ไมโครซอฟท์ ประเทศไทย ชู 3 องค์กรชั้นนำของไทย ได้แก่ กลุ่มเอสซีบีเอกซ์ (SCBX) เอสซีจี เคมิคอลส์ (SCGC) และสำนักงานคณะกรรมการกฤษฎีกา (OCS) ในฐานะ “Frontier Firms” ผู้นำด้านนวัตกรรมที่นำ AI มาทำงานผสานกับมนุษย์อย่างลงตัว พร้อมเผยข้อมูลเพิ่มเติมจากรายงานวิจัย Work Trend Index ประจำปี 2025 ที่ตอกย้ำถึงทิศทางการปรับเปลี่ยนองค์กรในยุค AI สู่มุมมองและโครงสร้างรูปแบบใหม่ที่เพิ่มความยืดหยุ่นในหลายมิติ

ข้อมูลเพิ่มเติมจากรายงาน Work Trend Index ของไมโครซอฟท์ เผยให้เห็นถึงความท้าทายที่คนทำงานในปัจจุบันต้องเผชิญ ต่อยอดจากข้อมูลชุดเดิมที่ชี้ว่า 88% ของพนักงานไทยไม่มีแรงและเวลาเพียงพอที่จะรับมือกับงานในมือ โดยสถิติการใช้งานเครื่องมือและบริการต่างๆ บนแพลตฟอร์ม Microsoft 365 ระบุว่าคนทำงานทั่วโลกจะได้รับข้อความแจ้งเตือนเรื่องต่างๆ ทุก 2 นาทีโดยเฉลี่ย หรือคิดเป็น 275 ครั้งในแต่ละวัน ซึ่งการแจ้งเตือนดังกล่าว อาจมาจากทั้งอีเมล ข้อความแชท หรือตารางนัดประชุม นอกจากนี้ ราวครึ่งหนึ่งของการประชุมในแต่ละวันจะเกิดขึ้นในช่วงเวลา 09.00-11.00 น. และ 13.00-15.00 น. ซึ่งมักเป็นช่วงเวลาที่มีประสิทธิภาพที่สุดในการทำงานแต่ละวัน

ธนวัฒน์ สุธรรมพันธุ์ กรรมการผู้จัดการใหญ่ ไมโครซอฟท์ ประเทศไทย กล่าวว่า “ผู้บริหารส่วนใหญ่ต้องการขับเคลื่อนองค์กรให้เติบโตอย่างต่อเนื่อง แต่คนทำงานมีแรงและเวลาที่จำกัด ระบบ AI หรือ Agentic AI ที่สามารถทำงานได้แบบอัตโนมัติจึงเป็นทรัพยากรที่มีค่ามหาศาล พร้อมให้องค์กรนำไปปรับใช้ในรูปแบบที่เหมาะสม การสร้างทีมแบบไฮบริดที่มีพนักงานเป็นผู้บริหาร AI จึงเป็นคำตอบที่องค์กรจำนวนมากเลือก นับตั้งแต่ระยะสั้น ที่องค์กรในไทยราว 68% ได้นำ AI เข้ามาเปลี่ยนระบบงานบางส่วนให้กลายเป็นระบบอัตโนมัติแล้ว ไปจนถึงระยะยาว ที่เราอาจได้เห็นโครงสร้าง องค์กร และเส้นทางในอาชีพการงานเปลี่ยนแปลงไป เมื่อ 83% ของผู้บริหารมองว่าพนักงานรุ่นใหม่จะมีโอกาสได้ทำงานเชิงกลยุทธ์และการวางแผนเร็วขึ้นหากมี AI เข้ามาแบ่งเบาภาระ”

ทีมวิจัยของไมโครซอฟท์ได้แนะแนวทางสำหรับองค์กรที่ต้องการปรับทิศทางเพื่อมุ่งสู่สถานะ Frontier Firm ไว้ดังนี้

1. ใช้กฎ 80/20 แบ่งงานให้ AI: จากกฎที่ว่า 80% ของผลลัพธ์ที่เกิดขึ้น มาจากตัวแปรหรือเนื้องานเพียง 20% องค์กรในกลุ่ม Frontier Firm จึงอาจยกเนื้องานอีก 80% ที่สร้างผลลัพธ์ได้เพียง 20% นี้ไปให้ AI และระบบอัตโนมัติต่างๆ รับมือแทน

2. ปรับมุมมองสู่ผังเนื้องาน: เมื่อ AI สามารถทำงานได้โดยไม่จำกัดความรู้ความสามารถอยู่ในแผนกหรือด้านใดด้านหนึ่ง เส้นทางการติดต่อประสานงานต่างๆ จึงอาจเปลี่ยนไปในรูปแบบที่มีประสิทธิภาพมากขึ้น ลดรอยต่อระหว่างแผนกลง เสริมความคล่องตัวให้องค์กรอีกระดับ

3. บริหาร AI ให้เหมือนบริหารพนักงาน: AI ที่สามารถทำงานได้โดยอัตโนมัติ สามารถเรียนรู้ ยกระดับความสามารถ เสนอความคิดเห็น และเข้ารับการประเมินผลงานได้เช่นเดียวกับพนักงานที่เป็นมนุษย์ โดยอาจเริ่มจากการปรับคำสั่งพื้นฐาน เพิ่มชุดข้อมูลที่ AI สามารถเข้าถึงได้ หรือแม้แต่การแลกเปลี่ยนความเห็นกับ AI โดยตรง ซึ่งจะเป็นรูปแบบการทำงานในอนาคตที่มนุษย์และ AI Agent ทำงานร่วมกันเป็นทีม เพื่อเพิ่มประสิทธิภาพและการเติบโตอย่างต่อเนื่อง

3 องค์กรไทยระดับ “Frontier Firm” กับการผนึก AI เข้าสู่หัวใจองค์กร

ในโอกาสนี้ ไมโครซอฟท์ ประเทศไทย ได้เชิญ 3 องค์กรระดับแถวหน้าของไทย ได้แก่ กลุ่มเอสซีบีเอกซ์ เอสซีจี เคมิคอลส์ และ สำนักงานคณะกรรมการกฤษฎีกา มาแลกเปลี่ยนมุมมองและประสบการณ์ในการนำ AI เข้ามาเป็นหัวใจสำคัญของทีมงาน ระบบงาน และพันธกิจของแต่ละองค์กร

ทาง SCBX ได้สานต่อเป้าหมายขององค์กรในการก้าวสู่ความเป็น AI-first organization ด้วยการสนับสนุนให้พนักงานในทุกแผนก ทุกสายงาน ได้มีโอกาสนำ AI มาประยุกต์ใช้ในรูปแบบที่ตอบโจทย์ของตนเอง ยกระดับประสิทธิภาพการทำงาน และเปิดประตูสู่ความเป็นไปได้ใหม่ๆ ไปพร้อมกัน

ลลินทิพย์ เยี่ยมพลพัฒน์ Head of Financial Planning and Data Intelligence บริษัท เอสซีบี เอกซ์ จำกัด (มหาชน) เผยว่า “เราส่งเสริมการใช้ AI ให้พนักงานมีเครื่องมือที่ช่วยเพิ่มประสิทธิภาพในการทำงาน ในขณะเดียวกันยังสนับสนุนให้เกิดการต่อยอดและขยายขีดความสามารถของฟังก์ชันงานที่เรามีอยู่เดิม ให้มีประสิทธิภาพ ละเอียด และครอบคลุมมากยิ่งขึ้นด้วย AI ซึ่งออกแบบและพัฒนาโดยบุคลากรภายในองค์กรของเราเอง แสดงให้เห็นว่าพนักงานทุกคนและทุกฝ่ายสามารถมีส่วนพัฒนาการใช้ AI ในองค์กรโดยไม่จำเป็นต้องเป็นผู้เชี่ยวชาญด้านไอที ตัวอย่างเช่น ระบบวิเคราะห์และปรับปรุงวิธีการสื่อสารกับลูกค้าของพนักงานสาขาในกลุ่มธุรกิจสินเชื่อทะเบียนรถ เพื่อยกระดับมาตรฐานการบริการและความถูกต้องของข้อมูล”

สำหรับ SCGC ผู้นำนวัตกรรมพอลิเมอร์และโซลูชันครบวงจรเพื่อความยั่งยืน ได้ส่งเสริมให้พนักงานนำ AI มาใช้ในการทำงานทุกวัน เป็น AI Everyday เพื่อเพิ่มประสิทธิภาพ ความแม่นยำ และความคล่องตัวในกระบวนการทำงานทั่วทั้งองค์กร ซึ่งนับเป็นก้าวสำคัญที่จะช่วยขับเคลื่อนนวัตกรรมและเทคโนโลยี สร้างการเติบโตขององค์กรอย่างยั่งยืน

สัญญา จินดาประเสริฐ Enterprise Digital Director บริษัท เอสซีจี เคมิคอลส์ จำกัด (มหาชน) หรือ SCGC กล่าวเพิ่มเติมว่า “SCGC เลือกใช้เทคโนโลยี Azure OpenAI Service, Power Platform และ AI Hub เพื่อขับเคลื่อนการพัฒนา AI ในองค์กร โดยเฉพาะกับการประมวลผลข้อมูลด้าน Market Intelligence และได้ต่อยอดนำ Microsoft Azure OpenAI Service มาพัฒนาโครงการ “AILY” เพื่อส่งเสริมการเรียนรู้และการใช้งาน AI ในองค์กรอย่างทั่วถึง ช่วยลดภาระงานและเพิ่มความคล่องตัวในการทำงาน โดยพนักงานทุกคนสามารถใช้งาน AI กับข้อมูลภายในได้อย่างปลอดภัย นับเป็นการเปลี่ยนแปลงวิธีการทำงานทั่วทั้งองค์กรอย่างมีนัยสำคัญ และนำไปสู่การตัดสินใจทางธุรกิจที่มีประสิทธิภาพยิ่งขึ้น”

สำนักงานคณะกรรมการกฤษฎีกา ได้พัฒนาโปรเจกต์ AI ภายใต้ชื่อ “TH2OECD” สานต่อภารกิจของประเทศไทยในการเข้าร่วมเป็นสมาชิกองค์การเพื่อความร่วมมือทางเศรษฐกิจและการพัฒนา (OECD) ควบคู่ไปกับการยกระดับระบบบริหารจัดการเอกสารทางกฎหมายต่างๆ ให้อยู่ในรูปแบบข้อมูลที่สามารถสืบค้น อ้างอิง และใช้งานต่อได้อย่างรวดเร็ว แม่นยำยิ่งขึ้น

ดร.ณรัณ โพธิ์พัฒนชัย ผู้อำนวยการฝ่ายวิเคราะห์ผลกระทบและประเมินผลสัมฤทธิ์ของกฎหมาย กองพัฒนากฎหมาย สำนักงานคณะกรรมการกฤษฎีกา เผยว่า “AI มีส่วนช่วยให้เราก้าวข้ามความท้าทายในด้านข้อมูลในหลายมิติ ไม่ว่าจะเป็นเรื่องของภาษากฎหมายที่ซับซ้อน การเปรียบเทียบและตีความกฎหมายระหว่างภาษาไทยและภาษาอังกฤษให้อยู่ในมาตรฐานและความเข้าใจที่ถูกต้องและตรงกัน เปิดโอกาสให้เราวิเคราะห์ความสอดคล้องระหว่างกฎหมาย นโยบาย และแนวปฏิบัติของประเทศไทยให้กับตราสารทางกฎหมาย คำแนะนำ และมาตรฐานที่ OECD กำหนดไว้ และในขณะเดียวกัน AI ยังช่วยให้นักกฎหมายของเราทำงานได้เร็วขึ้นในการค้นหาข้อมูลกฎหมายจากฐานข้อมูล การสรุปและกำหนดแนวทางการทำงาน รวมทั้งการพัฒนานโยบายและหลักกฎหมายให้เข้ากับบริบทปัจจุบันของสังคม” สำหรับชุดข้อมูลเพิ่มเติมฉบับเต็มจากรายงาน Work Trend Index 2025 สามารถอ่านรายงานสรุปได้ ที่นี่ หรือย้อนไปอ่านข้อมูลจากรายงานฉบับหลักที่สรุปสถานการณ์และแนวโน้มการสรรสร้าง Frontier Firms ในประเทศไทยได้ ที่นี่

