ขณะที่ผมกำลังเขียนต้นฉบับอยู่นี้ มีผู้ต้องสังเวยชีวิตในสงครามอิสราเอล-ฮามาส มากกว่า 2000 คนแล้ว ส่วนใหญ่เป็นราษฎรตาดำๆ ตั้งแต่ฮามาสยิงจรวดถล่ม บุกทลายกำแพงเข้ามาฆ่าหมู่และจับตัวประกัน
ต่อถึงอิสราเอลประกาศเอาคืนอย่างถึงที่สุดการบุกภาคพื้นดินกำลังจะเปิดฉาก และการเมืองในภูมิภาคและโลกก็กำลังตรึงเครียดขึ้นเรื่อยๆ
มันอาจกลายเป็นสงครามที่ยืดเยื้อ และแน่นอนว่าจะกระทบต่อราคาพลังงาน ซึ่งพวกเราอาจต้องลำบากขึ้นไปอีกในอนาคตอันใกล้
ผมได้เขียนไปแล้วเมื่อวานว่า เราต้องวางแผน “ปลดแอก” พลังงานของเราในระยะยาว เพื่อไม่ให้ขึ้นอยู่กับ Geopolitics ที่นับวันจะซับซ้อนและเข้มข้นขึ้นเมื่อจีนเข้ามาเป็นผู้เล่นเต็มตัว และสหรัฐฯ อ่อนแอลง
เราทำได้ แม้จะมีน้ำมันและก๊าซแต่น้อยก็ตาม อย่างที่ผมได้เสนอความคิดไปแล้ว
มนุษย์เราจะอยู่รอดได้ สำคัญที่สุดต้องมีอาหาร น้ำ และพลังงาน
ที่เหลือเราผลิตเองได้ ยิ่งถ้ามีพลังงานเพียงพอ เราก็จะผลิตอาหารและน้ำได้อย่างเพียงพอต่อการบริโภค ไม่ว่าจำนวนมนุษย์จะเพิ่มขึ้นเพียงใดก็ตาม
ไทยเราโชคดีที่อาหารและน้ำมีอย่างเพียงพอ แต่สถานการณ์พลังงานของเรา เหมือนถูกจับเป็นตัวประกัน โดยความขัดแย้งในโลก จากน้ำมือของผู้นำบางกลุ่ม ทั้งๆ ที่ไม่เคยมีส่วนได้เสียกับเขาเลย
ผมเชื่อว่าดวงใจทุกดวงในขณะนี้ ล้วนเจ็บปวดกับโศกนาฏกรรมที่เกิดขึ้นในอิสราเอลกับกาซ่า และหวังว่าความขัดแย้งนี้จะยุติโดยเร็ว
เราคงต้องจับตาดูผลกระทบของมันต่อชีวิตเราอย่างใกล้ชิดต่อไป
แต่วันนี้ ขอย้อนกลับมาพูดถึงเรื่องที่เมื่อวานเพิ่งพูดไปแบบคร่าวๆ คือรายงานการประชุมของกลุ่ม G-20 ที่นิวเดลี เมื่อเดือนที่แล้ว ซึ่งเกี่ยวข้องกับเงินดิจิตัลแบบใหม่ (CBDC) ที่ทุกรัฐบาลกำลังเตรียมการณ์จะจัดทำขึ้น แทนที่เงินแบบเดิมที่เราใช้กันอยู่
เมื่อกลับมาอ่านรายงานอย่างละเอียด ผมพบแนวคิดหนึ่งที่รัฐบาลทั่วโลกนิยมทำมากในระยะหลังมานี้
(ผู้สนใจหาอ่านได้ตามเว็บ ในหัวข้อ “G20 Policy Recommendations for Advancing Financial Inclusion and Productivity Gains Through Digital Public Infrastructure.”) คือสิ่งที่รายงานนิยามว่า “Government-to-person” หรือ G2P
