December 05, 2025

SCB WEALTH เปิดตัวกองทุน SCBGMLITE (A)เปิดขาย IPO วันที่18-25 พฤศจิกายนนี้ เงินลงทุนขั้นต่ำ 1,000 บาท โดย BlackRock เป็นผู้รับมอบหมายงานด้านการจัดการลงทุนของกองทุน เป็นกองทุนที่เน้นลงทุนแบบ Multi-Asset ออกแบบเพื่อนักลงทุนที่ต้องการพอร์ตที่มีความเสี่ยงเหมาะสมควบคู่โอกาสเติบโตในทุกสภาวะตลาด ด้วยโครงสร้างพอร์ตที่ผสมผสานการลงทุนในตราสารหนี้ หุ้น และสินทรัพย์ทางเลือก พร้อมระบบควบคุมความผันที่ช่วยให้พอร์ตเดินหน้าได้อย่างมีเสถียรภาพ โดยอาศัยความเชี่ยวชาญระดับโลกของ BlackRock ในการบริหารจัดการ นับเป็นอีกหนึ่งกองทุนที่ควรมีไว้ในพอร์ต เพื่อเสริมศักยภาพของพอร์ตในระยะยาว พร้อมเปิดโอกาสรับการเติบโตในทุกสภาวะตลาดจากการลงทุนที่มีคุณภาพระดับสากล

นายศรชัย สุเนต์ตา, CFA รองผู้จัดการใหญ่ ผู้บริหารสายงาน Wealth & Investment Product กลุ่มธุรกิจ Consumer Banking ธนาคารไทยพาณิชย์ เปิดเผยว่า SCB WEALTH ร่วมมือกับ BlackRock ในการพัฒนาโซลูชันการลงทุนให้นักลงทุนไทย เพื่อให้ตอบโจทย์ความต้องการของลูกค้าทุกกลุ่ม และเข้าถึงการลงทุนระดับโลกที่มีคุณภาพ โดยได้คัดสรรผลิตภัณฑ์การลงทุนที่เหมาะสำหรับผู้ลงทุนที่รับความเสี่ยงได้ไม่สูงมากนัก แต่มีโอกาสในการสร้างผลตอบแทนมากกว่าการลงทุนในตราสารหนี้ ธนาคารไทยพาณิชย์ในฐานะผู้สนับสนุนการขายและรับซื้อคืนหน่วยลงทุน จะเสนอขายหน่วยลงทุนครั้งแรก (IPO) กองทุนเปิดไทยพาณิชย์ Global Multi-Asset Core Portfolio Lite หรือ SCBGMLITE(A) ซึ่งจัดตั้งโดยบลจ.ไทยพาณิชย์ ระหว่างวันที่ 18-25 พฤศจิกายนนี้ เงินลงทุนขั้นต่ำ 1,000 บาท มูลค่าหน่วยลงทุนละ 10 บาท

กองทุน SCBGMLITE (A) มีนโยบายลงทุนในหน่วยลงทุนของกองทุนรวมต่างประเทศ เช่น หน่วย CIS หน่วยของกองทุน ETFที่ลงทุนในสินทรัพย์ต่างๆทั่วโลก กองทุนรวมอสังหาริมทรัพย์ หน่วยทรัสต์เพื่อการลงทุนในอสังหาริมทรัพย์ (REITs) กองทุนโครงสร้างพื้นฐาน เป็นต้น โดยกองทุนจะพิจารณาปรับสัดส่วนการลงทุนได้ตั้งแต่ร้อยละ 0 ถึงร้อยละ100 ของมูลค่ำทรัพย์สินสุทธิของกองทุนรวม ซึ่งการปรับส่วนลงทุนจะขึ้นอยู่กับดุลยพินิจของผู้จัดการกองทุนตามความเหมาะสมของสถานการณ์ในแต่ละช่วงเวลา ทั้งนี้บริษัทจัดการจะมอบหมายให้ BlackRock (Singapore) Limited เป็นผู้รับมอบหมายงานด้านการบริหารจัดการกองทุน

ในเบื้องต้นกองทุนจะลงทุนผ่านกองทุนรวมดัชนี (ETF) ซึ่งจะมีสภาพคล่องสูง รองรับการปรับพอร์ตได้รวดเร็ว ลงทุนได้มากกว่า10 สินทรัพย์ เช่น หุ้น ตราสารหนี้ รวมถึงสินทรัพย์ทางเลือกอย่าง ทองคำ REITและTIPs เป็นต้น

กองทุน SCBGMLITE (A) ได้ผสานการลงทุนในตราสารหนี้กับโอกาสสร้างผลตอบแทนจากหุ้น และสินทรัพย์ทางเลือก ส่งผลให้พอร์ตมีโอกาสเติบโต ขณะเดียวกันยังมีความเสี่ยงโดยรวมอยู่ในระดับที่เหมาะสมกับนักลงทุนที่รับความเสี่ยงได้ไม่สูงมากนัก ประกอบกับมีเครื่องมือ Liquid Alternative เข้ามาช่วยทดแทนความผันผวนในช่วงตลาดไม่นิ่ง ยิ่งมีโอกาสทำให้โครงสร้างพอร์ตมีเสถียรภาพมากขึ้น จึงเป็นโซลูชันที่ตอบโจทย์นักลงทุนที่ต้องการมองหาความสบายใจควบคู่โอกาสในการสร้างผลตอบแทนที่ดีบนความเสี่ยงที่รับได้ และเป็นอีกหนึ่งกองทุนที่ควรมีไว้ในพอร์ต เพื่อสร้างศักยภาพในระยะยาว พร้อมเปิดโอกาสรับการเติบโตในทุกสภาวะตลาด

 

คำเตือน

· การลงทุนมีความเสี่ยง ผู้ลงทุนควรทำความเข้าใจลักษณะสินค้า เงื่อนไขผลตอบแทน และความเสี่ยง รวมถึงควรขอคำแนะนำเพิ่มเติมจากผู้ประกอบธุรกิจก่อนตัดสินใจลงทุน

· กองทุนเปิดไทยพาณิชย์ Global Multi-Asset Core Portfolio Lite หรือ SCBGMLITE(A) ความเสี่ยงกองทุนระดับ 5 ความเสี่ยงปานกลางค่อนข้างสูง โปรดศึกษารายละเอียดข้อมูลกองทุนกับ บลจ.ไทยพาณิชย์อีกครั้ง

· กองทุนนี้ไม่เหมาะสมกับผู้ลงทุนที่ต้องการผลตอบแทนสมํ่าเสมอหรือต้องการรักษาเงินต้น ผู้ลงทุนโปรดศึกษาและลงทุนให้เหมาะกับระดับความเสี่ยงที่ยอมรับได้

· กองทุนไม่ได้ป้องกันความเสี่ยงอัตราแลกเปลี่ยนทั้งจำนวน ผู้ลงทุนอาจขาดทุน หรือได้รับกำไรจากอัตราแลกเปลี่ยน หรือได้รับเงินคืนต่ำกว่าเงินลงทุนเริ่มแรกได้

· กองทุนรวม SCBGMLITE(A) นี้บริหารจัดการการลงทุนในผลิตภัณฑ์ต่างประเทศโดย BlackRock ภายใต้สัญญาแต่งตั้งรับมอบหมายงานด้านการจัดการลงทุนเป็นไปตามที่ระบุในโครงการจัดการกองทุนโดยบลจ.ไทยพาณิชย์ ซึ่งผู้ถือหุ้นหลัก ได้แก่ ธนาคารไทยพาณิชย์ จำกัด (มหาชน)

· ผลการดำเนินงานในอดีตไม่ได้เป็นสิ่งยืนยันถึงผลการดำเนินงานในอนาคต

· ศึกษาข้อมูลกองทุนหลักและหนังสือชี้ชวนกองทุนที่ร่วมรายการเพิ่มเติมได้จาก website ของบริษัทหลักทรัพย์จัดการกองทุนรวม www.scbam.com

· สอบถามรายละเอียดและข้อมูลเพิ่มเติมได้ที่ SCB Call Center โทร. 02-777-7777

SCB WEALTH มองปีนี้ตลาดการเงินทั่วโลกผันผวนจากนโยบายการค้าของสหรัฐฯ และความไม่แน่นอนทางภูมิรัฐศาสตร์ แนะกลยุทธ์ลงทุนกองทุนลดหย่อนภาษีไม่เน้นจับจังหวะ แต่เน้นระยะเวลา และวินัยการลงทุน พร้อมชู 3 เมนูลงทุนเด็ดเสิร์ฟนักลงทุน 3 สไตล์ เมนูที่ 1 THE SIGNATURE CORE ธีมลงทุนแบบเน้นปกป้องเงินต้น เปี่ยมด้วยคุณภาพ เมนูที่ 2 THE PERFECT BLEND ธีมลงทุนแบบเน้นสมดุลอย่างลงตัว ระหว่างความมั่นคงและโอกาส และเมนูที่ 3 THE GROWTH BOOSTER ธีมลงทุนเพื่อโอกาสเติบโตอย่างต่อเนื่อง ควบคู่ไปกับความยั่งยืน ครอบคลุมทุกเป้าหมายการลงทุนตั้งแต่นักลงทุนรุ่นใหม่จนถึงวัยใกล้เกษียณ เพื่อโอกาสรับสิทธิลดหย่อนภาษี และโอกาสรับผลตอบแทนในระยะยาว

นายศรชัย สุเนต์ตา, CFA รองผู้จัดการใหญ่ ผู้บริหารสายงาน Wealth & Investment Product ธนาคารไทยพาณิชย์ เปิดเผยว่า ในปีนี้ถือเป็นปีที่ตลาดการเงินทั่วโลกเผชิญความผันผวน จากความไม่แน่นอนการดำเนินนโยบายของประธานาธิบดี โดนัลด์ ทรัมป์ ความขัดแย้งทางภูมิรัฐศาสตร์ทั้งในยุโรปและตะวันออกกลาง ปัญหาหนี้สาธารณะที่สูงในประเทศเศรษฐกิจหลัก และสินทรัพย์หลายประเภทปรับตัวขึ้นแรงจากความคาดหวังต่อการลดดอกเบี้ยของธนาคารกลางทั่วโลก โดยเฉพาะธนาคารกลางสหรัฐฯ (Fed ) จึงอาจทำให้นักลงทุนรอจังหวะในการเข้าลงทุน เนื่องจากสินทรัพย์หลายประเภทราคาได้ปรับตัวสูงขึ้นเป็นประวัติการณ์ แต่ที่สำคัญของการลงทุนในกองทุนลดหย่อนภาษี ประเด็นไม่ได้อยู่ที่การจับจังหวะตลาด แต่อยู่ที่ระยะเวลาการลงทุน และการสร้างวินัยทางการเงิน เพราะเป็นกองทุนที่ต้องลงทุนต่อเนื่องในระยะยาว เป็นเครื่องมือการสร้างความมั่งคั่งอย่างมีวินัย

