

สำนักงานส่งเสริมวิสาหกิจขนาดกลางและขนาดย่อม (สสว.) จัด “งานมอบรางวัลผู้ให้บริการทางธุรกิจดีเด่น ปี 2568” คัดเลือก 10 หน่วยงานที่โดดเด่นจาก 284 หน่วยงานที่ให้บริการในระบบ BDS เชิดชูพันธมิตรเสริมแกร่ง SME พัฒนาและยกระดับศักยภาพให้เติบโตอย่างยั่งยืน ผ่านการสนับสนุน SME ในระบบ bds.sme.go.th กว่า 260 ล้านบาท โดยมี SME ได้รับการพัฒนาแล้วกว่า 20,000 ราย จากบริการให้เลือกใช้กว่า 1,100 บริการ

ดร.ปณิตา ชินวัตร รองผู้อำนวยการสำนักงานฯ รักษาการผู้อำนวยการ สสว. ประธานในงาน กล่าวถึงการดำเนินงานของโครงการ “ตลอดการดำเนินการ 2 ปี (2567-2568) ที่ สสว. และเครือข่าย BDSP ได้ร่วมกันพัฒนาระบบนิเวศทางธุรกิจ เพื่อยกระดับศักยภาพของผู้ประกอบการ SME ไทยให้เติบโตอย่างยั่งยืน เราได้ดำเนินงานโครงการส่งเสริมผู้ประกอบการผ่านระบบ BDS (ข้อมูล ณ 31 ต.ค. 2568) มีผู้ประกอบการเข้าร่วมระบบถึง 22,544 ราย โดยมีผู้ให้บริการ (BDSP) จำนวน 284 หน่วยงาน นำเสนอบริการรวม 1,102 บริการ และได้สนับสนุนงบประมาณเพื่อยกระดับ SME ไปแล้วกว่า 260 ล้านบาท โดยในปีนี้มีรางวัลผู้ให้บริการทางธุรกิจดีเด่น ปี 2568 ใน 4 ด้าน ได้แก่ รางวัลด้านการดำเนินงาน, รางวัลด้านสร้างเครือข่าย, รางวัลด้านการสร้างบริการที่ผู้ประกอบการสนใจ และรางวัลด้านการประสานงาน อีกทั้ง ยังได้เพิ่มรางวัลให้สำหรับหน่วยงานผู้ให้บริการที่โดดเด่นอีก 2 รางวัล คือ รางวัลน้องใหม่มาแรง : Rising Star Award และรางวัลขวัญใจมหาชน : People’s Choice Award”
สสว. เล็งเห็นความสำคัญกับหน่วยงานผู้ให้บริการ SME หรือที่เราเรียกว่า Business Development Service Provider: BDSP ซึ่งถือเป็นพันธมิตรที่แข็งแกร่ง มีบทบาทสำคัญในการช่วยกันผลักดันและยกระดับให้ SME ไทยตลอดมา และเพื่อเป็นการขอบคุณหน่วยงานต่าง ๆ ที่ได้พยายามทุ่มเทความช่วยเหลือเพื่อให้ SME มีโอกาสในการเติบโต พัฒนา หรือต่อยอดจากธุรกิจได้ ผ่านยกระดับ 4 ด้านหลัก ได้แก่ ด้านการเพิ่มผลิตภาพและประสิทธิภาพทางธุรกิจ ด้านการพัฒนาและบริหารจัดการธุรกิจ ด้านการพัฒนาคุณภาพและมาตรฐานสินค้าและบริการ และด้านการพัฒนาช่องทางการจำหน่ายและการตลาด
สำหรับ 10 หน่วยงานที่ได้รับรางวัลผู้ให้บริการทางธุรกิจดีเด่น ปี 2568 ซึ่งแสดงถึงผลงานอันโดดเด่น ในด้านต่าง ๆ มีดังนี้:

- รางวัลด้านการดำเนินงาน: Operational Excellence Award ได้แก่ สภาอุตสาหกรรมแห่งประเทศไทย และสถาบันพัฒนาอุตสาหกรรมสิ่งทอ

- รางวัลด้านสร้างเครือข่าย: Collaboration & Networking Excellence Award ได้แก่ กรมวิทยาศาสตร์การแพทย์ และสำนักงานมาตรฐานผลิตภัณฑ์อุตสาหกรรม

- รางวัลด้านการสร้างบริการที่ผู้ประกอบการสนใจ: Service Excellence Award ได้แก่ มูลนิธิเพื่อพัฒนาวิสาหกิจขนาดกลางและขนาดย่อม และสถาบันอาหาร

- รางวัลด้านการประสานงาน : Coordination Excellence Award ได้แก่ บริษัท ห้องปฏิบัติการกลาง (ประเทศไทย) จำกัด และสถาบันรับรองมาตรฐานไอเอสโอ

- รางวัลน้องใหม่มาแรง : Rising Star Award ได้แก่ ศูนย์บริการวิชาการแห่งจุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย

