

กรมการค้าต่างประเทศ เปิดมหกรรมแสดงสินค้าเกษตรนวัตกรรม Agri Plus Expo 2025 รวมสุดยอดสินค้าเกษตรนวัตกรรมไทย มุ่งส่งเสริมขยายตลาด ลุยเจรจาธุรกิจ ผลักดันสู่ตลาดทั้งไทยและต่างประเทศ พร้อมกิจกรรมเปิดเวทีสัมมนาเสริมความรู้ และคลินิกให้คำปรึกษาธุรกิจ ส่งเสริมธุรกิจเกษตรนวัตกรรมครบวงจร

นางอารดา เฟื่องทอง อธิบดีกรมการค้าต่างประเทศ เป็นประธานในพิธีเปิดงานมหกรรมแสดงสินค้าเกษตรนวัตกรรม Agri Plus Expo 2025 ที่เป็นการนำผลงานของผู้ประกอบการที่ผ่านการประกวดสินค้าเกษตรนวัตกรรมไทยระดับประเทศ Agri Plus Award และสินค้าที่มีศักยภาพมาจัดแสดงและจำหน่ายเป็นครั้งแรก โดยจัดขึ้นภายใต้แนวคิด “Thai Agri Connect: Innovating for a Sustainable World นวัตกรรมสินค้าเกษตรไทย เชื่อมไทยเชื่อมโลก สู่อนาคตยั่งยืน” นับเป็นอีกหนึ่งย่างก้าวที่สำคัญในการสร้างความเข้มแข็งด้านการตลาดให้แก่ผู้ประกอบการสินค้าเกษตรนวัตกรรมไทย โดยงานดังกล่าวจัดขึ้นระหว่างวันที่ 25 - 28 กันยายน 2568 ณ ฮอลล์ 8 อิมแพ็ค เมืองทองธานี ซึ่งตลอดทั้ง 4 วัน จะได้พบกับสินค้าเกษตรนวัตกรรมไทยที่มีศักยภาพในระดับอินเตอร์ทั้งสินค้าอาหารและสินค้าไลฟ์สไตล์กว่า 150 รายการ อาทิ ชีสวีแกนจากข้าวและน้ำมันมะพร้าว ข้าวไร้แป้ง วุ้นเส้นจากน้ำมะพร้าว เม็ดฟู่สมุนไพรไทย ชีสจากเม็ดมะม่วงหิมพานต์ ผงผำ 100% ผง Bio-silica จากแกลบข้าว สเปรย์ขะจาวดูแลผิวหนังสัตว์เลี้ยง เจลจากลูกประคบสมุนไพรไทย ผลิตภัณฑ์จากแผ่นยางเคลือบฟางข้าว ทรายแมวกราฟีน เป็นต้น และภายในงานจะได้พบกับ Celebrity chef สาธิตเมนูอาหารสุดชิคจากสินค้าเกษตรนวัตกรรม พร้อมต่อยอดความรู้ทางธุรกิจในเวทีสัมมนาวิชาการที่จะเสริมสร้างความรู้ให้กับผู้ประกอบการ ทั้งการยกระดับสินค้าเกษตรนวัตกรรมด้วยมาตรฐานระดับโลก Green Business การขับเคลื่อนธุรกิจเกษตรให้ยั่งยืนและการพัฒนาธุรกิจให้ก้าวกระโดดการเจาะลึกการวางแผนธุรกิจและการเข้าถึงแหล่งเงินทุน พร้อมรับคำปรึกษาจาก Agri Plus Clinic จากหน่วยงานต่างๆ ได้แก่ กรมส่งเสริมการค้าระหว่างประเทศ กรมพัฒนาธุรกิจการค้า กรมทรัพย์สินทางปัญญา EXIM Bank และ SME D Bank ที่จะมาให้คำแนะนำในการทำธุรกิจ รวมทั้งกิจกรรม Business matching เจรจาจับคู่ธุรกิจเพื่อขยายตลาด ตลอดจนกิจกรรมอีกมากมายที่จะสร้างโอกาสให้สินค้าเกษตรนวัตกรรมไทยเติบโตได้ไกลยิ่งขึ้น

“กรมการค้าต่างประเทศเชื่อว่างาน Agri Plus Expo 2025 ในครั้งนี้ ได้คัดสรรรวบรวมสินค้าเกษตรนวัตกรรมมูลค่าสูงที่ตอบโจทย์ความต้องการของตลาดทั้งในประเทศและต่างประเทศ โดยเฉพาะสินค้าที่ได้รับรางวัลจากการประกวด Agri Plus Award ที่กรมการค้าต่างประเทศจัดมาแล้ว 4 ครั้ง ซึ่งจะเป็นเครื่องการันตีคุณภาพของสินค้าเกษตรไทยได้รับการต่อยอดเพิ่มมูลค่าโดยการใช้นวัตกรรม และสามารถเข้าสู่ตลาดได้ในระดับสากล ซึ่งในงานจัดงานครั้งนี้ กล่าวได้ว่า กรมฯ ได้ทำหน้าที่เป็น “Gateway” เชื่อมโยงตั้งแต่การผลิต การพัฒนาโดยใช้นวัตกรรม ไปจนถึงการเปิดประตูการค้าเจรจาจับคู่ธุรกิจระหว่างผู้ประกอบการกับ Buyers ทั้งไทยและต่างประเทศกว่า 50 คู่ โดยร่วมมือกับเอกชนรายใหญ่ อาทิ Makro Lotus’s Tops กลุ่ม BizClub และกลุ่ม buyers จากจีน ซึ่งในปี 2568 นี้ กรมฯ ตั้งเป้าหมายในการส่งเสริมมูลค่าการค้าสินค้าเกษตรนวัตกรรมไทยในมูลค่ากว่า 500 ล้านบาท แต่สิ่งสำคัญยิ่งกว่าตัวเลข คือ การมุ่งเดินหน้าพัฒนา ขยายโอกาสทางการค้า และต่อยอดสินค้าเกษตรนวัตกรรมไทยให้มีการพัฒนาเชิงพาณิชย์อย่างเป็นรูปธรรม เพื่อยกระดับขีดความสามารถทางการค้าควบคู่ไปกับการยกระดับรายได้ของเกษตรกรและผู้ประกอบการอย่างยั่งยืน” อธิบดีกรมการค้าต่างประเทศกล่าวทิ้งท้าย
ศูนย์ส่งเสริมวิสาหกิจขนาดกลางและขนาดย่อมแห่งมหานครโตเกียว ประเทศญี่ปุ่น (Tokyo Metropolitan Small and Medium Enterprise Support Center) ประกาศความสำเร็จในการจัดงานสัมมนาเชิงธุรกิจ “Tokyo-Thailand Business Partnership Seminar” ณ กรุงเทพมหานคร โดยมีวัตถุประสงค์เพื่อเสริมสร้างความรู้ความเข้าใจเรื่องการขยายต่อยอดธุรกิจในโตเกียว ซึ่งได้รับความสนใจอย่างมากจากผู้ประกอบการและนักธุรกิจไทย ที่ลงทะเบียนเข้าร่วมงานทั้ง Onsite และ Online ผ่านระบบ ZOOM กว่า 120 ราย ภายในงานมีผู้เข้าร่วมฟังสัมมนาแบบหน้างานเป็นจำนวนมาก บรรยากาศเต็มไปด้วยความสนใจและการมีส่วนร่วมจากผู้ประกอบการไทยที่ต้องการเรียนรู้และสร้างเครือข่ายกับภาคธุรกิจจากกรุงโตเกียว
ความพิเศษของงาน “Tokyo-Thailand Business Partnership Seminar” ในปีนี้ คือการได้รับเกียรติและการสนับสนุนจาก สำนักงานนวัตกรรมแห่งชาติ หรือ NIA (National Innovation Agency) ให้ร่วมจัดงานสัมมนานี้ภายในงานมหกรรมนวัตกรรมและเครือข่ายสตาร์ทอัพไทยที่ยิ่งใหญ่ที่สุดในประเทศ “Startup x Innovation Thailand Expo 2025” (SITE 2025) ซึ่งช่วยยกระดับและสร้างความน่าสนใจให้กับสัมมนาในปีนี้เป็นอย่างยิ่ง

Mr. KIMURA Masayuki - General Manager, Professional Career Development Support Section, Globalization Support Desk (Organization & HR) ศูนย์ส่งเสริมวิสาหกิจขนาดกลางและขนาดย่อมแห่งมหานครโตเกียว ประเทศญี่ปุ่น กล่าวว่า
“ศูนย์ส่งเสริมวิสาหกิจขนาดกลางและขนาดย่อมแห่งมหานครโตเกียว (Tokyo Metropolitan Small and Medium Enterprise Support Center) มีบทบาทสำคัญในการขับเคลื่อนและส่งเสริมภาคอุตสาหกรรมในกรุงโตเกียวมากว่า 50 ปี เราได้จัดตั้งสำนักงานประจำประเทศไทยขึ้น ณ กรุงเทพมหานคร ในปี 2015 และทำหน้าที่เป็นสะพานเชื่อมโยงธุรกิจระหว่างบริษัทญี่ปุ่นในกรุงโตเกียวและบริษัทในประเทศไทยตั้งแต่นั้นมา