ในยุคที่เทคโนโลยีและนวัตกรรมกำลังเปลี่ยนแปลงโลกอย่างรวดเร็ว ปัญญาประดิษฐ์ (AI) ได้เข้ามามีบทบาทในฐานะเครื่องมือที่ช่วยเสริมพลังให้มนุษย์สามารถสร้างสรรค์สิ่งใหม่ๆ ได้อย่างไร้ขีดจำกัด หากเราสามารถนำ AI มาใช้งานได้อย่างมีประสิทธิภาพ ย่อมเปิดประตูสู่โอกาสใหม่ๆ ให้กับชีวิต ไมโครซอฟท์ ประเทศไทย มุ่งมั่นเสริมสร้างทักษะ AI ให้กับคนไทยผ่านโครงการ “THAI Academy: ขับเคลื่อนอนาคต AI ประเทศไทย” ขอแบ่งปันเรื่องราวความสำเร็จของคนไทยที่ใช้ AI เป็นขุมพลังอันชาญฉลาดขับเคลื่อนให้เกิดการเปลี่ยนแปลงในมิติต่างๆ ได้อย่างที่ใครหลายคนอาจไม่เคยทราบมาก่อน

เปลี่ยนวิกฤตเป็นโอกาสด้วย AI

คุณวิวัฒน์ สาทรสวัสดิ์ หรือ คุณเบนซ์ ช่างภาพฟรีแลนซ์ที่ได้รับผลกระทบอย่างหนักจากวิกฤตโควิด-19 เมื่อปี 2562 เป็นหนึ่งในหลายๆ คนที่ตัดสินใจมองหาโอกาสใหม่ผ่านการเรียนรู้ทักษะด้านไอที “ผมเริ่มต้นเรียนรู้จาก Microsoft Learn ซึ่งเป็นแพลตฟอร์มการเรียนรู้ออนไลน์ฟรีของไมโครซอฟท์ ผมตั้งใจเรียนทุกบทเรียนเหมือนกับว่าอนาคตของผมขึ้นอยู่กับมัน AI ไม่ใช่เครื่องมือที่จะมาแทนแรงงานมนุษย์ แต่เป็นคู่หูที่ช่วยเราทำงานได้เร็วขึ้น เติบโตได้ชัดเจนขึ้น และเปลี่ยนแปลงชีวิตได้อย่างแท้จริง"

จากการศึกษาด้วยตนเองและความมุ่งมั่นไม่หยุดพัฒนา ภายในเวลาเพียง 5 ปี คุณเบนซ์กลายมาเป็นผู้เชี่ยวชาญด้านไอที มีรายได้เพิ่มขึ้นถึง 5 เท่า และยังมีโครงการสร้าง Startup ในอุตสาหกรรมสัตว์เลี้ยงอีกด้วย

ผสานวัฒนธรรมดั้งเดิมกับเทคโนโลยีล้ำสมัย

ที่ชุมชนบ้านตำนานดิน อำเภออู่ทอง จังหวัดสุพรรณบุรี คุณธนกฤต วงษ์ศา ผู้นำชุมชนไทยทรงดำ (หรือลาวซ่ง) และ คุณขวัญ บุตรสาว ได้นำ AI มาช่วยอนุรักษ์และส่งเสริมวัฒนธรรมอันเก่าแก่กว่า 200 ปีของชุมชน ไม่ว่าจะเป็นการแปลภาษา จัดทำเนื้อหาประชาสัมพันธ์ และหาข้อมูลในการพัฒนาผลิตภัณฑ์ชุมชน ทำให้สามารถติดต่อสื่อสารกับนักท่องเที่ยวทั้งในและต่างประเทศได้อย่างมีประสิทธิภาพ

 

คุณธนกฤต เล่าว่า “ก่อนที่เราจะรู้จัก AI ต้องรอให้ลูกสาวกลับมาจากที่เรียนในวันหยุดเพื่อช่วยสื่อสารกับนักท่องเที่ยวต่างชาติ และหลายๆ ครั้งหากเจอนักท่องเที่ยวพูดภาษาจีน ญี่ปุ่น หรือเยอรมัน พวกเราก็ยังติดขัดอยู่ดี”

ขณะที่ คุณขวัญ กล่าวเสริมว่า “ทุกวันนี้ AI ไม่ได้เป็นเพียงเครื่องมือ แต่มันคือสะพานที่เชื่อมโยงจินตนาการและความคิดสร้างสรรค์ของคน AI ถ่ายทอดเรื่องที่เป็นภูมิปัญญาท้องถิ่น และประเพณีต่างๆ ให้น่าสนใจ มีชีวิตและมีความหมายใหม่แก่ทุกคน"

ความสำเร็จของชุมชนบ้านตำนานดินยังสอดคล้องกับโครงการพัฒนาทักษะ AI เพื่ออุตสาหกรรมการท่องเที่ยว ภายใต้โครงการ AI Skills for Tourism ที่ไมโครซอฟท์ร่วมมือกับสถาบันคีนันแห่งเอเซีย โดยจัดกิจกรรมนำร่องในพื้นที่ตำบลอู่ทอง อำเภออู่ทอง จังหวัดสุพรรณบุรี เพื่อสนับสนุนผู้ประกอบการวิสาหกิจชุมชนในภาคการท่องเที่ยว

ปฏิวัติการเรียนรู้ด้วย AI ในห้องเรียน

ที่โรงเรียนศรีสุวิช จังหวัดชลบุรี คุณครูวรรณวิสา หอมสุวรรณ หรือ ครูวิว ได้นำ Microsoft Copilot มาปฏิวัติการสอนคณิตศาสตร์ เปลี่ยนวิชาที่หลายคนมองว่ายากให้มีชีวิตชีวาและเข้าใจง่าย ช่วยให้นักเรียนสามารถเห็นภาพแนวคิดทางคณิตศาสตร์ที่เป็นรูปธรรม ทำให้เข้าใจและเรียนรู้ได้เร็วขึ้น สามารถวิเคราะห์และแก้ปัญหาทางคณิตศาสตร์ได้อย่างถูกต้องและมีประสิทธิภาพมากขึ้น

ครูวิว กล่าวว่า “นักเรียนที่ทำโจทย์คณิตศาสตร์ไม่ค่อยได้ ไม่ใช่ว่าเขาไม่เก่ง แต่เป็นเพราะพวกเขาไม่สามารถจินตนาการภาพได้”

 

ทางด้านผู้อำนวยการโรงเรียน ดร. ประถมาภรณ์ ฟักฤกษ์ เสริมว่า “ที่โรงเรียนศรีสุวิช เราเชื่อว่าการผสานรวม AI ในการศึกษาไม่ใช่แค่เรื่องเทคโนโลยี แต่เป็นการสร้างความหวังและสร้างอนาคตที่สดใส ช่วยให้เราสามารถปรับการเรียนรู้ให้เข้ากับสถานการณ์และความเหมาะสม”

ความสำเร็จนี้สอดคล้องกับความร่วมมือระหว่างไมโครซอฟท์กับกระทรวงศึกษาธิการภายใต้โครงการ THAI Academy ที่มุ่งพัฒนาทักษะ AI แก่บุคลากรครู เพื่อถ่ายทอดความรู้ต่อไปยังนักเรียนในทุกระดับชั้นทั่วประเทศ นอกจากนี้ ยังมีการร่วมมือกับสถาบันส่งเสริมการสอนวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยี (สสวท.) และศูนย์เทคโนโลยีอิเล็กทรอนิกส์และคอมพิวเตอร์แห่งชาติ (เนคเทค) บรรจุเนื้อหาจากหลักสูตรพื้นฐานด้าน AI ของไมโครซอฟท์ไว้ในหลักสูตร AI Literacy สำหรับนักเรียนระดับชั้นประถมศึกษาปีที่ 4 ถึงมัธยมศึกษาปีที่ 6

พลิกโฉมอุตสาหกรรมเกษตรไทยด้วย AI

สำหรับธุรกิจส่งออกมะพร้าวน้ำหอมรายใหญ่ของไทยอย่าง K-Fresh ก็ได้นำ AI มาปฏิวัติธุรกิจ ทั้งการควบคุมคุณภาพ วิเคราะห์ความสด ขนาด และปริมาณน้ำตาลของผลไม้แบบแม่นยำ รวมถึงทำนายแนวโน้มตลาดเพื่อปรับแผนการผลิตและจัดส่งล่วงหน้า นอกจากนี้ยังใช้ AI ในการบริหารความสัมพันธ์กับลูกค้า วิเคราะห์พฤติกรรมผู้ซื้อ และปรับเปลี่ยนข้อเสนอให้เหมาะสม

 

คุณวราภรณ์ มนัสรังษี กรรมการผู้จัดการของ K-Fresh มองว่า AI ไม่ได้เป็นเพียงเทคโนโลยี แต่เป็นเพื่อนคู่คิดคนสำคัญที่ช่วยให้เธอสามารถตัดสินใจอย่างแม่นยำ และนำไปใช้ในชีวิตส่วนตัวด้วย เช่น งานประดิษฐ์ ออกแบบภาพประกอบหนังสือนิทาน และวิเคราะห์การลงทุน “ก่อนหน้านี้ เราเผชิญกับความผันผวนของตลาด ปัญหาห่วงโซ่อุปทาน และความจำเป็นในการควบคุมคุณภาพแบบเรียลไทม์ วิธีการแบบเดิมไม่สามารถตอบสนองต่อความต้องการที่สูงขึ้นของผู้ซื้อจากต่างประเทศได้”

ความสำเร็จของ K-Fresh สะท้อนให้เห็นถึงความสำคัญของโครงการ THAI Academy ที่ไมโครซอฟท์ร่วมมือกับหน่วยงานต่างๆ เช่น สภาดิจิทัลเพื่อเศรษฐกิจและสังคมแห่งประเทศไทย (DCT) สภาอุตสาหกรรมแห่งประเทศไทย (ส.อ.ท.) และสำนักงานส่งเสริมวิสาหกิจขนาดกลางและขนาดย่อม (สสว.) เพื่อขับเคลื่อนการเพิ่มขีดความสามารถของผู้ประกอบการเอสเอ็มอีไทยกว่า 20,000 คน

ยกระดับการท่องเที่ยวอย่างยั่งยืนด้วย AI

คุณดรุณี วิริยะเอี่ยมพิกุล เจ้าหน้าที่พัฒนาพื้นที่พิเศษ องค์การบริหารการพัฒนาพื้นที่พิเศษเพื่อการท่องเที่ยวอย่างยั่งยืน (อพท.) สำนักงานพื้นที่พิเศษเพื่อการท่องเที่ยวอย่างยั่งยืนเมืองโบราณอู่ทอง ได้นำ Microsoft Copilot มาช่วยเพิ่มประสิทธิภาพการทำงานในโครงการพัฒนาการท่องเที่ยวอย่างยั่งยืน ตั้งแต่การนำเสนอโครงการปรับปรุงภูมิทัศน์โซล่าฟาร์ม ไปจนถึงการก่อสร้างศูนย์การเรียนรู้การจัดการพลังงานทดแทนที่พุทธมณฑลประจำจังหวัดสุพรรณบุรี โดยสามารถสร้างภาพเสมือนความสำเร็จตามจินตนาการก่อนที่จะเกิดขึ้นจริง ทำให้ผู้ตัดสินใจเห็นผลกระทบได้อย่างชัดเจน

คุณดรุณี เปิดเผยว่า “เราให้เอไอช่วยจัดการงานประจำที่จำเจ เพื่อให้เราสามารถมุ่งเน้นไปที่ความคิดสร้างสรรค์และเพลิดเพลินกับชีวิตได้อย่างแท้จริง"