"ตามข้อมูลของกรมกิจการผู้สูงอายุ จะพบว่า คนไทยมีแนวโน้มอายุยืนยาวขึ้น จากเดิมอายุขัยเฉลี่ยเคยอยู่ที่ 75 ปี แต่ในปี 2568 อายุขัยเฉลี่ยของคนไทย ปรับเพิ่มขึ้นมาอยู่ที่ 85 ปี หมายความว่า ช่วงที่มีความจำเป็นต้องใช้เงินหลังเกษียณยาวนานมากขึ้น ดังนั้น การลงทุนเพื่อเตรียมความพร้อมให้มีเงินเพียงพอสำหรับใช้จ่ายในช่วงเกษียณอายุจึงมีความจำเป็นอย่างมาก และการจัดพอร์ตลงทุนเพื่อเตรียมพร้อมสำหรับการเกษียณก็มีความสำคัญมากขึ้นเช่นกัน โดยนักลงทุนสามารถลงทุนผ่านกองทุนประเภทลดหย่อนภาษี ปรับสัดส่วนการลงทุนให้เหมาะสมกับช่วงอายุ และระยะเวลาที่เหลือในการทำงาน หรือมีรายได้ เช่น ช่วงเริ่มต้นวัยทำงาน ยังมีระยะเวลาในการลงทุนที่ยาว สามารถรับความผันผวนจากการลงทุนได้ เพื่อโอกาสในการรับผลตอบแทนที่สูงขึ้น แต่เมื่อใกล้ระยะเวลาเกษียณ ต้องเน้นการรักษามูลค่าเงินลงทุนมากขึ้น อาจปรับเปลี่ยนการลงทุน โดยเน้นสินทรัพย์เสี่ยงต่ำมากขึ้น เป็นต้น” นายศรชัย กล่าว

SCB WEALTH จึงได้ออกแบบ เมนูการลงทุนในกองทุนลดหย่อนภาษี เพื่อให้นักลงทุนเลือก 3 สไตล์ สอดคล้องกับความสามารถในการยอมรับความเสี่ยงของผู้ลงทุน

เมนูที่ 1 THE SIGNATURE CORE ธีมลงทุนแบบเน้นปกป้องเงินต้น เปี่ยมด้วยคุณภาพ โดยตราสารที่ลงทุนเป็นสินทรัพย์คุณภาพ (High-Quality Assets) เพื่อเสริมภูมิคุ้มกันรับมือความผันผวน เหมาะสำหรับผู้ลงทุนที่ต้องการลงทุนอย่างระมัดระวัง เพื่อเพิ่มความมั่นใจสำหรับเงินที่เตรียมไว้ใช้ในวัยเกษียณ โดยเฉพาะผู้ลงทุนที่ใกล้เกษียณ มีกองทุนแนะนำ 3 กองทุน ได้แก่ 1 ) กองทุน SCBTB(ThaiESGA) ความเสี่ยงระดับ 4 คือเสี่ยงปานกลางค่อนข้างต่ำ ซึ่งเน้นลงทุนในตราสารเพื่ออนุรักษ์สิ่งแวดล้อม (Green bond ) ตราสารเพื่อความยั่งยืน ( Sustainability bond) หรือตราสารส่งเสริมความยั่งยืน ที่มีการเปิดเผยข้อมูลตามที่ก.ล.ต. กำหนด ไม่น้อยกว่าร้อยละ 80 ของมูลค่าทรัพย์สินสุทธิของกองทุนรวม เป็นตราสารหนี้ชั้นดีภาครัฐและเอกชน พร้อมจุดแข็งการคำนึงถึงประเด็น สิ่งแวดล้อม สังคม และธรรมาภิบาล (ESG) ตอบโจทย์การลงทุนระยะยาว 2) กองทุน SCBRMMONEY ความเสี่ยงระดับ 1 คือ เสี่ยงต่ำ ลงทุนในตราสารหนี้ไทย ทั้งภาครัฐ และเอกชน อายุเฉลี่ย 1-3 เดือน และ 3)กองทุน SCBRM1 ความเสี่ยงระดับ 4 เน้นลงทุนในตราสารหนี้ระยะสั้นคุณภาพดี เพื่อโอกาสรับผลตอบแทนที่สูงกว่าเงินฝาก

เมนูที่ 2 THE PERFECT BLEND ธีมลงทุนแบบเน้นสมดุลอย่างลงตัว ระหว่างความมั่นคงและโอกาส มุ่งเน้นการลงทุนในสินทรัพย์ที่ช่วยเพิ่มโอกาสเติบโตของเงินลงทุน ควบคู่กับสินทรัพย์ที่ช่วยป้องกันความเสี่ยง เพื่อลดความผันผวนให้พอร์ตลงทุน เหมาะสำหรับผู้ลงทุนที่รับความเสี่ยงได้สูง แต่ต้องการสร้างความสมดุลให้กับโอกาสการเติบโตและความมั่นคงอย่างลงตัว โดยเฉพาะคนที่ทำงานมาระยะหนึ่งแล้ว คนที่มีครอบครัวต้องดูแล แนะนำ 3 กองทุนดังนี้ 1) กองทุน SCBTM(ThaiESG) ความเสี่ยงระดับ 5 คือเสี่ยงปานกลางค่อนข้างสูง ลงทุนในกองทุนผสมหุ้นไทยและตราสารหนี้ไทยที่ยั่งยืน แบบยืดหยุ่น ลดความผันผวน 2) กองทุน SCBRMWORLD(A) ความเสี่ยงระดับ 6 คือเสี่ยงสูง ลงทุนหุ้นขนาดใหญ่และ ขนาดกลางในกลุ่มประเทศที่พัฒนาแล้วทั่วโลก มุ่งสร้างผลตอบแทนให้ใกล้เคียงกับดัชนี MSCI World และ3)กองทุน SCBGOLDHRMF ความเสี่ยงระดับ 8 ลงทุนใน SPDR Gold Trust กองทุนทองคำแท่งที่ให้ผลตอบแทนใกล้เคียงราคาทองคำแท่งในตลาดโลก

เมนูที่ 3 THE GROWTH BOOSTER ธีมลงทุนเพื่อโอกาสเติบโตอย่างต่อเนื่อง ควบคู่ไปกับความยั่งยืน ซึ่งมุ่งเน้นการลงทุนที่โดดเด่นเรื่องโอกาสเติบโตอย่างยั่งยืน ผ่านการลงทุนในสินทรัพย์เสี่ยงเช่น ตลาดหุ้น เหมาะสำหรับผู้ลงทุนที่รับความเสี่ยงได้สูง โดยเฉพาะกลุ่มที่เริ่มทำงานไม่นาน มีเวลาสำหรับการลงทุนได้อีกในระยะยาว แนะนำ 3 กองทุน ได้แก่ 1) กองทุน SCBTM(ThaiESG) ความเสี่ยงระดับ 5 ลงทุนในกองทุนผสมหุ้นไทย และตราสารหนี้ไทยที่ยั่งยืน แบบยืดหยุ่น ลดความผันผวน 2) กองทุน SCBRMS&P500 ความเสี่ยงระดับ 6 ลงทุนเพื่อสร้างผลตอบแทนให้ใกล้เคียงกับดัชนี S&P 500 ซึ่งเป็นดัชนีที่สะท้อนราคาหุ้นของบริษัทขนาดใหญ่ 500 แห่งในสหรัฐฯ และ 3)กองทุน SCBRMNDQ ความเสี่ยงระดับ 6 ลงทุนเพื่อสร้างผลตอบแทนให้ใกล้เคียงกับดัชนี NASDAQ 100 ซึ่งสะท้อนราคาหุ้นของบริษัทเทคโนโลยีและนวัตกรรมชั้นนำ 100 แห่งในสหรัฐฯ

การนำเสนอเมนูการลงทุนลดหย่อนภาษีที่ออกแบบให้ตอบโจทย์ทุกความต้องการของลูกค้า เพื่อให้บรรลุเป้าหมายการลงทุนเพื่อการออมเงินในระยะยาว และเป็นทางเลือกการลงทุนที่ให้ทั้งผลตอบแทน และสิทธิลดหย่อนภาษี ช่วยให้ผู้ลงทุนสร้างวินัยทางการเงินเพื่อความมั่นคงในวัยเกษียณในแบบที่ต้องการ ” นายศรชัย กล่าว

สำหรับเงื่อนไขการลงทุนกองทุน ThaiESG นับตั้งแต่ปี 2567-2569 ซื้อได้ไม่เกิน 30% ของรายได้ที่ต้องเสียภาษีต่อปี และไม่เกิน 300,000 บาท ไม่จำเป็นต้องลงทุนต่อเนื่องทุกปี แต่ต้องถือครองไม่น้อยกว่า 5 ปี นับจากวันที่ซื้อ (แบบวันชนวัน) ไม่มียอดซื้อขั้นต่ำ ส่วนกองทุน RMF ซื้อได้ไม่เกิน 30% ของรายได้ที่ต้องเสียภาษีต่อปี และไม่เกิน 500,000 บาท เมื่อรวมกับกองทุนการออมเพื่อการเกษียณอื่นๆ ได้แก่ กองทุนสำรองเลี้ยงชีพ กองทุนบำเหน็จบำนาญข้าราชการ ประกันชีวิตแบบบำนาญ กองทุนสงเคราะห์ครูโรงเรียนเอกชน และกองทุนการออมแห่งชาติ โดยต้องลงทุนต่อเนื่องทุกปี แต่เว้นได้ไม่เกิน 1 ปีติดต่อกัน ไม่สามารถขายคืนหน่วยลงทุนได้จนกว่าอายุครบ 55 ปีบริบูรณ์ และต้องลงทุนต่อเนื่องไม่น้อยกว่า 5 ปีเต็ม ลงทุนในปีใดสามารถใช้สิทธิลดหย่อนภาษีในปีนั้นได้

