

InnovestX เรือธงด้านการลงทุนภายใต้กลุ่มเอสซีบีเอกซ์ (SCBX Group) ตอกย้ำบทบาทผู้นำในการลงทุนในต่างประเทศ ด้วยการเปิดตัวผลิตภัณฑ์ Depositary Receipt (DR) ชุดแรก จำนวน 3 ตัว เพื่อตอบโจทย์นักลงทุนที่ต้องการกระจายพอร์ตสู่ตลาดจีน
โดยผลิตภัณฑ์ทั้งสาม ประกอบด้วย
1) HSHD23 ที่เป็น DR ETF ที่อิงดัชนี Hang Seng High Dividend Yield ETF ตัวแรกของประเทศไทย ลงทุนในหุ้นเด่นกลุ่มปันผลสูง มีประวัติการจ่ายปันผลสูงเฉลี่ย 6–8% ต่อปี
2) CATL23 หุ้นเทคแบตเตอรี่แห่งอนาคต ที่เติบโตเคียงข้างยอดขายรถยนต์ EV และระบบกักเก็บพลังงาน (ESS) ทั่วโลก
3) BABA23 ที่อ้างอิงหุ้น Alibaba กลุ่มบริษัทเทคโนโลยีผู้นำอีคอมเมิร์ซยักษ์ใหญ่จากจีน
การเปิดตัว DR ชุดนี้ สอดรับกับนโยบายของตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทยที่มุ่งส่งเสริมการเข้าถึงการลงทุนต่างประเทศให้ง่าย สะดวก และได้ประสิทธิภาพ เสมือนการลงทุนในหุ้นไทย ซื้อขายเป็นเงินบาท ไร้กังวลภาษี ทั้งนี้ DR ทั้ง 3 ตัว พร้อมให้นักลงทุนซื้อขายได้แล้วตั้งแต่วันที่ 24 มิถุนายน 2568 เป็นต้นไป บนตลาดหุ้นไทยผ่านแอป Streaming พร้อมโปรโมชันช่วงเปิดตัว เทรด DR 3 ตัวใหม่ผ่าน InnovestX ฟรีค่าธรรมเนียม* ตั้งแต่วันที่ 24 มิ.ย.68 – 31 ก.ค. 68 มูลค่าสูงสุด 2,000 บาท
ในงานเปิดตัว DR23 ครั้งนี้ นายอัสสเดช คงสิริ กรรมการและผู้จัดการ ดร.รินใจ ชาครพิพัฒน์ รองผู้จัดการ หัวหน้าสายงานการตลาด ตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทย ร่วมด้วย นาย โรนัลด์ แลม (Ronald Lam) Head of Institutional Sales, Global X by Mirae Asset และ นายพยนต์ พงศาวรี Chief Investment Officer, InnovestX ร่วมพิธีเปิดการซื้อขายตราสารแสดงสิทธิในหลักทรัพย์ต่างประเทศ (DR23) วันแรกในตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทยที่ออกโดย บริษัทหลักทรัพย์ อินโนเวสท์ เอกซ์ จำกัด ณ ตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทย เมื่อเร็วๆ นี้
นายพยนต์ พงศาวรี Chief Investment Officer บริษัทหลักทรัพย์ อินโนเวสท์ เอกซ์ กล่าวว่า “ในทุกสภาวะตลาด นักลงทุนควรมีทางเลือกการลงทุนที่เหมาะสมและยืดหยุ่น เพื่อให้สามารถสร้างผลตอบแทนได้ InnovestX จึงพัฒนาแพลตฟอร์มการลงทุนที่ทัดเทียมระดับโลก พร้อมเครื่องมือและผลิตภัณฑ์ครบทุกสินทรัพย์ทั่วโลก (All-Weather Products) เพื่อให้การลงทุนง่าย ราบรื่น และตอบโจทย์ทุกจังหวะการลงทุน รวมถึง DR23 ที่ช่วยให้นักลงทุนไทยเข้าถึงหุ้นต่างประเทศได้ง่ายขึ้น ซื้อขายด้วยเงินบาท ภายใต้การกำกับดูแลของไทย ลดข้อจำกัดทั้งด้านภาษีและขั้นตอนการลงทุนต่างประเทศ
DR23 ชุดแรกนี้ เราคัดสรร ETF และหุ้นจีนคุณภาพจากตลาดฮ่องกง ซึ่งเรามองว่าเป็นภูมิภาคที่มีศักยภาพเติบโตในระยะยาว ทั้งยังมี Valuation ที่น่าสนใจ ได้รับการสนับสนุนจากภาครัฐ ภายใต้นโยบาย Made in China 2025 และการขยายตัวอย่างรวดเร็วใน AI, EV และ Cloud Computing
