November 24, 2024

ปี 2567 นับเป็นปีแห่งการเลือกตั้งที่สำคัญอย่างมากครั้งหนึ่งในประวัติศาสตร์ เนื่องจากมีการเลือกตั้งใหญ่เกิดขึ้นหลายประเทศในทุกภูมิภาคทั่วโลก ทั้งที่ผ่านไปแล้วอย่าง รัสเซีย อินเดีย เกาหลีใต้ ฝรั่งเศส อังกฤษ และที่ต้อง จับตาอย่างมากคือการเลือกตั้งประธานาธิบดีสหรัฐอเมริกาที่กำลังจะเกิดขึ้นในเดือนพฤศจิกายนนี้ ซึ่งการเปลี่ยนแปลงทางการเมืองที่เกิดขึ้นหลังการเลือกตั้ง ย่อมส่งผลกระทบต่อทิศทางเศรษฐกิจและกระทบต่อภูมิทัศน์การลงทุนทั่วโลกอย่างแน่นอน

ประธานาธิบดีคนใหม่ของสหรัฐฯ กับจุดเปลี่ยนแนวทางเศรษฐกิจโลก

การเลือกตั้งประธานาธิบดีของสหรัฐอเมริกา ถือเป็นการเลือกตั้งที่น่าจับตามองมากที่สุดด้วยหลายเหตุผลไม่ว่าจะเป็น อิทธิพลทางเศรษฐกิจของสหรัฐฯ ที่เป็นเศรษฐกิจที่ใหญ่ที่สุดในโลก ดังนั้น การเปลี่ยนแปลงด้านนโยบายจากผู้นำคนใหม่ย่อมจะส่งผลกระทบต่อเศรษฐกิจโลก ซึ่งความไม่แน่นอนทางการเมืองนี้สามารถนำไปสู่ผลลัพธ์ที่คาดไม่ถึงและอาจจะสร้างการเปลี่ยนแปลงครั้งใหญ่ เช่น ในด้านของเศรษฐกิจที่นโยบายของสองผู้สมัครที่มีวิสัยทัศน์ชัดเจน โดย โดนัลด์ ทรัมป์ เน้นนโยบายการลดภาษี การลดข้อบังคับทางธุรกิจ และเการเจรจาทางการค้าที่ยุติธรรมและเป็นมิตรต่อธุรกิจ ซึ่งนโยบายเหล่านี้อาจนำไปสู่การเติบโตของภาคธุรกิจในประเทศและการปรับตัวขึ้นของตลาดหุ้น ในขณะที่ ความตึงเครียดทางการค้ากับประเทศอื่นอาจส่งผลกระทบต่อการลงทุนระหว่างประเทศ ในขณะที่ คามาลา แฮร์ริส มีนโยบายไม่แตกต่างจาก ประธานาธิบดี โจ ไบเดน มากนัก โดยยังคงเน้นนโยบายการลงทุนในพลังงานสะอาด การเพิ่มภาษีคนรวย และการเสริมสร้างระบบสวัสดิการสังคม โดยนโยบายเหล่านี้อาจนำไปสู่การเติบโตที่ยั่งยืนและความเท่าเทียมทางเศรษฐกิจในระยะยาว แต่ในระยะสั้นอาจสร้างความไม่แน่นอนและความผันผวนในตลาดการลงทุน