นอกเหนือจากการสนับสนุนให้บริษัทในโตเกียวขยายธุรกิจสู่ตลาดต่างประเทศแล้ว ตั้งแต่ปี 2019 เรายังได้ริเริ่มจัดสัมมนาในลักษณะนี้ขึ้นในหลายเมืองทั่วภูมิภาคเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ เพื่อส่งเสริมและสนับสนุนบริษัทต่างชาติที่มีศักยภาพและต้องการขยายธุรกิจไปยังกรุงโตเกียว เรารู้สึกยินดีเป็นอย่างยิ่งที่การจัดงานในกรุงเทพฯ ปีนี้ ได้รับการตอบรับอย่างดีเยี่ยมจากผู้สนใจเข้าร่วมงานจำนวนมากเช่นเดียวกับทุกปีที่ผ่านมา
โดยเฉพาะอย่างยิ่งในปีนี้ เราได้รับเกียรติและการสนับสนุนจาก สำนักงานนวัตกรรมแห่งชาติ (NIA) ให้ร่วมเป็นส่วนหนึ่งของงาน SITE Thailand 2025 ผมจึงขอใช้โอกาสนี้กล่าวขอบคุณ NIA มา ณ ที่นี้อีกครั้ง
กรุงโตเกียวไม่เพียงเป็นเมืองเศรษฐกิจที่สำคัญของเอเชีย แต่ยังเป็นตลาดขนาดใหญ่ที่มีประชากรกว่า 14 ล้านคน มีความพร้อมด้านเทคโนโลยีขั้นสูงและโครงสร้างพื้นฐานที่ครบครัน อีกทั้งเป็นศูนย์รวมของอุตสาหกรรมหลากหลายประเภท ทำให้บริษัทชั้นนำทั่วโลกต่างเลือกโตเกียวเป็นฐานในการขยายธุรกิจ โดยเฉพาะอย่างยิ่งในแวดวงสตาร์ทอัพและนวัตกรรม ซึ่งได้รับการสนับสนุนอย่างเต็มที่ทั้งจากภาครัฐและเอกชน
ทั้งนี้ เรายังได้พัฒนาระบบสนับสนุนสำหรับบริษัทต่างชาติ ให้ได้รับบริการแบบครบวงจร ตั้งแต่การให้คำปรึกษาด้านการจัดตั้งบริษัท การจัดหาสำนักงาน ตลอดจนการให้คำปรึกษาด้านกฎระเบียบต่างๆ เพื่อให้การดำเนินธุรกิจเป็นไปอย่างราบรื่นและรวดเร็ว รวมถึงยังมีบุคคลากรและเครือข่ายที่พร้อมให้การสนับสนุนเป็นภาษาอังกฤษ เพื่อขจัดความกังวลด้านการสื่อสารและวัฒนธรรมด้วยเช่นกัน
อุตสาหกรรมในโตเกียวยังมีศักยภาพเติบโตได้อีกไกล ผมจึงอยากเชิญชวนทุกท่านมาร่วมลงทุนในกรุงโตเกียว เพื่อนำธุรกิจของท่านไปสู่ความสำเร็จในอนาคต

ในการสัมมนาครั้งนี้ บริษัท CT Asia Robotics จะมาแชร์ประสบการณ์อันมีค่าในการดำเนินธุรกิจ และท่านจะได้ฟังการบรรยายจาก Startup Strategy Promotion Headquarters ของกรุงโตเกียว ที่ให้การสนับสนุนอย่างเต็มที่แก่บริษัทต่างชาติที่ต้องการขยายธุรกิจไปยังโตเกียว เราหวังว่าสิ่งนี้จะช่วยเพิ่มความสนใจและความกระตือรือร้นในการขยายธุรกิจสู่กรุงโตเกียว
หลังจบการบรรยาย เราจะมีการให้คำปรึกษาแบบตัวต่อตัว ซึ่งท่านสามารถหารือเกี่ยวกับธุรกิจโดยตรงกับเจ้าหน้าที่ของกรุงโตเกียว เรายินดีต้อนรับผู้ที่ไม่ได้ลงทะเบียนล่วงหน้าเช่นกัน"
ศูนย์ส่งเสริมวิสาหกิจขนาดกลางและขนาดย่อมแห่งมหานครโตเกียว ได้เปิดสำนักงานในกรุงเทพฯ ตั้งแต่ปี 2015 เพื่อเป็นสะพานเชื่อมระหว่างนักลงทุนไทยและญี่ปุ่น และให้การสนับสนุนนักลงทุนไทยในการลงทุนในกรุงโตเกียว โดยทั้งสองประเทศมีความสัมพันธ์อันดีระหว่างกันเรื่อยมา เห็นได้จากการที่สินค้าไทยมากกว่า 10% ถูกส่งออกไปยังญี่ปุ่น นอกจากนี้ ญี่ปุ่นยังเป็นแหล่งท่องเที่ยวอันดับต้นๆ ของนักท่องเที่ยวไทยอีกด้วย