ทางด้าน ดร.ชูวิทย์ มิตรชอบ รองผู้อำนวยการ อพท. กล่าวเสริมว่า “การท่องเที่ยวอย่างยั่งยืนไม่ได้หมายความถึงการดึงดูดนักท่องเที่ยวให้มาเยือนสถานที่ใดสถานที่หนึ่งเท่านั้น แต่ยังรวมถึงการสร้างความมั่นใจว่าชุมชนท้องถิ่นจะเจริญรุ่งเรืองไปพร้อมๆ กันด้วย ที่ อพท. เราเห็นว่า Microsoft Copilot เป็นสะพานเชื่อมระหว่างการท่องเที่ยว ผู้คน และนวัตกรรม”

ทั้งนี้ คุณดรุณีเป็นหนึ่งในข้าราชการ 120,000 คนที่เข้าร่วมโครงการพัฒนาทักษะ AI ของไมโครซอฟท์ ซึ่งเป็นส่วนหนึ่งของโครงการ THAI Academy ที่ร่วมมือกับสำนักงานคณะกรรมการพัฒนาระบบราชการ (กพร.) และสำนักงานพัฒนารัฐบาลดิจิทัล (องค์การมหาชน) (สพร. / DGA) เพื่อพัฒนาทักษะด้าน AI ให้กับข้าราชการไทย

THAI Academy: ขับเคลื่อนอนาคต AI ประเทศไทย โครงการ "THAI Academy" เป็นส่วนหนึ่งของความร่วมมือระหว่างรัฐบาลไทยกับไมโครซอฟท์ ประเทศไทย ที่มุ่งเปิดโอกาสให้คนไทยทุกคน ในทุกสาขาอาชีพและทุกระดับทักษะ ได้มีโอกาสเรียนรู้ทักษะสำคัญใหม่ๆ ในยุคที่สังคมโลกและเศรษฐกิจไทยต่างมีนวัตกรรม AI เป็นแรงขับเคลื่อนสำคัญ โดยโครงการนี้มีเป้าหมายยกระดับทักษะ AI ให้คนไทยกว่า 1 ล้านคน ภายในปี 2568 โดยร่วมมือกับพันธมิตรกว่า 35 องค์กรจากทั้งภาครัฐ ภาคเอกชน และภาคประชาสังคม ครอบคลุม 4 ด้านหลัก ได้แก่ การขับเคลื่อนหน่วยงานภาครัฐ การพัฒนาภาคการศึกษา การเสริมพลังผู้ประกอบการ และการสร้างโอกาสการเรียนรู้อย่างทั่วถึง

เรื่องราวความสำเร็จของคนไทยจากหลากหลายภาคส่วนตอกย้ำว่า AI คือกุญแจสำคัญที่จะช่วยปลดล็อกศักยภาพของผู้คนและสร้างสรรค์สิ่งใหม่ๆ ได้อย่างไม่มีขีดจำกัด โดยโครงการ THAI Academy เป็นบทพิสูจน์ความมุ่งมั่นของไมโครซอฟท์ที่จะสร้างโอกาสให้คนไทยทุกคนได้เข้าถึงและใช้ประโยชน์จากเทคโนโลยี AI เพื่อยกระดับคุณภาพชีวิตและขับเคลื่อนประเทศไทยสู่อนาคตที่ยั่งยืน

ผู้ที่สนใจเสริมทักษะด้าน AI สามารถเข้าไปเรียนรู้ได้ด้วยตนเอง ผ่านแพลตฟอร์ม AI Skills Navigator ที่รวบรวมหลักสูตรและเนื้อหาด้าน AI เป็นภาษาไทยกว่า 200 หลักสูตร ตั้งแต่ระดับพื้นฐานจนถึงระดับสูง เปิดให้เรียนทีhttps://aiskillsnavigator.microsoft.com/th-th

Tact ที่ปรึกษาด้านกลยุทธ์ความยั่งยืนและโซลูชัน ESG นำเทคโนโลยี AI ขับเคลื่อนการจัดการข้อมูลด้านความยั่งยืน ด้วย Microsoft Cloud for Sustainability เพื่อช่วยองค์กรไทยเพิ่มขีดความสามารถในการแข่งขัน ภายใต้กติกาการค้าของโลกที่เปลี่ยนแปลงไป ผ่านระบบการจัดเก็บและบริหารจัดการข้อมูลด้านความยั่งยืน เพื่อขับเคลื่อนธุรกิจให้บรรลุทั้งเป้าหมาย Net Zero และเป้าหมายความยั่งยืนในมิติต่าง ๆ

Tact นำความเชี่ยวชาญด้านการบริหารธุรกิจอย่างยั่งยืน ผสานกับศักยภาพของ AI จากไมโครซอฟท์เพื่อช่วยองค์กรในส่วนของ Data Automation เพื่อลดความผิดพลาดจาก Human Error ทำให้การรายงาน ESG เป็นไปอย่างอัตโนมัติให้สอดคล้องกับมาตรฐานสากลที่ต้องการ เพื่อลดภาระงานและความซับซ้อนของการจัดการข้อมูล และ Analytic ที่จะช่วยเพิ่มประสิทธิภาพด้านการวิเคราะห์ข้อมูล AI จะช่วยตรวจสอบแนวโน้ม และวิเคราะห์ผลกระทบที่อาจเกิดขึ้นเพื่อช่วยให้ผู้บริหารตัดสินใจได้อย่างแม่นยำยิ่งขึ้น

นายชยุตม์ สกุลคู Chief Executive Officer ของ Tact กล่าวว่า "นับเป็นก้าวแรกที่เรานำ เทคโนโลยี AI จากไมโครซอฟท์ เข้ามาพลิกโฉมการบริหารจัดการ ESG ขององค์กร โดยในประเทศไทย หลายองค์กรเริ่มมีความจำเป็นต้องเปิดเผยและรายงานข้อมูล ESG เพื่อตอบรับกับความคาดหวังของนักลงทุนและคู่ค้า  แต่เนื่องจากเป็นเรื่องใหม่ทำให้หลายแห่งขาดองค์ความรู้และบุคลากรที่มีความเชี่ยวชาญ รวมถึงการจัดการรวบรวมข้อมูลที่มีความซับซ้อน จัดเก็บในลักษณะ Manual หรือบางชุดข้อมูลอาจอยู่นอกเหนือขอบเขตขององค์กร ทั้งหมดนี้คือความท้าทายของการสร้างความโปร่งใสเพื่อตอบรับกับมาตรฐานต่างๆที่มีความจำเป็นขึ้นเรื่อยๆ ในการดำเนินธุรกิจ  การนำ AI เข้ามาใช้ในการบริการจัดการ ESG จึงเป็นแนวทางสำคัญที่จะสามารถปลดล็อกศักยภาพขององค์กร ให้สามารถจัดการกับรูปแบบของข้อมูลที่มีความแตกต่างและกระจัดกระจาย ช่วยองค์กรในวิเคราะห์หา Insight ที่สำคัญ และจัดทำรายงานความยั่งยืนให้เป็นไปตามมาตรฐานสากล 

Tact มุ่งมั่นที่จะผลักดันภาคธุรกิจให้พร้อมต่อการปรับเปลี่ยนองค์กรสู่แนวทางความยั่งยืน และ AI จะเป็นหัวใจสำคัญของอนาคต โดยสอดคล้องกับพันธกิจ Driving Sustainability Transformation ของเรา เพื่อช่วยให้องค์กรทุกขนาดสามารถปรับตัวและสร้างผลกระทบเชิงบวกต่อเศรษฐกิจ สังคม และสิ่งแวดล้อมของประเทศได้อย่างแท้จริง

นายวสุพล ธารกกาญจน์ หัวหน้าฝ่ายปฏิบัติการ ไมโครซอฟท์ ประเทศไทย กล่าวว่า ไมโครซอฟท์เชื่อว่า AI เป็นเครื่องมือที่มีศักยภาพช่วยเร่งให้การดำเนินงานด้านความยั่งยืนทั่วโลกมีประสิทธิภาพมากยิ่งขึ้น เรามุ่งมั่นที่จะส่งมอบบริการโซลูชั่นต่าง ๆ  ควบคู่กับการพัฒนาศักยภาพของบุคลากร และส่งเสริมการกำกับดูแล AI ผ่านการร่วมกับพันธมิตรของเรา ช่วยให้องค์กรธุรกิจต่าง ๆ บรรลุเป้าหมายด้านความยั่งยืนและสร้างอนาคตที่ยั่งยืนร่วมกัน

ปัจจุบันองค์กรชั้นนำทั่วโลกกำลังเผชิญกับแรงกดดันในการบริหาร ESG ให้มีความถูกต้อง โปร่งใส และตรวจสอบได้ Microsoft Cloud for Sustainability ถูกออกแบบมาเพื่อตอบโจทย์ความท้าทายเหล่านี้โดยตรง โดยการนำโซลูชันนี้มาใช้จะช่วยให้องค์กรสามารถยกระดับการบริหาร ESG ได้อย่างเป็นระบบ แม่นยำ และสร้างผลกระทบเชิงบวกในระยะยาว โดย Microsoft Cloud for Sustainability มี Use Case ที่เด่น ๆ ดังนี้

  1. ESG data automation: ข้อมูลด้านสิ่งแวดล้อม สังคม และธรรมาภิบาล (ESG) ที่มีปริมาณมหาศาลและกระจัดกระจายในรูปแบบที่แตกต่างกัน การนำ AI เข้ามาช่วยจัดการข้อมูลขาเข้าจึงเป็นแนวทางสำคัญที่ช่วยลดความซับซ้อนและภาระงานที่ต้องอาศัยความเชี่ยวชาญเฉพาะทางที่มีอยู่อย่างจำกัด โดยเฉพาะกับข้อมูล manual เช่น บิลน้ำมันหรือบิลค่าไฟ ซึ่งสามารถใช้เทคโนโลยี OCR เข้ามาช่วยประมวลผลได้อย่างมีประสิทธิภาพ ด้วยการเชื่อมโยงข้อมูลที่อ่านได้ เข้าสู่ ESG data management platform โดยตรง ทำให้สามารถนำข้อมูลคุณภาพสูงไปใช้งานต่อได้ทันที พร้อมทั้งช่วยเพิ่มความถูกต้องและความสามารถในการติดตามข้อมูล (data traceability) ตลอดจนยกระดับ productivity ของทีมงานโดยรวม
  2. AI-driven analytics: การนำข้อมูล ESG ไปวิเคราะห์และใช้ในเชิงปฏิบัติยังเผชิญกับข้อจำกัด การนำ AI เข้ามาช่วยวิเคราะห์ข้อมูลจึงเป็นเครื่องมือสำคัญที่ช่วยเปลี่ยนวิธีการทำงานในองค์กร เช่น สร้าง Forecasting model เพื่อพยากรณ์ปริมาณการปล่อยก๊าซเรือนกระจกที่จะลดลงจากการทำโปรเจกต์ เพื่อให้เห็นภาพรวมและแนวโน้มในอนาคตก่อนตัดสินใจลงทุน นอกจากนี้ การนำ AI plug-in เข้ามาประยุกต์ใช้ในแดชบอร์ดช่วยให้ผู้ใช้งานที่ไม่ใช่สาย IT สามารถเจาะลึกข้อมูลเชิงลึกได้อย่างอิสระและครบถ้วน ส่งผลให้ได้ insights ที่มีประโยชน์ในการปรับปรุง ESG performance และสนับสนุนการตัดสินใจแบบ data-driven ภายในองค์กรอย่างแท้จริง
  3. ESG Compliance and Benchmarking Insights: ในยุคที่บริษัทต้องเปิดเผยข้อมูล ESG และถูกประเมินโดยมาตรฐานระดับโลก เช่น DJSI ภาพลักษณ์และความน่าเชื่อถือขององค์กรต่อนักลงทุนและผู้มีส่วนได้ส่วนเสียจึงมีความสำคัญสูง การนำ AI เข้ามาช่วยวิเคราะห์ gap analysis เพื่อเปรียบเทียบการดำเนินงานด้าน ESG กับมาตรฐานต่าง ๆ ช่วยระบุช่องว่างและข้อบกพร่องที่ต้องปรับปรุงได้ชัดเจน พร้อมทั้งใช้ AI ทำ benchmarking analysis เปรียบเทียบกับคู่แข่งหรือมาตรฐานอุตสาหกรรมจากข้อมูลสาธารณะ ช่วยให้บริษัททราบตำแหน่งในตลาดและจุดที่ยังขาดตกบกพร่อง ส่งเสริมให้องค์กรพัฒนาการดำเนินงานด้าน ESG อย่างมีประสิทธิภาพและสร้างความน่าเชื่อถือในระยะยาว