ทิศทางการลงทุนก่อน-หลังเลือกตั้ง

เมื่อวิเคราะห์อย่างละเอียดถึงภาพรวมการลงทุนในตลาดช่วงระหว่างก่อนและหลังการเลือกตั้งประธานาธิบดีสหรัฐฯ สมัยที่ผ่านมา จะพบว่าตลาดหุ้นผันผวนสูงทั้งก่อนและหลังการเลือกตั้ง แต่การฟื้นตัวของตลาดหลังการเลือกตั้งมักเป็นไปในทิศทางที่ดี เนื่องจากมีปัจจัยจากนโยบายเศรษฐกิจที่ชัดเจน เช่น การเลือกตั้งในปี 2559 ที่โดนัลด์ ทรัมป์ ชนะการเลือกตั้ง ตลาดหุ้นตอบสนองในทางบวกช่วงหลังการเลือกตั้ง ตรงกันข้ามกับช่วงก่อนการเลือกตั้งที่ตลาดมีความผันผวนสูง และการเลือกตั้งในปี 2563 ที่โจ ไบเดน ชนะการเลือกตั้ง ตลาดหุ้นต่างมีความผันผวนทั้งก่อน และหลังการเลือกตั้งเช่นเดียวกัน และสำหรับการเลือกตั้งในครั้งนี้ คาดการณ์ว่าภาพรวมการลงทุนของตลาดจะอยู่ในทิศทางบวก โดยเฉพาะตลาดหุ้นสหรัฐฯ มีโอกาสปรับเพิ่มขึ้นต่อได้ เนื่องจากเศรษฐกิจในประเทศ ยังคงแข็งแกร่ง แม้ธนาคารกลางสหรัฐฯ (FED) ชะลอการลดอัตราดอกเบี้ยในช่วงแรก แต่หลังจากสถานการณ์เงินเฟ้ออ่อนตัวดีขึ้น พร้อมทั้งถ้อยแถลงจากประธาน FED ล่าสุดมีการส่งสัญญาณลดดอกเบี้ยครั้งแรกในเดือนกันยายนนี้ โดยที่ตลาดคาดการณ์ว่า FED มีโอกาสลดอัตราดอกเบี้ยลง 3 ครั้ง ครั้งละ 0.25% ในปีนี้

นอกจากนี้ การเลือกตั้งครั้งนี้เกิดเหตุการณ์ไม่คาดคิดขึ้น หลังจากที่มีการเปลี่ยนผู้ท้าชิงจากฝั่งเดโมแครต ส่งผลให้การแข่งขันของทั้งสองพรรคกลับมาสูสีกัน และยากที่จะคาดเดาว่าใครจะมาเป็นประธานาธิบดีคนต่อไป ทำให้เกิดความผันผวนสูงกว่าเมื่อเทียบกับในอดีต ดังนั้น การกระจายการลงทุนและจัดการด้านความเสี่ยงถือเป็นหลักสำคัญในสภาวะตลาดเช่นในปัจจุบัน

กระจายการลงทุนตามหลักการ Risk-Based Asset Allocation คือทางออกในการรับมือกับความผันผวน ALL ROADS Series โอกาสรับผลตอบแทนที่มั่นคง จำกัดผลกระทบแม้ในสถานการณ์ไม่แน่นอน

ในสภาวะเศรษฐกิจที่ไม่แน่นอนและคาดการณ์ได้ยากจากสถานการณ์เช่นนี้ KBank Private Banking แนะนำให้นักลงทุนจัดสรรเงินลงทุนตามหลักการ Risk-Based Asset Allocation โดย แบ่งเงินลงทุน 50-70% ของพอร์ตลงทุนในกองทุน ALL ROADS Series ไม่ว่าจะเป็น K-ALLRD-UI-A(A),  K-ALLGR-UI-A(A) และ K-ALLEN-UI-A(A) ที่กระจายการลงทุนในสินทรัพย์หลายประเภททั่วโลก ช่วยให้พอร์ตการลงทุนสามารถสร้างผลตอบแทนพร้อมทั้งจำกัดความเสียหายในทุกสภาวะตลาด และยังมาพร้อมกลไกอัจฉริยะที่กำหนดสัดส่วนการลงทุนให้สมดุลโดยอัตโนมัติ ในสภาวะเศรษฐกิจที่แตกต่างกัน อาทิ ในช่วงตลาดปกติเพิ่มอัตราทดเพื่อเพิ่มผลตอบแทน ขณะเดียวกันในช่วงตลาดผันผวน ลดสัดส่วนการลงทุน ถือครองเงินสดมากขึ้นเพื่อลดความเสียหาย ที่ผ่านมาในช่วงวิกฤตเศรษฐกิจ กองทุนสามารถจัดการกับความเสียหายให้อยู่ในกรอบที่กำหนด สามารถสร้างผลตอบแทนได้ดีในสภาพตลาดที่หลากหลาย โดยผลการดำเนินงานย้อนหลังตั้งแต่จัดตั้งเมื่อ 10 ปีที่ผ่านมากองทุนหลัก LO FUNDS - ALL ROADS Series ในต่างประเทศสร้างผลตอบแทนและควบคุมความผันผวนได้ดีสมํ่าเสมอ และสามารถให้ผลตอบแทนเป็นบวกได้ ถ้าลงทุนอย่างน้อย 3 ปีขึ้นไป