ในขณะเดียวกัน กรุงโตเกียวถือเป็นมหานครขนาดใหญ่ที่มี GDP สูงเป็นอันดับที่ 16 ของโลก ติดอันดับ 3 ในฐานะเมืองมหาอำนาจ Global Power City และได้รับการจัดอันดับให้เป็นเมืองที่น่าอยู่ที่สุดอันดับ 1 ในปี 2020 เป็นศูนย์รวมของบริษัทขนาดใหญ่ที่มีเงินทุนจดทะเบียนมากกว่า 1,000 ล้านเยน กว่า 3,000 แห่ง (คิดเป็นครึ่งหนึ่งของบริษัทขนาดใหญ่ทั้งหมดในประเทศญี่ปุ่น) แม้จะมีโครงสร้างพื้นฐานทางธุรกิจที่สมบูรณ์แบบนี้ แต่ต้นทุนการดำเนินงานที่สูง ปัญหาแรงงาน และภาระภาษีกลับเป็นอุปสรรคต่อการลงทุนในญี่ปุ่น อีกทั้งค่าเงินเยนก็อ่อนค่าลงในช่วงที่ผ่านมา เพื่อแก้ไขข้อเสียเหล่านี้ รัฐบาลกำลังส่งเสริมนโยบายต่างๆ เช่น การดึงดูดบุคลากรที่มีความสามารถจากต่างประเทศมาทำงานในญี่ปุ่น เพื่อแก้ไขปัญหาแรงงานในภาคการผลิต

หนึ่งในข้อได้เปรียบของกรุงโตเกียวในการเป็นจุดหมายการลงทุนคือการเป็นศูนย์รวมของเทคโนโลยีระดับโลก ไม่ว่าจะเป็นศูนย์วิจัย, สิ่งอำนวยความสะดวกด้านการวิจัยและพัฒนา, ความเชี่ยวชาญในการประยุกต์ใช้เทคโนโลยี, ทรัพยากรมนุษย์ที่มีทักษะสูง และพันธมิตรทางการวิจัยต่างๆ นอกจากนี้ Business Development Center TOKYO (BDCT) ยังให้บริการครบวงจรสำหรับธุรกิจต่างชาติที่ต้องการเข้ามาตั้งบริษัทในโตเกียว โดยมีการสนับสนุนทั้งในด้านการดำเนินธุรกิจและชีวิตประจำวัน ตั้งแต่ขั้นตอนการจัดตั้งบริษัทและการระดมทุน ไปจนถึงการขยายช่องทางการขาย เพื่อช่วยให้ธุรกิจสามารถตั้งตัวในโตเกียวได้อย่างรวดเร็ว
Tokyo One-Stop Business Establishment Center (TOSBEC) ที่พร้อมให้คำปรึกษารายบุคคลโดยเจ้าหน้าที่ผู้เชี่ยวชาญ เกี่ยวกับขั้นตอนการจัดตั้งบริษัทแก่ธุรกิจต่างชาติหรือธุรกิจร่วมทุน เพื่อให้สามารถดำเนินขั้นตอนต่างๆ ได้อย่างรวดเร็ว เช่น การรับรองข้อบังคับบริษัท, การแจ้งจดทะเบียนบริษัท, การจัดการด้านภาษี, การยื่นประกันสังคม และการจัดการด้านเอกสาร การตรวจคนเข้าเมือง เป็นต้น รวมถึงส่งเสริมด้านการหาพันธมิตรทางธุรกิจ ซึ่งพร้อมรับฟังความต้องการต่างๆ ของบริษัทต่างชาติ เพื่อดำเนินการจับคู่ธุรกิจ (Business Matching) ให้กับผู้ที่ต้องการขยายธุรกิจในกรุงโตเกียว โดยจะดำเนินการค้นหาคู่ค้า, ซัพพลายเออร์ หรือองค์กรที่เกี่ยวข้องอื่นๆ เพื่อแนะนำพาร์ทเนอร์ที่ดีที่สุดสำหรับคุณ พร้อมเชิญคุณเข้าร่วมงานต่างๆ ที่จัดขึ้นโดยกรุงโตเกียว เพื่อขยายโอกาสในการพบปะคู่ค้าที่มีศักยภาพต่อไป
และ Startup Ecosystem Tokyo Consortium ซึ่งประกอบด้วยสมาชิกจากภาคส่วนต่างๆ อาทิ บริษัท, หน่วยงานด้านเศรษฐกิจ, มหาวิทยาลัย, สถาบันวิจัย, กิจการร่วมค้า และภาคการปกครองส่วนท้องถิ่น ยังมีบริการให้คำปรึกษาฟรี เช่น การวิเคราะห์และกลยุทธ์การตลาด แก่บริษัทต่างชาติในภาคอุตสาหกรรม 4.0 และธุรกิจการเงินเทคโนโลยีขั้นสูงที่ต้องการขยายการดำเนินงานในเขตมหานครโตเกียว นอกจากนี้ยังมีการสนับสนุนการจับคู่ทางการค้าระหว่างบริษัทต่างชาติและบริษัทที่ตั้งอยู่ในโตเกียว ผ่านโครงการลงทุนต่างๆ เพื่อหาพันธมิตรทางธุรกิจ อีกทั้งรัฐบาลกรุงโตเกียวยังมีโปรแกรมที่สนับสนุนบางส่วนของค่าใช้จ่ายในการจัดตั้งสำนักงานใหม่ในพื้นที่โตเกียวอีกด้วย