1. HSHD23 – DR ETF ปันผลสูงตัวแรกในไทย อ้างอิง Global X Hang Seng High Dividend Yield ETF (3110.HK) ลงทุนในหุ้นฮ่องกงที่จ่ายปันผลสูง ความผันผวนต่ำกว่าดัชนีหลัก ได้รับแรงหนุนจากนโยบายรัฐจีนที่ผลักดัน SOE ให้สร้างผลตอบแทนมั่นคง เช่น PCCW Ltd (0008.HK) บริษัทโทรคมนาคมและเทคโนโลยีที่ใหญ่ที่สุดแห่งหนึ่งในฮ่องกง หรือ Uni-President China Holdings Ltd (0220.HK) บริษัทผลิตและจำหน่ายอาหารและเครื่องดื่มชั้นนำในจีน เป็นต้น
2. CATL23 – DR หุ้น CATL ผู้นำแบตเตอรี่รถ EV ระดับโลก ครองตลาด 37% เป็นพันธมิตรหลักของ Tesla, BMW, Mercedes-Benz มีฐานะการเงินแกร่ง รายได้-กำไรเติบโตต่อเนื่อง สะท้อนโอกาสในธีมพลังงานสะอาดแห่งอนาคต รวมถึงต่อยอดการเติบโตด้วยธุรกิจระบบกักเก็บพลังงาน (ESS)
3. BABA23 – DR หุ้น Alibaba ผู้นำอีคอมเมิร์ซจีน ผ่านแพลตฟอร์ม Taobao–Tmall พร้อมธุรกิจ Cloud, AI และโลจิสติกส์ (Cainiao) มีศักยภาพการเติบโตทั้งกำไร เงินสด และการลงทุนด้านเทคโนโลยีอย่างต่อเนื่อง BABA23 จึงเหมาะกับผู้ลงทุนที่มองหาโอกาสการเติบโตในธีมเทคโนโลยีจีนและนวัตกรรม
DR23 โดย InnovestX ซึ่งได้รับอันดับความน่าเชื่อถือระดับ AA จาก Fitch Ratings เปิดประตูสู่การลงทุนต่างประเทศ ให้นักลงทุนไทยเข้าถึงหุ้นระดับโลกได้ง่ายเหมือนซื้อหุ้นไทย ด้วยราคาซื้อขาย (Fair Price) ที่สอดคล้องกับสินทรัพย์อ้างอิงปรับด้วยอัตราแลกเปลี่ยนที่แข่งขันได้ภายใต้ความร่วมมือในกลุ่ม SCBX พร้อม Market Maker ดูแลสภาพคล่องอย่างใกล้ชิด ช่วยให้ซื้อขายราบรื่น มั่นใจใน Market Stability โดยจุดแข็งของ DR23 ยังอยู่ที่ทีมงานผู้เชี่ยวชาญ มีประสบการณ์ตรงในการออกและบริหาร DR โดยเฉพาะ และทีมนักวิเคราะห์จาก InnovestX Research ที่สนับสนุนข้อมูลเชิงลึกทั้งเศรษฐกิจ พื้นฐาน ปัจจัยเทคนิค คำแนะนำการลงทุน และพร้อมให้ผู้ลงทุนศึกษาข้อมูลหุ้นแม่ของ DR23 และเครื่องมือคำนวณราคา DR23 ช่วยลดความคลาดเคลื่อนของ Fair Value เพื่อประกอบการตัดสินใจอย่างมั่นใจ ผ่านแอปพลิเคชัน InnovestX แพลตฟอร์มลงทุนที่มั่นใจได้จากกลุ่ม SCBX ที่เดียวที่ลงทุนครบ ง่าย ได้เปรียบ ในทุกสภาวะตลาดทั่วโลก”
ผู้ลงทุนสามารถพิมพ์สัญลักษณ์ HSHD23, CATL23 หรือ BABA23 ในแอป Streaming เพื่อส่งคำสั่งซื้อขายได้ทันที ไม่ว่าคุณจะใช้บัญชี InnovestX หรือโบรกเกอร์รายอื่น DR23 ทั้งสามตัวซื้อขายได้เหมือนหุ้นไทย ทำให้ทุกคนเข้าถึงโอกาสการลงทุนระดับโลกได้สะดวกและมั่นใจยิ่งขึ้น