นอกเหนือจากผลการเลือกตั้งประธานาธิบดีของสหรัฐฯ ที่นักลงทุนต้องติดตาม ยังมีสิ่งอื่นที่นักลงทุนต้องจับตาเพิ่มเติม ไม่ว่าเป็น ความกังวลต่อเรื่อง Recession ที่อาจจะเกิดขึ้นหรือไม่ หรือยังเป็น Soft Landing ตามที่เคยคาดไว้ การลดอัตราดอกเบี้ยของ FED ที่จะลดครั้งละ 0.25% ในเดือนกันยายน พฤศจิกายน และธันวาคมในปีนี้ โดยคาดว่าดอกเบี้ยจะลดลงไปอยู่ที่ 3.75% และคงอยู่ในระดับสูง (Higher for longer) ความเสี่ยงด้านภูมิรัฐศาสตร์ ซึ่งไม่มีทีท่าว่าจะจบลง ซึ่งล้วนแต่ส่งผลกระทบต่อภาพรวมการลงทุน ดังนั้น นักลงทุนต้องให้ความสำคัญกับการจัดพอร์ตการลงทุนให้เหมาะสมกับสภาวะเศรษฐกิจเป็นสิ่งสำคัญที่จะช่วยให้นักลงทุนสามารถสร้างผลตอบแทนที่มั่นคงได้ในทุกสถานการณ์  

หากต้องการข้อมูลเพิ่มเติม สามารถดูรายละเอียดเพิ่มเติมทางเว็บไซต์ของ KBank Private Banking ได้ที่ https://kbank.co/3ETkS5v


คำเตือน

กองทุน ALL ROADS Series ประกอบด้วย กองทุน K-ALLRD-UI-A(A),  K-ALLGR-UI-A(A) และ K-ALLEN-UI-A(A) (เป็นกองทุนรวมสำหรับผู้ลงทุนสถาบันและผู้ลงทุนรายใหญ่พิเศษ

  1. ระดับความเสี่ยงกองทุน : ระดับ 8+ / ความเสี่ยงจากอัตราแลกเปลี่ยน : การป้องกันความเสี่ยงจากอัตราแลกเปลี่ยนบางส่วน
  2. โปรดทำความเข้าใจลักษณะสินค้า/เงื่อนไขผลตอบแทน/ความเสี่ยง ก่อนตัดสินใจลงทุน
  3. ผู้ลงทุนควรขอคำแนะนำเพิ่มเติมจากผู้ประกอบธุรกิจก่อนตัดสินใจลงทุน
  4. สนใจลงทุน และขอรับหนังสือชี้ชวนได้ที่บริษัทที่จัดการและผู้สนับสนุนการขายและรับซื้อคืนหน่วยลงทุน

 

กระทบการส่งต่อทรัพย์สินครั้งใหญ่ ชูบริการใหม่ Family Business Transformation ปฏิรูปธุรกิจครอบครัวให้เป็นระบบ สร้างความเติบโต และอยู่รอดอย่างมั่นคงยั่งยืน