หมายเหตุ : คำแนะนำการลงทุนจาก SCB CIO และข้อมูลผลิตภัณฑ์โดย Investment Product Selection ณ วันที่ 4 พ.ย. 2568 ทั้งนี้ ข้อมูลอาจมีการเปลี่ยนแปลงได้ในแต่ละขณะเวลา ผู้ใช้ข้อมูลควรใช้ความระมัดระวังในการตัดสินใจลงทุน

คำเตือน

· การลงทุนมีความเสี่ยง ผู้ลงทุนควรทำความเข้าใจลักษณะสินค้า เงื่อนไข ผลตอบแทน ความเสี่ยง และศึกษาสิทธิประโยชน์ทางภาษีที่ระบุไว้ในคู่มือการลงทุนของกองทุน RMF, Thai ESG ก่อนตัดสินใจลงทุน เงื่อนไขการใช้สิทธิประโยชน์ทางภาษีต้องเป็นไปตามกฎหมายและประกาศที่กรมสรรพากรกำหนด กรณีไม่ได้ปฏิบัติตามเงื่อนไขทางภาษี จะไม่ได้สิทธิประโยชน์ทางภาษีตามที่กฎหมายกำหนด

· กองทุนที่มีความเสี่ยงด้านอัตราแลกเปลี่ยนและไม่ได้ป้องกันความเสี่ยงอัตราเปลี่ยนทั้งจำนวนผู้ลงทุนอาจขาดทุนหรือได้รับกำไรจากอัตราแลกเปลี่ยนหรือได้รับเงินคืนต่ำกว่าเงินลงทุนเริ่มแรกได้

· ศึกษาข้อมูลกองทุนและหนังสือชี้ชวนกองทุนเพิ่มเติมได้จากwebsite บริษัทหลักทรัพย์จัดการกองทุน ไทยพาณิชย์ จำกัด และแอป SCB EASY หรือสอบถามรายละเอียดเพิ่มเติมได้ที่SCB Call Center โทร. 02-777-7777

SCB WEALTH จัดงานเสวนาออนไลน์ ผ่านทาง SCB WEALTH Line official ในหัวข้อ “ผ่าทางรอดเศรษฐกิจไทย รับ 2 ผู้นำใหม่” ทั้งรัฐบาลและผู้ว่าการธนาคารแห่งประเทศไทย โดยการผนึกกำลังกับทีม Holistic ได้แก่ SCB EIC, SCB FM, SCB CIO และ InnovestX เพื่อให้ข้อมูลที่เป็นประโยชน์ต่อการตัดสินใจลงทุนสำหรับลูกค้า SCB WEALTH และนักลงทุนทั่วไป โดย SCB EIC มองรัฐบาลใหม่เผชิญความท้าทายจากเศรษฐกิจไทยโตต่ำ คาด GDP ทั้งปีโตเพียง 1.8% และไตรมาส4 คาดว่าโตไม่ถึง1% แนะรัฐบาลควรดำเนินการ 3S พร้อมกัน คือ Stability -Stimulate และStructure Reform เพื่อเรียกความเชื่อมั่นกลับมา ขณะที่ นโยบาย Quick Big Win สะท้อนความตั้งใจกระตุ้นสั้น ได้ผลยาว กระจายตัว แต่ยังต้องจับตาผลทางเศรษฐกิจที่จะเกิดขึ้นจริง ส่วนการปิดหน่วยงานรัฐบาลสหรัฐฯ รอบล่าสุดเสี่ยงยืดเยื้อและกระทบเศรษฐกิจสหรัฐฯ มากกว่าในอดีต เศรษฐกิจไทยอาจได้รับผลกระทบตามมาได้ผ่านการส่งออกและความผันผวนของตลาดการเงิน InnovestX เผยมองเป้าหมายดัชนีตลาดหุ้นไทยปีหน้า 1,350-1,400 จุด โดยการมีนายกฯ และครม.ใหม่ จะนำไปสู่นโยบายกระตุ้นเศรษฐกิจในระยะสั้น โดยกลุ่มหุ้นที่ได้ประโยชน์นโยบายรัฐบาลใหม่ กลุ่มค้าปลีก พาณิชย์ เครื่องดื่ม ร้านอาหาร กลุ่มการเงิน กลุ่มท่องเที่ยว สายการบิน โรงแรม และกลุ่มรับเหมาก่อสร้าง SCB FM ประเมินเงินบาทสิ้นปีนี้ อยู่ที่ระดับ 31.25-32.25 บาทต่อดอลลาร์สหรัฐฯ โดยเงินบาทมีแรงกดดันที่ทำให้อ่อนค่าในระยะสั้น แต่มีแรงกดดันที่ทำให้แข็งค่าในระยะยาว แนะนำผู้ประกอบการป้องกันความเสี่ยงอัตราแลกเปลี่ยนก่อนบาทอ่อนแตะ 33 บาทต่อดอลลาร์สหรัฐฯ SCB CIO แนะนำจัดพอร์ตลงทุนเน้นตลาดหุ้นและตราสารหนี้โลกเป็นหลัก แต่การเปลี่ยนตัวผู้นำใหม่ของไทย เพิ่มโอกาสลงทุนในตลาดหุ้นไทย โดยสามารถลงทุนเป็นส่วนหนึ่งของพอร์ตหลักได้ เน้นกลุ่มที่รับประโยชน์นโยบายรัฐ หรือกลุ่มหุ้นปันผลสูง Property Fund และ REITs

ดร.ฐิติมา ชูเชิด ผู้อำนวยการอาวุโส ผู้บริหารฝ่ายวิจัยเศรษฐกิจมหภาค SCB EIC ธนาคารไทยพาณิชย์ เปิดเผยว่า รัฐบาลชุดใหม่ของไทยต้องเข้ามารับมือความท้าทายจากเศรษฐกิจไทยที่โตต่ำ โดย SCB EIC คาดการณ์ GDP ไทย ปี 2568 จะโตเพียง 1.8% โดยเฉพาะไตรมาส 4 คาดว่าจะโตไม่ถึง 1% ขณะที่เครื่องยนต์เศรษฐกิจหลักยังอ่อนแรง ทั้งการบริโภค และการลงทุน ส่วนในปี 2569 ผลกระทบจากภาษีนำเข้าของประธานาธิบดี โดนัลด์ ทรัมป์ จะส่งผลเต็มปี ทำให้การส่งออกติดลบ ในสถานการณ์นี้ SCB EIC มองว่า รัฐบาลควรดำเนินการ 3 ด้าน (3S) พร้อมกัน ได้แก่ สร้างความมีเสถียรภาพ (Stability) กระตุ้นเศรษฐกิจ (Stimulate) และปฏิรูปโครงสร้าง (Structure Reform)

 สำหรับระยะสั้น รัฐบาลต้องเรียกความเชื่อมั่นผู้บริโภค นักธุรกิจ นักลงทุน และนักท่องเที่ยวกลับมา เร่งการเบิกจ่ายในไตรมาส 4 และกระตุ้นอุปสงค์ ผ่านชุดนโยบายที่จะออก ขณะที่มีการดำเนินนโยบายการเงินผ่อนคลายควบคู่กัน ส่วนระยะกลาง ต้องเร่งเพิ่มความสามารถการแข่งขันของประเทศ มีนโยบายที่ทำให้นักธุรกิจและแรงงานเก่งขึ้น ปฏิรูปการคลัง และเร่งสื่อสารเชิงรุก ซึ่งเมื่อพิจารณานโยบายเศรษฐกิจ Quick Big Win ของรัฐบาล พบว่า มีมาตรการระยะสั้นที่สำคัญ ได้แก่ การเพิ่มรายได้และลดรายจ่าย เช่น โครงการคนละครึ่ง Plus การเติมเงินในบัตรสวัสดิการ การลดค่าเดินทางและพลังงาน การแก้หนี้ประชาชน ช่วยหนี้รายย่อยในระบบไม่เกิน 100,000 บาท ได้ประมาณ 1 ล้านคน ด้วยวงเงินที่ยังเหลือจากมาตรการปรับลดอัตราสมทบที่สถาบันการเงินต้องนำส่งกองทุนเพื่อการฟื้นฟูและพัฒนาระบบสถาบันการเงิน (FIDF) และการเพิ่มสภาพคล่องให้ SME ส่วนมาตรการระยะยาวที่สำคัญ คือ การประกาศเป้าหมายปล่อยก๊าซเรือนกระจกสุทธิเป็นศูนย์ (Net Zero) เร็วขึ้น 15 ปี จากปี 2608 เป็นปี 2593 การปฏิรูปกฎหมาย แก้ผลกระทบสงครามการค้า และการอำนวยความสะดวกการลงทุนจากต่างชาติ ซึ่งสะท้อนว่า รัฐบาลมีความตั้งใจจะเร่งดำเนินนโยบายเพื่อให้เกิดผล Quick (กระตุ้นสั้น) Big (ได้ผลยาว) Win (กระจายตัวทั่วถึง) ทั้ง 3 ด้านพร้อมกัน แต่รัฐบาลจะอยู่เพียง 4 เดือน จากนั้นจะยุบสภา และอาจรักษาการต่ออีก 4 เดือน จึงต้องจับตาว่าจะเห็นผลทางเศรษฐกิจได้มากเพียงใด

 

ทั้งนี้ SCB EIC มองว่า รัฐบาลมีกระสุนจำกัด จากการคลังที่มีข้อจำกัดการกู้ยืม หากรัฐบาลขาดดุลงบประมาณสูง 3-4% ต่อ GDP ต่อเนื่อง หนี้สาธารณะอาจเกินเพดาน 70% ภายในปี 2570 ซึ่งรัฐมนตรีคลังก็เล็งเห็นความจำเป็นในการปฏิรูปการคลัง ส่วนประเด็นกำลังซื้อฐานรากอ่อนแอ รายได้ของแรงงานและ SME กลุ่มล่างยังไม่ฟื้นตัว อาจทำให้นโยบายที่ใส่เม็ดเงินเข้าไปทำได้เพียงช่วยลดรายจ่ายหรือเพิ่มสภาพคล่อง แต่ยากที่จะกระตุ้นให้เกิดการใช้จ่ายเพิ่มขึ้นอย่างมีนัยสำคัญ นอกจากนี้ ไทยยังเผชิญความเสี่ยงจากปัจจัยต่างประเทศ จากการปิดทำการของหน่วยงานรัฐบาลสหรัฐฯ (US Government Shutdown) ซึ่งเป็นความไม่แน่นอนเพิ่มเติมที่มากดดันเศรษฐกิจโลก โดยที่คาดว่า Shutdown ครั้งนี้อาจยืดเยื้อยาวนานกว่าในอดีตที่ Shutdown เฉลี่ย 4 วัน มีการพูดถึงการปลดพนักงานรัฐมากถึง 750,000 คน ซึ่งมากขึ้นอีกเท่าตัวของตัวเลขสูงสุดในอดีต และขู่ว่าอาจไม่จ่ายเงินย้อนหลังให้ ฉะนั้นอาจมีความเสี่ยงที่จะส่งผลกระทบเศรษฐกิจสหรัฐฯ มากกว่าเดิม โดยหากเศรษฐกิจสหรัฐฯ ได้รับผลกระทบ ไทยจะได้รับผลกระทบผ่านการส่งออกและตลาดการเงินด้วย