ในงานนี้ นอกเหนือจากตัวแทนของศูนย์ส่งเสริมวิสาหกิจขนาดกลางและขนาดย่อมแห่งมหานครโตเกียว ยังมีผู้ที่ประสบความสำเร็จในการจัดตั้งบริษัทในโตเกียวมาบรรยายเพื่อเพิ่มโอกาสทางธุรกิจ ซึ่งรวมถึงการบรรยายหัวข้อ "Business Environment and Industrial Trends in Tokyo" โดย Mr. ASAMA Gempei - General Manager, Access to Tokyo Program & Director Deloitte Tohmatsu Venture Support Co., Ltd. และ Ms. HASHIBA Kiyoko, Director for Global Promotion Startup Strategy Promotion Headquarters Tokyo Metropolitan Government นอกจากนี้ยังมีการสัมภาษณ์พิเศษกับ ดร.เฉลิมพล ปุณโณทก ผู้ก่อตั้งและประธานกรรมการบริหาร บริษัท ซีที เอเซีย โรโบติกส์ จำกัด ในหัวข้อ "ประสบการณ์ความสำเร็จในการขยายธุรกิจสู่ตลาดโตเกียว" และมีการให้คำปรึกษาโดย Tokyo SME Support Center
สำหรับผู้ประกอบการ นักลงทุน และผู้ที่สนใจข้อมูลเพิ่มเติมเกี่ยวกับโอกาสทางธุรกิจในกรุงโตเกียว สามารถติดต่อสอบถามและรับคำปรึกษาได้ที่ Tokyo SME Support Center ทางเว็บไซต์: https://www.tokyo-kosha.or.jp/english/index.html
ประเทศไทย- 24 กันยายน 2567 - ในระยะเวลาเพียงไม่กี่ปี ธุรกิจอีคอมเมิร์ซในประเทศไทยได้แสดงให้เห็นถึงการเติบโตอย่างรวดเร็ว โดยในปีนี้มีคนไทยมากถึง 67% ที่เลือกซื้อสินค้าผ่านแพลตฟอร์มออนไลน์ นอกจากนี้ ยังมีการคาดการณ์ว่ามูลค่าตลาดอีคอมเมิร์ซในประเทศไทยจะสูงถึง 750,000 ล้านบาทภายในปี 25681 ซึ่งสะท้อนถึงการก้าวไปข้างหน้าของเศรษฐกิจดิจิทัลไทยอย่างมั่นคง ในขณะที่ภาค SMEs ตั้งเป้าหมายการเติบโตจากรายได้ 6.3 ล้านล้านบาทในปี 2566 เป็น 6.6 ล้านล้านบาทในปี 25672 สะท้อนให้เห็นถึงความมุ่งมั่นในการผลักดันผู้ประกอบการไทยเข้าสู่ตลาดออนไลน์และปรับตัวอย่างมีประสิทธิภาพและทันกระแสการค้าในยุคดิจิทัล
ล่าสุด ช้อปปี้ ผู้นำอีคอมเมิร์ซเบอร์ 1 ครองใจผู้ใช้งานชาวไทย ร่วมกับ กรมพัฒนาธุรกิจการค้า (DBD) จัดโครงการ “The influencer journey TiJ#1” สร้างตัวตนให้ปัง สู่เส้นทางคนดังที่สำเร็จ โดยโครงการนี้ผู้เข้าร่วมได้เรียนรู้เทคนิคสร้างแบรนด์บนร้านค้าออนไลน์จากรุ่นพี่ในวงการ Content Marketing กับ DBD Influencer Awards กิจกรรมเด็ดเพื่อเฟ้นหาสุดยอดอินฟลูเอนเซอร์ผ่านการไลฟ์สตรีมมิ่ง เรียกได้ว่ากระแสตอบรับดีมากๆ ทั้งยังช่วยผลักดันเศรษฐกิจไทยให้เติบโตอย่างยั่งยืนและมีคุณภาพอีกด้วย
เปิดสูตรลับ 2 SMEs ไทย สู่ความสำเร็จทางธุรกิจบนโลกอีคอมเมิร์ซ