ค์กรที่ต้องการเตรียมความพร้อมสำหรับอนาคตของ ESG สามารถเรียนรู้เพิ่มเติมเกี่ยวกับบริการและโซลูชันของ Tact ได้ที่ www.tact.in.th 

ไมโครซอฟท์ เปิดตัวชิปควอนตัมมาโจรานา 1 (Majorana 1) ที่ใช้สถาปัตยกรรม Topological Core ใหม่ล่าสุด เป็นรุ่นแรกของโลก ซึ่งคาดว่าจะนำไปสู่การสร้างควอนตัมคอมพิวเตอร์ที่สามารถแก้ปัญหาเชิงอุตสาหกรรม ที่ซับซ้อนได้จริงในอีกเพียงไม่กี่ปีข้างหน้าเท่านั้น

ชิปดังกล่าวใช้ประโยชน์จากโทโพคอนดักเตอร์ตัวแรกของโลก ซึ่งเป็นวัสดุชนิดใหม่ที่สามารถสังเกตและ ควบคุมอนุภาคมาโจรานา เพื่อสร้างคิวบิตที่เชื่อถือได้และปรับขนาดได้มากขึ้น ซึ่งเป็นส่วนประกอบพื้นฐานของ คอมพิวเตอร์ควอนตัม

ไมโครซอฟท์ อธิบายว่า เช่นเดียวกับที่สารกึ่งตัวนำเป็นรากฐานของสมาร์ทโฟน คอมพิวเตอร์ และอุปกรณ์ อิเล็กทรอนิกส์ ในปัจจุบัน โทโพคอนดักเตอร์และชิปมาโจรานา 1 จะปูทางไปสู่การพัฒนาระบบควอนตัมที่สามารถรองรับคิวบิตได้ถึง หนึ่งล้านหน่วย และแก้ปัญหาที่ซับซ้อนที่สุดทั้งในภาคอุตสาหกรรม และสังคม

เชอแทน นายัค ผู้เชี่ยวชาญทางเทคนิคของไมโครซอฟท์ กล่าวว่า “เราลองถอยกลับมาหนึ่งก้าวเพื่อพิจารณาว่า ‘ถ้าจะสร้างทรานซิสเตอร์สำหรับยุคควอนตัม ทรานซิสเตอร์นั้นควรมีคุณสมบัติอย่างไร’ นั่นคือที่มาของการพัฒนาชิปมาโจรานา 1 การผสมผสานวัสดุคุณภาพสูงและรายละเอียดต่างๆ ทำให้เราสามารถสร้างคิวบิตแบบใหม่และ สถาปัตยกรรมที่ล้ำสมัย”

ไมโครซอฟท์ ระบุว่า สถาปัตยกรรมใหม่นี้ช่วยให้ชิปมาโจรานา 1 สามารถบรรจุคิวบิตได้ถึงหนึ่งล้านหน่วย ในขนาดพื้นที่ เท่ากับฝ่ามือ ซึ่งเป็นก้าวสำคัญที่นำไปสู่การสร้างควอนตัมคอมพิวเตอร์ที่แก้ปัญหาต่างๆ ในชีวิตจริงได้อย่างมีประสิทธิภาพ เช่น การย่อยสลายไมโครพลาสติกให้เป็นสารที่ไม่เป็นอันตราย หรือการพัฒนาวัสดุที่สามารถซ่อมแซมตัวเองได้ สำหรับอุตสาหกรรมก่อสร้าง การผลิต และการแพทย์ เพราะควอนตัมคอมพิวเตอร์ที่มีคิวบิตหนึ่งล้านหน่วย จะสามารถประมวลผลข้อมูลได้มากกว่าคอมพิวเตอร์ทุกเครื่องในโลกรวมกัน

“การพัฒนาควอนตัมคอมพิวเตอร์จะเกิดขึ้นได้จริง ต้องพัฒนาให้ถึงหนึ่งล้านคิวบิตเท่านั้น ไม่เช่นนั้น จะไปต่อไม่ได้ ซึ่งไมโครซอฟท์มีแผนที่จะไปให้ถึงจุดนั้น” นายัค กล่าว

โทโพคอนดักเตอร์ หรือที่ย่อมาจาก topological superconductor เป็นวัสดุพิเศษที่สามารถสร้างสถานะ ของสสารแบบใหม่ที่ไม่ใช่ของแข็ง ของเหลว หรือก๊าซ แต่เป็นสถานะโทโพโลยี วัสดุนี้ถูกนำมาใช้สร้างคิวบิต ที่มีความเสถียร รวดเร็ว ขนาดเล็ก และควบคุมได้แบบดิจิทัล งานวิจัยที่ตีพิมพ์ในวารสาร Nature ฉบับล่าสุด อธิบายถึงวิธีการที่นักวิจัยของ ไมโครซอฟท์ สร้างและวัดคุณสมบัติควอนตัมของคิวบิตโทโพโลยี ซึ่งเป็นก้าวสำคัญสู่การนำไปใช้งานจริง

ความสำเร็จในครั้งนี้เกิดจากการพัฒนาวัสดุใหม่ที่ทำจากอินเดียมอาร์เซไนด์ (Indium arsenide) และอะลูมิเนียม (Aluminum) ซึ่งไมโครซอฟท์ออกแบบและสร้างขึ้นในระดับอะตอม โดยมีเป้าหมายคือการสร้างอนุภาคควอนตัม มาโจรานา และใช้ประโยชน์จากคุณสมบัติพิเศษของสิ่งนี้ในการพัฒนาควอนตัมคอมพิวติ้งไปอีกขั้น

“ความก้าวหน้านี้ต้องอาศัยการพัฒนาโครงสร้างวัสดุแบบใหม่ทั้งหมดที่ประกอบด้วยอินเดียมอาร์เซไนด์ และอะลูมิเนียม ซึ่งไมโครซอฟท์ได้ออกแบบและสร้างขึ้นในระดับอะตอม โดยมีเป้าหมายเพื่อกระตุ้นให้เกิดอนุภาคควอนตัมชนิดใหม่ที่เรียกว่า ‘มาโจราน’ และใช้ประโยชน์จากคุณสมบัติเฉพาะตัวของมันในการก้าวไปสู่ขอบเขตใหม่ของการประมวลผลควอนตัม” ไมโครซอฟท์ กล่าว

แกนโทโพโลยี (Topological Core) หรือแกนการเชื่อมโยงการรับส่งข้อมูลเข้าอุปกรณ์อิเล็กทรอนิกส์ในรูปแบบต่างๆ แกนแรกของโลกที่ขับเคลื่อนมาโจรานา 1 ได้รับการออกแบบให้มีความเสถียรตั้งแต่ต้น ด้วยการผสานความสามารถในการต้านทานข้อผิดพลาดในระดับฮาร์ดแวร์ ทำให้มีเสถียรภาพสูงยิ่งขึ้น

ทั้งนี้ การประยุกต์ใช้ที่สำคัญในเชิงพาณิชย์จำเป็นต้องดำเนินการหลายล้านล้านครั้งบนคิวบิตนับล้าน ซึ่งแทบเป็นไปไม่ได้ด้วยวิธีการปัจจุบันที่ต้องอาศัยการควบคุมแบบแอนะล็อกที่แม่นยำสำหรับคิวบิตแต่ละตัว ด้วยเหตุนี้ทีมไมโครซอฟท์จึงพัฒนาวิธีวัดผลรูปแบบใหม่ที่ช่วยให้สามารถควบคุมคิวบิตแบบดิจิทัลได้ ซึ่งเป็นการปรับเปลี่ยนแนวคิดและลดความซับซ้อนของการประมวลผลควอนตัมอย่างมหาศาล

ความก้าวหน้านี้เป็นเครื่องพิสูจน์ว่าการเลือกพัฒนา “คิวบิตโทโพโลยี” ของไมโครซอฟท์เมื่อหลายปีก่อนเป็นแนวทางที่ถูกต้อง แม้จะเป็นความท้าทายทางวิทยาศาสตร์และวิศวกรรมที่มีความเสี่ยงสูง แต่ผลลัพธ์ที่ได้รับก็คุ้มค่า ปัจจุบัน ไมโครซอฟท์สามารถนำคิวบิตโทโพโลยี จำนวนแปดตัวมาอยู่บนชิปที่ออกแบบมาเพื่อขยายขนาดให้รองรับได้ถึงหนึ่งล้านคิวบิตเลยทีเดียว

“ตั้งแต่แรกเริ่ม เป้าหมายของเราคือการสร้างคอมพิวเตอร์ควอนตัมเพื่อให้เกิดประโยชน์ในเชิงพาณิชย์ ไม่ใช่เพียงเพื่อเป็นผู้นำทางความคิดเท่านั้น เรารู้ว่าต้องการคิวบิตรูปแบบใหม่ และเราต้องขยายขนาดให้ได้” แมทเธียส ทรอยเออร์ ผู้เชี่ยวชาญทางเทคนิคของไมโครซอฟท์ กล่าว

แนวทางนี้จึงนำไปสู่ความร่วมมือกับ สำนักงานโครงการวิจัยขั้นสูงด้านกลาโหม (Defense Advanced Research Projects Agency: DARPA) ซึ่งเป็นหน่วยงานของรัฐบาลกลางสหรัฐฯ ที่ลงทุนในเทคโนโลยีล้ำสมัยเพื่อความมั่นคงของชาติ โดย DARPA ได้ดึงไมโครซอฟท์เข้าร่วมในโครงการที่เข้มข้นนี้ด้วย เพื่อประเมินว่าเทคโนโลยีควอนตัมเชิงนวัตกรรมสามารถสร้างระบบควอนตัมที่มีศักยภาพในเชิงพาณิชย์ได้เร็วกว่าแนวทางทั่วไปหรือไม่

ไมโครซอฟท์เป็นหนึ่งในสองบริษัทที่ได้รับเชิญให้เข้าสู่ โครงการ Underexplored Systems for Utility-Scale Quantum Computing (US2QC) ของ DARPA ในช่วงเฟสสุดท้าย ซึ่งเป็นส่วนหนึ่งของ โครงการ Quantum Benchmarking Initiative ของ DARPA ที่มีเป้าหมายในการพัฒนาคอมพิวเตอร์ควอนตัมระดับยูทิลิตี้ที่ทนทานต่อข้อผิดพลาด หรือคอมพิวเตอร์ที่มีศักยภาพในการประมวลผลสูงกว่าต้นทุนที่ใช้ในการดำเนินการ

 

‘เพียงให้คำตอบกับคุณ’

นอกจากการพัฒนาฮาร์ดแวร์ควอนตัมของตัวเองแล้ว ไมโครซอฟท์ยังได้ร่วมมือกับ ควอนทินิวอัม (Quantinuum) บริษัทควอนตัมคอมพิวติ้งครบวงจรรายใหญ่ที่สุดของโลก และอะตอมคอมพิวติ้ง (Atom Computing) บริษัทเทคโนโลยีชั้นนำ เพื่อสร้างความก้าวหน้าทางวิทยาศาสตร์และวิศวกรรมบนคิวบิตยุคปัจจุบัน รวมถึงการประกาศเกี่ยวกับคอมพิวเตอร์ควอนตัมที่เชื่อถือได้เครื่องแรกของอุตสาหกรรมไปเมื่อปีที่แล้วอีกด้วย