จากสถิติผลตอบแทนย้อนหลังในช่วง 3-10 ปี พบว่าหุ้นนอกตลาด (Private Equity) ให้ผลตอบแทนเหนือกว่าหุ้นในตลาด (Public Market) ที่ 5-9% อีกทั้งท่ามกลางสภาพตลาดทุนที่ยังผันผวน การลงทุนในสินทรัพย์นอกตลาด (Private Asset) กำลังเป็นที่พูดถึงว่าจะสามารถสร้างผลตอบแทนที่น่าสนใจให้พอร์ตการลงทุนได้ ซึ่งการลงทุนในสินทรัพย์นอกตลาดอาจมีข้อจำกัดอยู่บ้าง เช่น เรื่องระยะเวลาที่นักลงทุนจะถูกล็อคเงินลงทุน (Lock-up Period) ทำให้ต้องถือครองสินทรัพย์ที่ลงทุนเป็นเวลาหลายปี ไม่สามารถซื้อขายได้ตามต้องการ แต่ในปัจจุบัน มีกองทุนสินทรัพย์นอกตลาดกึ่งสภาพคล่อง หรือ Semi Liquid Private Asset Funds ที่มาช่วยลดข้อจำกัดเรื่องสภาพคล่อง ซึ่งนักลงทุนสามารถถอนเงินลงทุนบางส่วนได้ในช่วงเวลาที่กำหนด ทำให้นักลงทุนสามารถเข้าถึงผลตอบแทนสูงจากสินทรัพย์นอกตลาดได้โดยไม่ติดปัญหาเรื่องสภาพคล่อง

กลยุทธ์จัดพอร์ตลงทุนสินทรัพย์นอกตลาดแบบ Core & Satellite

KBank Private Banking มุ่งพัฒนาและหาโอกาสการลงทุนในสินทรัพย์ทางเลือกอย่างต่อเนื่อง ล่าสุดนำเสนอกลยุทธ์จัดพอร์ตลงทุนสินทรัพย์นอกตลาดในรูปแบบ Core & Satellite เพื่อเพิ่มประสิทธิภาพการลงทุนในสินทรัพย์นอกตลาด กระจายความเสี่ยงและลดความผันผวนของพอร์ต โดยนักลงทุนสามารถวางแผนการจัดพอร์ตตามสไตล์ที่ต้องการได้ โดยมีกองทุนให้เลือกหลากหลาย โดยในสัดส่วนหลักจะแนะนำให้ลงทุนในกองทุนสินทรัพย์นอกตลาดกึ่งสภาพคล่อง (Semi Liquid Private Asset Funds) ที่มาพร้อมเงื่อนไขการลงทุนที่น่าสนใจ อาทิ ลดข้อจำกัดเรื่องสภาพคล่องด้วยระยะเวลาล็อคเงินลงทุนระหว่าง 12-18 เดือน สามารถเข้าลงทุนได้ตั้งแต่วันแรก ไม่ต้องนำเงินลงทุนไปพักคอยก่อน ช่วยเพิ่มประสิทธิภาพให้นักลงทุนมากยิ่งขึ้น นอกจากนี้ นักลงทุนยังสามารถซื้อหน่วยลงทุนได้ทุกเดือน ขายได้ทุกไตรมาส โดย KBank Private Banking ได้จับมือกับพันธมิตรที่เป็นผู้จัดการกองทุนสินทรัพย์นอกตลาดระดับโลก อย่าง EQT Nexus ที่ระดมทุนหุ้นนอกตลาดได้เป็นอันดับ 3 ของโลกและ Apollo ที่มียอดการปล่อยสินเชื่อนอกตลาดเป็นอันดับ 1 ของโลก ส่วนในสัดส่วนเสริม นักลงทุนสามารถเลือกลงทุนในกองทุนหุ้นนอกตลาด ที่บริหารกองทุนโดยหลากหลายผู้จัดการกองทุนที่มีความเชี่ยวชาญในการบริหารจัดการกองทุนโดยเน้นคัดสรรธุรกิจที่มีการเติบโตตามเมกะเทรนด์ และกระจายการลงทุนในบริษัทนอกตลาดทั่วโลก กลยุทธ์การจัดพอร์ตการลงทุนสินทรัพย์นอกตลาดนับเป็นอีกพัฒนาการที่สำคัญของ KBank Private Banking ที่ได้นำเสนอให้กับลูกค้าบุคคลสินทรัพย์สูง ซึ่งเป็นอีกหนึ่งทางเลือกการลงทุนที่เพิ่มโอกาสในการสร้างผลตอบแทนที่ดีท่ามกลางภาวะเศรษฐกิจที่ยังไม่แน่นอน