บริษัท เอสซีบี เอกซ์ จำกัด (มหาชน) (SCBX) ประกาศความสำเร็จคว้า 3 รางวัลความเป็นเลิศด้านทรัพยากรบุคคลในประเทศไทย ได้แก่ รางวัลสรรหาบุคลากรยอดเยี่ยม ระดับ Gold (Excellence in Talent Acquisition) รางวัลกลยุทธ์การบริหารค่าตอบแทนรวมยอดเยี่ยม ระดับ Silver (Excellence in Total Rewards Strategy) และรางวัลยอดเยี่ยมด้าน AI โซลูชันสำหรับทรัพยากรบุคคล ระดับ Bronze (Excellence in AI-Powered HR Solutions) จากเวที HR Excellence Awards Thailand 2024 ซึ่งจัดโดย Human Resources Online ประเทศสิงคโปร์ เพื่อเชิดชูความสำเร็จขององค์กรที่มีกลยุทธ์และนวัตกรรมด้านการบริหารบุคลากรโดดเด่น สะท้อนถึงความมุ่งมั่นของกลุ่ม SCBX ในการนำเทคโนโลยี AI มายกระดับประสิทธิภาพการทำงาน เพื่อพัฒนาศักยภาพและเสริมทักษะพนักงานขององค์กรให้สามารถอยู่ในกระแสความต้องการของโลกปัจจุบัน
นางพัตราภรณ์ สิโรดม Chief Talent Officer บริษัท เอสซีบี เอกซ์ จำกัด (มหาชน) หรือ SCBX กล่าวว่า “SCBX มุ่งมั่นเดินหน้าสู่การเป็นกลุ่มบริษัทเทคโนโลยีทางการเงินชั้นนำระดับภูมิภาค โดยมีเป้าหมายหลัก คือ การเป็นองค์กรที่ขับเคลื่อนด้วย AI อย่างแท้จริง หรือ AI-first Organization การบริหารจัดการทรัพยากรบุคคลจึงมีส่วนสำคัญในการขับเคลื่อนองค์กรให้เดินหน้าไปสู่เป้าหมายที่วางไว้ เราจึงมีการประยุกต์นำเอาเทคโนโลยี AI มาใช้เพื่อช่วยยกระดับกระบวนการทำงานด้าน HR ให้มีประสิทธิภาพมากยิ่งขึ้น ด้วยโซลูชันที่ช่วยเฟ้นหาบุคลากรที่เหมาะสมกับองค์กร ลดเวลาและต้นทุนการทำธุรกิจ รวมถึงการใช้เทคโนโลยีในการสร้างวัฒนธรรมองค์กรที่ดี เพื่อรักษาและดึงดูดคนรุ่นใหม่ที่มีความสามารถ (Talent) เข้ามาเป็นส่วนหนึ่งขององค์กร อีกทั้งยังสามารถสร้างแรงจูงใจในการสร้างผลงานให้กับองค์กรได้อย่างต่อเนื่อง โดยภายในสิ้นปี 2024 พนักงานกว่า 80% ขององค์กรต้องมีความเข้าใจพื้นฐานด้าน AI จึงได้จัดทำหลักสูตรออนไลน์และสื่อการฝึกอบรมด้าน AI ให้กับพนักงาน รวมถึงบริษัทยังสนับสนุนเครื่องมือ AI ให้กับพนักงาน เพื่อปลูกฝังและสร้าง AI Culture หรือวัฒนธรรมองค์กรที่ให้ความสำคัญเกี่ยวกับเรื่อง AI อันเป็นพื้นฐานสำคัญของการสร้างบุคลากรคนรุ่นใหม่ให้เหมาะสมกับความต้องการของโลกการทำงานแห่งอนาคต”
รางวัล HR Excellence Awards Thailand ประจำปี 2024 ครั้งที่ 4 ซึ่งจัดโดย Human Resources Online ประเทศสิงคโปร์ มีวัตถุประสงค์เพื่อยกย่องความสำเร็จและนวัตกรรมที่โดดเด่นของบริษัทชั้นนำในประเทศไทยที่มีการบริหารจัดการทรัพยากรบุคคลที่ยอดเยี่ยม ภายใต้ภูมิทัศน์ที่เปลี่ยนแปลงไปของการจัดการทรัพยากรบุคคลในประเทศไทย โดยมีคณะกรรมการผู้ทรงคุณวุฒิพิจารณาตัดสินจากหลักเกณฑ์ภายใต้ 38 หมวดหมู่ ครอบคลุมวิสัยทัศน์ เป้าหมายองค์กร การดำเนินธุรกิจ และแนวทางการพัฒนาการบริหารทรัพยากรบุคคลขององค์กรในมิติต่างๆ
ชี้ภาพรวมการลงทุนยังคงมีความผันผวนสูง คาด SET Index อยู่ที่ 1,650-1,700 จุด