หัทยา คัมบารา กรรมการผู้จัดการ แบรนด์ส้มใส (SOMSAI) ผู้ชนะเลิศอันดับ 1 รางวัล DBD Influencer Awards 2024 แชร์มุมมองการสร้างแบรนด์และเทคนิคการตลาดไว้ว่า “แบรนด์ส้มใสเริ่มต้นจากการตระหนักถึงปัญหาผิวของคนไทย เราจึงพัฒนาสบู่ที่ได้รับความนิยมอย่างรวดเร็วผ่านการบอกต่อ จนเกิดเป็นสบู่น้ำส้มใส ในช่วงแรกเราเน้นการตลาดผ่านตัวแทนจำหน่าย แต่เมื่อโควิดทำให้ร้านค้าไม่สามารถดำเนินการได้ตามแผน ทำให้เห็นโอกาสช่องทางออนไลน์ จึงมาเปิดร้านบนช้อปปี้ แพลตฟอร์มที่ ‘น่าเชื่อถือ’ และ ‘ฐานลูกค้าที่แข็งแกร่ง’ ทำให้หลายคนได้กลับมาพบกับแบรนด์ส้มใสอีกครั้ง บวกกับแบรนด์ของเราได้รับเครื่องหมาย อย. และ DBD Registered ที่สร้างความมั่นใจว่าสินค้าของเราเป็นสินค้าที่ปลอดภัยและของแท้ 100% ยิ่งสร้างความเชื่อมั่นและมั่นใจในทุกการช้อปปิ้ง ระยะเวลาเกือบ 2 ปีบนช้อปปี้ รู้สึกประทับใจมากกับการดูแลอย่างใกล้ชิดและคำปรึกษาจากทีมงาน รวมถึงการสนับสนุนการเติบโตของธุรกิจผ่านกิจกรรมแคมเปญเครื่องมือและฟีเจอร์ทางการตลาด ในครึ่งปีแรกของปี 2567 ยอดขายแบรนด์เติบโตกว่า 10 เท่า และยอดออเดอร์เพิ่มขึ้นกว่า 8 เท่า เมื่อเทียบกับช่วงเวลาเดียวกันของปีก่อน
![]()
“อีกหนึ่งความภาคภูมิใจของแบรนด์ส้มใส คือการคว้ารางวัลชนะเลิศอันดับ 1 ในรางวัล DBD Influencer Awards 2024 จากโครงการ “The influencer journey TiJ#1” ซึ่งถือเป็นโครงการที่เราได้เรียนรู้เทคนิคการสร้างยอดขายผ่านเครื่องมือการตลาดอย่าง ไลฟ์สตรีมมิ่ง ไม่ว่าจะเป็นการจัดการระบบหลังบ้าน การจัดตารางไลฟ์สด การวางโครงสร้างช่อง การถ่ายทำ และการวิเคราะห์ข้อมูลลูกค้า พร้อมพัฒนาผลลัพธ์ด้วยการใช้ AI ที่ทันสมัย เราเชื่อว่า การนำสิ่งที่ได้เรียนรู้มาปรับใช้ทันที เรียนรู้ระหว่างที่ลงมือทำ และพัฒนาต่อเนื่องแบบไม่หยุดนิ่ง ทำให้เราชนะใจกรรมการ จากการแข่งขันไลฟ์สตรีมบนช้อปปี้พบว่า แบรนด์สามารถเพิ่มยอดขายได้กว่า 150% เมื่อเทียบกับช่วงเวลาปกติ อีกทั้งยังได้รับกระแสตอบรับที่ดีมากๆ จากเหล่าลูกค้า ทำให้ตัวเราและทีมงานแบรนด์ส้มใสรู้เลยว่า สินค้าไทยยังคงเติบโตได้อีกไกล หากเราพัฒนาอย่างต่อเนื่อง ได้รับการรับรองคุณภาพจากภาครัฐ และเลือกช่องทางการขายตรงตามกลุ่มลูกค้าเป้าหมายของเรา จะยิ่งช่วยขยายโอกาสในการเติบโต ต้องขอบคุณสำหรับโครงการนี้ที่เป็นแรงผลักดันสำคัญให้ผู้ประกอบการท้องถิ่นเติบโตและก้าวสู่เวทีโลกอย่างมั่นคง” คุณหัทยา กล่าวทิ้งท้าย
ทิปส์เด็ดสู่ SMEs มือใหม่! สร้างความสำเร็จในโลกธุรกิจอย่างมืออาชีพ: ในช่วงที่การทำธุรกิจออนไลน์กำลังมาแรง ยิ่งเริ่มต้นเร็ว ยิ่งมีโอกาสเติบโตได้เร็ว ช้อปปี้เป็นแพลตฟอร์มที่เหมาะสมอย่างยิ่งสำหรับการขายออนไลน์ ด้วยเครื่องมือครบครัน ทั้งการส่งเสริมการขายและการวิเคราะห์ ช่วยเพิ่มการมองเห็นให้กับสินค้าได้อย่างมีประสิทธิภาพ ปัจจุบันการสั่งซื้อออนไลน์สะดวกและง่ายดายกว่าเดิมมาก นี่คือโอกาสที่คุณไม่ควรพลาด