เครื่องมือประเภทนี้เปิดโอกาสสำคัญในการพัฒนาทักษะด้านควอนตัม สร้างแอปพลิเคชันไฮบริด และขับเคลื่อนการค้นพบใหม่ ๆ โดยเฉพาะอย่างยิ่งเมื่อนำ AI มาผสานกับระบบควอนตัมแบบใหม่ที่ใช้คิวบิตที่เชื่อถือได้ในจำนวนมากขึ้น Azure Quantum ในปัจจุบันได้นำเสนอโซลูชันครบวงจร ที่ช่วยให้ลูกค้าใช้ประโยชน์จากแพลตฟอร์ม AI, การประมวลผลสมรรถนะสูง (High Performance Computing: HPC) และควอนตัมบน Azure เพื่อเร่งความก้าวหน้าทางวิทยาศาสตร์

อย่างไรก็ตาม การไปให้ถึงขอบเขตใหม่ของการประมวลผลควอนตัม จำเป็นต้องมีสถาปัตยกรรมที่ได้รับการออกแบบให้สามารถรองรับคิวบิตระดับล้านขึ้นไป และดำเนินการหลายล้านล้านครั้งอย่างรวดเร็วและแม่นยำ ซึ่งการประกาศในวันนี้ของไมโครซอฟท์แสดงให้เห็นว่าเป้าหมายดังกล่าวอาจเกิดขึ้นได้ภายในเวลาเพียงไม่กี่ปี ไม่ใช่หลายทศวรรษตามที่เคยคาดการณ์กันไว้อีกต่อไป" ไมโครซอฟท์ กล่าว

เนื่องจากเครื่องควอนตัมคอมพิวเตอร์ที่มีคิวบิตนับล้าน สามารถแก้ปัญหาบางอย่างที่คอมพิวเตอร์ทั่วไปในปัจจุบันไม่สามารถคำนวณได้อย่างแม่นยำ โดยเฉพาะในด้านเคมี วัสดุศาสตร์ และอุตสาหกรรมอื่นๆ เพราะเครื่องเหล่านี้ใช้หลักกลศาสตร์ควอนตัมในการสร้างแบบจำลองทางคณิตศาสตร์ที่อธิบายพฤติกรรมของธรรมชาติได้อย่างแม่นยำสูง ไม่ว่าจะเป็นปฏิกิริยาเคมี การทำงานร่วมกันของโมเลกุล หรือพลังงานของเอนไซม์

  • กรณีที่พบได้คือ เครื่องควอนตัมคอมพิวเตอร์สามารถช่วยไขปริศนาทางเคมีที่ซับซ้อน เกี่ยวกับสาเหตุที่ทำให้วัสดุเกิดการกัดกร่อนหรือแตกร้าว ความรู้นี้อาจนำไปสู่การพัฒนาวัสดุที่สามารถซ่อมแซมตัวเองได้ เช่น ซ่อมรอยแตกบนสะพาน ชิ้นส่วนเครื่องบิน หน้าจอโทรศัพท์ที่แตก หรือแม้แต่รอยขีดข่วนบนประตูรถยนต์
  • นอกจากนี้ การมีพลาสติกหลากหลายประเภท ทำให้ในปัจจุบันยังไม่สามารถค้นพบตัวเร่งปฏิกิริยา (Catalyst) รูปแบบที่ใช้ได้กับทุกกรณี เพื่อย่อยสลายพลาสติกทั้งหมดได้ ซึ่งเรื่องนี้สำคัญมากโดยเฉพาะในการกำจัดไมโครพลาสติกหรือแก้ปัญหามลพิษคาร์บอน ควอนตัมคอมพิวเตอร์สามารถช่วยคำนวณคุณสมบัติของตัวเร่งปฏิกิริยา (Catalyst) ที่จะย่อยสลายสารมลพิษให้กลายเป็นสิ่งที่มีคุณค่า หรือช่วยพัฒนาวัสดุทางเลือกที่ไม่เป็นพิษตั้งแต่ต้น
  • ตัวเร่งปฏิกิริยาทางชีวภาพชนิดหนึ่ง เช่น เอนไซม์ สามารถนำมาใช้ประโยชน์ในด้านการแพทย์และการเกษตรได้อย่างมีประสิทธิภาพมากขึ้น ด้วยการคำนวณพฤติกรรมของเอนไซม์อย่างแม่นยำ ซึ่งทำได้เฉพาะด้วยควอนตัมคอมพิวเตอร์เท่านั้น สิ่งนี้อาจนำไปสู่การค้นพบครั้งสำคัญที่จะช่วยขจัดปัญหาความหิวโหยของโลก เช่น การเพิ่มความอุดมสมบูรณ์ของดินเพื่อเพิ่มผลผลิต หรือการส่งเสริมการเพาะปลูกอาหารอย่างยั่งยืนในสภาพอากาศที่มีความรุนแรง

สิ่งที่สำคัญที่สุดคือ ควอนตัมคอมพิวเตอร์จะช่วยให้วิศวกร นักวิทยาศาสตร์ บริษัท และอื่น ๆ สามารถออกแบบสิ่งต่าง ๆ ได้อย่างถูกต้องตั้งแต่ครั้งแรก ซึ่งจะสร้างการเปลี่ยนแปลงครั้งใหญ่ในทุกวงการ ตั้งแต่การดูแลสุขภาพไปจนถึงการพัฒนาผลิตภัณฑ์ เมื่อนำพลังของควอนตัมคอมพิวเตอร์มาผนวกกับเทคโนโลยี AI แล้ว ทุกคนจะสามารถอธิบายความต้องการเกี่ยวกับวัสดุใหม่หรือโมเลกุลที่ต้องการสร้างด้วยภาษาธรรมดา ๆ และได้คำตอบที่ต้องการทันที โดยไม่ต้องคาดเดาหรือใช้เวลาหลายปีในการลองผิดลองถูก

"บริษัทใดก็ตามที่ผลิตสินค้า จะสามารถออกแบบผลิตภัณฑ์ได้อย่างสมบูรณ์แบบตั้งแต่ครั้งแรก เพราะเครื่องจะให้คำตอบที่ถูกต้องมาเลย โดยควอนตัมคอมพิวเตอร์จะสอนให้ AI เข้าใจ 'ภาษา' ดังนั้น AI จะสามารถบอกสูตรหรือวิธีการสร้างสิ่งที่คุณต้องการได้โดยตรง" ทรอยเออร์ กล่าวเสริม

การยกระดับควอนตัมคอมพิวเตอร์ด้วยแนวคิดใหม่

โลกของควอนตัมทำงานตามกฎของกลศาสตร์ควอนตัม แตกต่างจากที่เราเข้าใจเรื่องกฎฟิสิกส์ อนุภาคในโลกควอนตัมเรียกว่า คิวบิต (qubits) หรือ หน่วยข้อมูลควอนตัม ซึ่งเทียบได้กับ บิต (bits) หรือเลข 0 และ 1 ที่คอมพิวเตอร์ทั่วไปใช้งานอยู่ในปัจจุบัน

คิวบิตมีความบอบบางและไวต่อสิ่งรบกวนมาก จึงเป็นการง่ายที่จะเกิดข้อผิดพลาดจากสิ่งแวดล้อมรอบตัว ทำให้คิวบิตสลายตัวและสูญเสียข้อมูลไป นอกจากนี้สถานะของคิวบิตยังอาจเปลี่ยนแปลงได้เมื่อมีการวัดค่า ซึ่งเป็นปัญหาสำคัญ เพราะการวัดค่าเป็นสิ่งจำเป็นในการคำนวณ ความท้าทายจึงอยู่ที่การพัฒนาคิวบิตที่สามารถวัดค่าและควบคุมได้ ในขณะเดียวกันก็ต้องป้องกันให้ปลอดภัยจากสัญญาณรบกวนจากสิ่งแวดล้อมที่จะทำให้คิวบิตเสียหาย

เราสามารถสร้างคิวบิตได้ด้วยวิธีการที่หลากหลาย ซึ่งแต่ละวิธีก็มีข้อดีและข้อเสียแตกต่างกัน เมื่อเกือบ 20 ปีที่แล้ว ไมโครซอฟท์ตัดสินใจเลือกแนวทางที่แตกต่าง นั่นคือการพัฒนา "คิวบิตโทโพโลยี" ซึ่งบริษัทเชื่อว่าจะให้คิวบิตที่เสถียรกว่าและต้องการการแก้ไขข้อผิดพลาดน้อยกว่า ทำให้ได้เปรียบในด้านความเร็ว ขนาด และการควบคุม แม้ว่าแนวทางนี้จะใช้เวลาในการเรียนรู้และพัฒนาอย่างมาก เพราะต้องการการค้นพบทางวิทยาศาสตร์และวิศวกรรมที่ไม่เคยมีใครทำมาก่อน แต่ก็เป็นเส้นทางที่มีความหวังมากที่สุดในการสร้างคิวบิตที่สามารถขยายขนาดและควบคุมได้ ซึ่งจะสามารถนำไปใช้งานในเชิงพาณิชย์ได้จริง

ข้อเสียของแนวทางนี้ หรือกล่าวได้ว่าเคยเป็นข้อเสีย เนื่องจากไม่นานมานี้ อนุภาคพิเศษที่ไมโครซอฟท์พยายามนำมาใช้ ซึ่งเรียกว่า “มาโจรานา” นั้น ไม่เคยมีใครเคยพบเห็นหรือสร้างขึ้นได้มาก่อน ไม่มีอยู่ตามธรรมชาติและสามารถสร้างขึ้นได้โดยอาศัยสนามแม่เหล็กและตัวนำยิ่งยวดเท่านั้น ความยากลำบากในการพัฒนาวัสดุที่เหมาะสมเพื่อสร้างอนุภาคพิเศษเหล่านี้และสถานะของสสารในรูปแบบโทโพโลยี เป็นเหตุผลที่ทำให้ความพยายามด้านควอนตัมส่วนใหญ่ก่อนหน้านี้มุ่งเน้นไปที่คิวบิทประเภทอื่นแทน

บทความวิจัยที่ตีพิมพ์ในวารสาร Nature ได้รับการตรวจสอบจากผู้เชี่ยวชาญ และยืนยันว่า ไมโครซอฟท์ไม่เพียงแต่สามารถสร้างอนุภาคมาโจรานาได้เท่านั้น แต่ยังสามารถวัดข้อมูลควอนตัมจากมันได้อย่างแม่นยำโดยใช้ไมโครเวฟอีกด้วย

อนุภาคมาโจรานาสามารถปกปิดข้อมูลควอนตัมไว้ ทำให้มีความเสถียรมากขึ้น แต่ในขณะเดียวกันก็ทำให้วัดค่าได้ยากขึ้นด้วย อย่างไรก็ตาม วิธีการวัดใหม่ของทีมไมโครซอฟท์มีความแม่นยำที่สูงมาก ถึงขั้นสามารถตรวจจับความแตกต่างระหว่างอิเล็กตรอนหนึ่งพันล้านตัว กับหนึ่งพันล้านตัวบวกหนึ่ง ในเส้นลวดตัวนำยิ่งยวดได้ ซึ่งข้อมูลนี้เป็นสิ่งที่บอกคอมพิวเตอร์ว่าตอนนี้ คิวบิตอยู่ในสถานะใด และเป็นพื้นฐานของการคำนวณควอนตัม

