ตรวจสอบความคุ้มครองหลังซื้อได้ทันที (Realtime) พร้อมเชิญชวนทำประกันภัย พ.ร.บ. รถจักรยานยนต์ ระยะยาว 3 ถึง 5 ปี ลดเบี้ยประกันภัยและลดปัญหาประกันภัย พ.ร.บ. ขาดต่ออายุ

นายชูฉัตร ประมูลผล เลขาธิการคณะกรรมการกำกับและส่งเสริมการประกอบธุรกิจประกันภัย (เลขาธิการ คปภ.) เข้าชี้แจงต่อที่ประชุมสมาชิกวุฒิสภา ครั้งที่ 26 เมื่อวันที่ 18 มีนาคม 2567 ณ อาคารรัฐสภา เกี่ยวกับ “บทบาทของสำนักงาน คปภ. กับการประกันภัยเกษตรกรรม” โดยมีนายสมชาย  หาญหิรัญ ประธานคณะกรรมาธิการการเศรษฐกิจ การเงิน และการคลัง วุฒิสภา และนางสาววิบูลย์ลักษณ์ ร่วมรักษ์ ประธานคณะอนุกรรมาธิการด้านตลาดทุนและธุรกิจประกันภัย ร่วมชี้แจงด้วย

เลขาธิการ คปภ. กล่าวชี้แจงเกี่ยวกับบทบาทสำนักงาน คปภ. กับการประกันภัยเกษตรกรรม โดยมีใจความสำคัญตอนหนึ่งว่า สำนักงาน คปภ. มีหน้าที่กำกับและพัฒนาธุรกิจประกันภัยให้มีความแข็งแกร่ง มั่นคง เพื่อให้บริษัทประกันภัยมีความสามารถในการดำเนินธุรกิจและปฏิบัติตามสัญญาประกันภัย รวมถึงสนับสนุนธุรกิจประกันภัยให้มีบทบาทในการเสริมสร้างความแข็งแกร่งของระบบเศรษฐกิจและสังคมของประเทศเพื่อยกระดับคุณภาพชีวิตของประชาชนให้ดียิ่งขึ้น เช่น ส่งเสริมการพัฒนาผลิตภัณฑ์ประกันภัยใหม่ ๆ เพื่อตอบสนองความต้องการของประชาชน โดยกรมธรรม์และเบี้ยประกันภัยต้องได้รับการอนุมัติจากสำนักงาน คปภ. ตลอดจนการคุ้มครองสิทธิประโยชน์ของประชาชน โดยมีการจัดตั้งศูนย์ไกล่เกลี่ยข้อพิพาทด้านการประกันภัย รับเรื่องร้องเรียนผ่านทางสายด่วน คปภ. 1186 กำกับดูแลตัวแทนประกันภัยและนายหน้าประกันภัยเพื่อความโปร่งใสและให้ปฏิบัติตามกฎหมายอย่างเคร่งครัด

การดำเนินงานของสำนักงาน คปภ. ที่เกี่ยวกับการประกันภัยพืชผลเกษตรของภาครัฐ อาทิ โครงการประกันภัยข้าวนาปี โครงการประกันภัยข้าวโพดเลี้ยงสัตว์ โดยสำนักงาน คปภ. บูรณาการร่วมกับสำนักงานเศรษฐกิจการคลัง ธนาคารเพื่อการเกษตรและสหกรณ์การเกษตร (ธ.ก.ส.) กรมส่งเสริมการเกษตร กรมป้องกันและบรรเทาสาธารณภัย สมาคมประกันวินาศภัยไทย ซึ่งสำนักงาน คปภ. มีหน้าที่ในการให้ความเห็นชอบแบบและข้อความกรมธรรม์ประกันภัย อัตราเบี้ยประกันภัยข้าวนาปีและข้าวโพดเลี้ยงสัตว์ รวมถึงการลงพื้นที่พบปะเกษตรกรและจัดอบรมให้ความรู้ด้านประกันภัยอย่างต่อเนื่อง