บริษัทหลักทรัพย์ อินโนเวสท์ เอกซ์ จำกัด (InnovestX Securities Co., Ltd.) เรือธงด้านการเงินการลงทุนของกลุ่ม SCBX ตอกย้ำความเป็นผู้นำด้านการเงินการลงทุนอย่างต่อเนื่อง ล่าสุด นำเสนอ “Offshore KIKO” หรือ Knock-In Knock-Out Equity Note หุ้นกู้ที่มีอนุพันธ์แฝงระยะสั้น (Structured Notes) ประเภทหนึ่งที่มีสินทรัพย์อ้างอิงเป็นหุ้นต่างประเทศสำหรับผู้ลงทุนรายใหญ่ (High Net Worth) มุ่งเพิ่มโอกาสลงทุนในสินทรัพย์ทางเลือกที่สามารถสร้างผลตอบแทนได้สูงกว่าหุ้นกู้ทั่วไปในสภาพตลาดปัจจุบันที่ตลาดหุ้นต่างประเทศอยู่ในช่วงสภาวะตลาด Sideway ชูจุดเด่นผลตอบแทนสูงถึง 15-20% ต่อปี ภายในระยะเวลาการลงทุน 3-6 เดือน จ่ายดอกเบี้ยทุกเดือน ไม่มีค่าธรรมเนียมการซื้อด้วยเงินลงทุนขั้นต่ำ 1 ล้านบาท หรือ 30,000 ดอลลาร์สหรัฐ (USD) พร้อมเพิ่มความมั่นใจในการคัดเลือกหุ้นที่จะมาเป็นสินทรัพย์อ้างอิงโดยทีมผู้เชี่ยวชาญด้าน Research และ Wealth Strategy & Advisory จาก InnovestX ที่เลือกเฉพาะหุ้นจากบริษัทขนาดใหญ่ พื้นฐานดี และสามารถ Customize หุ้นได้ตามความต้องการของนักลงทุนแต่ละราย เพื่อสร้างโอกาสและเพิ่มทางเลือกด้านการลงทุนแก่นักลงทุนไทยในภาวะดอกเบี้ยต่ำ เงินเฟ้อดีดตัวสูง และในช่วงที่ตลาดหุ้นอยู่ในช่วง Sideway หรือราคาหุ้นเคลื่อนไหวในกรอบแคบๆ แบบนี้
นายพยนต์ พงศาวรี ผู้ช่วยกรรมการผู้จัดการ หัวหน้าสายงานกลยุทธ์และแนะนำการลงทุน บริษัทหลักทรัพย์ อินโนเวสท์ เอกซ์ จำกัด กล่าวว่า “จากภาพรวมเศรษฐกิจโลกครึ่งปีแรก 2566 InnovestX มองว่ายังมีหลายปัจจัยทั้งภายในประเทศและต่างประเทศที่ก่อให้เกิดความไม่แน่นอนในโลกของการลงทุน รวมถึงยังมีปัจจัยเสี่ยงที่ต้องติดตามอย่างใกล้ชิดในไตรมาส 3/2566 จากเศรษฐกิจโลกที่เริ่มส่งสัญญาณชะลอตัวลงอย่างพร้อมเพรียง โดยเรามองว่าภาพรวมของตลาดหุ้นในประเทศยังมีความไม่ชัดเจนและเศรษฐกิจมีแนวโน้มชะลอตัว
ลงอย่างต่อเนื่อง แต่ในขณะเดียวกันเรามีมุมมองว่าตลาดสหรัฐฯ ยังมีความผันผวนสูงหลังถูกกดดันจากนโยบายการเงินของ FED และตลาดจีนโตช้ากว่าคาด ทำให้ดัชนีภาคการผลิตชะลอตัว ด้วยเหตุนี้ InnovestX จึงนำเสนอผลิตภัณฑ์การลงทุนที่เข้ามาตอบโจทย์สภาวะตลาดช่วงนี้ที่ตลาดหุ้นต่างประเทศในหลายๆ Sector อยู่ในช่วง Sideway หรือราคามีการเคลื่อนไหวในกรอบแคบๆ อย่าง “Offshore KIKO” หรือ Knock-In Knock-Out Equity Note หุ้นกู้ที่มีอนุพันธ์แฝงระยะสั้น (Structured Notes) ที่มีสินทรัพย์อ้างอิงเป็นหุ้นต่างประเทศ โดยมีลักษณะของผลตอบแทนในแง่ของดอกเบี้ยที่สูงกว่าหุ้นกู้ทั่วไปซึ่งจะสอดคล้องกับสินทรัพย์ที่นำมาอ้างอิง เหมาะสำหรับผู้ลงทุนรายใหญ่ (High Net Worth) ที่มีประสบการณ์การลงทุนบนพื้นฐานของความเข้าใจและรับความเสี่ยงบนหุ้นอ้างอิงได้”