วิธีการวัดนี้สามารถเปิดและปิดได้ด้วยพัลส์แรงดันไฟฟ้า เหมือนกับการเปิด-ปิดสวิตช์ไฟ แทนที่จะต้องปรับค่าปุ่มหมุนอย่างละเอียดสำหรับแต่ละคิวบิต วิธีการที่ง่ายขึ้นนี้ช่วยให้สามารถควบคุมด้วยระบบดิจิทัล ซึ่งช่วยลดความซับซ้อนของกระบวนการประมวลผลควอนตัม และลดความต้องการทางกายภาพในการสร้างเครื่องคอมพิวเตอร์ควอนตัมที่สามารถขยายขนาดได้

นอกจากนี้ คิวบิตโทโพโลยีของไมโครซอฟท์มีข้อได้เปรียบด้านขนาด เมื่อเทียบกับคิวบิตประเภทอื่น ๆ แม้จะเป็นอุปกรณ์ที่เล็กมาก แต่ก็มี "โซนที่เหมาะสม" (Goldilocks zone) ซึ่งหมายถึง ถ้าคิวบิตมีขนาดเล็กเกินไป ก็จะควบคุมได้ยาก แต่ถ้าขนาดใหญ่เกินไป ก็จะต้องใช้เครื่องจักรขนาดมหึมา ทรอยเออร์ กล่าวว่า “หากต้องเพิ่มเทคโนโลยีการควบคุมเฉพาะตัวสำหรับคิวบิตเหล่านี้ จะต้องสร้างเครื่องคอมพิวเตอร์ที่มีขนาดเท่ากับโรงเก็บเครื่องบินหรือสนามฟุตบอล ซึ่งไม่สามารถทำได้จริง”

มาโจรานา 1 ซึ่งเป็นชิปควอนตัมของไมโครซอฟท์ ที่มีทั้งคิวบิตและอุปกรณ์ควบคุมในตัว สามารถถือได้ในมือ และติดตั้งในคอมพิวเตอร์ควอนตัมที่พร้อมใช้งานในศูนย์ข้อมูล Azure

นายัค กล่าวว่า “การค้นพบสถานะใหม่ของสสารเป็นสิ่งหนึ่ง แต่อีกสิ่งที่สำคัญไม่แพ้กันคือ การนำมันมาใช้ให้เกิดประโยชน์ เพื่อปรับแนวคิดและขยายขอบเขตของการประมวลผลควอนตัม”

การออกแบบวัสดุควอนตัมระดับอะตอมต่ออะตอม

สถาปัตยกรรมคิวบิตโทโพโลยีของไมโครซอฟท์ประกอบด้วยนาโนไวร์อะลูมิเนียมที่เชื่อมต่อกัน เพื่อสร้างรูปตัว H โดยแต่ละตัว H จะมีอนุภาคมาโจรานาควบคุมได้สี่ตัว ซึ่งรวมกันเป็นหนึ่งคิวบิต โครงสร้างเหล่านี้สามารถเชื่อมต่อกันและเรียงบนชิปได้เหมือนกระเบื้องโมเสก

"มันเป็นเรื่องที่ซับซ้อน เพราะเราต้องพิสูจน์สถานะของสสารแบบใหม่ให้ได้ก่อน แต่เมื่อเราพิสูจน์ได้แล้ว มันก็กลายเป็นเรื่องง่ายขึ้นมาก โครงสร้างนี้สามารถขยายออกไปได้ และมีสถาปัตยกรรมที่เรียบง่ายกว่ามาก ซึ่งช่วยให้เราสามารถขยายขนาดระบบได้เร็วขึ้น" คริสตา สวอร์ ผู้เชี่ยวชาญทางเทคนิคของไมโครซอฟท์กล่าว "ชิปควอนตัมไม่สามารถทำงานโดยลำพัง แต่ต้องทำงานร่วมกับอีโคซิสเต็มที่ประกอบด้วยระบบควบคุมเชิงตรรกะ ระบบทำความเย็นแบบไดลูชัน (dilution refrigerator) ที่รักษาอุณหภูมิของคิวบิตให้เย็นกว่าอวกาศ และชุดซอฟต์แวร์ที่สามารถทำงานร่วมกับ AI และคอมพิวเตอร์แบบดั้งเดิมได้ ซึ่งองค์ประกอบทั้งหมดนี้ถูกพัฒนาหรือดัดแปลงขึ้นภายในบริษัทไมโครซอฟท์เองทั้งสิ้น"

“เพื่อให้ชัดเจนมากยิ่งขึ้น การปรับปรุงกระบวนการเหล่านี้อย่างต่อเนื่อง และการทำให้องค์ประกอบทุกส่วนสามารถทำงานร่วมกันได้ในระดับที่สามารถขยายตัวอย่างรวดเร็ว ยังคงต้องใช้เวลาอีกหลายปีในการพัฒนาด้านวิศวกรรม แต่ความท้าทายทางวิทยาศาสตร์และวิศวกรรมที่ยากลำบากหลายอย่างได้ถูกแก้ไขสำเร็จแล้ว” ไมโครซอฟท์กล่าว

สวอร์กล่าวเสริมว่า การพัฒนาโครงสร้างวัสดุที่เหมาะสมเพื่อสร้างสถานะสสารเชิงโทโพโลยีนั้นเป็นหนึ่งในความท้าทายที่ยากที่สุด แทนที่จะใช้ซิลิคอน ไมโครซอฟท์เลือกใช้อินเดียมอาร์เซไนด์ในการผลิตตัวนำโทโพโลยี ซึ่งเป็นวัสดุที่ปัจจุบันใช้ในอุปกรณ์ตรวจจับอินฟราเรดและมีคุณสมบัติพิเศษ วัสดุกึ่งตัวนำนี้ถูกผสานกับภาวะตัวนำยิ่งยวดภายใต้อุณหภูมิที่เย็นจัด เพื่อสร้างเป็นวัสดุลูกผสม

“เรากำลังพ่นอะตอมทีละตัวอย่างแม่นยำ วัสดุเหล่านี้ต้องเรียงตัวกันอย่างสมบูรณ์แบบ หากมีข้อบกพร่องในชั้นวัสดุมากเกินไป มันจะทำลายคิวบิตทันที เราจำเป็นต้องใช้คอมพิวเตอร์ควอนตัมในการศึกษาวัสดุเหล่านี้ เพราะการทำความเข้าใจคุณสมบัติของมันเป็นเรื่องที่ยากอย่างไม่น่าเชื่อ เมื่อเรามีคอมพิวเตอร์ควอนตัมที่มีขนาดใหญ่เพียงพอ เราจะสามารถคาดการณ์วัสดุที่มีคุณสมบัติดียิ่งขึ้นสำหรับการสร้างคอมพิวเตอร์ควอนตัมรุ่นต่อไปที่มีศักยภาพสูงกว่าเดิม" สวอร์กล่าว
ทิ้งท้าย

ไมโครซอฟท์ เปิดตัวชิปควอนตัมมาโจรานา 1 (Majorana 1) ที่ใช้สถาปัตยกรรม Topological Core ใหม่ล่าสุด เป็นรุ่นแรกของโลก ซึ่งคาดว่าจะนำไปสู่การสร้างควอนตัมคอมพิวเตอร์ที่สามารถแก้ปัญหาเชิงอุตสาหกรรม ที่ซับซ้อนได้จริงในอีกเพียงไม่กี่ปีข้างหน้าเท่านั้น

ชิปดังกล่าวใช้ประโยชน์จากโทโพคอนดักเตอร์ตัวแรกของโลก ซึ่งเป็นวัสดุชนิดใหม่ที่สามารถสังเกตและ ควบคุมอนุภาคมาโจรานา เพื่อสร้างคิวบิตที่เชื่อถือได้และปรับขนาดได้มากขึ้น ซึ่งเป็นส่วนประกอบพื้นฐานของ คอมพิวเตอร์ควอนตัม โดยไมโครซอฟท์ อธิบายว่า เช่นเดียวกับที่สารกึ่งตัวนำเป็นรากฐานของสมาร์ทโฟน คอมพิวเตอร์ และอุปกรณ์ อิเล็กทรอนิกส์ ในปัจจุบัน โทโพคอนดักเตอร์และชิปมาโจรานา 1 จะปูทางไปสู่การพัฒนาระบบควอนตัมที่สามารถรองรับคิวบิตได้ถึง หนึ่งล้านหน่วย และแก้ปัญหาที่ซับซ้อนที่สุดทั้งในภาคอุตสาหกรรม และสังคม

เชอแทน นายัค ผู้เชี่ยวชาญทางเทคนิคของไมโครซอฟท์ กล่าวว่า “เราลองถอยกลับมาหนึ่งก้าวเพื่อพิจารณาว่า ‘ถ้าจะสร้างทรานซิสเตอร์สำหรับยุคควอนตัม ทรานซิสเตอร์นั้นควรมีคุณสมบัติอย่างไร’ นั่นคือที่มาของการพัฒนาชิป มาโจรานา 1 การผสมผสานวัสดุคุณภาพสูงและรายละเอียดต่างๆ ทำให้เราสามารถสร้างคิวบิตแบบใหม่และ สถาปัตยกรรมที่ล้ำสมัย”

ไมโครซอฟท์ ระบุว่า สถาปัตยกรรมใหม่นี้ช่วยให้ชิปมาโจรานา 1 สามารถบรรจุคิวบิตได้ถึงหนึ่งล้านหน่วย ในขนาดพื้นที่ เท่ากับฝ่ามือ ซึ่งเป็นก้าวสำคัญที่นำไปสู่การสร้างควอนตัมคอมพิวเตอร์ที่แก้ปัญหาต่างๆ ในชีวิตจริงได้อย่างมีประสิทธิภาพ เช่น การย่อยสลายไมโครพลาสติกให้เป็นสารที่ไม่เป็นอันตราย หรือการพัฒนาวัสดุที่สามารถซ่อมแซมตัวเองได้ สำหรับอุตสาหกรรมก่อสร้าง การผลิต และการแพทย์ เพราะควอนตัมคอมพิวเตอร์ที่มีคิวบิตหนึ่งล้านหน่วย จะสามารถประมวลผลข้อมูลได้มากกว่าคอมพิวเตอร์ทุกเครื่องในโลกรวมกัน

“การพัฒนาควอนตัมคอมพิวเตอร์จะเกิดขึ้นได้จริง ต้องพัฒนาให้ถึงหนึ่งล้านคิวบิตเท่านั้น ไม่เช่นนั้น จะไปต่อไม่ได้ ซึ่งไมโครซอฟท์มีแผนที่จะไปให้ถึงจุดนั้น” นายัค กล่าว

โทโพคอนดักเตอร์ หรือที่ย่อมาจาก topological superconductor เป็นวัสดุพิเศษที่สามารถสร้างสถานะ ของสสารแบบใหม่ที่ไม่ใช่ของแข็ง ของเหลว หรือก๊าซ แต่เป็นสถานะโทโพโลยี วัสดุนี้ถูกนำมาใช้สร้างคิวบิต ที่มีความเสถียร รวดเร็ว ขนาดเล็ก และควบคุมได้แบบดิจิทัล งานวิจัยที่ตีพิมพ์ในวารสาร Nature ฉบับล่าสุด อธิบายถึงวิธีการที่นักวิจัยของ ไมโครซอฟท์ สร้างและวัดคุณสมบัติควอนตัมของคิวบิตโทโพโลยี ซึ่งเป็นก้าวสำคัญสู่การนำไปใช้งานจริง

ความสำเร็จในครั้งนี้เกิดจากการพัฒนาวัสดุใหม่ที่ทำจากอินเดียมอาร์เซไนด์ (Indium arsenide) และอะลูมิเนียม (Aluminum) ซึ่งไมโครซอฟท์ออกแบบและสร้างขึ้นในระดับอะตอม โดยมีเป้าหมายคือการสร้างอนุภาคควอนตัม มาโจรานา และใช้ประโยชน์จากคุณสมบัติพิเศษของสิ่งนี้ในการพัฒนาควอนตัมคอมพิวติ้งไปอีกขั้น