 

นายสุทธิชัย คุ้มวรชัย Head of Research Department บล. อินโนเวสท์ เอกซ์ จำกัด (InnovestX) กล่าวว่า InnovestX มองเป้าหมายดัชนีตลาดหุ้นไทย (SET Index) ปี 2569 อยู่ระหว่าง 1,350-1,400 จุด โดยประเมินจากระดับ P/E Ratio ที่ประมาณ 14.5 เท่า ซึ่งอยู่ในกรอบปกติจากค่าเฉลี่ยในอดีตอยู่ที่ 14-16 เท่า โดยการแต่งตั้งนายกรัฐมนตรีและคณะรัฐมนตรีอย่างรวดเร็วทำให้ตลาดมีความเชื่อมั่นมากขึ้น ซึ่งจากสถิติในอดีตหลังแต่งตั้งนายกฯ 1 เดือน ตลาดหุ้นไทยมักปรับขึ้นประมาณ 2.5-5% จากความคาดหวังว่านโยบายรัฐบาลใหม่จะช่วยผลักดันเศรษฐกิจไทยโตดีขึ้นได้

 เมื่อพิจารณาปัจจัยสนับสนุนดัชนีตลาดหุ้นไทยในช่วงที่ผ่านมา ได้แก่ ด้านปัจจัยภายนอก ตลาดคลายความกังวลผลกระทบนโยบายภาษีนำเข้าของสหรัฐฯ ต่อเศรษฐกิจไทย ในระยะสั้น จากอัตราภาษีที่เรียกเก็บอยู่ในระดับเดียวกับประเทศตลาดเกิดใหม่ด้วยกัน และไม่ได้สูงเท่าระดับก่อนการเจรจา ด้านนโยบายการเงินโลก ธนาคารกลางสหรัฐฯ (Fed) มีแนวโน้มปรับลดดอกเบี้ย ซึ่งจะทำให้เงินดอลลาร์สหรัฐฯ มีแนวโน้มอ่อนค่า เป็นปัจจัยบวกต่อตลาดหุ้นเกิดใหม่ รวมถึงตลาดหุ้นไทย ด้านปัจจัยในประเทศ เงินเฟ้อที่ไม่สูง และเศรษฐกิจเติบโตค่อนข้างต่ำ นโยบายการเงินน่าจะมีการลดดอกเบี้ยได้ ซึ่งจะช่วยลดต้นทุนการเงิน ทำให้มีการประเมินราคาหุ้นเพิ่มขึ้น (P/E expansion) ได้

 หากวิเคราะห์กลุ่มอุตสาหกรรมที่ได้ประโยชน์จากนโยบายรัฐบาลใหม่ คาดว่ามาตรการคนละครึ่ง Plus จะส่งผลชัดเจนที่สุดในการกระตุ้นกำลังซื้อ โดยกลุ่มที่ได้ประโยชน์ คือ กลุ่มค้าปลีก พาณิชย์ เครื่องดื่ม และร้านอาหาร เนื่องจากขนาดการใช้จ่ายไม่สูงมาก ส่วนมาตรการแก้หนี้ หากทำสำเร็จและลดภาระหนี้ได้ กำลังซื้อจะกลับมา ซึ่งจะส่งผลดีกับกลุ่มค้าปลีก ขณะที่การพักชำระหนี้อาจช่วยให้คุณภาพสินทรัพย์ดีขึ้น ให้ประโยชน์กับภาคการเงิน ส่วนมาตรการด้านท่องเที่ยว การกระตุ้นท่องเที่ยวเมืองรองและการให้ผู้ประกอบการท่องเที่ยวนำเงินที่ปรับปรุงกิจการ (Renovate) มาลดหย่อนภาษีได้ จะเป็นผลบวกต่อ กลุ่มท่องเที่ยว สายการบิน โรงแรม และค้าปลีก ด้านโครงการลงทุนโครงสร้างพื้นฐานขนาดใหญ่ เช่น โครงการพัฒนาโครงสร้างพื้นฐานด้านการคมนาคมขนส่งเพื่อพัฒนาระเบียงเศรษฐกิจภาคใต้ (Land Bridge) และรถไฟรางคู่ ด้วยอายุรัฐบาลที่ไม่ได้อยู่ยาว ทำให้รัฐบาลอาจเป็นเพียงผู้วางกรอบ ให้รัฐบาลถัดไปสานต่อมากกว่า จึงเป็นประโยชน์ในเชิง Sentiment ต่อกลุ่มรับเหมาก่อสร้าง

 นายวชิรวัฒน์ บานชื่น นักกลยุทธ์ตลาดการเงินอาวุโส SCB Financial Markets (SCB FM) ธนาคารไทยพาณิชย์ กล่าวว่า กล่าวว่า ในช่วงนี้ เงินบาทอ่อนค่าลงเร็ว จากที่กลางเดือน ก.ย. เคยแข็งค่า เนื่องจาก แม้จะมี US Government Shutdown ที่ตามตำราควรทำให้เงินดอลลาร์สหรัฐฯ อ่อนค่า แต่จากการที่ตลาดขาดตัวเลขเศรษฐกิจของรัฐบาลสหรัฐฯ จึงไปให้ความสำคัญตัวเลขภาคเอกชน ที่ออกมาค่อนข้างดี และให้ความสำคัญกับนโยบายการเงิน ที่คณะกรรมการ Fed ส่งสัญญาณความกังวลเรื่องเงินเฟ้อ ไม่รีบลดดอกเบี้ย จึงหนุนให้อัตราผลตอบแทนพันธบัตรรัฐบาล (Bond Yield) ของสหรัฐฯเพิ่มขึ้น ทำให้เงินดอลลาร์สหรัฐฯ กลับมาแข็งค่า อีกประเด็นมาจาก การซื้อทองคำ โดยปกติเมื่อราคาทองคำปรับขึ้น นักลงทุนมักขายทำกำไร ถือเงินบาท แต่ช่วง 2 สัปดาห์ที่ผ่านมา ผู้ลงทุนมีพฤติกรรมเปลี่ยนไป เมื่อราคาทองคำปรับขึ้น กลับเข้าซื้อทองคำเพิ่ม เพราะมองว่าราคาจะขึ้นต่อ จึงกดดันเงินบาทอ่อนค่า

 ทั้งนี้ ในระยะสั้น ยังมีแรงกดดันให้เงินบาทอ่อนค่าอยู่ โดยกรณีที่ US Government Shutdown ยังดำเนินต่อไป ตลาดจะไปให้ความสำคัญปัจจัยที่ Fed อาจยังไม่ลดดอกเบี้ยแรง ถ้าตัวเลขเศรษฐกิจสหรัฐฯ ไม่ได้ออกมาแย่ ตลาดจะยังไม่กังวลประเด็นด้านเศรษฐกิจนัก หรือกรณี US Government Shutdown จบเร็ว ก่อนตัวเลขสำคัญของสหรัฐฯ ออกมา โดย เงินบาทมีโอกาสทดสอบใกล้ระดับ 33 บาทต่อดอลลาร์สหรัฐฯ ได้ ส่วนในระยะยาว เงินบาทมีแนวโน้มเผชิญแรงกดดันด้านแข็งค่า จากส่วนต่างอัตราดอกเบี้ยระหว่างไทยและสหรัฐฯ ที่แคบลง แม้ผู้ว่าการธนาคารแห่งประเทศไทย (ธปท.) คนใหม่ มีมุมมอง Dovish เน้นการดำเนินนโยบายการเงินที่ผ่อนคลาย คาดว่า ธปท. จะลดดอกเบี้ย 2 ครั้ง โดยลดปลายปีนี้ 1 ครั้ง และต้นปีหน้าอีก 1 ครั้ง แต่อาจจะน้อยกว่า Fed ที่คาดว่าจะลดดอกเบี้ย 4 ครั้ง โดยลดในปีนี้อีก 2 ครั้ง และปีหน้าอีก 2 ครั้ง นอกจากนี้ ยังมีปัจจัยจากสกุลเงินอื่นที่เป็นสกุลเงินหลักของโลก เช่น เงินยูโร ที่อ่อนค่า จากประเด็นความกังวลทางการเมือง แต่มองไปข้างหน้าคาดว่า เงินยูโรจะกลับมาแข็งค่าจากแผนการใช้จ่ายภาครัฐเพิ่มเติมของเยอรมนี ซึ่งจะทำให้เงินดอลลาร์สหรัฐฯ อ่อนค่า เงินบาทก็จะแข็งค่าขึ้นตาม และอีกประเด็นคือ เงินทุนเคลื่อนย้าย เมื่อเงินดอลลาร์สหรัฐฯ อ่อนค่า ก็จะดึงดูดเงินทุนไหลมายังตลาดเกิดใหม่เอเชีย

ทั้งนี้ นายวชิรวัฒน์คาดว่า ปลายปีนี้ เงินบาทจะอยู่ที่ประมาณ 31.25 – 32.25 บาทต่อดอลลาร์สหรัฐฯ จึงแนะนำผู้ส่งออกป้องกันความเสี่ยงอัตราแลกเปลี่ยนทำ Hedging หรือ Forward เมื่อเงินบาทอ่อนค่าใกล้ 33 บาทต่อดอลลาร์สหรัฐฯ ไม่ควรรอให้ทะลุ 33 บาทต่อดอลลาร์สหรัฐฯ ขณะที่ช่วงที่ผ่านมาความผันผวนของค่าเงินลดลง ทำให้ต้นทุนการซื้อสิทธิที่จะซื้อหรือขายเงินตราต่างประเทศ (FX Options) ถูกลง ดังนั้น ทั้งผู้ส่งออกและผู้นำเข้าอาจพิจารณาทำ Options นอกจากนี้ อาจพิจารณาเปิดบัญชีเงินฝากเงินตราต่างประเทศ (Foreign Currency Deposit : FCD) เพื่อรับดอกเบี้ยสกุลต่างประเทศที่สูงกว่า หรือพิจารณาผลิตภัณฑ์การลงทุน Dual Currency Investment : DCI หุ้นกู้ที่มีอนุพันธ์แฝง ที่ออกแบบมาเพื่อผู้ลงทุนที่ต้องการใช้สกุลเงินต่างประเทศในอนาคต และแนวทางสุดท้าย อาจพิจารณาทำธุรกรรมการค้าโดยใช้สกุลเงินท้องถิ่นของคู่ค้าโดยตรง เช่น เยน หยวน หรือยูโร เพื่อลดความผันผวนเมื่อเทียบกับดอลลาร์สหรัฐฯ และลดต้นทุนการแปลงสกุลเงินด้วย