- รางวัลขวัญใจมหาชน : People’s Choice Award ได้แก่ สมาคมสมาพันธ์ SME ไทย
“ขอแสดงความยินดีกับทุกหน่วยงานที่ได้รับรางวัลในครั้งนี้ เราเห็นถึงความมุ่งมั่น ทุ่มเท และพร้อมสนับสนุนของทุกหน่วยงานเสมอ และเชื่อมั่นว่ายังมีอีกหลาย ๆ หน่วยงานที่มีความพร้อมเช่นเดียวกัน โดยจะมีการรับสมัคร BDSP เพิ่มเติมอีก เพื่อให้ได้บริการที่ตอบโจทย์ ตรงใจ SME และผู้ประกอบการ SME ที่สนใจอยากขอรับการสนับสนุน ก็จะยังมีงบอุดหนุนตามขนาดของธุรกิจเช่นเดิม โดยเฉพาะกลุ่มบริการที่จะช่วยรักษาสิ่งแวดล้อมอย่างยั่งยืนที่กำลังเป็นที่สนใจจาก SME เช่นเดียวกัน” ดร.ปณิตา กล่าวทิ้งท้าย
‘กรุงศรี ออโต้’ ผู้นำธุรกิจสินเชื่อยานยนต์ครบวงจร เครือธนาคาร กรุงศรีอยุธยา จำกัด (มหาชน) เดินหน้าสนับสนุนการเติบโตของภาคธุรกิจอย่างยั่งยืน ตอบโจทย์ทางการเงินสำหรับลูกค้านิติบุคคล ผ่านผลิตภัณฑ์ “กรุงศรี ฟลีท แอนด์ ลีสซิ่ง” สินเชื่อเพื่อซื้อรถยนต์ไว้ใช้ในกิจการ ตอบโจทย์การบริหารต้นทุนและเสริมสภาพคล่องให้แก่ธุรกิจ ครอบคลุมทั้งการจัดซื้อรถยนต์หลายคันในคราวเดียว (Fleet) และ การจัดซื้อเป็นรายคัน (Leasing) โดยมี 2 รูปแบบสินเชื่อ ได้แก่ สัญญาเช่าซื้อ หรือ สัญญาเช่าทางการเงิน ที่ยืดหยุ่นตามความต้องการ พร้อมสิทธิประโยชน์ทางภาษีเงินได้นิติบุคคลตามมาตรฐานบัญชี ควบคู่กับข้อเสนอพิเศษ “ดอกเบี้ยพิเศษ ผ่อนสูงสุด 60 เดือน” ชูจุดเด่นความโปร่งใส เข้าใจง่าย และช่วยให้ผู้ประกอบการวางแผนการเงินได้อย่างมั่นใจ
ในปีที่ผ่านมา SMEs ไทยเผชิญกับความท้าทายรอบด้าน โดยเฉพาะต้นทุนทางการเงินและค่าใช้จ่ายที่เพิ่มขึ้น ซึ่งถึงแม้ว่าการปรับลดอัตราดอกเบี้ยโดยคณะกรรมการนโยบายการเงิน (กนง.) ในปี 2568 จะเป็นปัจจัยบวกที่ช่วยบรรเทาภาระทางการเงินของภาคธุรกิจ แต่การเสริมสภาพคล่องยังคงเป็นโจทย์สำคัญ ดังนั้น การบริหารกระแสเงินสดและการวางแผนภาษีจึงเป็นเครื่องมือที่หลายองค์กรมองหาเพื่อเพิ่มขีดความสามารถในการทำกำไรของบริษัท ขณะเดียวกัน ยานพาหนะยังคงเป็นปัจจัยสำคัญในการดำเนินธุรกิจได้อย่างต่อเนื่อง การใช้บริการ “สัญญาเช่าซื้อ” หรือ “สัญญาเช่าทางการเงิน” เพื่อซื้อรถยนต์ไว้ใช้ในกิจการ ถือเป็นอีกหนึ่งทางเลือกที่จะช่วยเพิ่มกำลังขับเคลื่อนและสนับสนุนการเติบโตของธุรกิจได้อย่างมีประสิทธิภาพเช่นกัน
กรุงศรี ออโต้ จึงได้นำเสนอ “กรุงศรี ฟลีท แอนด์ ลีสซิ่ง” หรือ สินเชื่อเพื่อซื้อรถยนต์เพื่อใช้ในกิจการ ที่ครอบคลุมทั้งรถยนต์นั่งส่วนบุคคล และรถยนต์เพื่อการพาณิชย์ เช่น รถกระบะ รถบรรทุก รถพ่วง และรถหัวลาก เพื่อตอบโจทย์ความต้องการที่หลากหลายของผู้ประกอบการ โดยสามารถเลือกรูปแบบทางการเงิน ได้ทั้งสัญญาเช่าซื้อ หรือ สัญญาเช่าทางการเงิน โดยไม่ต้องใช้เงินสดก้อนใหญ่ แต่สามารถชำระค่าเช่าเป็นงวดรายเดือนพร้อมอัตราดอกเบี้ยคงที่ อีกทั้งยังสามารถนำค่าเช่าไปหักเป็นค่าใช้จ่ายเพื่อลดหย่อนภาษีเงินได้นิติบุคคลตามเกณฑ์บัญชี ซึ่งจะช่วยให้ผู้ประกอบการสามารถวางแผนภาษีและบริหารกระแสเงินสดได้มีประสิทธิภาพมากขึ้น
5 จุดเด่นของสินเชื่อเพื่อซื้อรถยนต์เพื่อใช้ในกิจการ:
· ช่วยประหยัดภาษี: ลูกค้านิติบุคคลสามารถนำค่าเช่ามาหักเป็นค่าใช้จ่ายเพื่อลดหย่อนภาษีเงินได้นิติบุคคลตามมาตรฐานบัญชี
· เสริมสภาพคล่องทางการเงิน: สัญญาเช่าทางการเงินสามารถแบ่งชำระรายเดือน ไม่กระทบกระแสเงินสด เพื่อรักษาสภาพคล่องและได้รับประโยชน์ทางบัญชีได้อย่างเต็มที่
· ไม่ต้องใช้เงินก้อนใหญ่: ลงทุนในรถยนต์เพื่อใช้ในกิจการได้โดยไม่ต้องจ่ายเงินก้อน
· อัตราดอกเบี้ยคงที่ตลอดอายุสัญญา: สามารถวางแผนทางการเงินได้มีประสิทธิภาพ
· เงื่อนไขโปร่งใสและเข้าใจง่าย: วางแผนการเงินได้สะดวกและแม่นยำ
รายละเอียดข้อเสนอ กรุงศรี ฟลีท แอนด์ ลีสซิ่ง: วงเงินสินเชื่อรถยนต์พร้อมใช้ (ฟลีท)
· ครอบคลุมสินเชื่อรถยนต์ใหม่ ทั้งรถยนต์นั่งส่วนบุคคลและรถยนต์เพื่อการพาณิชย์
· วงเงินสินเชื่อตั้งแต่ 10 ล้านบาทขึ้นไป
· วงเงินสินเชื่อมีอายุ 1 ปี และสามารถต่ออายุได้โดยยื่นเอกสารเพื่อพิจารณาอนุมัติ
· ระยะเวลาทำสัญญา 12-60 เดือน
สัญญาเช่าทางการเงิน (ลีสซิ่ง)
· ให้บริการสินเชื่อรถยนต์ใหม่ ทั้งรถยนต์นั่งส่วนบุคคล รถตู้ และรถกระบะ
· ระยะเวลาทำสัญญา 36-60 เดือน
· อัตราดอกเบี้ยคำนวณแบบลดต้นลดดอก และคงที่ตลอดอายุสัญญา
นอกจากนี้ ลูกค้ายังสามารถชำระค่างวดได้อย่างสะดวกผ่านหลากหลายช่องทางใกล้บ้าน ไม่ว่าจะเป็น ธนาคารกรุงศรีอยุธยา (เคาน์เตอร์, ATM, ระบบออนไลน์) หักบัญชีอัตโนมัติ (Direct Debit) รวมถึง โลตัส, 7-Eleven, เคาน์เตอร์เซอร์วิส, ที่ทำการไปรษณีย์ และ CenPay
ผู้ที่สนใจสามารถสอบถามรายละเอียดเพิ่มเติมได้ที่ กรุงศรี ออโต้ คอล เซ็นเตอร์ 0 2740 7400 หรือ LINE Official Account @krungsriauto เว็บไซต์ bit.ly/3Jqi45U
สำนักงานส่งเสริมวิสาหกิจขนาดกลางและขนาดย่อม (สสว.) ยกระดับขีดความสามารถด้านการตลาดแก่ผู้ประกอบการเอสเอ็มอีกว่า 50 ราย โดยการสนับสนุนงบประมาณผ่านระบบ BDS “Business Development Service” หรือ “SME ปัง ตังได้คืน” ในการออกบูธงานแสดงสินค้านานาชาติ ผับ บาร์ เอเชีย 2568 (Pub Bar Asia 2025) งานแสดงสินค้าด้านเครื่องดื่ม โรงแรม ร้านอาหารแบบไฟน์ไดนิ่ง (Fine Dining) และอุตสาหกรรมบันเทิงยามค่ำคืนที่ใหญ่ที่สุดในเอเชีย ร่วมกับสภาอุตสาหกรรมแห่งประเทศไทย โดยงานจัดขึ้นระหว่างวันที่ 24-27 กรกฎาคม 2568 ณ ศูนย์นิทรรศการและการประชุมไบเทค บางนา
นางสาวปณิตา ชินวัตร รองผู้อำนวยการ รักษาการแทนผู้อำนวยการสำนักงานส่งเสริมวิสาหกิจขนาดกลางและขนาดย่อม เปิดเผยว่า “ภาพรวมธุรกิจของผู้ประกอบการเอสเอ็มอีด้านเครื่องดื่มและธุรกิจบันเทิงยามค่ำคืนในประเทศไทย มีความหลากหลายและมีศักยภาพในการเติบโตสูง ธุรกิจเครื่องดื่ม ปัจจุบัน มีตั้งแต่ร้านกาแฟเล็กๆ ร้านอาหารที่มีดนตรีสด ไปจนถึงผู้ผลิตเครื่องดื่มเฉพาะทางทั้งที่มีแอลกอฮอล์และไม่มีแอลกอฮอล์ ในขณะที่ธุรกิจบันเทิงยามค่ำคืน รวมถึง ร้านอาหาร ผับ บาร์ หรือคลับต่าง ๆ ที่กำลังเผชิญกับการแข่งขันที่สูงขึ้น จากการขยายตัวของตลาดท่องเที่ยว การปรับตัวให้เข้ากับพฤติกรรมผู้บริโภคที่เปลี่ยนแปลง”