หมายความว่าเงินหรือผลประโยชน์ที่รัฐบาลจ่ายให้โดยตรงกับราษฏร ไม่ว่าจะเป็นเงินช่วยเหลือ (เช่นกระเป๋าตัง) ภาษีคืน หรือสวัสดิการสังคมต่างๆ
เงินจำนวนนี้มีมากถึง 25.2% ของ GDP ของกลุ่มประเทศพัฒนาแล้วเหล่านั้น โดย 2.3% เป็นเรื่องของความช่วยเหลือเชิงสังคม (Social Assistance Payment) 9.4% เกี่ยวกับเงินเกษียณ (Pensions) และ 13.5% เกี่ยวกับค่าแรงภาคสาธารณะ (Public Wages)
รวมๆ แล้ว คิดเป็นเงินประมาณ 13-15 ล้านล้านเหรียญฯ ต่อปี ในกลุ่มประเทศพัฒนาแล้วรวมกัน โดยถ้ารวมตัวเลขของประเทศกำลังพัฒนา ก็จะมากขึ้นถึง 18-20 ล้านล้านเหรียญฯ ต่อปี เลยทีเดียว
ยิ่งในช่วงโควิด รัฐบาลเกือบทั่วโลกล้วนทำ G2P โดยการแจกเงินเข้าสู่วอลเล็ตผ่านธนาคาร กันถ้วนหน้า มากบ้างน้อยบ้าง
ตามรายงานระบุว่า ในปี 2021 ประชากรวัยผู้ใหญ่ (adults) จำนวน 28% ทั่วโลก รับเงินช่วยเหลือโดยตรงจากรัฐบาล ถือเป็นการเพิ่มขึ้นถึง 400 ล้านคน จากช่วงก่อนหน้าโควิด
ผมว่า G2P นี่แหล่ะ ที่โครงการเงินดิจิตัลแบบใหม่นี้น่าจะนำมาทดลองใช้กันก่อนได้เลย
เพราะมันเป็นการจ่ายจากรัฐบาลตรงทุกวันทุกเดือนทุกปีอยู่แล้ว ไม่ว่าจะเป็นเงินบำเน็จบำนาญ เงินช่วยคนจน ช่วยผู้สูงอายุ ช่วยคนพิการ ภาษีคืน
เงินเดือนข้าราชการ/รัฐวิสาหกิจ และเงินที่รัฐบาลต้องจ่ายให้กับผู้รับเหมา หรือโครงการจัดซื้อจัดจ้าง ที่เอกชนต้องรับเงินจากรัฐบาลอยู่แล้ว
ถ้าทดลองใช้กับโครงการ G2P เหล่านี้ก่อน (ซึ่งทำได้ทันทีเลย) มันก็จะไม่กระทบต่อหนี้สาธารณะ อัตราเงินเฟ้อ และค่าเงินในอนาคต
ต่างกับโครงการแจกเงินของรัฐบาลที่จะต้องกู้เงินมาแจก ไม่ต่ำกว่าห้าแสนล้านบาท ซึ่งแน่นอนว่าต้องมีทั้งผู้เห็นด้วยและเห็นต่าง
ก่อนที่จะลุยแบบเต็มสูบ คือนำเงินดิจิตัลแบบใหม่ (ขอเรียกว่า Bath Token ไปก่อน) มาใช้แทนเงินบาทแบบเดิมที่ใช้กันอยู่ในปัจจุบัน
ถึงวันนั้น ทุกอย่างต้องพร้อม
อย่างที่เมื่อวานได้พูดไปแล้วคือ DPI หรือ Digital Public Infrastructure ต้องพร้อม
ทั้งระบบระบุตัวตนดิจิตัลของราษฎร (Digital IDs), แพล็ตฟอร์มที่พร้อมสำหรับให้ราษฎรแชร์ข้อมูลส่วนบุคคลกันโดยปลอดภัยและทรงประสิทธิภาพ และข้อสุดท้ายคือ
ความเร็วของระบบใช้จ่าย(Instant Payment System) ซึ่งยังเป็นที่น่ากังขาหากจะนำเอาบล็อกเชนมาใช้ในขณะนี้