สำหรับโครงการประกันพืชผลเกษตรของภาครัฐนั้น ที่ผ่านมารัฐบาลได้ให้การสนับสนุนเกษตรกรทำประกันภัย ผ่านโครงการประกันภัยข้าวนาปีและประกันภัยข้าวโพดเลี้ยงสัตว์ โดยมีสำนักงานเศรษฐกิจการคลังเป็นหน่วยงานหลักในการดำเนินการโครงการร่วมกับหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง ประกอบด้วย สำนักงาน คปภ. ธกส. กรมส่งเสริมการเกษตร กรมป้องกันและบรรเทาสาธารณภัย และสมาคมประกันวินาศภัยไทย ซึ่งทั้งสองโครงการมีวัตถุประสงค์เพื่อให้เกษตรกร
มีเครื่องมือในการบริหารจัดการความเสี่ยงภัยพิบัติผ่านระบบประกันภัยเพื่อต่อยอดความช่วยเหลือของภาครัฐไปสู่เกษตรกร ตามระเบียบของกระทรวงการคลัง เพื่อช่วยเหลือเกษตรกรผู้ประสบภัยพิบัติกรณีฉุกเฉินและรองรับต้นทุนในการเพาะปลูกข้าวและข้าวโพดเลี้ยงสัตว์ให้กับเกษตรกรเมื่อประสบภัยพิบัติทางธรรมชาติ ดังนั้น การประกันภัยจึงเป็นการ Top Up ซึ่งเป็นการช่วยเหลือของภาครัฐ โดยภาครัฐอุดหนุนค่าเบี้ยประกันภัยให้บางส่วน ทั้งนี้ โครงการประกันภัยข้าวนาปี และข้าวโพดเลี้ยงสัตว์ ให้ความคุ้มครองต้นทุนและภัยที่เกิดขึ้นจากภัยธรรมชาติอันได้แก่ น้ำท่วม ฝนตกหนัก ภัยแล้ง หรือ ฝนแล้ง หรือฝนทิ้งช่วง ลมพายุ หรือพายุไต้ฝุ่น ภัยอากาศหนาว น้ำค้างแข็ง ลูกเห็บ ไฟไหม้ และคุ้มครองภัยศัตรูพืช โรคระบาด และภัยช้างป่า ซึ่งภัยดังกล่าวต้องให้ผู้ว่าราชการจังหวัด เป็นผู้ประกาศเป็นเขตให้การช่วยเหลือผู้ประสบภัยพิบัติทุกกรณี กรณีฉุกเฉิน ในระยะเวลาที่เอาประกันภัย

สำหรับ Pain Point หลัก ๆ ของการประกันภัยด้านเกษตรกรรม คือ ยังไม่มีกฎหมายเฉพาะในการขับเคลื่อนเรื่องการประกันภัยเกษตรกรรม ขาดกลไกในการดำเนินนโยบายและแผนการประกันภัยเกษตรกรรม รวมถึงงบประมาณที่สนับสนุนมีจำกัดและงบประมาณสนับสนุนเบี้ยประกันภัยแบบปีต่อปี เกษตรกรขาดแรงจูงใจในการทำประกันภัย ผลิตภัณฑ์ประกันภัยเกษตรกรรมมีจำกัดเฉพาะในบางพืชผลและในสัตว์บางชนิด การเก็บรวบรวมข้อมูลในระดับพื้นที่ที่ยังไม่สมบูรณ์ การประเมินความเสียหายจะใช้การประเมินโดยคนเป็นหลัก นอกจากนี้ การประกันภัยพืชผลของภาครัฐมีการรับประกันภัยทั่วประเทศ มีความเสี่ยงภัยสูง เกินขีดความสามารถของบริษัทประกันภัยที่จะรับความเสี่ยงภัยพิบัติไว้เองในประเทศ จึงต้องพึ่งพาการประกันภัยต่อในต่างประเทศ ดังนั้น บริษัทประกันภัยต่อจึงมีบทบาทสำคัญในการกำหนดเบี้ยประกันภัยดังกล่าว