“ความก้าวหน้านี้ต้องอาศัยการพัฒนาโครงสร้างวัสดุแบบใหม่ทั้งหมดที่ประกอบด้วยอินเดียมอาร์เซไนด์ และอะลูมิเนียม ซึ่งไมโครซอฟท์ได้ออกแบบและสร้างขึ้นในระดับอะตอม โดยมีเป้าหมายเพื่อกระตุ้นให้เกิดอนุภาคควอนตัมชนิดใหม่ที่เรียกว่า ‘มาโจราน’ และใช้ประโยชน์จากคุณสมบัติเฉพาะตัวของมันในการก้าวไปสู่ขอบเขตใหม่ของการประมวลผลควอนตัม” ไมโครซอฟท์ กล่าว

แกนโทโพโลยี (Topological Core) หรือแกนการเชื่อมโยงการรับส่งข้อมูลเข้าอุปกรณ์อิเล็กทรอนิกส์ในรูปแบบต่างๆ แกนแรกของโลกที่ขับเคลื่อนมาโจรานา 1 ได้รับการออกแบบให้มีความเสถียรตั้งแต่ต้น ด้วยการผสานความสามารถในการต้านทานข้อผิดพลาดในระดับฮาร์ดแวร์ ทำให้มีเสถียรภาพสูงยิ่งขึ้น

ทั้งนี้ การประยุกต์ใช้ที่สำคัญในเชิงพาณิชย์จำเป็นต้องดำเนินการหลายล้านล้านครั้งบนคิวบิตนับล้าน ซึ่งแทบเป็นไปไม่ได้ด้วยวิธีการปัจจุบันที่ต้องอาศัยการควบคุมแบบแอนะล็อกที่แม่นยำสำหรับคิวบิตแต่ละตัว ด้วยเหตุนี้ทีมไมโครซอฟท์จึงพัฒนาวิธีวัดผลรูปแบบใหม่ที่ช่วยให้สามารถควบคุมคิวบิตแบบดิจิทัลได้ ซึ่งเป็นการปรับเปลี่ยนแนวคิดและลดความซับซ้อนของการประมวลผลควอนตัมอย่างมหาศาล

ความก้าวหน้านี้เป็นเครื่องพิสูจน์ว่าการเลือกพัฒนา “คิวบิตโทโพโลยี” ของไมโครซอฟท์เมื่อหลายปีก่อนเป็นแนวทางที่ถูกต้อง แม้จะเป็นความท้าทายทางวิทยาศาสตร์และวิศวกรรมที่มีความเสี่ยงสูง แต่ผลลัพธ์ที่ได้รับก็คุ้มค่า ปัจจุบัน ไมโครซอฟท์สามารถนำคิวบิตโทโพโลยี จำนวนแปดตัวมาอยู่บนชิปที่ออกแบบมาเพื่อขยายขนาดให้รองรับได้ถึงหนึ่งล้านคิวบิตเลยทีเดียว

“ตั้งแต่แรกเริ่ม เป้าหมายของเราคือการสร้างคอมพิวเตอร์ควอนตัมเพื่อให้เกิดประโยชน์ในเชิงพาณิชย์ ไม่ใช่เพียงเพื่อเป็นผู้นำทางความคิดเท่านั้น เรารู้ว่าต้องการคิวบิตรูปแบบใหม่ และเราต้องขยายขนาดให้ได้” แมทเธียส ทรอยเออร์ ผู้เชี่ยวชาญทางเทคนิคของไมโครซอฟท์ กล่าว

แนวทางนี้จึงนำไปสู่ความร่วมมือกับ สำนักงานโครงการวิจัยขั้นสูงด้านกลาโหม (Defense Advanced Research Projects Agency: DARPA) ซึ่งเป็นหน่วยงานของรัฐบาลกลางสหรัฐฯ ที่ลงทุนในเทคโนโลยีล้ำสมัยเพื่อความมั่นคง ของชาติ โดย DARPA ได้ดึงไมโครซอฟท์เข้าร่วมในโครงการที่เข้มข้นนี้ด้วย เพื่อประเมินว่าเทคโนโลยีควอนตัมเชิงนวัตกรรมสามารถสร้างระบบควอนตัมที่มีศักยภาพในเชิงพาณิชย์ได้เร็วกว่าแนวทางทั่วไปหรือไม่ ไมโครซอฟท์เป็นหนึ่งในสองบริษัทที่ได้รับเชิญให้เข้าสู่ โครงการ Underexplored Systems for Utility-Scale Quantum Computing (US2QC) ของ DARPA ในช่วงเฟสสุดท้าย ซึ่งเป็นส่วนหนึ่งของ โครงการ Quantum Benchmarking Initiative ของ DARPA ที่มีเป้าหมายในการพัฒนาคอมพิวเตอร์ควอนตัมระดับยูทิลิตี้ที่ทนทานต่อข้อผิดพลาด หรือคอมพิวเตอร์ที่มีศักยภาพในการประมวลผลสูงกว่าต้นทุนที่ใช้ในการดำเนินการ ‘เพียงให้คำตอบกับคุณ’

นอกจากการพัฒนาฮาร์ดแวร์ควอนตัมของตัวเองแล้ว ไมโครซอฟท์ยังได้ร่วมมือกับ ควอนทินิวอัม (Quantinuum) บริษัทควอนตัมคอมพิวติ้งครบวงจรรายใหญ่ที่สุดของโลก และอะตอมคอมพิวติ้ง (Atom Computing) บริษัทเทคโนโลยีชั้นนำ เพื่อสร้างความก้าวหน้าทางวิทยาศาสตร์และวิศวกรรมบนคิวบิตยุคปัจจุบัน รวมถึงการประกาศเกี่ยวกับคอมพิวเตอร์ควอนตัมที่เชื่อถือได้เครื่องแรกของอุตสาหกรรมไปเมื่อปีที่แล้วอีกด้วย เครื่องมือประเภทนี้เปิดโอกาสสำคัญในการพัฒนาทักษะด้านควอนตัม สร้างแอปพลิเคชันไฮบริด และขับเคลื่อนการค้นพบใหม่ ๆ โดยเฉพาะอย่างยิ่งเมื่อนำ AI มาผสานกับระบบควอนตัมแบบใหม่ที่ใช้คิวบิตที่เชื่อถือได้ในจำนวนมากขึ้น Azure Quantum ในปัจจุบันได้นำเสนอโซลูชันครบวงจร ที่ช่วยให้ลูกค้าใช้ประโยชน์จากแพลตฟอร์ม AI, การประมวลผลสมรรถนะสูง (High Performance Computing: HPC) และควอนตัมบน Azure เพื่อเร่งความก้าวหน้าทางวิทยาศาสตร์

อย่างไรก็ตาม การไปให้ถึงขอบเขตใหม่ของการประมวลผลควอนตัม จำเป็นต้องมีสถาปัตยกรรมที่ได้รับการออกแบบให้สามารถรองรับคิวบิตระดับล้านขึ้นไป และดำเนินการหลายล้านล้านครั้งอย่างรวดเร็วและแม่นยำ ซึ่งการประกาศในวันนี้ของไมโครซอฟท์แสดงให้เห็นว่าเป้าหมายดังกล่าวอาจเกิดขึ้นได้ภายในเวลาเพียงไม่กี่ปี ไม่ใช่หลายทศวรรษตามที่เคยคาดการณ์กันไว้อีกต่อไป" ไมโครซอฟท์ กล่าว

เนื่องจากเครื่องควอนตัมคอมพิวเตอร์ที่มีคิวบิตนับล้าน สามารถแก้ปัญหาบางอย่างที่คอมพิวเตอร์ทั่วไปในปัจจุบันไม่สามารถคำนวณได้อย่างแม่นยำ โดยเฉพาะในด้านเคมี วัสดุศาสตร์ และอุตสาหกรรมอื่นๆ เพราะเครื่องเหล่านี้ใช้หลักกลศาสตร์ควอนตัมในการสร้างแบบจำลองทางคณิตศาสตร์ที่อธิบายพฤติกรรมของธรรมชาติได้อย่างแม่นยำสูง ไม่ว่าจะเป็นปฏิกิริยาเคมี การทำงานร่วมกันของโมเลกุล หรือพลังงานของเอนไซม์

· กรณีที่พบได้คือ เครื่องควอนตัมคอมพิวเตอร์สามารถช่วยไขปริศนาทางเคมีที่ซับซ้อน เกี่ยวกับสาเหตุที่ทำให้วัสดุเกิดการกัดกร่อนหรือแตกร้าว ความรู้นี้อาจนำไปสู่การพัฒนาวัสดุที่สามารถซ่อมแซมตัวเองได้ เช่น ซ่อมรอยแตกบนสะพาน ชิ้นส่วนเครื่องบิน หน้าจอโทรศัพท์ที่แตก หรือแม้แต่รอยขีดข่วนบนประตูรถยนต์

· นอกจากนี้ การมีพลาสติกหลากหลายประเภท ทำให้ในปัจจุบันยังไม่สามารถค้นพบตัวเร่งปฏิกิริยา (Catalyst) รูปแบบที่ใช้ได้กับทุกกรณี เพื่อย่อยสลายพลาสติกทั้งหมดได้ ซึ่งเรื่องนี้สำคัญมากโดยเฉพาะในการกำจัดไมโครพลาสติกหรือแก้ปัญหามลพิษคาร์บอน ควอนตัมคอมพิวเตอร์สามารถช่วยคำนวณคุณสมบัติของตัวเร่งปฏิกิริยา (Catalyst) ที่จะย่อยสลายสารมลพิษให้กลายเป็นสิ่งที่มีคุณค่า หรือช่วยพัฒนาวัสดุทางเลือกที่ไม่เป็นพิษตั้งแต่ต้น

· ตัวเร่งปฏิกิริยาทางชีวภาพชนิดหนึ่ง เช่น เอนไซม์ สามารถนำมาใช้ประโยชน์ในด้านการแพทย์และการเกษตรได้อย่างมีประสิทธิภาพมากขึ้น ด้วยการคำนวณพฤติกรรมของเอนไซม์อย่างแม่นยำ ซึ่งทำได้เฉพาะด้วยควอนตัมคอมพิวเตอร์เท่านั้น สิ่งนี้อาจนำไปสู่การค้นพบครั้งสำคัญที่จะช่วยขจัดปัญหาความหิวโหยของโลก เช่น การเพิ่มความอุดมสมบูรณ์ของดินเพื่อเพิ่มผลผลิต หรือการส่งเสริมการเพาะปลูกอาหารอย่างยั่งยืนในสภาพอากาศที่มีความรุนแรง

สิ่งที่สำคัญที่สุดคือ ควอนตัมคอมพิวเตอร์จะช่วยให้วิศวกร นักวิทยาศาสตร์ บริษัท และอื่น ๆ สามารถออกแบบ สิ่งต่าง ๆ ได้อย่างถูกต้องตั้งแต่ครั้งแรก ซึ่งจะสร้างการเปลี่ยนแปลงครั้งใหญ่ในทุกวงการ ตั้งแต่การดูแลสุขภาพไปจนถึง การพัฒนาผลิตภัณฑ์ เมื่อนำพลังของควอนตัมคอมพิวเตอร์มาผนวกกับเทคโนโลยี AI แล้ว ทุกคนจะสามารถอธิบาย ความต้องการเกี่ยวกับวัสดุใหม่หรือโมเลกุลที่ต้องการสร้างด้วยภาษาธรรมดา ๆ และได้คำตอบที่ต้องการทันที โดยไม่ต้องคาดเดาหรือใช้เวลาหลายปีในการลองผิดลองถูก

"บริษัทใดก็ตามที่ผลิตสินค้า จะสามารถออกแบบผลิตภัณฑ์ได้อย่างสมบูรณ์แบบตั้งแต่ครั้งแรก เพราะเครื่องจะให้คำตอบที่ถูกต้องมาเลย โดยควอนตัมคอมพิวเตอร์จะสอนให้ AI เข้าใจ 'ภาษา' ดังนั้น AI จะสามารถบอกสูตรหรือวิธีการสร้างสิ่งที่คุณต้องการได้โดยตรง" ทรอยเออร์ กล่าวเสริม