ที่สำคัญคือกฎหมายที่สามารถเหนี่ยวรั้งการใช้อำนาจเหนือราษฏรผ่านการควบคุมการใช้จ่ายเงินดิจิตัลใหม่นี้
อีกทั้งต้องคิดก่อนว่าสถาบันการเงินแบบเดิมจะไปอยู่ตรงไหน ถึงจะไม่ถูกระทบมาก
อย่าลืมว่า เงินดิจิตัลใหม่นี้ มันเป็นเงินที่สมมติขึ้นให้อยู่ใน Cyberspace ไม่มีตัวตนจริง แต่ใช้ซอฟท์แวร์ชื่อ “บล็อกเชน” เป็นตัวบันทึกบัญชี หรือข้อมูลการแลกเปลี่ยน ของทุก Transaction โดยสามารถเรียกดูย้อนหลังได้
ดังนั้น เราสามารถใช้จ่ายแลกเปลี่ยนกันได้ โดยไม่ต้องมีบัญชีธนาคาร
และเงินแบบใหม่นี้รัฐบาลสามารถโปรแกรมให้ทำหรืองดเว้นการกระทำได้ตามคำสั่ง (เรียกว่า Smart Contract คือโค๊ตคำสั่งที่เพิ่มขึ้นบนบล็อกเชนที่รัฐบาลเป็นเจ้าของ)
ดังนั้น รัฐบาลจึงสามารถจ่ายดอกเบี้ยให้โดยตรงได้ เหมือนกับธนาคาร และสามารถปล่อยกู้โดยตรงได้ แม้กระทั่งให้ซื้อประกันผ่านดิจิตัลวอลเล็ตนี้ได้ด้วย ฯลฯ
นั่นจะกระทบต่อธุรกิจปัจจุบันของสถาบันการเงินทั้งระบบ
นอกนั้นรัฐบาลยังมีอำนาจเหนือการควบคุมตรงนี้ในทุกอณู เช่น สามารถสั่งอายัติวอลเล็ตของผู้เห็นต่าง หรือศัตรูทางการเมืองได้ หรืออาจจะห้ามไม่ให้ราษฏรที่ป่วยเบาหวานซื้อเครื่องดื่มที่มีน้ำตาลผ่านวอลเล็ต นี้ก็ยังได้ ฯลฯ
เหล่านี้เป็นเรื่องที่ต้องพิจารณากันอย่างรอบคอบ และต้องแจ้งให้ราษฏรเกิดความเข้าใจอย่างถ่อนแท้ ก่อนจะสร้างเงินดิจิตัลแบบใหม่นี้ขึ้นมาใช้
ทักษ์ศิล ฉัตรแก้ว
10 ตุลาคม 2566
สับสนกันทั้งประเทศกับโครงการแจกเงินดิจิตัลคนละ 10,000 บาทของรัฐบาล
และความสับสนเลยกลายเป็นความกังวลของหลายฝ่าย ทั้งอดีตผู้ว่าแบงก์ชาติและนักเศรษฐศาสตร์สำคัญๆ ก็ออกมาต่อต้าน โดยเกรงว่าจะได้ไม่คุ้มเสีย เกิด Moral Hazard และการก่อหนี้มาแจกจะกระทบต่อเศรษฐกิจมหภาคของประเทศในระยะยาว
ส่วนนักเทคนิคก็พากันสงสัยในรายละเอียดของบล็อกเชนว่าไส้ในจะเป็นอย่างไร จะใช้จ่ายกันได้ทันใจหรือไม่ และจะมีช่องโหว่ให้ถูกแฮกหรือเปล่า ฯลฯ
สับสนเพราะ รัฐบาลงึมงำ ไม่ยอมบอกความจริงทั้งหมด
เช่นว่า บล็อกเชนวงนี้จะเป็นวงปิดหรือวงเปิด ถ้าเป็นวงปิด ใครจะเป็นเจ้าของและเป็นผู้ดำเนินการ...รัฐบาล หรือ แบงก์ชาติ หรือเป็น Joint Venture กับเอกชน?