การเข้าร่วมงาน ผับ บาร์ เอเชีย 2568 (Pub Bar Asia 2025) ซึ่งจัดขึ้นเป็นครั้งที่ 3 ในประเทศไทย ถือเป็นเวทีเจรจาการค้าระดับนานาชาติที่รวบรวมผู้ประกอบการในอุตสาหกรรมเครื่องดื่ม ผับ บาร์ ร้านอาหาร และธุรกิจไนท์ไลฟ์จากกว่า 60 ประเทศทั่วโลก เช่น จีน ญี่ปุ่น เกาหลีใต้ มาเลเซีย และพม่า โดยปีนี้คาดว่าจะมีผู้เข้าชมกว่า 5,600 ราย ทั้งจากในและต่างประเทศ จึงถือเป็นอีกหนึ่งกลยุทธ์ที่จะช่วยพัฒนาศักยภาพทางการตลาดของผู้ประกอบการเอสเอ็มอีไทย โดยเฉพาะกลุ่มผู้ผลิตเครื่องดื่มแอลกอฮอล์ ซึ่งมีข้อจำกัดตามข้อกำหนดกฎหมายจากพระราชบัญญัติควบคุมเครื่องดื่มแอลกอฮอล์ที่ไม่อนุญาตให้โฆษณาเครื่องดื่มแอลกอฮอล์ทุกรูปแบบ รวมถึงการห้ามจำหน่ายเครื่องดื่มแอลกอฮอล์ผ่านช่องทางจำหน่ายออนไลน์ ซึ่งข้อจำกัดดังกล่าวส่งผลกระทบต่อความสามารถในการแข่งขันโดยเฉพาะผู้ประกอบการขนาดกลางและเล็กในการสร้างการรับรู้ของตลาดผู้บริโภค จึงทำให้การทำการตลาดที่เน้นการสร้างประสบการณ์ร่วมกับผู้บริโภคโดยตรง (On-ground Marketing) เป็นช่องทางสำคัญในการสร้างแบรนด์และเข้าถึงผู้บริโภคอย่างมีประสิทธิภาพ
นายสราวุธ ประสิทธิ์ส่งเสริม เจ้าของแบรนด์คร๊าฟเบียร์สัญชาติไทย “คอลมีปาป๊า” (Call Me Papa) กล่าวระหว่างการออกบูธภายในงานว่า “คอลมีปาป๊า เป็นเบียร์ไทยที่ทางแบรนด์คิดค้นขึ้นเอง โดยเริ่มจากการทำให้คุณแม่ดื่ม จนพัฒนาเป็นคร๊าฟเบียร์รสชาติผลไม้ (ฟรุ๊ตตี้) อันเป็นเอกลักษณ์เฉพาะตัว ในปัจจุบันสามารถส่งออกไปยังประเทศเนเธอร์แลนด์ได้ ซึ่งคอลมีปาป๊าได้มาออกบูธภายในงานปีนี้เป็นปีที่ 2 จากการสนับสนุนของ สสว. ซึ่งทำให้สามารถช่วยลดต้นทุนค่าบูธได้อย่างมาก นอกจากนี้ยังสามารถสร้างโอกาสในการเปิดตลาดได้จากการพบปะกับลูกค้าภายในงาน เช่น กลุ่มโรงแรม ร้านอาหาร และเจ้าของกิจการผับ บาร์ต่าง ๆ ซึ่งการช่วยเหลือของ สสว. ก็จะเป็นส่วนหนึ่งของจุดเริ่มต้นที่ทำให้แบรนด์คอลมีปาป๊าได้ค่อย ๆ เติบโตต่อไป”