การยกระดับควอนตัมคอมพิวเตอร์ด้วยแนวคิดใหม่

 โลกของควอนตัมทำงานตามกฎของกลศาสตร์ควอนตัม แตกต่างจากที่เราเข้าใจเรื่องกฎฟิสิกส์ อนุภาคในโลกควอนตัมเรียกว่า คิวบิต (qubits) หรือ หน่วยข้อมูลควอนตัม ซึ่งเทียบได้กับ บิต (bits) หรือเลข 0 และ 1 ที่คอมพิวเตอร์ทั่วไปใช้งานอยู่ในปัจจุบัน

คิวบิตมีความบอบบางและไวต่อสิ่งรบกวนมาก จึงเป็นการง่ายที่จะเกิดข้อผิดพลาดจากสิ่งแวดล้อมรอบตัว ทำให้คิวบิตสลายตัวและสูญเสียข้อมูลไป นอกจากนี้สถานะของคิวบิตยังอาจเปลี่ยนแปลงได้เมื่อมีการวัดค่า ซึ่งเป็นปัญหาสำคัญ เพราะการวัดค่าเป็นสิ่งจำเป็นในการคำนวณ ความท้าทายจึงอยู่ที่การพัฒนาคิวบิตที่สามารถวัดค่าและควบคุมได้ ในขณะเดียวกันก็ต้องป้องกันให้ปลอดภัยจากสัญญาณรบกวนจากสิ่งแวดล้อมที่จะทำให้คิวบิตเสียหาย

เราสามารถสร้างคิวบิตได้ด้วยวิธีการที่หลากหลาย ซึ่งแต่ละวิธีก็มีข้อดีและข้อเสียแตกต่างกัน เมื่อเกือบ 20 ปี ที่แล้ว ไมโครซอฟท์ตัดสินใจเลือกแนวทางที่แตกต่าง นั่นคือการพัฒนา "คิวบิตโทโพโลยี" ซึ่งบริษัทเชื่อว่าจะให้คิวบิตที่เสถียรกว่าและต้องการการแก้ไขข้อผิดพลาดน้อยกว่า ทำให้ได้เปรียบในด้านความเร็ว ขนาด และการควบคุม แม้ว่าแนวทางนี้จะใช้เวลาในการเรียนรู้และพัฒนาอย่างมาก เพราะต้องการการค้นพบทางวิทยาศาสตร์และวิศวกรรมที่ไม่เคยมีใครทำมาก่อน แต่ก็เป็นเส้นทางที่มีความหวังมากที่สุดในการสร้างคิวบิตที่สามารถขยายขนาดและควบคุมได้ ซึ่งจะสามารถนำไปใช้งานในเชิงพาณิชย์ได้จริง

ข้อเสียของแนวทางนี้ หรือกล่าวได้ว่าเคยเป็นข้อเสีย เนื่องจากไม่นานมานี้ อนุภาคพิเศษที่ไมโครซอฟท์พยายามนำมาใช้ ซึ่งเรียกว่า “มาโจรานา” นั้น ไม่เคยมีใครเคยพบเห็นหรือสร้างขึ้นได้มาก่อน ไม่มีอยู่ตามธรรมชาติและสามารถสร้างขึ้นได้โดยอาศัยสนามแม่เหล็กและตัวนำยิ่งยวดเท่านั้น ความยากลำบากในการพัฒนาวัสดุที่เหมาะสมเพื่อสร้างอนุภาคพิเศษเหล่านี้และสถานะของสสารในรูปแบบโทโพโลยี เป็นเหตุผลที่ทำให้ความพยายามด้านควอนตัมส่วนใหญ่ก่อนหน้านี้มุ่งเน้นไปที่คิวบิทประเภทอื่นแทน

บทความวิจัยที่ตีพิมพ์ในวารสาร Nature ได้รับการตรวจสอบจากผู้เชี่ยวชาญ และยืนยันว่า ไมโครซอฟท์ไม่เพียงแต่สามารถสร้างอนุภาคมาโจรานาได้เท่านั้น แต่ยังสามารถวัดข้อมูลควอนตัมจากมันได้อย่างแม่นยำโดยใช้ไมโครเวฟอีกด้วย

อนุภาคมาโจรานาสามารถปกปิดข้อมูลควอนตัมไว้ ทำให้มีความเสถียรมากขึ้น แต่ในขณะเดียวกันก็ทำให้วัดค่าได้ยากขึ้นด้วย อย่างไรก็ตาม วิธีการวัดใหม่ของทีมไมโครซอฟท์มีความแม่นยำที่สูงมาก ถึงขั้นสามารถตรวจจับความแตกต่างระหว่างอิเล็กตรอนหนึ่งพันล้านตัว กับหนึ่งพันล้านตัวบวกหนึ่ง ในเส้นลวดตัวนำยิ่งยวดได้ ซึ่งข้อมูลนี้เป็นสิ่งที่บอกคอมพิวเตอร์ว่าตอนนี้ คิวบิตอยู่ในสถานะใด และเป็นพื้นฐานของการคำนวณควอนตัม

วิธีการวัดนี้สามารถเปิดและปิดได้ด้วยพัลส์แรงดันไฟฟ้า เหมือนกับการเปิด-ปิดสวิตช์ไฟ แทนที่จะต้องปรับค่าปุ่มหมุนอย่างละเอียดสำหรับแต่ละคิวบิต วิธีการที่ง่ายขึ้นนี้ช่วยให้สามารถควบคุมด้วยระบบดิจิทัล ซึ่งช่วยลดความซับซ้อนของกระบวนการประมวลผลควอนตัม และลดความต้องการทางกายภาพในการสร้างเครื่องคอมพิวเตอร์ควอนตัมที่สามารถขยายขนาดได้

นอกจากนี้ คิวบิตโทโพโลยีของไมโครซอฟท์มีข้อได้เปรียบด้านขนาด เมื่อเทียบกับคิวบิตประเภทอื่น ๆ แม้จะเป็นอุปกรณ์ ที่เล็กมาก แต่ก็มี "โซนที่เหมาะสม" (Goldilocks zone) ซึ่งหมายถึง ถ้าคิวบิตมีขนาดเล็กเกินไป ก็จะควบคุมได้ยาก แต่ถ้าขนาดใหญ่เกินไป ก็จะต้องใช้เครื่องจักรขนาดมหึมา ทรอยเออร์ กล่าวว่า “หากต้องเพิ่มเทคโนโลยีการควบคุมเฉพาะตัว สำหรับคิวบิตเหล่านี้ จะต้องสร้างเครื่องคอมพิวเตอร์ที่มีขนาดเท่ากับโรงเก็บเครื่องบินหรือสนามฟุตบอล ซึ่งไม่สามารถทำได้จริง”

มาโจรานา 1 ซึ่งเป็นชิปควอนตัมของไมโครซอฟท์ ที่มีทั้งคิวบิตและอุปกรณ์ควบคุมในตัว สามารถถือได้ในมือ และติดตั้งในคอมพิวเตอร์ควอนตัมที่พร้อมใช้งานในศูนย์ข้อมูล Azure

นายัค กล่าวว่า “การค้นพบสถานะใหม่ของสสารเป็นสิ่งหนึ่ง แต่อีกสิ่งที่สำคัญไม่แพ้กันคือ การนำมันมาใช้ให้เกิดประโยชน์ เพื่อปรับแนวคิดและขยายขอบเขตของการประมวลผลควอนตัม”

การออกแบบวัสดุควอนตัมระดับอะตอมต่ออะตอม

สถาปัตยกรรมคิวบิตโทโพโลยีของไมโครซอฟท์ประกอบด้วยนาโนไวร์อะลูมิเนียมที่เชื่อมต่อกัน เพื่อสร้างรูปตัว H โดยแต่ละตัว H จะมีอนุภาคมาโจรานาควบคุมได้สี่ตัว ซึ่งรวมกันเป็นหนึ่งคิวบิต โครงสร้างเหล่านี้สามารถเชื่อมต่อกันและเรียงบนชิปได้เหมือนกระเบื้องโมเสก

"มันเป็นเรื่องที่ซับซ้อน เพราะเราต้องพิสูจน์สถานะของสสารแบบใหม่ให้ได้ก่อน แต่เมื่อเราพิสูจน์ได้แล้ว มันก็กลายเป็นเรื่องง่ายขึ้นมาก โครงสร้างนี้สามารถขยายออกไปได้ และมีสถาปัตยกรรมที่เรียบง่ายกว่ามาก ซึ่งช่วยให้เราสามารถขยายขนาดระบบได้เร็วขึ้น" คริสตา สวอร์ ผู้เชี่ยวชาญทางเทคนิคของไมโครซอฟท์กล่าว "ชิปควอนตัมไม่สามารถทำงานโดยลำพัง แต่ต้องทำงานร่วมกับอีโคซิสเต็มที่ประกอบด้วยระบบควบคุมเชิงตรรกะ ระบบทำความเย็นแบบไดลูชัน (dilution refrigerator) ที่รักษาอุณหภูมิของคิวบิตให้เย็นกว่าอวกาศ และชุดซอฟต์แวร์ที่สามารถทำงานร่วมกับ AI และคอมพิวเตอร์แบบดั้งเดิมได้ ซึ่งองค์ประกอบทั้งหมดนี้ถูกพัฒนาหรือดัดแปลงขึ้นภายในบริษัทไมโครซอฟท์เองทั้งสิ้น"

“เพื่อให้ชัดเจนมากยิ่งขึ้น การปรับปรุงกระบวนการเหล่านี้อย่างต่อเนื่อง และการทำให้องค์ประกอบทุกส่วนสามารถทำงานร่วมกันได้ในระดับที่สามารถขยายตัวอย่างรวดเร็ว ยังคงต้องใช้เวลาอีกหลายปีในการพัฒนาด้านวิศวกรรม แต่ความท้าทายทางวิทยาศาสตร์และวิศวกรรมที่ยากลำบากหลายอย่างได้ถูกแก้ไขสำเร็จแล้ว” ไมโครซอฟท์กล่าว

สวอร์กล่าวเสริมว่า การพัฒนาโครงสร้างวัสดุที่เหมาะสมเพื่อสร้างสถานะสสารเชิงโทโพโลยีนั้นเป็นหนึ่งในความท้าทายที่ยากที่สุด แทนที่จะใช้ซิลิคอน ไมโครซอฟท์เลือกใช้อินเดียมอาร์เซไนด์ในการผลิตตัวนำโทโพโลยี ซึ่งเป็นวัสดุที่ปัจจุบันใช้ในอุปกรณ์ตรวจจับอินฟราเรดและมีคุณสมบัติพิเศษ วัสดุกึ่งตัวนำนี้ถูกผสานกับภาวะตัวนำยิ่งยวดภายใต้อุณหภูมิที่เย็นจัด เพื่อสร้างเป็นวัสดุลูกผสม

“เรากำลังพ่นอะตอมทีละตัวอย่างแม่นยำ วัสดุเหล่านี้ต้องเรียงตัวกันอย่างสมบูรณ์แบบ หากมีข้อบกพร่องในชั้นวัสดุมากเกินไป มันจะทำลายคิวบิตทันที เราจำเป็นต้องใช้คอมพิวเตอร์ควอนตัมในการศึกษาวัสดุเหล่านี้ เพราะการทำความเข้าใจคุณสมบัติของมันเป็นเรื่องที่ยากอย่างไม่น่าเชื่อ เมื่อเรามีคอมพิวเตอร์ควอนตัมที่มีขนาดใหญ่เพียงพอ เราจะสามารถคาดการณ์วัสดุที่มีคุณสมบัติดียิ่งขึ้นสำหรับการสร้างคอมพิวเตอร์ควอนตัมรุ่นต่อไปที่มีศักยภาพสูงกว่าเดิม" สวอร์กล่าว ทิ้งท้าย

Page 1 of 7
X

Right Click

No right click