ต่อไปรัฐบาลจะใช้บล็อกเชนและวอลเล็ตของโครงการนี้กับเรื่องอื่นอีกหรือไม่ เช่น ขอให้ราษฎรนำเงินบาทที่มีอยู่ในบัญชีธนาคารมาแลกเป็นเงินดิจิตัล (Bath Token) ให้หมด แล้วจ่ายดอกเบี้ยให้ผ่านวอลเล็ตเลยหรือไม่ และถ้าจะถอนเป็นเงินสดจะถอนที่ไหน/อย่างไร? หรือจะจัดเก็บภาษีโดยตรงโดยอ้อมผ่านวอลเล็ตเลยหรือไม่? หรือจะใส่โปรแกรม (smart contract) ต่างๆ เพื่อสร้างเงื่อนไขให้วอลเล็ตเหล่านั้น ทำอะไรได้ หรือทำอะไรไม่ได้ ในอนาคต หรือไม่/อย่างไร ฯลฯ
ยังมีความกังวลและข้อสงสัยในใจอีกมาก ที่รัฐบาลตอบไม่ได้ หรืออาจจะอุบไว้ ไม่ยอมตอบ
ผมว่าเรื่องนี้เป็นเรื่องใหญ่มาก
ไม่ใช่แค่เรื่องรัฐบาลแจกเงิน แต่มันเป็นเรื่องที่จะสามารถเปลี่ยนโครงสร้างทางการเงินของประเทศได้เลย และจะเพิ่มอำนาจในการควบคุมให้กับรัฐบาลอีกมหาศาล
อย่างแรกคือเงินดิจิตัลแบบใหม่นี้ ไม่เหมือนเงินดิจิตัลแบบเดิมที่เราใช้กันอยู่ผ่านแอ็ปธนาคารต่างๆ
เงินดิจิตัลใหม่นี้ (ของเรียกว่า Bath Token ไปพลางก่อน) มันถูกสร้างขึ้นโดยมีซอฟท์แวร์ที่เรียกว่า “บล็อกเชน” เป็นตัวบันทึกบัญชีใช้จ่ายของเงิน ทุกๆ ธุรกรรม และสามารถเรียกดูย้อนหลังได้ทุกธุรกรรมโดยผ่านอินเทอร์เน็ต
ไม่เหมือนกับเงินดิจิตัลแบบเดิมที่เวลาใช้จ่ายและรับเงิน (โอนไปเข้าบัญชีของคนอื่นหรือรับจากบัญชีของคนอื่น) ธนาคารพาณิชย์จะเป็นผู้บันทึกบัญชีให้เรา (และจะตัดหรือเพิ่มยอดเงินในบัญชีของเราตามจำนวนนั้น) และในที่สุดทุกธนาคารก็จะไปเคลียร์กันที่แบงก์ชาติทุกวัน
ดังนั้นเงินดิจิตัลใหม่นี้ เมื่อใช้จ่ายกัน ก็จะเป็นการใช้จ่ายโดยตรงกันเอง ระหว่างผู้โอนกับผู้รับโอน โดยไม่ต้องผ่านแบงก์
เช่น เมื่อเราไปซื้อของจาก 7-11 เราก็จะโอน Bath Token จากวอลเล็ตของเราไปเข้าวอลเล็ตของร้านโดยตรงได้เลย
เห็นไหมครับว่า ธนาคารพาณิชย์หายไปจากระบบใหม่นี้ทันที!