 น.ส.นิสารัตน์ ชมภูพงษ์ ผู้อำนวยการฝ่ายให้คำปรึกษาด้านความมั่งคั่งและการลงทุน SCB CIO ธนาคารไทยพาณิชย์ กล่าวว่า การที่เราได้ผู้นำใหม่ทั้งนายกฯ และผู้ว่าการ ธปท. รวมทั้งการจัดตั้งรัฐบาลที่มีรัฐมนตรีคนนอกมากขึ้น ทำให้ตลาดการลงทุนในไทยมี Sentiment ที่ดีขึ้นมาก จากความคาดหวังว่า นโยบายการคลังและการเงินน่าจะประสานกันมากขึ้น และแม้รัฐบาลมีอายุเพียง 4 เดือน แต่นโยบายเศรษฐกิจเป็นเรื่องที่รัฐบาลยกขึ้นมาเป็นเรื่องเร่งด่วน โดยเฉพาะนโยบาย Quick Big Win เช่น คนละครึ่ง Plus และการเติมเงินบัตรสวัสดิการ จะช่วยลดรายจ่ายและค่าครองชีพให้ประชาชน หนุน GDP ไตรมาส 4 ปรับตัวเป็นบวกได้ ส่วนนโยบายการเงินที่ ธปท. ในส่วนของ มาตรการตั้ง AMC คาดว่าจะช่วยแก้ปัญหาหนี้ครัวเรือนไทย ผ่อนคลายปัญหาให้กลุ่มคน 3.4 ล้านคนที่เป็นหนี้ได้ ขณะที่ คาดว่า ธปท. มีโอกาสปรับลดดอกเบี้ยเหลือ 1.25% ภายในปลายปีนี้ และมีโอกาสลดดอกเบี้ยเหลือ 1.00% ได้ ช่วงต้นปีหน้า โดยที่ปัญหาเงินฝืดของไทยที่ ผู้ว่าการ ธปท. คนใหม่ กล่าวถึง เป็นปัจจัยที่ทำให้มี Policy Space ในการลดดอกเบี้ยเพื่อกระตุ้นเศรษฐกิจได้

สำหรับมุมมองการลงทุน ในไทยนั้น เรามองว่า ตลาดหุ้นไทยเริ่มมี Sentiment ที่ดีขึ้นจากผู้นำใหม่ ประกอบกับกำไรต่อหุ้น (EPS) ของบริษัทจดทะเบียนเริ่มเห็นการหยุดปรับลดประมาณการลง ทำให้มีโอกาสจะปรับตัวขึ้นตามตลาดโลกได้ จากที่ก่อนหน้านี้ยังทำผลงาน Laggard ตลาดหุ้นโลกอยู่ ส่วนตลาดตราสารหนี้ไทย ในปีนี้ เป็นตลาดที่ให้ผลตอบแทนได้ค่อนข้างดี โดยราคาสะท้อนแนวโน้มการปรับลดดอกเบี้ยลงไปค่อนข้างมากแล้ว แม้ช่วงสั้น Bond yield จะมีการปรับตัวเพิ่มขึ้นบ้างจากการที่ Fitch ปรับมุมมองของไทยจากมีเสถียรภาพเป็นลบ แต่ยังคง Rating ไว้ที่ระดับเดิมจากความกังวลเสถียรภาพทางการเมือง และเศรษฐกิจไทยที่เติบโตช้า สำหรับในภาพระยะถัดไปที่อัตราดอกเบี้ยนโยบายมีโอกาสปรับตัวลดลงได้อีก ยังหนุนโอกาสการลงทุนในตลาดตราสารหนี้ไทย เพียงแต่โอกาสรับผลตอบแทนส่วนเพิ่มจากราคา อาจมีไม่มากแล้ว เนื่องจาก Bond Yield ปรับลดไปมากแล้วก่อนหน้านี้

 ในแง่การจัดสรรสินทรัพย์ลงทุน เรามองว่า นักลงทุนยังควรให้น้ำหนักการลงทุนไปที่ตลาดหุ้นและตราสารหนี้โลกเป็นหลัก ในพอร์ตการลงทุนหลัก (Core Portfolio) เนื่องจาก GDP ตลาดโลกน่าจะดีกว่าตลาดไทย การเติบโตของกำไรบริษัทจดทะเบียนในตลาดโลกก็น่าจะยังสูงกว่าตลาดหุ้นไทย นอกจากนี้การลงทุนในตลาดโลกยังช่วยให้เราได้เข้าถึงแนวโน้มการเปลี่ยนแปลงเชิงโครงสร้าง (Structural Change) ที่เป็นพลังขับเคลื่อนระยะยาว มีอุตสาหกรรมแนวหน้า และบริษัทชั้นนำค่อนข้างมาก เช่น AI, Data Center และ Cloud ซึ่งเป็นธุรกิจสำหรับอนาคต ซึ่งบริษัทจดทะเบียนในไทย มีสัดส่วนในด้านเหล่านี้ไม่มาก อย่างไรก็ตามสามารถลงทุนตลาดหุ้นไทยเป็นส่วนหนึ่งในพอร์ตหลักได้

 สำหรับตลาดตราสารหนี้โลก ยังมีความน่าสนใจ จากการที่ดอกเบี้ย Fed ยังอยู่ในระดับสูงที่ 4-4.25% โดยหากลงทุนในช่วงเวลานี้ นอกจากจะมีโอกาสรับผลตอบแทนจากอัตราดอกเบี้ยที่สูงแล้ว ยังมีโอกาสได้รับผลตอบแทนส่วนเพิ่ม (Capital Gain) จาก Bond Yield ที่มีโอกาสปรับลดลงตามแนวโน้มการลดดอกเบี้ยของ Fed ในปีนี้ และปีหน้าด้วย ดังนั้นหากนักลงทุนรับความเสี่ยงได้เพิ่มขึ้น แนะนำให้แบ่งสัดส่วนเงินลงทุนไปยังตราสารหนี้โลกได้

กลยุทธ์ลงทุนหาผลตอบแทนส่วนเพิ่มนั้น เรายังชอบ ตลาดหุ้นสหรัฐฯ ที่น่าจะเติบโตได้ดี จาก ธีม AI รวมถึงตลาดหุ้นญี่ปุ่น ที่มีการปฏิรูปเชิงโครงสร้าง และการได้ผู้นำใหม่ น่าจะช่วยให้เศรษฐกิจปรับตัวดีขึ้น ขณะที่ เงินดอลลาร์สหรัฐฯ ที่มีแนวโน้มอ่อนค่า จะทำให้ตลาดหุ้นเกิดใหม่เอเชียได้ประโยชน์ โดยในส่วนของตลาดหุ้นไทย มีโอกาสหาผลตอบแทนส่วนเพิ่มได้ ระยะสั้นต้องเลือกลงทุนในกลุ่มที่ได้ประโยชน์จากนโยบายรัฐบาล เช่น กลุ่มค้าปลีก หรือ กลุ่มการเงิน ส่วนระยะยาว ตลาดหุ้นไทยน่าสนใจในแง่ระดับเงินปันผลที่สูงประมาณ 3.5% โดยให้เลือกลงทุนในหุ้นปันผลสูง หรือกองทุนรวมอสังหาริมทรัพย์ และทรัสต์เพื่อการลงทุนในอสังหาริมทรัพย์ (REITs) ที่อัตราเงินปันผลระดับสูง เฉลี่ยที่ 8-9% ได้

 หมายเหตุ : เอกสารนี้จัดทำขึ้น ณ วันที่ 14 ต.ค. 2568

คำเตือน· การลงทุนมีความเสี่ยง ผู้ลงทุนควรทำความเข้าใจลักษณะสินค้า เงื่อนไขผลตอบแทน และความเสี่ยง รวมถึงควรขอคำแนะนำเพิ่มเติมจากผู้ประกอบธุรกิจก่อนตัดสินใจลงทุน

· สอบถามรายละเอียดเพิ่มเติมได้ที่ SCB Call Center โทร. 02-777-7777

SCB WEALTH ร่วมกับ BlackRock คัดสรรผลิตภัณฑ์ลงทุนให้ตอบโจทย์นักลงทุนในจังหวะค่าเงินดอลลาร์สหรัฐฯอ่อนค่า พร้อมเสิร์ฟกองทุนSCBUSDABSAP เสนอขายครั้งแรกในวันที่ 7- 15 ตุลาคม 2568 เป็นกองทุนที่เน้นลงทุนในหน่วยลงทุนของกองทุน BlackRock Systematic Asia Pacific Equity Absolute Return Fundมุ่งหวังสร้างผลตอบแทนผ่านการเติบโตของเงินลงทุนในทุกสภาวะตลาด

โดยมีธนาคารไทยพาณิชย์เป็นผู้สนับสนุนการขายหรือรับซื้อคืนหน่วยลงทุนและจัดตั้งโดยบริษัทหลักทรัพย์จัดการกองทุน ไทยพาณิชย์ จำกัด กองทุนหลักลงทุนอย่างเป็นระบบผสานความเชี่ยวชาญของผู้จัดการกองทุนเข้ากับเทคโนโลยี AI เพื่อคัดเลือกหุ้นคุณภาพจากกว่า 4,500 บริษัทในภูมิภาคเอเชียแปซิฟิก รวมถึงออสเตรเลียและญี่ปุ่น พร้อมควบคุมความผันผวนให้อยู่ในกรอบ 6–8% ต่อปี เพื่อประคองความเสี่ยงให้เหมาะสม ตอกย้ำประสิทธิภาพด้วยผลงานของกองทุนหลัก นับตั้งแต่จัดตั้งจนถึงสิ้นเดือน ส.ค. 2568 ที่สร้างผลตอบแทนเป็นบวกถึง 70 เดือนจาก 102เดือน เหนือกว่าค่าเฉลี่ยของดัชนี MSCI AC Asia Pacific สะท้อนถึงศักยภาพในการบริหารที่โดดเด่นเมื่อเทียบกับตลาดโดยรวม โดย เงินลงทุนขั้นต่ำ SCBUSDABSAP อยู่ที่ 30 USD มองภาวะเงินบาทแข็งค่าถือเป็นโอกาสสำคัญของนักลงทุนไทยที่มีแผนใช้เงินดอลลาร์ฯในระยะยาว และ ไม่ต้องเสียต้นทุนค่า Hedging