ด้านนายพสิษฐ์ ฐิติธนารัศมิ์ ผู้ก่อตั้งแบรนด์ไฮคร๊าฟ ม็อคเทลผลไม้แปรรูปที่นำพืชเกษตรหลักของไทย สับปะรดและมะพร้าวมาสร้างมูลค่าเพิ่ม กล่าวว่า “แบรนด์ไฮคร๊าฟเกิดภายใต้แนวคิดเมจิกดริ๊งก์ คือ เมื่อดื่มเข้าไปเป็นหนึ่งรสชาติ แต่หายใจออกมาเป็นอีกหนึ่งรสชาติ ทำให้ลูกค้าได้สัมผัสประสบการณ์ความสดชื่นระดับพรีเมี่ยม โดยทางแบรนด์ได้ขอรับการสนับสนุนด้านการตลาดจาก สสว. เป็นครั้งแรก ทำให้มีโอกาสทำตลาดในประเทศ และบริษัทฯ เองยังมีแผนที่จะทำการตลาดให้เป็นที่รู้จักมากขึ้นทั้งแบบออนไลน์และออฟไลน์ซึ่งถือว่าสำคัญมากๆ และอยากฝากให้พัฒนาโครงการลักษณะนี้เพิ่มขึ้นในรูปแบบการจัดหมวดหมู่หรือเป็นคลัสเตอร์ เพื่อให้สามารถเข้าถึงการพัฒนาผู้ประกอบการในแต่ละกลุ่มผลิตภัณฑ์เชิงลึกมากขึ้น”
ทั้งนี้ อุตสาหกรรมอาหารและเครื่องดื่มเป็นสาขาการผลิตที่สำคัญต่อระบบเศรษฐกิจและสังคมของไทย เป็นอันดับที่ 1 ในภาคอุตสาหกรรม คิดเป็นมูลค่า 941,693 ล้านบาท โดยเป็นมูลค่าจาก SMEs 312,848 ล้านบาท หรือมีสัดส่วนร้อยละ 33.2 ของผลิตภัณฑ์มวลรวม ในสาขาอาหารและเครื่องดื่ม มีจำนวน SMEs ซึ่งอยู่ในอุตสาหกรรมทั้งสิ้น 136,663 ราย คิดเป็นร้อยละ 4.56 ของจำนวน SMEs ทั้งหมดของประเทศ มีการจ้างงาน 524,497 คน คิดเป็นร้อยละ 4.31 ของการจ้างงานรวม
รักษาการแทนผู้อำนวยการ สสว. ยังกล่าวต่อว่า “สสว. เล็งเห็นถึงโอกาสในการพัฒนาผู้ประกอบการในกลุ่มนี้ จึงได้ส่งเสริมให้ผู้ประกอบการเอสเอ็มอี เข้าสู่ระบบ BDS “Business Development Service” หรือ “SME ปัง ตังได้คืน” ซึ่งได้ดำเนินการมาอย่างต่อเนื่อง ทำให้ผู้ประกอบการสามารถขอรับการสนับสนุนค่าใช้จ่าย 50-80% หรือ สูงสุดถึง 200,000 บาท เพื่อช่วยลดต้นทุน และเพิ่มประสิทธิภาพในการพัฒนาศักยภาพของธุรกิจ”