2 กองทุนสินทรัพย์นอกตลาดกึ่งสภาพคล่องที่น่าจับตา

KBank Private Banking นำเสนอสองกองทุนสินทรัพย์นอกตลาดกึ่งสภาพคล่อง ได้แก่ กองทุนเปิดเค โกลบอลไพรเวทอิควิตี้ (K-GPEQ-UI) ที่บริหารงานโดย EQT Nexus ผู้จัดการกองทุนหุ้นนอกตลาดระดับโลกจากสวีเดนที่เน้นลงทุนในธุรกิจนอกตลาดที่เป็นเมกะเทรนด์ของโลก เช่น การดูแลสุขภาพและเทคโนโลยี นักลงทุนสามารถเริ่มลงทุนครั้งแรกที่จำนวนเงินขั้นต่ำ 500,000 บาท ซื้อหน่วยลงทุนเพิ่มได้ทุกเดือน และขายคืนหน่วยลงทุนได้เป็นรายไตรมาส โดยมีระยะเวลาการล็อคเงินลงทุนเพียง 18 เดือน

นอกจากการลงทุนในหุ้นนนอกตลาดแล้ว แล้วยังมีการลงทุนในรูปแบบของสินเชื่อนอกตลาดซึ่งเป็นการปล่อยกู้โดยตรงให้กับบริษัทเอกชน โดย KBank Private Banking ร่วมกับ Apollo นำเสนอกองทุนเปิดเอ็มเอฟซี ไพรเวท เครดิต โซลูชั่น (MPCREDIT-U1) ที่เน้นลงทุนในบริษัทที่มีความสามารถในการชำระหนี้สูง นักลงทุนสามารถเริ่มต้นขั้นต่ำที่ 500,000 บาท ซื้อหน่วยลงทุนได้ทุกเดือน ขายคืนหน่วยลงทุนได้เป็นรายไตรมาส ด้วยระยะเวลาการล็อคเงินลงทุนเพียง 12 เดือน

การลงทุนในกองทุนสินทรัพย์นอกตลาดกึ่งสภาพคล่องของ KBank Private Banking ถือเป็นการเปิดโอกาสให้ลูกค้าบุคคลสินทรัพย์สูงสามารถเข้าถึงการลงทุนในสินทรัพย์ทางเลือกที่มีประสิทธิภาพมากและมีสภาพคล่องยิ่งขึ้น ทั้งนี้ KBank Private Banking มีทีมงานผู้เชี่ยวชาญที่พร้อมให้คำปรึกษาและแนะนำการลงทุนที่เหมาะสมกับความต้องการของนักลงทุน เพื่อให้สามารถสร้างผลตอบแทนที่ดีและสอดคล้องกับสภาวะเศรษฐกิจที่ไม่แน่นอนในปัจจุบัน  สอบถามข้อมูลเพิ่มเติมโปรดติดต่อ KBank Private Banker ที่ดูแลท่าน หรือโทร 02-8888811 หรือ ข้อมูลเพิ่มเติมบริการของ KBank Private Banking ที่ https://kbank.co/3NrNbw9


หมายเหตุ:

  • กองทุน K-GPEQ-UI สามารถขายหน่วยลงทุนได้รายไตรมาส เมื่อถือครองหน่วยลงทุนดังกล่าวเป็นระยะเวลามากกว่า 18 เดือน นับตั้งแต่เดือนที่บริษัทจัดการทำรายการขายหน่วยลงทุนนั้น
  • กองทุน MPCREDIT-UI สามารถขายหน่วยลงทุนได้รายไตรมาส หลังจากระยะเวลาการล็อกเงินลงทุน 12 เดือน มิเช่นนั้น จะมีค่าปรับ 2%
  • กองทุนรวมที่เสนอขายสําหรับผู้ลงทุนสถาบันและผู้ลงทุนรายใหญ่พิเศษเท่านั้น
  • กองทุนรวมที่มีความเสี่ยงสูงหรือซับซ้อน ผู้ลงทุนโปรดทำความเข้าใจลักษณะสินค้า เงื่อนไข ผลตอบแทน ความเสี่ยง และขอคำแนะนำเพิ่มเติม ก่อนตัดสินใจลงทุน
  • กองทุนมีความเสี่ยงด้านอัตราแลกเปลี่ยน เนื่องจากกองทุนไม่ได้ป้องกันความเสี่ยงจากอัตราแลกเปลี่ยนผู้ลงทุนอาจจะขาดทุนหรือ ได้รับกำไรจากอัตราแลกเปลี่ยน/หรือได้รับเงินคืนต่ำกว่าเงินลงทุนเริ่มแรกได้