“ด้วยจุดเด่นของ Offshore KIKO จาก InnovestX ที่ให้โอกาสสร้างผลตอบแทนสูงถึง 15-20% ต่อปี มีระยะเวลาการลงทุนเพียง 3-6 เดือน โดยได้รับผลตอบแทนสม่ำเสมอเป็นรายเดือน ไม่มีค่าธรรมเนียมการซื้อ ลงทุนขั้นต่ำ 1 ล้านบาท หรือ 30,000 USD โดยนักลงทุนสามารถเลือกลงทุนได้ในตลาดทั่วโลก ซึ่งมีตลาดหุ้นสหรัฐฯ และตลาดหุ้นฮ่องกงที่ได้รับความนิยมซึ่งให้ผลตอบแทนสูงกว่าตลาดในประเทศ และเราเห็นว่านักลงทุนมีแนวโน้มที่จะลงทุนในหุ้นต่างประเทศมากขึ้นจากการเติบโตของฐานลูกค้าของ InnovestX ซึ่งเพิ่มขึ้น 110% เมื่อเทียบกับปี 2564 นอกจากนี้ InnovestX ยังมีทีมผู้เชี่ยวชาญด้าน Research และ Wealth Strategy & Advisory คอยให้คำแนะนำและช่วยคัดเลือกหุ้นที่จะมาเป็นสินทรัพย์อ้างอิง โดยเน้นเฉพาะหุ้นจากบริษัทขนาดใหญ่ พื้นฐานดี สามารถเลือกหุ้นอ้างอิง 1 ตัว หรือจับคู่กันตั้งแต่ 2 ตัวขึ้นไป ขึ้นอยู่กับระดับความเสี่ยงและผลตอบแทนที่นักลงทุนต้องการ และหากนักลงทุนสนใจเลือกหุ้นด้วยตนเองก็สามารถปรับเปลี่ยนได้ตามที่นักลงทุนต้องการเช่นกัน โดยนักลงทุนสามารถติดตามผลตอบแทนการลงทุนได้ พร้อมทั้งดูภาพรวมของพอร์ตโฟลิโอการลงทุนในสินทรัพย์ทุกตัวได้ครบจบในที่เดียวบนแอปฯ InnovestX เราหวังเป็นอย่างยิ่งว่า Offshore KIKO จะเป็นอีกหนึ่งทางเลือกที่จะสามารถตอบโจทย์การลงทุน สำหรับนักลงทุนที่มองเห็นโอกาสในตลาดต่างประเทศ ที่ช่วงนี้อยู่ในสภาวะ Sideway ได้อย่างมีประสิทธิภาพ”
อย่างไรก็ตาม การลงทุนใน Offshore KIKO ซึ่งเป็นหุ้นกู้ที่มีอนุพันธ์แฝงระยะสั้น มีความเสี่ยงที่อาจจะเกิดขึ้นได้ เช่น ความเสี่ยงด้านราคา (Market Risk) ซึ่ง KIKO นั้นผูกกับราคาสินทรัพย์อ้างอิง ความเสี่ยงในการได้รับสินทรัพย์อ้างอิงแทนเงินต้น (Physical Delivery Risk) ความเสี่ยงด้านสภาพคล่อง (Liquidity Risk) เนื่องจากต้องถือจนครบสัญญา โดยระหว่างทางไม่สามารถแปลงสภาพเป็นเงินสดได้ทันที ความเสี่ยงด้านเครดิต (Credit Risk) ความเสี่ยงที่บริษัทผู้ออกหุ้นกู้ที่มีอนุพันธ์แฝงไม่สามารถชำระคืนเงินต้น และดอกเบี้ยได้ตามกำหนดเวลา และความเสี่ยงด้านอัตราแลกเปลี่ยน (Currency Exchange Risk) เนื่องจากต้องมีการแปลงสกุลเงินต่างประเทศก่อนลงทุนทั้งนี้ InnovestX ยังให้บริการการลงทุนในหุ้นกู้ที่มีอนุพันธ์แฝง (Structured Notes) หลากหลายรูปแบบทั้งตลาดไทยและต่างประเทศ เช่น Bonus Enhanced Note, Fixed Coupon Note, Bullish Shark-Fin Note, Twin-win Note และอื่นๆ อีกมากมาย และสำหรับนักลงทุนที่สนใจลงทุนใน Offshore KIKO สามารถติดต่อหรือสอบถามข้อมูลเพิ่มเติมได้ที่ InnovestX Customer Service 02 949 1999 หรือผู้แนะนำการลงทุนของท่าน