ในปี 2568 นี้ สสว. ยังคงเดินหน้าผลักดันผู้ประกอบการเข้าสู่ระบบ BDS “Business Development Service” หรือโครงการ “SME ปัง ตังได้คืน” สนับสนุนค่าใช้จ่ายในการพัฒนาธุรกิจ 5 หมวดหลัก ได้แก่ การพัฒนาคุณภาพการผลิตและบริการ การตรวจวัดมาตรฐานสินค้า เช่น ฉลากโภชนาการ การตรวจอายุสินค้า การเพิ่มผลิตภาพ เช่น ซอฟต์แวร์บริหารคลัง การพัฒนาและบริหารธุรกิจ การสร้างช่องทางตลาดและการตลาด รวมถึงเพิ่มบริการใหม่ คือ การพัฒนาธุรกิจที่มุ่งสู่เศรษฐกิจสีเขียว เช่น มาตรฐานสิ่งแวดล้อม และการตรวจสอบคาร์บอนเครดิต ปัจจุบันมีผู้ประกอบการสมัครเข้าร่วมแล้วกว่า 21,791 ราย และมีหน่วยงานผู้ให้บริการทางธุรกิจบนระบบ BDS ขึ้นทะเบียนแล้วกว่า 257 หน่วยงาน
ผู้ประกอบการ SME ที่สนใจสามารถสอบถามข้อมูลโครงการ “SME ปัง ตังได้คืน” และขั้นตอนการสมัครเพื่อขอรับสิทธิประโยชน์ได้ที่เว็บไซต์ สสว. หรือโทร. 1301
นายประเสริฐ จันทรรวงทอง รองนายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงดิจิทัลเพื่อเศรษฐกิจและสังคม ในฐานะประธานกรรมการส่งเสริมวิสาหกิจขนาดกลางและขนาดย่อม (บอร์ดส่งเสริมฯ สสว.) เปิดเผยว่าที่ประชุมได้เร่งผลักดันมาตรการส่งเสริม SME ซึ่งเชื่อมั่นว่าจะสามารถสร้างมูลค่าให้กับ SME ให้พร้อมรับมือกับความท้าทายทางเศรษฐกิจได้อย่างเข้มแข็ง ผ่าน 3 มาตรการหลัก ดังนี้
e-Commerce เป็นช่องทางหลักที่ผู้ประกอบการใช้นำเสนอสินค้าสู่ผู้บริโภค อย่างไรก็ตามผู้ประกอบการ SME ต้องเสียส่วนแบ่งกำไรกว่า 30% ให้กับการใช้บริการแพลตฟอร์ม e-Commerce ที่ให้บริการในปัจจุบัน ทำให้ SME มีต้นทุนสูง ดังนั้น บอร์ดส่งเสริมฯ จึงมีนโยบายให้สำนักงานส่งเสริมวิสาหกิจขนาดกลางและขนาดย่อม (สสว.) เป็นผู้รับผิดชอบหลักในการดำเนินการพัฒนาศักยภาพของแพลตฟอร์ม e-Commerce ของไทย โดยอาจร่วมมือกับ Thailand Post Mart หรือแพลตฟอร์มอื่น ๆ ที่ สสว. เห็นว่ามีความเหมาะสม อีกทั้งใช้จุดแข็งของไปรษณีย์ไทยที่มีสาขา และระบบโลจิสติกส์ครอบคลุมทั่วประเทศในการเสริมความแข็งแกร่งของระบบ e-Commerce เบื้องต้นบอร์ดส่งเสริมฯ อนุมัติกรอบงบประมาณ 1,000 ล้านบาท เพื่อการพัฒนาขีดความสามารถของระบบนิเวศ e-Commerce อย่างไรก็ตาม มอบหมายให้ สสว. เสนอแผนการดำเนินงานต่อบอร์ดส่งเสริมฯ ต่อไป