จะเป็นยังไงต่อ ถ้าในอนาคต รัฐบาล (ผู้ซึ่งเป็นเจ้าของและผู้ดำเนินการบล็อกเชนวงนี้) สามารถจ่ายดอกเบี้ยโดยตรงให้กับเงินดิจิตัลที่ค้างอยู่ในวอลเล็ต และเงินในธนาคารที่พวกเรานำไปแลกเป็นเงินดิจิตัลใหม่แล้วค้างไว้ในวอลเล็ตของเรา
หรืออีกขั้นหนึ่ง ถ้ารัฐบาลประกาศให้เจ้าของวอลเล็ตยื่นเรื่องเข้ามาขอกู้เงินโดยตรงกับรัฐบาล โดยเมื่อรัฐบาลประเมินแล้วเห็นว่าเครดิตมั่นคง ก็จะเดบิตเงินตรงเข้าวอลเลตให้เลย และคอยตัดจ่ายเงินต้นบางส่วนกลับเข้าวอลเล็ตของรัฐบาลทุกสิ้นเดือนพร้อมดอกเบี้ยจ่าย ตามเทอมที่ตกลงกันไว้
นั่นเท่ากับอุตสาหกรรมการเงินย่อมต้องเปลี่ยนแปลงไปสิ้นเชิง
ข้อที่สองคือ เงินดิจิตัลใหม่นี้ มันสามารถโปรแกรม ให้ทำโน่นทำนี่ หรือห้ามโน่นห้ามนี่ได้ด้วย โดยใช้ smart contract (ในทางเทคนิคคือเป็นโค้ดคำสั่งที่เพิ่งเข้าไปในบล็อกเชน)
เช่น โปรแกรมให้เจ้าของวอลเล็ตที่อายุไม่ถึงเกณฑ์ ไม่สามารถโอนเงินจากวอลเล็ตดังกล่าว ไปซื้อเหล้าบุหรี่ ซื้อปืนหรือลูกกระสุน หรือเข้าผับบาร์ เป็นต้น
รัฐบาลยังสามารถโปรแกรมให้เจ้าของวอลเล็ตจ่ายภาษีเงินได้หรือหัก ณ ที่จ่าย ทันทีหรือตอนสิ้นปีโดยไม่ชักช้า หรือหักภาษี VAT จากวอลเล็ตของร้านค้าโดยไม่ต้องรอยื่นตอนสิ้นเดือน
ทั้งหมดนี้โดยผ่านการสร้างคำสั่งให้หักจากวอลเล็ตโดยตรง ทำให้ค่าโสหุ้ยในการเก็บภาษีของรัฐบาลลดลง และเก็บได้ทรงประสิทธิภาพมากขึ้น แต่ก็จะทำให้กรมสรรพากรต้องลดจำนวนเจ้าหน้าที่ลงแยะเหมือนกัน
อำนาจใหม่ของรัฐบาลแบบนี้ มันอนุญาตให้รัฐบาลควบคุมสอดส่องพฤติกรรมของราษฎรได้โดยผ่านเงินและการใช้จ่ายเงิน ถึงขั้น ถ้าจะอายัดบัญชีใครก็ทำได้เลย หรือถ้าจะประกาศใช้แต้มศีลธรรมแบบจีน ก็ทำได้ ซึ่งถ้าออกแบบด้วยความหละหลวมแล้ว ก็จะเกิดผลเสียต่อเสรีภาพและความเป็นส่วนตัวของราษฎรอย่างมาก
ทว่า บล็อกเชนก็มีข้อดีแยะ
อย่างน้อยมันก็จะทำให้มูลค่าแฝงต่างๆ ที่แฝงตัวอยู่ในระบบเศรษฐกิจและสังคมไทย เปิดเผยตัวออกมา จับต้องได้ และนำมาเพิ่มความมั่งคั่งให้กับเจ้าของได้
เช่นโครงการ Soft Power ของรัฐบาลนั้น ถ้าเห็นว่าใครหรือชุมชนไหนมีดี ก็สามารถนำมาสร้าง Economic Model บนบล็อกเชนได้เลย แล้วให้นำมูลค่าแฝงที่คิดว่ามีเหล่านั้น (เช่นชื่อเสียง ลิขสิทธิ สิทธิบัตร ฯลฯ) มาแปลงเป็น Token (เรียกว่า “NFT” หรือ Non Fungible Token) ขายให้กับนักลงทุนที่เห็นคุณค่าได้ทันทีเลย เป็นต้น
