียน

ในปีนี้ยังมีไฮไลท์ที่น่าสนใจมากมาย อาทิ นิทรรศการส่งเสริมผลิตภัณฑ์ผ้าไทย ภายใต้โครงการ “ผ้าไทยใส่ให้สนุก” ตามแนวพระดำริ สมเด็จพระเจ้าลูกเธอ เจ้าฟ้าสิริวัณณวรี นารีรัตนราชกัญญา นิทรรศการรางวัลการออกแบบยอดเยี่ยม (DEmark) และนิทรรศการ Good Design Award (G-Mark) นิทรรศการผลงานผู้เข้ารอบการประกวดรางวัลออกแบบผลิตภัณฑ์เฟอร์นิเจอร์แห่งอาเซียน 2025 นิทรรศการสินค้าของขวัญ ของชําร่วยและของตกแต่งบ้านที่มีดีไซน์ และงานออกแบบ เพื่อความยั่งยืน นิทรรศการแนวโน้มเทรนด์แฟชั่นและ Supply Chain ในอุตสาหกรรมแฟชั่น นิทรรศการ STYLE Gallery ภายใต้ความร่วมมือระหว่างกรมฯ และคณะศิลปกรรมศาสตร์ จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย และนิทรรศการส่งเสริมอุตสาหกรรม Art Toy ของผู้ประกอบการไทย นอกจากนี้ ยังมีกิจกรรมเสวนาแนวโน้มเทรนด์การค้าสินค้าไลฟ์สไตล์จากผู้เชี่ยวชาญชาวอิตาลี และแนวโน้มเทรนด์กลุ่มวัสดุ/วัตถุดิบในการผลิต โดยผู้เชี่ยวชาญชาวญี่ปุ่น
STYLE Bangkok 2025 จะจัดระหว่างวันที่ 2 - 6 เมษายน 2568 ณ ฮอลล์ 1 - 3 ชั้น G ศูนย์การประชุมแห่งชาติสิริกิติ์ โดยเปิดเป็นวันเจรจาธุรกิจ ระหว่างวันพุธที่ 2 – วันศุกร์ที่ 4 เมษายน 2568 เวลา 10.00 - 18.00 น. และวันจำหน่ายปลีก ระหว่างวันเสาร์ที่ 5 – วันอาทิตย์ที่ 6 เมษายน 2568 เวลา 10.00 - 21.00 น. ผู้สนใจสามารถชมข้อมูลเพิ่มเติมได้ที่ www.stylebangkokfair.com Facebook/Instagram/TikTok : Style Bangkok Fair