KBank Private Banking (เคแบงก์ ไพรเวทแบงกิ้ง) ชี้ภาพรวมเศรษฐกิจปี 2567 ยังเผชิญกับความ ไม่แน่นอนต่อเนื่อง ตลาดลงทุนยังอยู่กับความผันผวน ในขณะเดียวกันสินทรัพย์การลงทุนดั้งเดิมไม่สามารถสร้างผลตอบแทนได้ตามที่นักลงทุนคาดหวัง

จึงเปิดกลยุทธ์สำคัญผ่านการลงทุนในสินทรัพย์นอกตลาดที่ช่วยกระจายความเสี่ยง ลดความผันผวน สร้างเสถียรภาพ เพิ่มโอกาสสร้างผลตอบแทน และโอกาสการลงทุนในธุรกิจชั้นนำแห่งอนาคต จากสถิติผลตอบแทนย้อนหลัง 3-10 ปี พบว่าหุ้นนอกตลาด (Private Equity) ให้ผลตอบแทนเหนือกว่าหุ้นในตลาด (Public Market) ซึ่งตลอด 5 ปีที่ผ่านมา KBank Private Banking ได้นำเสนอผลิตภัณฑ์สินทรัพย์นอกตลาดไปแล้ว 10 กองทุน จากการจับมือกับพันธมิตรชั้นนำระดับโลก และในปีนี้ได้วาง 3 กลยุทธ์หลักสำหรับพอร์ตสินทรัพย์นอกตลาดเพื่อเพิ่มโอกาสสร้างผลตอบแทนให้กับลูกค้าสินทรัพย์สูงของธนาคาร

ดร.ตรีพล ภูมิวสนะ Senior Managing Director, Private Banking Business Head, Private Banking Group ธนาคารกสิกรไทย กล่าวว่า “ภาพรวมตลาดการลงทุนทั่วโลกในปี 2567 ยังคงผันผวน จากความไม่แน่นอนหลายด้าน ไม่ว่าจะเป็น สถานการณ์ภูมิรัฐศาสตร์โลก การเลือกตั้งในหลายประเทศทั่วโลก เช่น รัสเซีย อินเดีย และสหรัฐอเมริกา ที่อาจส่งผลต่อการเปลี่ยนแปลงของกฎเกณฑ์ต่างๆ ไปจนถึงความขัดแย้งที่เกิดขึ้นในฝั่งยุโรป ตะวันออกกลาง และเอเชีย ทำให้การลงทุนในสินทรัพย์ดั้งเดิมต้องเผชิญความท้าทายมากขึ้น เห็นได้จากในปี 2566 ที่ผ่านมา ผลตอบแทนในเกือบทุกสินทรัพย์หลักลดลงแรง เช่น ดัชนี MSCI World ที่ปรับตัวลดลงกว่า 20% แม้หลายฝ่ายมองแนวโน้มว่าตลาดทุนมีโอกาสฟื้นตัวขึ้นในปีนี้ แต่ KBank Private Banking มองว่าความผันผวนยังคงอยู่จากปัจจัยความเสี่ยงที่กล่าวข้างต้น ดังนั้นในฐานะผู้ให้บริการบริหารความมั่งคั่งและผู้เชี่ยวชาญด้านการลงทุนมองว่านักลงทุนจำเป็นต้องปรับกลยุทธ์การลงทุน เพื่อช่วยกระจายความเสี่ยงและลดความผันผวนโดยรวม สร้างเสถียรภาพและเพิ่มความมั่นคงให้กับพอร์ต เพิ่มโอกาสในการสร้างผลตอบแทน และโอกาสลงทุนในบริษัทที่อาจพลิกโฉมธุรกิจและเป็น เมกะเทรนด์ในอนาคต ผ่านการลงทุนในสินทรัพย์นอกตลาด”