ผมเห็นว่าเงินดิจิตัลแบบใหม่ (ทั่วโลกเขาเรียกว่า CBDC หรือ Central Bank Digital Currency) เป็นเรื่องที่ต้องเกิดขึ้นอย่างแน่นอน ถ้าไม่เกิดวันนี้ อีกไม่นานก็ต้องเกิด
ถ้าดูจากบล็อกของ IMF และอ่านรายงานการประชุม G-20 ครั้งล่าสุดที่เปิดเผยมาแล้ว เราเห็นแล้วว่ารัฐบาลเกือบทั่วโลกเตรียมตัวไปสู่เงินดิจิตัลแบบใหม่นี้แล้ว แม้รายงานจะไม่บอกแบบโต้งๆ แต่ก็พอเดาได้
SWIFT เอง ก็หันมาทดลองใช้ระบบบล็อกเชนและ Token ในการโอนเงินระหว่างประเทศในเครือข่ายธนาคารทั่วโลกไปแล้วด้วย
ถ้าเดินตาม Road Map ของการประชุม G-20 ครั้งล่าสุดที่อินเดียเมื่อเดือนที่แล้ว พบว่าประเทศยักษ์ใหญ่ต้องการให้สร้าง DPI หรือ Digital Platform Infrastructure เสียก่อน โดยทำสามขั้นตอน
หนึ่งคือ Digital IDs ที่รัฐบาลจะต้องจูงใจให้ราษฎรแจ้งข้อมูลทั้งหมดที่เกี่ยวกับตัวเองให้อยู่ในรูปดิจิตัล
ขั้นต่อไปคือสร้างแพล็ทฟอร์มให้ทุกคนสามารถแชร์ข้อมูลส่วนตัวกันได้โดยปลอดภัยและคำนึงถึงสิทธิความเป็นส่วนตัว
สามคือความเร็วของธุรกรรม (ซึ่งข้อนี้บล็อกเชนมีข้อจำกัดอยู่มาก)
ผมไม่แน่ใจว่าคนของรัฐบาลได้ศึกษาไกด์ไลน์นี้ด้วยหรือไม่?
ทักษ์ศิล ฉัตรแก้ว
9 ตุลาคม 2566
ยืนยง ทรงศิริเดช หัวหน้าเจ้าหน้าที่บริหาร บริหารการปฏิบัติการและประสิทธิภาพธุรกิจสาขา ทีเอ็มบี เปิดเผยว่า ธนาคารมุ่งพัฒนาผลิตภัณฑ์และบริการที่จะช่วยให้ลูกค้าได้ใช้ชีวิตอย่างเต็มที่ในแบบลูกค้าต้องการ โดยเห็นว่าช่องทางสาขาคือช่องทางในการให้บริการลูกค้าที่มีความสำคัญในการส่งมอบประสบการณ์ที่ดีให้กับลูกค้า ทีเอ็มบีจึงได้พัฒนาสาขารูปแบบใหม่ สำหรับลูกค้าในยุคดิจิทัล “ TMB Digital Branch Banking Experience” เป็นการเปลี่ยนรูปแบบการบริการในสาขาเพื่อไปสู่ธนาคารรูปแบบใหม่รายแรกของไทย นับเป็นก้าวแรกที่สำคัญที่จะนำไปสู่ก้าวต่อๆ ไปในการให้บริการดิจิทัลแบงก์กิ้ง