นายประเสริฐฯ ย้ำถึงมาตรการของรัฐบาลในการสนับสนุนให้ SME เข้าถึงการจัดซื้อภาครัฐ (THAI SME-GP) โดยสำนักงานส่งเสริมวิสาหกิจขนาดกลางและขนาดย่อม (สสว.) ได้ดำเนินการร่วมกับกรมบัญชีกลาง ด้วยสิทธิพิเศษที่ให้ภาครัฐจัดซื้อจัดจ้างจาก SME ก่อน และให้แต้มต่อราคา 10% สำหรับ SME และเพิ่มสูงสุด 15% สำหรับสินค้า Made in Thailand ซึ่งปีงบประมาณ 2567 มียอดจัดซื้อจัดจ้างสูงถึง 726,211 ล้านบาท ดังนั้น บอร์ดส่งเสริมฯ จึงมีนโยบายให้ สสว. เร่งดำเนินการและขยายผลมาตรการด้วยการส่งเสริมและประชาสัมพันธ์ให้ SME ทราบในวงกว้าง เพื่อเพิ่มการเข้าถึงการจัดซื้อจัดจ้างภาครัฐผ่านมาตรการ THAI SME-GP โดยคาดการณ์ว่ามูลค่าการจัดซื้อจัดจ้างภาครัฐสำหรับ SME จะยังคงมีมูลค่าไม่ต่ำกว่า 750,000 ล้านบาท ในปีงบประมาณ 2568
นอกจากนี้ บอร์ดส่งเสริมฯ สสว. ได้จัดสรรงบประมาณ 2,700 ล้านบาท อัดฉีดเงินกู้ดอกเบี้ยต่ำเพียง 1% ระยะเวลาปลอดชำระเงินต้น 1 ปี คาดว่าจะสามารถปล่อยกู้ได้ในเดือนสิงหาคม 2568 เพื่อเสริมแกร่งธุรกิจ SME ไทย โดยแบ่งเป็น 3 กลุ่มเป้าหมายหลัก ได้แก่
(1) Transformation Fund (วงเงิน 1,000 ล้านบาท) มุ่งเน้น SME ที่ต้องการพัฒนารูปแบบธุรกิจให้ทันสมัยด้วยเทคโนโลยีดิจิทัล นวัตกรรม และแนวคิดธุรกิจที่ยั่งยืน เพื่อสร้างสรรค์ผลิตภัณฑ์และบริการที่มีมูลค่าเพิ่มสูงขึ้น
(2) Enhancement Fund (วงเงิน 1,000 ล้านบาท) สำหรับกลุ่ม SME ที่มีศักยภาพ เช่นธุรกิจสีเขียว การธุรกิจเกษตรสมัยใหม่ ธุรกิจดิจิทัล ธุรกิจบริการด้านสุขภาพ ธุรกิจหุ่นยนต์อัจฉริยะ และธุรกิจสร้างสรรค์ เพื่อการเติบโตอย่างก้าวกระโดดและยั่งยืนในระยะยาว
(3) กลุ่มธุรกิจท่องเที่ยวและเกี่ยวเนื่อง (วงเงิน 700 ล้านบาท) เสริมสภาพคล่องและทุนหมุนเวียนภาคท่องเที่ยว