 นายศรชัย สุเนต์ตา, CFA รองผู้จัดการใหญ่ ผู้บริหารสายงาน Wealth & Investment Product กลุ่มธุรกิจ Consumer Banking ธนาคารไทยพาณิชย์ เปิดเผยว่า ตลาดหุ้นในภูมิภาคเอเชียมีแนวโน้มเติบโตต่อเนื่อง จากสัญญาณการปรับลดอัตราดอกเบี้ยของธนาคารกลางสหรัฐฯ (Fed) ซึ่งอาจเปิดทางให้ธนาคารกลางในภูมิภาคเอเชียปรับลดดอกเบี้ยตาม ส่งผลให้ต้นทุนการลงทุนลดลง และกระตุ้นเศรษฐกิจในภูมิภาค นอกจากนี้ เงินดอลลาร์สหรัฐฯ ที่อ่อนค่าลง ยังเป็นอีกแรงสนับสนุนสำคัญที่ช่วยดึงดูดเงินลงทุนจากต่างประเทศเข้าสู่ตลาดหุ้นเกิดใหม่ในเอเชียมากขึ้น ขณะที่ระดับ Valuation ของตลาดหุ้นในภูมิภาคนี้ยังอยู่ในระดับที่น่าสนใจ เมื่อเทียบกับตลาดหุ้นในประเทศพัฒนาแล้ว

 ในส่วนของแนวโน้มค่าเงินบาท จากข้อมูลของ SCB EIC ค่าเงินบาทเทียบเงินดอลลาร์สหรัฐฯแข็งค่าขึ้นแล้วกว่า 8% ในปีนี้ ซึ่งเป็นการแข็งค่าที่สุดในรอบ 4 ปี และแข็งค่านำคู่แข่งในภูมิภาค โดยคาดว่าเงินบาทมีแนวโน้มเคลื่อนไหวในกรอบ 31-32 บาทต่อดอลลาร์สหรัฐ ในช่วงสิ้นปีนี้ ซึ่ง SCB CIO มองว่า ภาวะเงินบาทแข็งค่าถือเป็น “โอกาสสำคัญ” สำหรับนักลงทุนไทยที่มีแผนใช้เงินดอลลาร์ฯ ในระยะยาว หรือมองหาการลงทุนต่อเนื่องในต่างประเทศ การลงทุนโดยตรงในสกุลเงินดอลลาร์ฯ นอกจากจะช่วยเพิ่มโอกาสเข้าถึงสินทรัพย์การลงทุนที่หลากหลายแล้ว ยังมีข้อได้เปรียบด้านผลตอบแทนเมื่อเทียบกับการลงทุนในสกุลเงินบาท เพราะไม่ต้องเสียต้นทุนค่า Hedging อีกทั้งยังสามารถใช้แนวคิดการสร้าง “USD Wallet” เป็นการลงทุนต่อเนื่องระยะยาวด้วยสกุลเงินดอลลาร์ฯ ซึ่งช่วยลดความผันผวนจากค่าเงินและโอกาสสร้างความมั่นคงในการลงทุนได้มากขึ้น

 โอกาสนี้ธนาคารไทยพาณิชย์ ผู้สนับสนุนการขายหรือรับซื้อคืนหน่วยลงทุน เตรียมเสนอขายกองทุนเปิดไทยพาณิชย์ Asia Pacific Equity Absolute Return USD (SCBUSDABSAP) ครั้งแรก ( IPO) ระหว่างวันที่ 7- 15 ตุลาคม 2568 ความเสี่ยงกองทุนระดับ 6 เหมาะสำหรับนักลงทุนที่รับความเสี่ยงได้ค่อนข้างสูง เป็นกองทุนที่เปิดโอกาสให้ลงทุนด้วยสกุลดอลลาร์สหรัฐฯ ( USD ) ด้วยเงินลงทุนขั้นต่ำที่ 30 USD

 กองทุนนี้จัดตั้งโดยบริษัทหลักทรัพย์จัดการกองทุน ไทยพาณิชย์ จำกัด เป็นกองทุนที่เน้นลงทุนในหน่วยลงทุนของกองทุนรวมต่างประเทศ เพียงกองทุนเดียว ได้แก่ BlackRock Systematic Asia Pacific Equity Absolute Return Fund ชนิดหน่วยลงทุน D2 U.S. Dollar (กองทุนหลัก) โดยเฉลี่ยในรอบปีบัญชีไม่น้อยกว่าร้อยละ 80 ของมูลค่าทรัพย์สินสุทธิ บริหารโดย BlackRock (Luxembourg) S.A. ซึ่งกองทุนหลักเน้นการบริหารเชิงรุก (Active management) มุ่งหวังสร้างผลตอบแทนที่เป็นบวกให้แก่ผู้ลงทุนผ่านการเติบโตของเงินลงทุนและผลตอบแทนจากการลงทุนในทุกสภาวะตลาด โดยคำนึงถึงหลักการลงทุนด้านสิ่งแวดล้อม สังคม และธรรมาภิบาล ( ESG) ผ่านการลงทุนในสินทรัพย์โดยตรง ( long exposure) และการทำธุรกรรม Synthetic long และ Synthetic short ในบริษัทที่จัดตั้งหรือจดทะเบียนในภูมิภาคเอเชียแปซิฟิก ซึ่งรวมถึงออสเตรเลียและญี่ปุ่น อย่างไรก็ตาม กองทุนอาจลงทุนในสัญญาซื้อขายล่วงหน้า ( Derivatives) เพื่อป้องกันความเสี่ยงจากอัตราแลกเปลี่ยน ตามความเหมาะสมขึ้นอยู่กับดุลยพินิจของผู้จัดการกองทุน

 สำหรับกลยุทธ์การบริหารกองทุน มีจุดเด่นดังนี้ 1) กองทุนหลักใช้ตราสารอนุพันธ์ทั้ง Long และ Short position ในหุ้นขนาดใหญ่ และเล็กของภูมิภาคเอเชียแปซิฟิก รวมถึงออสเตรเลีย และญี่ปุ่น เพื่อลดความเสี่ยงด้านทิศทางตลาด 2) จำกัดความผันผวนของพอร์ตที่ 6-8% โดยเฉลี่ยต่อปี 3) มุ่งสร้างผลตอบแทนเป็นบวกในสกุลเงินดอลลาร์สหรัฐฯ(USD)ผ่านกลยุทธ์การลงทุนแบบ Market Neutral ที่อาจไม่เคลื่อนไหวตามสภาวะตลาด พร้อมสอดคล้องกับการลงทุนเพื่อความยั่งยืน 4) การบริหารเชิงรุก ซึ่งใช้แบบจำลองเชิงปริมาณ (quantitative models) เพื่อคัดเลือกหุ้นอย่างเป็นระบบ โดยผู้เชี่ยวชาญผสมกับเทคโนโลยี AI ในการเข้าถึงข้อมูลท้องถิ่นของแต่ละประเทศ และ 5) กองทุนหลักได้รับ Morningstar rating 5 ดาวจากกลุ่ม EAA Fund Equity Market Neutral USD (ข้อมูล ณ สิงหาคม 2568)

 ทั้งนี้ ผู้จัดการกองทุนหลัก มีกระบวนการลงทุนอย่างเป็นระบบโดยผู้เชี่ยวชาญ ซึ่งใช้เทคโนโลยีปัญญาประดิษฐ์ (Artificial Intelligence) เข้าถึงข้อมูลหุ้นบริษัทกว่า 4,500 บริษัท ในภูมิภาคเอเชียแปซิฟิก รวมถึงออสเตรเลีย และญี่ปุ่น ทุกวันเพื่อสร้างพอร์ตการลงทุนที่มีประสิทธิภาพ โดยผสมผสานการคาดการณ์ผลตอบแทน ความเสี่ยง และต้นทุน

 ตลาดหุ้นเอเชียแปซิฟิก รวมถึงออสเตรเลียและญี่ปุ่น ต่างมีเอกลักษณ์เฉพาะตัว ทั้งภาษา ข้อมูล และโครงสร้างตลาดที่แตกต่างกัน ความสามารถในการเข้าถึงและตีความข้อมูลได้อย่างถูกต้อง จึงเป็น “กุญแจสำคัญ” ในการสร้างผลตอบแทนที่แตกต่าง

 สำหรับกระบวนการลงทุน มีการนำจุดแข็งด้านเทคโนโลยี AI มาผสมผสานทั้งข้อมูลดั้งเดิมและข้อมูลทางเลือก เพื่อสกัด “ข้อมูลเชิงลึก” ที่สะท้อนปัจจัยขับเคลื่อนผลตอบแทนของแต่ละตลาดในอนาคต ขณะเดียวกันยังคงยึดมั่นในกรอบการลงทุนอย่างยั่งยืนตามมาตรฐาน SFDR Article 8 ซึ่งเน้นความรับผิดชอบต่อสิ่งแวดล้อมและสังคม

 นอกจากนี้ ทีมผู้จัดการกองทุนยังทำหน้าที่ตรวจสอบและปรับปรุงให้ Model AI มีความแม่นยำและทันต่อการเปลี่ยนแปลงอยู่เสมอ ส่งผลให้นักลงทุนสามารถเข้าถึง “โอกาสที่ซ่อนอยู่” ในภูมิภาคที่ซับซ้อนนี้ได้อย่างมั่นใจ