กษิรา ขันติศิริ เจ้าของแบรนด์เผือกกรอบ ทันจิตต์ ถ่ายทอดความอร่อยสู่การไลฟ์ที่น่าจับตามอง เล่าว่า “ทันจิตต์เริ่มต้นจากความหลงใหลในการทำขนม สืบทอดสูตรลับเฉพาะจากรุ่นสู่รุ่น กลายเป็นแบรนด์ของฝากที่มีประวัติยาวนานกว่า 40 ปี โดยหัวใจหลักของเราคือการมุ่งมั่นพัฒนาและยกระดับผลิตภัณฑ์ให้มีคุณภาพสูงสุด ส่งตรงถึงมือลูกค้าแบบกรอบใหม่เพื่อสร้างความประทับใจ เราพิถีพิถันในการสไลด์เผือกเป็นรูปตะแกรงด้วยตัวเองจนเกิดเป็น “เผือกกรอบรูปตะแกรง” ที่สวยงามเป็นที่กล่าวขานถึงทุกวันนี้ และปัจจุบันเราได้ขยายช่องทางการขายสู่แพลตฟอร์ม 'ช้อปปี้' พิจารณาจากที่ได้รับความนิยมสูงสุดจากผลการสำรวจกลุ่มลูกค้าขนมขบเคี้ยว ทำให้เรามั่นใจว่านี่คือช่องทางที่ตอบโจทย์การเข้าถึงกลุ่มเป้าหมายได้อย่างมีประสิทธิภาพสูงสุด”
ด้วยฟีเจอร์ Shopee Live เป็นเครื่องมือหลักที่ช่วยให้แบรนด์ทันจิตต์เพิ่มยอดขายและเข้าถึงลูกค้าได้รวดเร็ว โดยในปีนี้ ยอดผู้ชม Shopee Live ของเราเพิ่มขึ้นกว่า 10 เท่า เมื่อเทียบกับปีก่อนหน้า ด้วยการตอบรับที่ดีกับผลิตภัณฑ์ท้องถิ่นที่อร่อยถูกปากคนไทยและโปรโมชันที่ดึงดูดใจ จึงพบว่า เผือกกรอบรูปตะแกรง ได้รับเลือกเป็นสุดยอดสินค้ายืนหนึ่งในใจนักช้อปประจำปี 2567
“การสร้างยอดขายของเรามาต้องมาพร้อมกับการเรียนรู้และพัฒนาเทคนิคในการเติบโตในโลกอีคอมเมิร์ซอย่างครบวงจร สำหรับการเข้าร่วมโครงการ The Influencer Journey TiJ#1 ได้เปิดโอกาสให้เราเรียนรู้กลยุทธ์การสร้างยอดขายที่มีประสิทธิภาพ เราได้รับการสนับสนุนในการพัฒนาทักษะการพูดและการนำเสนอในไลฟ์สตรีมมิ่ง ทำให้แบรนด์มีความมั่นใจและสามารถดึงดูดความสนใจจากลูกค้าได้อย่างยอดเยี่ยม โดยพบว่ายอดขายใน Shopee Live ช่วงการแข่งขันเพิ่มขึ้นกว่า 200% อีกทั้งสามารถสร้างเอนเกจท์เม้นระหว่างแบรนด์และลูกค้าได้เป็นอย่างดี ท้ายนี้ เราเชื่อว่าความสำเร็จของ SMEs
มาจากการสร้างความแตกต่างและข้อได้เปรียบทางธุรกิจ รวมถึงการร่วมมือกับพันธมิตรเพื่อเสริมความแข็งแกร่งและสร้างโอกาสในการเติบโตอย่างยั่งยืน” กษิรา กล่าวเพิ่มเติม
ทิปส์เด็ดสู่ SMEs มือใหม่! สร้างความสำเร็จในโลกธุรกิจอย่างมืออาชีพ: หากคุณยังไม่เคยเปิดร้านบนช้อปปี้ แนะนำให้ลองเริ่มต้นหาความรู้บน Shopee University จะช่วยให้คุณเรียนรู้และเข้าใจการขายได้อย่างไม่ยากและคุณอาจพบว่ายอดขายของคุณเพิ่มขึ้นโดยไม่ทันตั้งตัว
ลอรีอัล กรุ๊ป ในประเทศไทย จับมือพันธมิตรเดินหน้าพัฒนาต่อยอดโครงการจัดจ้างผู้ขาดโอกาสทางสังคม (Inclusive Sourcing Program) เป็นปีที่ 11 มอบโอกาสที่เท่าเทียมทางอาชีพให้แก่ผู้ขาดโอกาสทางสังคม มุ่งเน้นการกระจายโอกาสในการทำงาน การสร้างอาชีพและรายได้ที่มั่นคงให้กับกลุ่มผู้พิการและผู้สูงอายุเพื่อเสริมสร้างความแข็งแกร่งให้กับชุมชน พร้อมจัดงาน “Partnership Day” มอบรางวัลยกย่องพันธมิตรทั้งเก่าและใหม่ ที่ร่วมกันดำเนินโครงการอย่างเต็มกำลัง