นายประเสริฐฯ ทิ้งท้ายว่าการประชุมในครั้งนี้ เป็นการเร่งดำเนินการเพื่อ "สร้างรายได้ ขยายโอกาส เสริมแกร่ง” ธุรกิจ SME ไทยให้สามารถก้าวข้ามความท้าทายทางเศรษฐกิจและเติบโตได้อย่างยั่งยืน ด้วยกลยุทธ์ที่ครอบคลุม ทั้งการสร้างโอกาสให้ SME เข้าถึงการจัดซื้อจัดจ้างภาครัฐ การส่งเสริมตลาด e-Commerce และการสนับสนุนเงินกู้ดอกเบี้ยต่ำ ให้เป็นประโยชน์ต่อ SME ไทยอย่างแท้จริง สสว. เชื่อมั่นว่า SME ไทยจะยังคงเป็นหัวใจสำคัญในการขับเคลื่อนเศรษฐกิจของประเทศให้ก้าวเดินไปข้างหน้าได้อย่างมั่นคง
สสว. เดินหน้าลุยต่อเพื่อผู้ประกอบการเอสเอ็มอี ใช้เว็บไซต์ Market Intelligence เป็นแหล่งข้อมูลให้ผู้ประกอบการใช้เป็นคู่มือบุกตลาดต่างประเทศ อัดแน่นด้วยข้อมูลเชิงลึกของ 30 ตลาดต่างประเทศ ครอบคลุมกว่า 10 สาขาธุรกิจที่มีศักยภาพ คาดจะเป็นพื้นฐานให้กับเอสเอ็มอีเตรียมความพร้อมด้านการส่งออก
นางสาวปณิตา ชินวัตร รองผู้อำนวยการสำนักงาน รักษาการผู้อำนวยการสำนักงานส่งเสริมวิสาหกิจขนาดกลางและขนาดย่อม (สสว.) กล่าวภายหลังการสัมมนา ‘เจาะตลาดสากล : Market Intelligence เพื่อ SME’ ว่าปัจจุบัน เอสเอ็มอีจำนวนมากกว่า 3.2 ล้านราย หรือคิดเป็นร้อยละ 99.5 ของวิสาหกิจทั้งประเทศและเป็นแหล่งจ้างงานจำนวนกว่า 12 ล้านคนหรือร้อยละ 70 ของการจ้างงานทั้งหมด มีมูลค่า GDP รวมกันมากกว่า 6.3 ล้านล้านบาท หรือคิดเป็นสัดส่วนร้อยละ 35 จาก GDP ของประเทศ
รักษาการ ผอ.สสว. เผยว่า จากจำนวนดังกล่าว กลับมีเอสเอ็มอีที่มีความสามารถในการส่งออกเพียง 22,400 ราย คิดเป็นประมาณ 1.3 ล้านล้านบาท หรือเพียงร้อยละ 13.4 จากมูลค่าภาพรวมการส่งออกทั้งหมดของประเทศไทย ซึ่งสถานการณ์การส่งออกที่ผ่านมา มีแนวโน้มการขยายของมูลค่าการส่งออกเฉพาะวิสาหกิจขนาดกลางและขนาดย่อมเท่านั้น ในขณะที่วิสาหกิจรายย่อยหรือ ไมโคร เอสเอ็มอี มีจำนวนที่ลดลง ถึงร้อยละ 72 ซึ่งสามารถคาดการณ์การลดลงได้จากการที่หลายประเทศ โดยเฉพาะสหรัฐอเมริกาและกลุ่มประเทศยุโรป มีมาตรการทางการค้าที่เข้มข้นและซับซ้อนมากขึ้น โดยเฉพาะผลกระทบจากสงครามทางการค้า จึงทำให้ผู้ประกอบการหลายรายไม่สามารถปรับตัวให้สอดรับกับสถานการณ์การค้าระหว่างประเทศได้อย่างทันท่วงที