เลขาธิการ คปภ. ชี้แจงเพิ่มเติมด้วยว่า ที่ผ่านมาภาครัฐให้ความสำคัญในการกำหนดนโยบายการประกันภัยการเกษตรและเป็นโครงการที่ทุกรัฐบาลให้ความสำคัญเป็นอย่างมาก โดยเฉพาะโครงการประกันภัยข้าวนาปี และ โครงการประกันภัยข้าวโพดเลี้ยงสัตว์ เนื่องจากเป็นโครงการที่มีความสำคัญต่อเกษตรกรเพื่อใช้เป็นเครื่องมือบริหารความเสี่ยงด้านภัยพิบัติจากธรรมชาติได้อย่างมีประสิทธิภาพ โดยได้นำเสนอแนวทางเพื่อเป็นการยกระดับการประกันภัยด้านเกษตรกรรมใน 4 แนวทางหลัก ๆ คือ 1. กำหนดเป็นนโยบายระดับประเทศและทิศทางเศรษฐกิจไว้อย่างชัดเจนอันจะส่งผลต่อความเชื่อมั่นประชาชน 2. ความร่วมมือระหว่างภาครัฐและภาคเอกชน เพื่อพัฒนาผลิตภัณฑ์ประกันภัยร่วมกัน มีการเชื่อมโยงข้อมูลระหว่างหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง 3. นำเทคโนโลยีเข้ามาใช้ในการลดระยะเวลาในการสำรวจภัยและจ่ายค่าสินไหมทดแทน และ 4. ภาครัฐควรมีส่วนร่วมในการผลักดันการประกันภัยเกษตรทั้งในส่วนของการสนับสนุนเบี้ยประกันภัยและสนับสนุนการใช้เทคโนโลยีที่ช่วยลดต้นทุนการประกันภัย

ทั้งนี้ ได้รับข้อเสนอแนะที่เป็นประโยชน์จากสมาชิกวุฒิสภาหลายท่าน ซึ่งสำนักงาน คปภ. น้อมรับข้อแนะนำและพร้อมที่จะนำไปพัฒนาและขับเคลื่อนเพื่อเสริมสร้างความแข็งแกร่งของระบบเศรษฐกิจและสังคมของประเทศ รวมถึงการยกระดับคุณภาพชีวิตของเกษตรกรไทยให้ดียิ่งขึ้น ต่อไป

สำนักงาน คปภ. ผนึกภาคธุรกิจประกันภัย แถลงผลการประชุมขับเคลื่อนอุตสาหกรรมประกันภัยไทยร่วมกันอย่างเป็นรูปธรรม

นายอดิศร พิพัฒน์วรพงศ์ รองเลขาธิการ ด้านกฎหมาย คดี และคุ้มครองสิทธิประโยชน์ สำนักงานคณะกรรมการกำกับและส่งเสริมการประกอบธุรกิจประกันภัย (สำนักงาน คปภ.) เป็นประธานเปิดการอบรมความรู้ด้านการประกันภัยให้แก่อาสาสมัครประกันภัยในเขตพื้นที่กรุงเทพมหานคร ตามโครงการอาสาสมัครประกันภัย ประจำปี 2567 โดยมีวัตถุประสงค์เพื่อเป็นการเพิ่มพูนความรู้ ทักษะ ให้แก่อาสาสมัครประกันภัยนำไปเผยแพร่ประชาสัมพันธ์ ช่วยเหลือประชาชนผู้มีสิทธิเรียกร้องตามสัญญาประกันภัย ตลอดจนสนับสนุนการปฏิบัติงานของสำนักงาน คปภ. จัดขึ้นเมื่อวันที่ 14 มีนาคม 2567 ณ ห้องแกรนด์ บอลรูม โรงแรมดิเอมเมอรัลด์ โฮเทล กรุงเทพมหานคร โดยบุคคลที่จะมาเป็นอาสาสมัครประกันภัยของสำนักงาน คปภ. ต้องผ่านการอบรมความรู้ด้านการประกันภัยและได้รับการขึ้นทะเบียน ซึ่งเป็นไปตามระเบียบสำนักงาน คปภ. ว่าด้วยอาสาสมัครประกันภัย พ.ศ. 2564 สำหรับการอบรมในครั้งนี้มีอาสาสมัครประกันภัยจากเขตพื้นที่กรุงเทพมหานคร รวม 50 เขต เข้ารับการอบรมทั้งสิ้น 122 คน โดยในภาคเช้าเป็นการบรรยายให้ความรู้เกี่ยวกับ พ.ร.บ. คุ้มครองผู้ประสบภัยจากรถ และการประกันภัยอุบัติเหตุ ส่วนภาคบ่ายเป็นการเสวนากรณีอุบัติเหตุรถทัวร์กรุงเทพ - นาทวี ตกถนนชนอัดต้นไม้ที่จังหวัดประจวบคีรีขันธ์ โดยวิทยากรจากสายคุ้มครองสิทธิประโยชน์ สายกำกับผลิตภัณฑ์ประกันภัย ฝ่ายสำนักนายทะเบียนคุ้มครองผู้ประสบภัยจากรถ อาสาสมัครประกันภัย และได้รับเกียรติจากนายชัยยุทธ มังศรี ที่ปรึกษาด้านกฎหมาย สำนักงาน คปภ. (อดีตรองเลขาธิการ ด้านกฎหมาย คดี และคุ้มครองสิทธิประโยชน์) เป็นผู้ดำเนินรายการ