ตลอด 5 ปีที่ผ่านมา KBank Private Banking ได้พัฒนาและนำเสนอโอกาสการลงทุนใหม่ๆ เพื่อตอบโจทย์ทุกความต้องการที่แตกต่างของลูกค้า ตามความเสี่ยงที่ยอมรับได้และระยะเวลาการลงทุนเป้าหมาย โดยเฉพาะอย่างยิ่งการลงทุนในสินทรัพย์นอกตลาด โดยได้นำเสนอไปแล้ว 10 กองทุน ประกอบด้วย 6 กองทุนหุ้นนอกตลาด (Private Equity Fund) ทั่วโลก จีน และไทย 3 กองทุนอสังหาริมทรัพย์นอกตลาด (Private Real Estate Fund) ทั่วโลก และไทย และ 1 กองทุนหนี้นอกตลาด (Private Credit Fund) ซึ่งผลการดำเนินงานของกองทุนที่ผ่านมาได้พิสูจน์แล้วว่าสามารถสร้างผลตอบแทนที่เหนือกว่าการลงทุนในสินทรัพย์ดั้งเดิม เช่น กองทุนหุ้นนอกตลาดทั่วโลก (K-GPE19A-UI) ให้ผลตอบแทนตั้งแต่จัดตั้งกองทุนที่ 58.67%1 ในขณะที่ กองทุนหุ้นนอกตลาดไทย (LH-THAIPE1UI) ที่ลงทุนกับนารา ไทย คูซีน (NARA Thai Cuisine) เครือร้านอาหารไทยชั้นนำก็สามารถสร้างผลตอบแทนให้กับกองทุนได้ถึงกว่า 20% 2(ตั้งแต่จัดตั้งกองทุน) ซึ่งเมื่อเทียบกับเครือร้านอาหารไทยที่อยู่ในตลาดหลักทรัพย์ ที่ขาดทุนกว่า 25% 3 ในช่วงเวลาเดียวกัน นอกจากนี้ จากสถิติ ย้อนหลัง 10 ปี 5 ปี และ 3 ปี พบว่าการลงทุนในหุ้นนอกตลาดสามารถให้ผลตอบแทนมากกว่าหุ้นในตลาดได้ถึง +5% +7% และ +9% ตามลำดับ4 

ในปี 2567 KBank Private Banking วางแผนนำเสนอผลิตภัณฑ์การลงทุนในสินทรัพย์นอกตลาดอย่างต่อเนื่อง พร้อมนำเสนอ 3 กลยุทธ์สำคัญในการบริหารจัดการพอร์ตลงทุนในส่วนที่เป็นสินทรัพย์นอกตลาดเพื่อเพิ่มประสิทธิภาพการลงทุนให้ดีขึ้น มีตัวเลือกดีขึ้น และยังช่วยลดข้อจำกัดเรื่องสภาพคล่องจากการลงทุนในกองทุนสินทรัพย์นอกตลาดแบบดั้งเดิม ได้แก่

1) กลยุทธ์การจัดพอร์ตแบบ Core & Satellite ที่จะจัดแบ่งส่วนหลักและส่วนเสริมเพื่อกระจายความเสี่ยง และลดความผันผวนผ่านการลงทุนระยะยาว ขณะเดียวกันยังสามารถเพิ่มโอกาสการสร้างผลตอบแทนจากการจับจังหวะลงทุนตามธีมและเมกะเทรนด์ที่กำลังเติบโตขึ้น โดยสัดส่วนหลักหรือ Core จะคิดเป็น 60-80% ของพอร์ตสินทรัพย์นอกตลาดจะเป็นกองทุนสินทรัพย์นอกตลาดกึ่งสภาพคล่อง ที่ลงทุนเพิ่มได้ทุกเดือน ขายหน่วยลงทุนได้เป็นรายไตรมาส และมีล็อกเงินลงทุนเพียง 12-18 เดือน ซึ่งการได้พาร์ทเนอร์กับผู้จัดการกองทุนระดับโลก อย่าง EQT และ Apollo5 เป็นอีกพัฒนาการสำคัญที่เราได้นำเสนอให้กับลูกค้าส่วนบุคคลลงทุนได้ และผลิตภัณฑ์อย่างกองทุนสินทรัพย์นอกตลาดกึ่งสภาพคล่องก็ถือเป็นวิวัฒนาการสำคัญที่ช่วยให้การลงทุนมีประสิทธิภาพมากขึ้น ในขณะที่สัดส่วนเสริมหรือ Satellite คิดเป็น 20-40% ของพอร์ตสินทรัพย์นอกตลาด จะเป็นกองทุนหุ้นนอกตลาดตามธีมต่างๆ เช่น หุ้นนอกตลาดทั่วโลก หุ้นนอกตลาดจีน หุ้นนอกตลาดไทย หุ้นเทคนอกตลาด หุ้นอสังหาฯ นอกตลาดทั่วโลก หุ้นอสังหานอกตลาดไทย รวมถึงหนี้นอกตลาด เป็นต้น