*การลงทุนในหุ้นกู้ที่มีอนุพันธ์แฝงที่มีความเสี่ยงสูงหรือมีความซับซ้อนซึ่งมีปัจจัยอ้างอิง มีความแตกต่างจากการลงทุนในปัจจัยอ้างอิงโดยตรง จึงอาจทำให้ราคาของหุ้นกู้ที่มีอนุพันธ์แฝงดังกล่าวมีความผันผวนแตกต่างจากราคาของปัจจัยอ้างอิงได้ ทั้งนี้ผู้ลงทุนในหุ้นกู้ที่มีอนุพันธ์แฝงมีความเสี่ยงที่จะสูญเงินลงทุนทั้งจำนวนหรือบางส่วนหากไม่มีการคุ้มครองเงินต้น หรือคุ้มครองเงินต้นต่ำกว่า 100% ของเงินลงทุน เนื่องจากหุ้นกู้ที่มีอนุพันธ์แฝงมีความเสี่ยงสูงหรือมีความซับซ้อนกว่าหุ้นกู้ทั่วไป ผู้ลงทุนควรทำความเข้าใจเงื่อนไขการจ่ายผลตอบแทน ความเสี่ยง และขอคำแนะนำเพิ่มเติมจากผู้แนะนำการลงทุนก่อนตัดสินใจลงทุน
4 กรกฎาคม 2566, - บริษัท แอสเสท เวิรด์ คอร์ป จำกัด (มหาชน) หรือ AWC ผู้พัฒนาอสังหาริมทรัพย์ของไทยที่มุ่งเน้นตอบสนองไลฟ์สไตล์แบบครบวงจร ร่วมกับ ธนาคารไทยพาณิชย์ (SCB) สานต่อเจตนารมณ์ด้านความยั่งยืนของทั้งสององค์กรในการดำเนินธุรกิจตามแนวทางการพัฒนาที่ยั่งยืน ลงนามความร่วมมือสินเชื่อที่เชื่อมโยงกับการดำเนินงานด้านความยั่งยืน (Sustainability Linked Loan) และสินเชื่อสีเขียว (Green Loan) จำนวน 20,000 ล้านบาท เพื่อพัฒนาโครงการคุณภาพระดับเมกะโปรเจกต์ให้เป็นจุดหมายปลายทางท่องเที่ยวระดับโลก (Mega global destination) ร่วมนำมาตรฐานใหม่เสริมความแข็งแกร่งให้กับอุตสาหกรรมอสังหาริมทรัพย์ และอุตสาหกรรมการท่องเที่ยว ที่มุ่งเน้นการลดการใช้ทรัพยากร และส่งเสริมการใช้พลังงานอย่างมีประสิทธิภาพในทุกมิติ สร้างคุณค่าองค์รวมแก่ผู้มีส่วนเกี่ยวข้องในทุกภาคส่วนตลอดห่วงโซ่คุณค่า (Value Chain) รวมถึงสนับสนุนโครงการริเริ่มต่างๆ เพื่อพัฒนาความยั่งยืนของทรัพยากรทางทะเล และการพัฒนาสังคมในอนาคต พร้อมร่วมสร้างให้ประเทศไทยเป็นศูนย์กลางการท่องเที่ยวยั่งยืนระดับโลก
![]()
นายกฤษณ์ จันทโนทก ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร ธนาคารไทยพาณิชย์ จำกัด (มหาชน) กล่าวว่า “การลงทุนอย่างต่อเนื่องของ AWC ซึ่งเป็นผู้พัฒนาอสังหาริมทรัพย์แถวหน้าของประเทศ เป็นตัวบ่งชี้ที่ชัดเจนถึงอนาคตทางเศรษฐกิจไทยที่กำลังดีขึ้น ธนาคารไทยพาณิชย์ ตระหนักถึงบทบาทในการร่วมขับเคลื่อนความยั่งยืนให้เกิดขึ้นแก่สังคมไทยในทุกมิติ จึงมีความยินดีที่ได้มีส่วนร่วมสนับสนุนสินเชื่อที่เชื่อมโยงกับการดำเนินงานด้านความยั่งยืน (Sustainability Linked Loan) และสินเชื่อสีเขียว (Green Loan) จำนวน 20,000 ล้านบาท แก่ AWC เพื่อสนับสนุนการพัฒนาโครงการใหม่ๆ และการดำเนินงานด้านความยั่งยืนของ AWC อีกทั้งยังเป็นการสนับสนุนพันธกิจด้านสิ่งแวดล้อมของธนาคาร และธุรกิจภายใต้กลุ่มเอสซีบี เอกซ์ โดยมีเป้าหมายการปล่อยก๊าซเรือนกระจกสุทธิเป็นศูนย์จากการดำเนินงานภายในปี 2030 และจากการให้สินเชื่อและการลงทุนภายในปี 2050 ธนาคารมีความเชื่อมั่นในศักยภาพทางธุรกิจของ AWC และเชื่อมั่นว่าการสนับสนุนทางการเงินจำนวน 20,000 ล้านบาทในครั้งนี้ จะช่วยเสริมศักยภาพทางธุรกิจให้แก่ AWC ผ่านการพัฒนาโครงการคุณภาพมากมาย ที่จะสร้างความน่าตื่นเต้นให้แก่วงการอสังหาริมทรัพย์ และเพื่อสนับสนุนประเทศไทยเป็นจุดหมายปลายทางท่องเที่ยวที่ยั่งยืนระดับโลก”