 ทั้งนี้ จากข้อมูลนับตั้งแต่กองทุนหลักจัดตั้ง วันที่ 22 ก.พ. 2560 จนถึงวันที่ 31 ส.ค. 2568 กองทุนหลักแสดงให้เห็นถึงความสามารถในการสร้างผลตอบแทนที่ “มั่นคงและต่อเนื่อง” โดยสามารถทำผลตอบแทนรายเดือนเป็นบวกได้ถึง 70 เดือน จากทั้งหมด 102 เดือน เหนือกว่าดัชนีอ้างอิง MSCI AC Asia Pacific ซึ่งทำได้เพียง 61 เดือนจาก 102 เดือน อีกทั้งยังสร้าง ผลตอบแทนเฉลี่ยต่อปีสูงกว่าดัชนี นับตั้งแต่จัดตั้งกองทุน สะท้อนถึงศักยภาพในการบริหารที่โดดเด่นและเสถียรกว่าเมื่อเทียบกับตลาดโดยรวม

SCB WEALTH จัดงานสัมมนาให้แก่กลุ่มลูกค้า PRIVATE BANKING ภายใต้หัวข้อ “Solution Amidst Uncertainty ” โดยได้รับเกียรติจากผู้เชี่ยวชาญของ BlackRock ร่วมเป็นผู้บรรยายพิเศษ มุ่งเน้นการถอดรหัสทิศทางเศรษฐกิจโลกและไทย พร้อมทั้งแนวทางบริหารพอร์ตการลงทุนให้สามารถสร้างผลตอบแทนได้อย่างยั่งยืน แม้ต้องเผชิญกับความไม่แน่นอนที่ยังคงปกคลุมเศรษฐกิจโลก งานสัมมนาในครั้งนี้ ได้รับเกียรติจาก นายแพททริก ปูเลีย (กลาง) รองผู้จัดการใหญ่ Head of Financial Markets Function และ Head of Private Banking Relationship Management ธนาคารไทยพาณิชย์ พร้อมด้วย นายนิคิล มัจรา (ที่2ขวา) Managing Director,Head of APAC Multi-Asset Strategies & Solutions, BlackRock นายมาร์ก ฟัสชาร์ด (ที่ 3 ขวา) Director , APAC Multi-Asset Strategies & Solutions , BlackRock ดร.ปิยศักดิ์ มานะสันต์ (ที่3 ซ้าย) หัวหน้านักวิจัยเศรษฐกิจ บริษัทหลักทรัพย์ อินโนเวสท์ เอกซ์ นายธณาพล อิทธินิธิภัค (ที่ 2ซ้าย) Head of Thailand Business, BlackRock และนายรุ่งโรจน์ เสกสรรค์วิริยะ (ที่1ซ้าย) ผู้อำนวยการ Investment Product ธนาคารไทยพาณิชย์ ร่วมงานสัมมนา เมื่อเร็วๆนี้ ณ โรงแรมโซ แบงคอก กรุงเทพฯ

ดร.ปิยศักดิ์ มานะสันต์ หัวหน้านักวิจัยเศรษฐกิจ บริษัทหลักทรัพย์ อินโนเวสท์ เอกซ์ เปิดเผยว่า นโยบายภาษีนำเข้า ( Reciprocal Tariff ) ของรัฐบาลทรัมป์ ทำให้ประเทศที่มีดุลการค้าเกินดุลสูงกับสหรัฐฯ โดยเฉพาะในเอเชีย ต้องเผชิญกับอัตราภาษีที่สูง ซึ่งตามการประเมินภาษีเฉลี่ยที่สหรัฐฯจัดเก็บทั่วโลกอยู่ที่ประมาณ 28% อย่างไรก็ตาม เชื่อว่าจะมีการเจรจา ทำให้ภาษีที่รัฐบาลทรัมป์จะจัดเก็บทั่วโลกอยู่ที่ประมาณ 15% ส่งผลให้มีการปรับลดการคาดการณ์การเติบโตทางเศรษฐกิจโลกที่ชะลอลงในปีนี้ประมาณ 0.8% อยู่ที่ 2.5% จากผลกระทบของสงครามการค้าที่เริ่มมีความเสี่ยงมากขึ้น แม้ดัชนีการผลิตภาคอุตสาหกรรมทั่วโลกจะดีขึ้นชั่วคราวก่อนสงครามการค้าจะรุนแรง โดยล่าสุด เริ่มเห็นสัญญาณการชะลอลงของภาคการผลิตในหลายประเทศ โดยเฉพาะในยุโรป และเอเชีย สอดคล้องกับภาษีการค้าที่เริ่มส่งผลทำให้เศรษฐกิจในครึ่งปีหลังของปีนี้ มีแนวโน้มชะลอตัวลงมากขึ้น

อย่างไรก็ตาม คาดว่า ธนาคารกลางสหรัฐฯ (เฟด)จะคงดอกเบี้ยไว้ที่ 4.38% จนถึงสิ้นปีนี้ เนื่องจากมาตรการภาษีของทรัมป์จะทำให้เศรษฐกิจสหรัฐชะลอตัวลง (Stagflation) เงินเฟ้อเพิ่มขึ้นอยู่ที่ระดับ 3.0% โดยเร่งขึ้นมากในครึ่งหลังของปี 2568 ทำให้เฟดต้องควบคุมความเสี่ยงด้านเงินเฟ้อ จึงอาจจะส่งผลให้ไม่สามารถลดดอกเบี้ยลงได้ ส่วนนโยบายการเงินโลก ธนาคารกลางส่วนใหญ่ ยกเว้นสหรัฐ และญี่ปุ่น จะผ่อนคลายนโยบายการเงินในระยะต่อไป เพื่อช่วยสนับสนุนเศรษฐกิจที่ชะลอลง ในขณะที่สหรัฐจะเผชิญกับภาวะ Stagflation มากขึ้น และญี่ปุ่นเงินเฟ้อมีแนวโน้มเพิ่มขึ้น ทำให้ธนาคารกลางทั้งสองแห่งอาจต้องทำนโยบายการเงินตึงตัวต่อเนื่อง ด้วยปัจจัยดังกล่าวทำให้เงินบาทมีแนวโน้มที่จะอ่อนค่าลง เนื่องจากดุลการค้าและดุลบัญชีเดินสะพัดที่จะเกินดุลลดลงและขาดดุลมากขึ้น เงินไหลเข้าผ่านตลาดเงินตลาดทุนที่ลดลงตามทิศทางนโยบายการเงินที่แตกต่างกัน และปัจจัยเชิงฤดูกาลจากแนวโน้มค่าเงินบาทที่มักจะอ่อนค่าช่วงกลางปี

นอกจากนี้ มีความเป็นไปได้ที่ส่งออกไทยจะหดตัวลดลงจาก -3.0% มาอยู่ที่ -0.5% YoY จากรายได้การส่งออกที่ดีกว่าที่คาดการณ์ไว้ แต่มองว่า ช่วงครึ่งหลังของปี การส่งออกมีแนวโน้มชะลอลงเนื่องจากผู้ประกอบการจำนวนมากได้เร่งส่งออกไปสหรัฐฯ ล่วงหน้าไปแล้ว นอกจากนี้ ค่าเงินบาทยังมีแนวโน้มอ่อนค่าลงจากแรงกดดันด้านต่างประเทศ โดยเฉพาะความเสี่ยงที่เฟดอาจคงอัตราดอกเบี้ยสูงนานกว่าที่ตลาดคาด ขณะที่เราคาดว่า ธนาคารแห่งประเทศไทย จะปรับลดดอกเบี้ยนโยบายเพิ่มอีก 2 ครั้ง หลังจากที่ประกาศปรับลดดอกเบี้ยในเดือน เมษายน ที่ผ่านมา ได้ลดดอกเบี้ยลงสู่ระดับ 1.75% และ มีแนวโน้มจะลดดอกเบี้ยเพิ่มเติมในเดือนสิงหาคม และตุลาคม เนื่องจากความเสี่ยงทางเศรษฐกิจที่เพิ่มขึ้นอย่างมีนัยสำคัญจากสงครามการค้าโลก ซึ่งคาดว่าจะส่งผลกระทบต่อเศรษฐกิจไทยอย่างเต็มที่ในช่วงครึ่งหลังของปีนี้ ซึ่งอาจทำให้เศรษฐกิจไทยขยายตัวได้เพียง 1.3% หรือน้อยกว่านั้น รวมทั้ง อัตราเงินเฟ้อที่อยู่ต่ำกว่ากรอบเป้าหมาย การปล่อยสินเชื่อที่หดตัว และภาวะการเงินที่ยังคงตึงตัวปัจจัยเหล่านี้ล้วนสนับสนุนให้คณะกรรมการนโยบายการเงิน(กนง.) ดำเนินมาตรการผ่อนคลายนโยบายการเงินเพิ่มเติมในการประชุมครั้งถัดไป ในเดือนสิงหาคม และอีกครั้งในไตรมาสสุดท้ายของปี ทั้งนี้ หากสงครามการค้าและ/หรือสถานการณ์การเมืองในประเทศ มีความรุนแรง และกระทบเศรษฐกิจมากขึ้น กนง. อาจจำเป็นต้องลดดอกเบี้ยเพิ่มเติมเพื่อสนับสนุนเศรษฐกิจ

สำหรับประมาณการค่าเงินบาทเฉลี่ยในปี 2568 อยู่ที่ 34.5 บาทต่อดอลล่าร์สหรัฐฯ โดยคาดว่าค่าเงินบาทจะอ่อนลงในช่วงครึ่งหลังของปีนี้ จากหลายปัจจัยสำคัญ ได้แก่ การชะลอของเงินทุนไหลเข้าประเทศไทย การส่งออกที่มีแนวโน้มชะลอตัว การฟื้นตัวของภาคการท่องเที่ยวที่ฟื้นตัวต่ำกว่าคาด และข้อมูลตัวเลขเศรษฐกิจที่มีแนวโน้มถดถอยลงอย่างต่อเนื่อง ทั้งนี้ ปัจจัยที่ยังพอช่วยพยุงเศรษฐกิจในระยะสั้น เช่น การเร่งการส่งออก แต่ยังไม่เพียงพอ ไม่สามารถพึ่งพาได้ในระยะยาว