2) ออกแบบพอร์ตการลงทุนที่สร้างให้เฉพาะคุณ (Tailor-made Portfolio Management) โดยสามารถบริหารสัดส่วนพอร์ตลงทุนตามเป้าหมายของแต่ละบุคคลได้อย่างยืดหยุ่น เช่น เมื่อนักลงทุนต้องการสภาพคล่องสูง สามารถเลือกลงทุนในกองทุนสินทรัพย์นอกตลาดกึ่งสภาพคล่องได้ทั้ง 100%

3) การเดินหน้าผนึกกำลังกับพันธมิตรระดับโลกที่ดีที่สุดอย่างไม่หยุดยั้ง (Partner with the Best) เพื่อพัฒนาการนำเสนอผลิตภัณฑ์ และบริการมาตรฐานระดับโลกให้แก่นักลงทุนไทย ล่าสุดได้ร่วมมือกับบริษัทบริหารสินทรัพย์นอกตลาด ชั้นนำอย่าง EQT ซึ่งในช่วง 5 ปีที่ผ่านมา สามารถระดมทุนการลงทุนในสินทรัพย์นอกตลาด ได้มากเป็นอันดับ 3 ของโลก จากยอดระดมทุนมูลค่าหนึ่งแสนสองพันล้านเหรียญสหรัฐฯ6 ในขณะที่ Apollo ที่เป็นบริษัทชั้นนำด้านการจัดการสินทรัพย์ทางเลือกที่มียอดการปล่อยสินเชื่อนอกตลาดเป็นอันดับ 1 ของโลก ซึ่งมีมูลค่ารวมสี่แสนหกหมื่นล้านเหรียญสหรัฐฯ7 นอกจากนี้ยังมีแผนที่จะร่วมมือกับ Goldman Sachs เพื่อร่วมสร้าง Ecosystem การลงทุนในสินทรัพย์นอกตลาดที่แข็งแกร่งอย่างต่อเนื่อง

“ท่ามกลางความผันผวนสูงที่เกิดขึ้นในตลาดทุนทั่วโลก ทำให้โอกาสการลงทุนในสินทรัพย์ทางเลือก อย่าง สินทรัพย์นอกตลาดน่าสนใจยิ่งขึ้น เพราะไม่ว่าจะกองทุนหุ้นนอกตลาด กองทุนอสังหาริมทรัพย์นอกตลาด และกองทุนอื่นๆ KBank Private Banking ได้ร่วมมือกับพันธมิตรระดับโลกในการคัดสรรบริษัทที่มีศักยภาพ และธุรกิจมีแนวโน้มการเติบโตที่ดี เพื่อเป็นทางเลือกในการลงทุน และช่วยให้นักลงทุนสามารถจัดพอร์ตการลงทุนที่เพิ่มโอกาสในการสร้างผลตอบแทนได้ในทุกภาวะเศรษฐกิจ” ดร.ตรีพล กล่าวปิดท้าย

พร้อมชี้โอกาสของนักลงทุนจากการเปลี่ยนแปลง จากงาน ‘RETHINK SUSTAINABILITY: A Call to Action for Thailand’ โดยธนาคารกสิกรไทย เคแบงก์ ไพรเวทแบงก์กิ้ง ร่วมกับลอมบาร์ด โอเดียร์

Page 1 of 4
X

Right Click

No right click