นางวัลลภา ไตรโสรัส ประธานเจ้าหน้าที่บริหารและกรรมการผู้จัดการใหญ่ บริษัท แอสเสท เวิรด์ คอร์ป จำกัด (มหาชน) หรือ AWC กล่าวว่า “AWC มีความประทับใจ SCB ต่อความมุ่งมั่น วิสัยทัศน์ที่ร่วมกันด้านความยั่งยืน ที่ได้ออกสินเชื่อด้านความยั่งยืนเป็นรายแรกของประเทศ ควบคู่การเดินหน้าผนึกกำลังร่วมสร้างการเติบโตที่ยั่งยืนให้กับทุกภาคส่วน ทั้งนี้ AWC มีความยินดีเป็นอย่างยิ่งที่ได้ร่วมเป็นส่วนหนึ่งกับ SCB ในการสร้างความแข็งแกร่งให้กับเศรษฐกิจอุตสาหกรรมอสังหาริมทรัพย์ และอุตสาหกรรมท่องเที่ยวของประเทศ โดย AWC มีความมุ่งมั่นที่จะพัฒนาโครงการคุณภาพระดับเมกะโปรเจกต์ให้เป็นจุดหมายปลายทางท่องเที่ยวยั่งยืนระดับโลก (Mega sustainable destination) อาทิ โครงการเอเชียทีค ที่จะสร้างเป็นแลนด์มาร์คความยั่งยืนริมแม่น้ำเจ้าพระยาให้กับกรุงเทพฯ โครงการอควอทีค กลางเมืองพัทยา และโครงการเวิ้ง นาครเกษม ศูนย์กลางคุณค่าประวัติศาสตร์วัฒนธรรมกลางไชน่า ทาวน์ รวมถึงโครงการลานนาทีค ที่มีคุณค่าของเสน่ห์ศิลปวัฒนธรรมล้านนากลางเมืองเชียงใหม่ เป็นต้น ซึ่ง AWC เชื่อมั่นว่าการพัฒนาโครงการต่างๆ ให้เป็นจุดหมายปลายทางด้านความยั่งยืนระดับโลกนี้ จะเป็นส่วนหนึ่งเพื่อสานต่อนโยบายและกลยุทธ์หลักของประเทศสู่การเป็นผู้นำการท่องเที่ยวยั่งยืนระดับโลก
AWC ยังมุ่งพัฒนาอาคารตามมาตรฐานอาคารสีเขียวในระดับสากล อาทิ โรงแรมอินน์ไซด์ บาย มีเลีย กรุงเทพ สุขุมวิท ซึ่งได้รับการรับรองมาตรฐาน EDGE (Excellence in Design for Greater Efficiencies) และโรงแรมอินเตอร์คอนติเนนตัล เชียงใหม่ แม่ปิง ได้รับการรับรอง LEED & WELL PRECERTIFIED รวมถึงอีกหลากหลายโครงการ โดยใช้สินเชื่อยั่งยืนแรกที่ได้รับการสนับสนุนจาก SCB เมื่อปีที่แล้ว โดยปัจจุบัน AWC ได้ร่วมมือกับพันธมิตรสถาบันการเงินชั้นนำจัดวงเงินสินเชื่อระยะยาวที่เชื่อมโยงกับความยั่งยืนกว่าร้อยละ 75 และตั้งเป้าที่จะเพิ่มสัดส่วนวงเงินสินเชื่อระยะยาวเชื่อมโยงความยั่งยืนเป็นร้อยละ 100 เพื่อมุ่งสร้างอนาคตที่ยั่งยืนให้กับประเทศ”
AWC มุ่งขับเคลื่อนธุรกิจภายใต้กรอบการพัฒนาที่ยั่งยืน 3 เสาหลัก 9 มิติ หรือ 3 BETTERs ประกอบไปด้วย 1) การสร้างคุณค่าด้านสิ่งแวดล้อม (BETTER PLANET) เพื่อโลกที่มีสภาพแวดล้อมที่ดีขึ้น 2) การสร้าง
คุณค่าด้านสังคม (BETTER PEOPLE) เพื่อผู้คนมีคุณภาพชีวิตที่ดีขึ้น 3) การสร้างคุณค่าด้านเศรษฐกิจ (BETTER PROSPERITY) เพื่อเศรษฐกิจของประเทศที่ดีขึ้น โดยที่ผ่านมา AWC ได้ดำเนินโครงการเพื่อสนับสนุนการพัฒนาที่ยั่งยืนอย่างต่อเนื่อง อาทิ โรงแรม เชอราตัน สมุย ดำเนินโครงการธนาคารปู เพื่อมุ่งสู่เป้าหมายการเพิ่มความหลากหลายทางชีวภาพ และโรงแรมบันยันทรี กระบี่ ที่ได้ร่วมมือกับมูลนิธิอันดามัน เพื่อนำร่องโครงการท่องเที่ยวชุมชนอย่างยั่งยืน