รองเลขาธิการ ด้านกฎหมาย คดี และคุ้มครองสิทธิประโยชน์ กล่าวด้วยว่า สำนักงาน คปภ. เล็งเห็นความสำคัญของอาสาสมัครประกันภัยในการช่วยขับเคลื่อนภารกิจของสำนักงาน คปภ. โดยในปี 2567 ได้กำหนดเป้าหมายเพิ่มจำนวนอาสาสมัครประกันภัยที่ชัดเจน ด้วยการขยายเครือข่ายอาสาให้ครอบคลุมทุกอำเภอทั่วประเทศ รวม 928 อำเภอ รวมทั้งสิ้น 2,221 คน จากเดิมในปี 2566 มีอาสาสมัครประกันภัย 1,505 คน ดังนั้น อาสาสมัครประกันภัยจึงถือเป็นบุคคลที่มีศักยภาพและเป็นเครือข่ายที่สำคัญในการช่วยเผยแพร่ความรู้ให้ประชาชนได้เข้าใจ และเห็นประโยชน์ของการประกันภัย สามารถนำระบบประกันภัยไปใช้ในการบริหารความเสี่ยงภัยให้แก่ชีวิตและทรัพย์สินได้อย่างถูกต้องเหมาะสม สำนักงาน คปภ. จึงได้จัดให้มีการอบรมความรู้ทุกปี เพื่อเป็นการเพิ่มพูนความรู้และพัฒนาศักยภาพให้แก่อาสาสมัครประกันภัย ในการนำไปถ่ายทอดให้แก่ประชาชนในสังคมและชุมชน โดยมีเป้าหมายเดียวกันคือให้อุตสาหกรรมประกันภัยมีความมั่นคง มั่งคั่ง และยั่งยืน ตลอดจนคุ้มครองสิทธิประโยชน์ให้แก่ประชาชนด้านการประกันภัย สนับสนุนให้การประกันภัยเป็นอีกกลไกหนึ่งที่สำคัญในการขับเคลื่อนเศรษฐกิจของประเทศและเป็นเครื่องมือที่จำเป็นในการบริหารความเสี่ยงภัยทั้งชีวิต และทรัพย์สิน ได้อย่างเป็นรูปธรรม

“ผมขอชื่นชมและขอขอบคุณอาสาสมัครประกันภัยทุกท่านที่ได้มีส่วนช่วยสนับสนุน ขับเคลื่อนภารกิจงานของสำนักงาน คปภ. มาโดยตลอด ไม่ว่าจะเป็นด้านการส่งเสริมความรู้หรือช่วยเหลือประชาชนในเรื่องคุ้มครองสิทธิประโยชน์ด้านการประกันภัย ตลอดจนการเข้าร่วมในกิจกรรมต่าง ๆ ที่สำนักงาน คปภ. จัดขึ้น รวมทั้งการช่วยเหลือประชาชนผู้ประสบภัยกรณีอุบัติเหตุรายใหญ่ด้วยจิตอาสาอย่างแท้จริง” รองเลขาธิการ ด้านกฎหมายฯ กล่าวในตอนท้าย