นางสาวปณิตา เผยอีกว่า นอกจากนี้ มาตรการทางการค้าระหว่างประเทศในปัจจุบันเริ่มให้ความสำคัญกับแนวคิดด้านความยั่งยืน รวมถึงการทำธุรกิจอย่างมีความรับผิดชอบอย่างชัดเจนมากขึ้น ไม่ว่าจะเป็นกฎระเบียบเรื่องสิ่งแวดล้อม การตรวจสอบห่วงโซ่อุปทาน หรือข้อกำหนดด้านแรงงาน ซึ่งล้วนมีผลต่อการค้าระหว่างประเทศ
“สสว. จึงได้มีการจัดทำเว็บไซต์ Market Intelligence ขึ้น นับตั้งแต่ปีงบประมาณ 2566 โดยเว็บไซต์ ดังกล่าว ถือเป็นแหล่งข้อมูลที่จะช่วยสนับสนุนผู้ประกอบการเอสเอ็มอีไทย สามารถเข้าถึงข้อมูลตลาดส่งออกที่ทันสมัย และตอบโจทย์การเปลี่ยนแปลงของการค้าโลกในปัจจุบัน โดยเฉพาะในยุคที่เศรษฐกิจโลกเผชิญกับความผันผวนจากทั้งปัจจัยเศรษฐกิจ ภูมิรัฐศาสตร์ และความเปลี่ยนแปลงของพฤติกรรมผู้บริโภค ธุรกิจส่งออกของไทย โดยเฉพาะกลุ่ม เอสเอ็มอี จึงต้องปรับตัวอย่างต่อเนื่อง เพื่อรักษาความสามารถในการแข่งขัน และสามารถเจาะตลาดใหม่ได้อย่างมีประสิทธิภาพ
นางสาวปณิตา กล่าวอีกว่า นอกจากนี้ เว็บไซต์ Market Intelligence ยังมีการรวบรวมข้อมูลด้านผู้ให้บริการทางธุรกิจระหว่างประเทศในหลายประเทศ ครอบคลุมทุกภูมิภาคทั่วโลก อาทิ บริการด้านโลจิสติกส์ บริการให้คำปรึกษากฎหมายการประกอบกิจการในต่างประเทศ การวางแผนการตลาด รวมถึงเครือข่ายการกระจายสินค้าและร้านอาหาร เป็นต้น ซึ่งข้อมูลเหล่านั้นจะเป็นพื้นฐานให้กับเอสเอ็มอี ในการเตรียมความพร้อมด้านการส่งออก
สสว. ได้ดำเนินการพัฒนา เว็บไซต์ Market Intelligence มาอย่างต่อเนื่อง เพื่อให้ เอสเอ็มอี สามารถเข้าถึงข้อมูลเชิงลึก ทั้งสื่อในรูปแบบ e-book รูปภาพอินโฟกราฟฟิกและคลิปวีดีโอที่ถ่ายทอดองค์ความรู้ที่เข้าใจได้โดยง่าย

ปัจจุบันเว็บไซต์ Market Intelligence มีข้อมูลเชิงลึกของตลาดเป้าหมายกว่า 30 ประเทศ ครอบคลุมกว่า 10 สาขาธุรกิจที่มีศักยภาพ อาทิ อาหารสด อาหารแปรรูปและสำเร็จรูป เครื่องแต่งกาย อัญมณีและเครื่องประดับ อาหารสัตว์ ก่อสร้าง สปาและนวดไทย ฯลฯ โดยแต่ละประเทศจะประกอบด้วยข้อมูลโอกาสด้านการตลาด (market opportunity) ข้อมูลสนับสนุนการวางแผนและเตรียมความพร้อมการส่งออกไปยังประเทศเป้าหมาย (market entry strategy) ข้อมูลการเตรียมความพร้อมและดำเนินการส่งออก (export solutions) เพื่อให้ เอสเอ็มอี สามารถเข้าถึงข้อมูลที่เป็นประโยชน์ต่อการวางแผนธุรกิจ และเป็นเครื่องมือสำคัญในการยกระดับศักยภาพของผู้ประกอบการ เอสเอ็มอี ไทย ให้สามารถแข่งขันได้อย่างมั่นคงและยั่งยืนในตลาดโลก นอกจากนั้นแล้วยังมีข้อมูลสำคัญด้านมาตรการและกฎระเบียบที่เกี่ยวข้องกับพิธีการทางด้านศุลกากรในแต่ละประเทศเป้าหมาย รวมถึงแนวโน้มทิศทางของตลาดโลกและพฤติกรรมผู้บริโภคในภาพกว้างที่จะทำให้ SME สามารถคาดการณ์การทำธุรกิจและแนวทางการส่งออกได้ ซึ่งในปี 2568 นี้เป็นการขยายขอบเขตการศึกษาข้อมูลเพิ่มเติมอีก 10 ประเทศ
“สสว. หวังเป็นอย่างยิ่งว่าเว็บไซต์ Market Intelligence จะเป็นอีกหนึ่งแหล่งข้อมูลสำหรับผู้ประกอบการเอสเอ็มอี ที่สนใจทำธุรกิจในต่างประเทศ รวมถึงจะสร้างแรงบันดาลใจให้แก่ผู้ประกอบการไทยขับเคลื่อนธุรกิจสู่อนาคตอย่างมั่นใจ และก้าวทันโลกการค้าในยุคใหม่ได้อย่างยั่งยืน” รักษาการ ผอ.สสว. กล่าวในที่สุดa