รวมถึงการดำเนินงานด้านเศรษฐกิจหมุนเวียน ผ่านแนวคิดธุรกิจ reConcept ที่ส่งเสริมการนำเฟอร์นิเจอร์และวัสดุเก่า รวมถึงอุปกรณ์ตกแต่งของโรงแรมที่ไม่ได้ใช้งาน กลับมารีไซเคิลและใช้ซ้ำ เพื่อลดปริมาณขยะฝังกลบ ตลอดจนการลงทุนพัฒนาบริหารโครงการอสังหาริมทรัพย์ของบริษัทฯ ที่ส่งเสริมการสร้างงานและสร้างรายได้สู่ชุมชนรอบโครงการ และสนับสนุนผู้ประกอบการไทยท้องถิ่นเพื่อสร้างโอกาสรายได้ที่ยั่งยืนผ่านโครงการ เดอะ GALLERY เป็นต้น
AWC ยังคงดำเนินงานตามแผนแม่บทอนุรักษ์พลังงาน (Energy Efficiency Plan: EEP) สอดคล้องกับกรอบสินเชื่อที่เชื่อมโยงกับการดำเนินงานด้านความยั่งยืนและสินเชื่อสีเขียว เพื่อมุ่งเน้นการใช้พลังงานอย่างมีประสิทธิภาพ ลดการปล่อยก๊าซเรือนกระจก ผ่านโครงการติดตั้งแผงโซลาร์บนหลังคาหรือชั้นดาดฟ้าของอาคาร การเปลี่ยนมาใช้หลอดไฟประหยัดพลังงาน การเพิ่มประสิทธิภาพระบบทำความเย็นและเครื่องปรับอากาศ ครอบคลุมโรงแรมในเครือที่มีการดำเนินงานมาตั้งแต่ปี 2019 นอกจากนี้ AWC จะพัฒนาโครงการในเครือตามกรอบเพื่อขอรับรองมาตรฐานอาคารสีเขียวสากล อาทิ มาตรฐาน EDGE LEED หรือ WELL เพื่อผลักดันให้เกิดการพัฒนาอย่างยั่งยืนและคํานึงถึงผลกระทบต่อสิ่งแวดล้อมด้วยการใช้ทรัพยากรให้เกิดความคุ้มค่าและมีประสิทธิภาพสูงสุด
“การลงนามสัญญาในครั้งนี้เป็นการตอกย้ำวิสัยทัศน์ร่วมกันของ AWC และ SCB ในการดำเนินธุรกิจ โดย AWC จะยังคงดำเนินการตามกลยุทธ์ความยั่งยืนอย่างต่อเนื่องผ่านโครงการริเริ่มต่างๆ ของ AWC เพื่อร่วมสร้างคุณค่าในระยะยาวให้แก่ผู้มีส่วนเกี่ยวข้องทุกฝ่าย ทั้งต่ออุตสาหกรรม ชุมชน สังคม และประเทศชาติ ภายใต้พันธกิจ “สร้างสรรค์อนาคตที่ดีกว่า” พร้อมเป็นพลังสำคัญในการขับเคลื่อนประเทศไทยสู่การเป็นจุดหมายปลายทางการท่องเที่ยวยั่งยืนระดับโลก” นางวัลลภา กล่าวเสริม
AWC ดำเนินงานภายใต้กรอบการพัฒนาอย่างยั่งยืนต่อเนื่อง และได้ร่วมเป็นส่วนหนึ่งในมาตรฐานสากลต่างๆ ทั้งในประเทศและต่างประเทศ อาทิ การได้รับการประเมินจาก MSCI ESG Rating ในระดับ "AA" ได้รับการคัดเลือกเข้าสู่รายชื่อหุ้นยั่งยืน Thailand Sustainability Investment (THSI) ของตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทย ได้ติดอันดับรายงานความยั่งยืน S&P CSA Yearbook 2023 ต่อเนื่องเป็นปีที่ 2 ซึ่งได้รับคัดเลือกเป็น “Top 1% S&P
Global ESG Score 2022” ได้รับรางวัล “Industry Mover” ในฐานะบริษัทที่มีความยั่งยืนของกลุ่มอุตสาหกรรมโรงแรม รีสอร์ท และเรือสำราญ ได้รับการจัดอันดับรายงานการกำกับดูแลกิจการ ในระดับ “ดีเลิศ” (Excellence CG Scoring) ได้รับการรับรองให้เป็นแนวร่วมปฏิบัติของภาคเอกชนไทยในการต่อต้านการทุจริต (CAC) และได้รับการจัดอันดับในฐานะองค์กรที่มีการกำกับกิจการที่ดีของบริษัทจดทะเบียนในอาเซียนของปี 2564 (ASEAN CG Scorecard)