นายชูฉัตร ประมูลผล เลขาธิการคณะกรรมการกำกับและส่งเสริมการประกอบธุรกิจประกันภัย (เลขาธิการ คปภ.) เปิดเผยว่า การประกอบธุรกิจประกันภัยต้องมีการวางหลักประกันและเงินสำรองประกันภัยให้เป็นไปตามพระราชบัญญัติประกันชีวิต/ประกันวินาศภัย พ.ศ. 2535 และที่แก้ไขเพิ่มเติม ซึ่งกฎหมายกำหนดให้บริษัทประกันภัยต้องนำหลักทรัพย์มาวางไว้กับนายทะเบียน เพื่อเป็นหลักประกันในการประกอบธุรกิจ นอกจากนี้ กฎหมายยังกำหนดให้บริษัทประกันชีวิตต้องจัดสรรเงินสำรองประกันภัยสำหรับกรมธรรม์ประกันภัยที่ยังมีความผูกพันอยู่ และบริษัทประกันวินาศภัยต้องจัดสรรเงินสำรองสำหรับเบี้ยประกันภัยที่ยังไม่ตกเป็นรายได้ของบริษัท (Unearned Premium Reserve : UPR) ให้ครบถ้วนตามกฎหมายกำหนด โดยให้นำหลักทรัพย์ซึ่งคิดเป็นมูลค่าร้อยละ 25 ของส่วนที่จัดสรรแล้วนั้นมาวางไว้กับสำนักงาน คปภ.

โดยข้อมูล ณ วันที่ 29 กุมภาพันธ์ 2567 บริษัทประกันภัย จำนวน 71 แห่ง ได้นำทรัพย์สินลงทุนของบริษัทประเภทพันธบัตรรัฐบาลไทย พันธบัตรธนาคารแห่งประเทศไทย พันธบัตรของรัฐวิสาหกิจ ตั๋วเงินคลังของกระทรวงการคลัง ตราสารหนี้อื่นที่ออกโดยกระทรวงการคลัง หุ้นกู้รัฐวิสาหกิจ หุ้นกู้บริษัทจำกัด หุ้น ตั๋วสัญญาใช้เงิน ตั๋วแลกเงิน และเงินฝากประจำ มาวางเป็นหลักทรัพย์ประกันและเงินสำรองประกันภัยไว้กับสำนักงาน คปภ. รวมจำนวนทั้งสิ้น 849,280.98 ล้านบาท แต่เนื่องจากหลักทรัพย์ดังกล่าวมีมูลค่าสูงและมีความสำคัญอย่างยิ่งต่อประชาชนและบริษัทประกันภัย สำนักงาน คปภ. จึงต้องดูแลรักษาด้วยความเข้มงวดปลอดภัย ดังนั้น เมื่อวันที่ 4 มีนาคม 2567 สำนักงาน คปภ. ได้ตรวจสอบความถูกต้องครบถ้วนของหลักทรัพย์ประกันและเงินสำรองประกันภัยเป็นที่เรียบร้อยแล้วจึงได้นำหลักทรัพย์ดังกล่าวไปฝากไว้กับธนาคารกรุงเทพ จำกัด (มหาชน) ในฐานะผู้รับฝากทรัพย์สิน (Custodian) เป็นผู้จัดเก็บและดูแลรักษาหลักทรัพย์ดังกล่าวด้วยความมั่นคงและปลอดภัยต่อไป

เลขาธิการ คปภ. กล่าวเพิ่มเติมว่า หลักทรัพย์หรือทรัพย์สินส่วนนี้สำนักงาน คปภ. จะรับวางเฉพาะทรัพย์สินที่มีสภาพคล่องค่อนข้างสูง โดยสำนักงาน คปภ. ได้ตรวจสอบมูลค่าของหลักทรัพย์อย่างสม่ำเสมอเพื่อให้บริษัทวางเงินดังกล่าวเป็นไปตามกฎหมายกำหนดอย่างเคร่งครัด

Page 1 of 21
X

Right Click

No right click