TMB Digital Branch Banking Experience เป็นการนำเทคโนโลยีการออกแบบช่องทางการบริการมาผสานเข้ากับเทคโนโลยีดิจิทัล ช่วยให้กระบวนการธุรกรรมมีความสะดวกสบายยิ่งขึ้น ลดระยะเวลารอคอย เกิดประสบการณ์ใหม่ที่สอดคล้องกับการใช้ชีวิตในปัจจุบัน โดยการบริการที่ได้รับการพัฒนาให้สอดคล้องกับการใช้งานดังกล่าว มีอยู่ 4 ส่วน ประกอบด้วย 1. การนัดหมายล่วงหน้าผ่านระบบออนไลน์ (New Queue Platform) 2. บริการข้อมูลผลิตภัณฑ์และการบริการต่างๆ ผ่าน อี-โบรชัวร์ (E-Brochure) 3. เทคโนโลยี VDO Conference เพื่อให้คำปรึกษาจากผู้เชี่ยวชาญด้านการลงทุนจาก TMB Advisory 4. เจ้าหน้าที่ Navigator พร้อมอุปกรณ์ที่จะให้คำแนะนำและให้ความช่วยเหลือเบื้องต้นสำหรับการใช้บริการทุกธุรกรรม
ยืนยงกล่าวถึงรูปแบบสาขาว่า การออกแบบภายในจะเน้นการสร้างบรรยากาศที่เป็นมิตรเพื่อช่วยให้ลูกค้าเข้าใจการเปลี่ยนผ่านการให้บริการนี้ โดยในระยะแรกต้องสร้างความเข้าใจทีละขั้นตอนเพื่อสร้างความคุ้นเคย ซึ่งจากการทดลองใช้งานมาช่วงหนึ่ง พบว่าลูกค้าชอบบริการที่นำมาใช้กับสาขารูปแบบใหม่ จึงนำไปสู่การปรับเปลี่ยนรูปแบบการให้บริการที่สาขาเป็นแบบบริการตัวเองเพิ่มมากขึ้น
รูปแบบของสาขาใหม่นี้เป็นอีกก้าวสำคัญของการให้บริการดิจิทัลแบงก์กิ้งของทีเอ็มบี โดยยึดหลักให้ลูกค้าเข้าถึงง่าย มีความสะดวกสบายและรวดเร็ว นำความต้องการพื้นฐานมาสู่ประโยชน์ของลูกค้าและสร้างรูปแบบบริการตัวเองที่จะช่วยให้ลูกค้าติดต่อกับธนาคารได้ง่ายขึ้น ซึ่งคนส่วนใหญ่ไม่ได้ต้องการธนาคาร แต่ต้องการทำธุรกรรมทางการเงิน ทีเอ็มบีจึงมุ่งเน้นการเสนอบริการที่ตอบสนองความต้องการพื้นฐานก่อนเป็นอันดับแรก
ประสบการณ์รูปแบบใหม่ผ่านสาขานี้จะให้อำนาจกับลูกค้าในการเลือกอะไร ที่ไหน และอย่างไร ตามความสะดวกของแต่ละคน ขณะเดียวกันก็ไม่ได้ตัดขาดการสื่อสารกับคนด้วยกัน หากพอใจจะขอคำแนะนำจากเจ้าหน้าที่โดยตรงมากกว่าผ่านระบบการบริการแบบครบวงจร ซึ่งเจ้าหน้าที่ของสาขาจะเป็นส่วนหนึ่งในการช่วยให้เข้าถึงช่องทางบริการทางดิจิทัล และจะเป็นปัจจัยสำคัญให้ลูกค้าได้รับความสะดวกสบายจากการเปลี่ยนผ่าน
ทั้งนี้ สาขารูปแบบใหม่จะนำร่องให้บริการใน 15 สาขา ตั้งแต่วันที่ 15 พฤศจิกายน 2560 ประกอบด้วย เซ็นทรัลปิ่นเกล้า, สยามพารากอน, ฟิวเจอร์ปาร์ค รังสิต, เดอะมอลล์ บางแค, ซีคอนสแควร์, เซ็นทรัลพระรามเก้า, เซ็นทรัลพลาซา เวสต์เกต, เซ็นทรัลพลาซา แจ้งวัฒนะ, แฟชั่นไอแลนด์, เซ็นทรัล เฟสติวัล หาดใหญ่, เซ็นทรัล ลาดพร้าว, เซ็นทรัลเวิลด์, เดอะมอลล์บางกะปิ, เซ็นทรัล มหาชัย และทีเอ็มบี สำนักงานใหญ่