แนวโน้มเศรษฐกิจและตลาดหุ้นไทยในไตรมาส3 ได้ประมาณการณ์เศรษฐกิจไทย เป็น 2 สถานการณ์ ในกรณี Base case (โอกาส 60 %) GDP ไทยจะขยายตัว 1.4% ในขณะที่การส่งออกหดตัว -3.0% และมีความเสี่ยงที่เศรษฐกิจไทยอาจเข้าสู่ภาวะถดถอยเชิงเทคนิคในช่วงครึ่งหลังปี ส่วนกรณี Best Case (โอกาส 40 %) หากการเจรจากับสหรัฐฯประสบความสำเร็จและสถานการณ์โลกดีขึ้น GDP ไทยอาจขยายตัวได้ 1.7% และการหดตัวของการส่งออกจะลดลงเหลือเพียง -0.5% แทนที่จะเป็น -3.0% ประเทศไทยยังเผชิญกับความเสี่ยงสำคัญ 6 ด้าน ได้แก่ ความตึงเครียดทางการค้าและมาตรการภาษีสจากสหรัฐฯ การชะลอตัวของภาคการท่องเที่ยว ความเปราะบางของภาคเกษตร การเมืองขาดเสถียรภาพ หนี้ครัวเรือนในระดับสูง และการชะลอตัวของการลงทุนภาคเอกชน จากปัจจัยเหล่านี้ ตลาดหุ้นไทยในไตรมาส2 มีแนวโน้มปรับตัวลดลง 2% ซึ่งถือว่าต่ำกว่าตลาดหุ้นในภูมิภาคและตลาดโลกอยู่ 9% โดยเป้าหมายของ SET Index ในปี 2568 ยังคงอยู่ที่ระดับ 1,250 จุด โดยมีปัจจัยบวกใหม่ค่อนข้างจำกัด อย่างไรก็ตาม หากดัชนีปรับตัวลงต่ำกว่า 1,100 จุด ถือเป็นจุดเข้าซื้อที่น่าสนใจ

ตลาดหุ้นไทยในไตรมาส 3 ยังเต็มไปด้วยความไม่แน่นอน แม้ว่าความตึงเครียดด้านการค้าระหว่างประเทศจะคลี่คลายลง ซึ่งช่วยลดความเสี่ยงจากภายนอก ขณะเดียวกันก็จำกัดโอกาสด้านบวก (upside) ของตลาดโดยรวม ความไม่แน่นอนทางการเมืองภายในประเทศ และสถานการณ์ความขัดแย้งในพื้นที่ชายแดนยังคงกดดันบรรยากาศการลงทุนอย่างต่อเนื่อง ทั้งนี้ แม้ตลาดคาดหวังถึงการปรับลดอัตราดอกเบี้ย ซึ่งอาจช่วยพยุง sentiment ได้บ้าง แต่ปัจจัยสนับสนุนในประเทศที่ชัดเจนยังมีจำกัด โครงสร้างพื้นฐานยังคงเป็นแรงขับเคลื่อนสำคัญ แม้จะต้องจับตาความเสี่ยงด้านการดำเนินงานที่อาจเกิดขึ้น ทั้งนี้ ตลาดหุ้นไทยในปัจจุบันอยู่ในภาวะขายมากเกินไป (oversold ) ซึ่งช่วยจำกัด Downside จากปัจจัยต่างประเทศ ภาวะเศรษฐกิจ และการลงทุนในประเทศที่ยังมีความไม่แน่นอน ทำให้โอกาสที่ตลาดจะปรับตัวขึ้นอย่างต่อเนื่องยังคงถูกจำกัด จึงมองว่า การพื้นตัวของตลาดหุ้นไทยในระยะข้างหน้า ขึ้นอยู่กับการดำเนินนโยบายการเงินที่ผ่อนคลายอย่างจริงจัง การขับเคลื่อนโครงการขนาดใหญ่ให้เห็นเป็นรูปธรรม และการฟื้นตัวของสภาพคล่องในระบบ ซึ่งจะช่วยปลดล็อกการเคลื่อนไหวในกรอบแคบของตลาด (sideway) ที่เป็นอยู่ในปัจจุบันได้

หลังจากนั้น ต่อด้วยเสวนาในหัวข้อ “ Glabal Market Outlook & Solutions amidst Uncertainty ” ผู้เชี่ยวชาญจาก SCB WEALTH และ BlackRock ซึ่งประกอบด้วย นายรุ่งโรจน์ เสกสรรวิริยะ ผู้อำนวยการ Investment Product Selection ธนาคารไทยพาณิชย์ นายนิคิล มัจรา Managing Director,Head of APAC Multi-Asset Strategies & Solutions, BlackRock นายมาร์ก ฟัสชาร์ค Director , APAC Multi-Asset Strategies & Solutions , BlackRock และ นายธณาพล อิทธินิธิภัค Head of Thailand Business, BlackRock ได้ร่วมกันวิเคราะห์มุมมองเศรษฐกิจโลก ซึ่งยังคงเผชิญความเสี่ยงจากหลายปัจจัย โดย BlackRock ประเมินว่า ความเสี่ยงของภาวะเศรษฐกิจถดถอยมีแนวโน้มเพิ่มขึ้นในระยะข้างหน้า จึงจำเป็นต้องติดตามปัจจัยสำคัญอย่างใกล้ชิด อาทิ อัตราภาษีนำเข้า ระดับการว่างงาน การบริโภคภาคเอกชน และแนวโน้มกำไรของภาคธุรกิจ เพื่อประเมินผลกระทบในเชิงโครงสร้างอย่างรอบด้าน

อย่างไรก็ตาม แม้การถือเงินสดอาจช่วยลดความเสี่ยงระยะสั้นในช่วงตลาดผันผวน แต่ในช่วงเวลาที่ตลาดฟื้นตัวอาจทำให้นักลงทุนพลาดโอกาสในการสร้างผลตอบแทนที่ดี ดังนั้นแนวทาง Stay invested หรือการลงทุนอย่างต่อเนื่อง โดยไม่พยายามจับจังหวะตลาด จึงเป็นกลยุทธ์ที่ BlackRock และ SCB WEALTH แนะนำให้กับลูกค้าเพื่อสร้างความมั่นคงและมั่งคั่งในระยะยาว ทั้งนี้ การกระจายพอร์ตลงทุนแบบดั้งเดิมที่เน้นลงทุนในหุ้น 60% และตราสารหนี้ 40% อาจจะทำให้พอร์ตลงทุนไม่มีประสิทธิภาพเท่าที่เคย ปัจจุบันการเพิ่มน้ำหนักลงทุนในสินทรัพย์ทางเลือก กลายเป็นส่วนสำคัญในการสร้างพอร์ตที่สมดุล โดยเฉพาะการใช้กลยุทธ์แบบ Multi-Asset และ Liquid Alternatives ที่สามารถกระจายการลงทุนได้อย่างยืดหยุ่นในหลายสินทรัพย์ เช่น หุ้น ตราสารหนี้ และสินทรัพย์ทางเลือกที่มีสภาพคล่องจึงเป็นแนวทางที่ตอบโจทย์ในระยะยาว และยังช่วยป้องกันพอร์ตในช่วงตลาดขาลงได้อย่างมีประสิทธิภาพ โดยเฉพาะเมื่อตลาดโลกมีความไม่แน่นอนสูง

นายรุ่งโรจน์ กล่าวเสริมว่า นับตั้งแต่ SCB WEALTH เป็นตัวแทนจำหน่ายกองทุน SCB Global Multi- Asset Core Portfolio ( SCBGMCORE) เป็นกองทุนที่ BlackRock ออกแบบพอร์ตให้เหมาะสมกับความต้องการของลูกค้าธนาคารไทยพาณิชย์โดยเฉพาะ กองทุน SCBGMCORE มีนโยบายเน้นลงทุนในกองทุน ETF ในสัดส่วน 75%กระจายลงทุนใน หุ้น ตราสารหนี้ ทองคำ REITและTIPs ส่วนอีก 25% ลงทุนในสินทรัพย์ทางเลือกที่มีสภาพคล่องสูงที่ใช้กลยุทธ์แบบ Absolute Return ช่วยกระจายความเสี่ยงและลดความผันผวนของพอร์ต การบริหารกองทุนดำเนินการโดย BlackRock เป็นการบริหารแบบเชิงรุก พร้อมเครื่องมือบริหารความเสี่ยงที่ช่วยรักษาสมดุลพอร์ตอย่างมีประสิทธิภาพในทุกสภาวะตลาด เพื่อส่งเสริมให้ลูกค้าสามารถบรรลุเป้าหมายทางการเงินอย่างมั่นคงในระยะยาว

 

คำเตือน

· การลงทุนมีความเสี่ยง ผู้ลงทุนควรทำความเข้าใจลักษณะสินค้า เงื่อนไขผลตอบแทน และความเสี่ยง รวมถึงควรขอคำแนะนำเพิ่มเติมจากผู้ประกอบธุรกิจก่อนตัดสินใจลงทุน

· กองทุนเปิดไทยพาณิชย์ SCB Global Multi-Asset Core Portfolio (SCBGMCORE(A)) ความเสี่ยงกองทุนระดับ 5 ความเสี่ยงปานกลางค่อนข้างสูง โปรดศึกษารายละเอียดข้อมูลกองทุนกับบลจ.ไทยพาณิชย์อีกครั้ง

· กองทุนไม่ได้ป้องกันความเสี่ยงอัตราแลกเปลี่ยนทั้งจำนวน ผู้ลงทุนอาจขาดทุน หรือได้รับกำไรจากอัตราแลกเปลี่ยน หรือได้รับเงินคืนต่ำกว่าเงินลงทุนเริ่มแรกได้

· กองทุนรวม SCBGMCORE(A) นี้บริหารจัดการการลงทุนในผลิตภัณฑ์ต่างประเทศโดย BlackRock ภายใต้สัญญาแต่งตั้งรับมอบหมายงานด้านการจัดการลงทุนเป็นไปตามที่ระบุในโครงการจัดการกองทุนโดยบลจ.ไทยพาณิชย์

· ผลการดำเนินงานในอดีตไม่ได้เป็นสิ่งยืนยันถึงผลการดำเนินงานในอนาคต

· กองทุนนี้ไม่เหมาะสมกับผู้ลงทุนที่ต้องการผลตอบแทนสม่ำเสมอ หรือต้องการรักษาเงินต้น ผู้ลงทุนโปรดศึกษาและลงทุนให้เหมาะสมกับระดับความเสี่ยงที่ยอมรับได้

· ผู้ลงทุนควรศึกษาข้อมูลก่อนตัดสินใจลงทุน โดยศึกษาข้อมูลกองทุนหลัก และหนังสือชี้ชวนกองทุนที่ร่วมรายการเพิ่มเติมได้จาก website ของบริษัทหลักทรัพย์จัดการกองทุนรวม www.scbam.com

· สอบถามรายละเอียดและข้อมูลเพิ่มเติมได้ที่ SCB Call Center โทร. 02-777-7777

Page 1 of 8
X

Right Click

No right click