และมุ่งขยายโครงการฯ ไปยังพันธมิตรทางธุรกิจให้มากขึ้น เพื่อช่วยสร้างอาชีพและรายได้ให้แก่ผู้ขาดโอกาสเพิ่มขึ้นในประเทศไทย นอกจากนั้น ภายในงานยังมีการอัปเดตการดำเนินงานด้านความยั่งยืนภายในประเทศ ตามวิสัยทัศน์ L’Oréal For The Future ที่มุ่งเร่งเปลี่ยนแปลงการดำเนินงานให้คำนึงถึงขีดจำกัดความปลอดภัยของโลก และร่วมแก้ไขปัญหาด้านสังคมและสิ่งแวดล้อมอย่างเร่งด่วนโดยทีมงานลอรีอัลด้วยเช่นกัน
นายแพทริค จีโร กรรมการผู้จัดการ ลอรีอัล ประเทศไทย เมียนมาร์ ลาว และกัมพูชากล่าวว่า “ในฐานะบริษัทผู้นำด้านความงามระดับโลกที่มีเป้าหมายในการสร้างความงามที่ขับเคลื่อนโลก ลอรีอัล ให้ความสำคัญในการทำงานที่ช่วยสร้างผลกระทบเชิงบวกทางสังคมและสิ่งแวดล้อมในทุกชุมชนที่เราดำเนินธุรกิจไปพร้อมๆ กับการเติบโตทางธุรกิจ นอกจากนั้น เรายังตระหนักดีถึงความหนักหนาของปัญหาที่โลกและสังคมกำลังเผชิญ และความจำเป็นที่ทุกๆ ฝ่ายต้องเข้ามามีส่วนร่วม เราจึงมุ่งส่งเสริมให้พันธมิตรทางธุรกิจของเรา ได้เข้ามาเป็นส่วนหนึ่งในการสร้างโอกาสให้กลุ่มคนที่ขาดโอกาสทางสังคมผ่านโครงการจัดจ้างผู้ขาดโอกาสทางสังคม (Inclusive Sourcing Program) ซึ่งถือเป็นหนึ่งโครงการสำคัญ โดยลอรีอัล กรุ๊ป ได้ตั้งเป้าในการช่วยผู้ขาดโอกาสทั่วโลกเพิ่มขึ้นอีก 100,000 คนภายในปี 2030”
จากเป้าหมายของลอรีอัล กรุ๊ปในการช่วยผู้ขาดโอกาสทั่วโลกเพิ่มขึ้นอีก 100,000 คนภายในปี 2030 นั้น ในปี 2023 ได้ดำเนินโครงการไปแล้วทั้งสิ้น 429 โครงการครอบคลุมพื้นที่ 1,069 แห่งใน 67 ประเทศ และช่วยให้คนกว่า 93,165 คนให้สามารถเข้าถึงงานได้ โดยการทำงานครอบคลุมทั้งในด้าน การจ้างงานผู้ขาดโอกาส และการจัดซื้อวัตถุดิบจากชุมชน ซึ่งอยู่ภายใต้โครงการ Inclusive Sourcing และการให้โอกาสทางอาชีพผ่านการอบรบทักษะอาชีพเสริมสวยภายใต้โครงการ Beauty for a Better Life
“ในส่วนของลอรีอัล กรุ๊ป ในประเทศไทยนั้น เริ่มดำเนินโครงการ Inclusive Sourcing จัดจ้างผู้ขาดโอกาสทางสังคมมาตั้งแต่ปี 2014 จากจุดเริ่มต้นที่มีผู้ขาดโอกาสทางสังคมที่ได้รับประโยชน์ผ่านโครงการนี้ 6 คนในปีแรก มาเป็น 234 คนในปี 2024 และยังมีการขยายโครงการในการสร้างรายได้ให้บริษัทรายเล็กกลุ่ม SMEs และบริษัทสตรีเป็นเจ้าของ เรายังคงมุ่งหน้าผลักดันความร่วมมือกับพันธมิตรของเรา พร้อมกับการมองหาพันธมิตรใหม่ที่จะเข้าเป็นส่วนหนึ่งในการเส้นทางการสร้างความงามที่ขับเคลื่อนโลก ตามพันธกิจเพื่อความยั่งยืนของเรา พันธมิตรทางธุรกิจคือกุญแจความสำเร็จในการดำเนินโครงการนี้ของเรา Partnership Day ถือเป็นวันสำคัญที่ลอรีอัล กรุ๊ป ในประเทศไทย จัดขึ้นตั้งแต่ปี 2016 เพื่อเชิดชูเกียรติพันธมิตรทางธุรกิจ ที่มีวิสัยทัศน์และความมุ่งมั่นร่วมกัน ในการขับเคลื่อนสังคมอย่างยั่งยืน” นางสาวอรอนงค์ ประทักษ์พิริยะ ผู้อำนวยการฝ่ายกิจการองค์กรและสื่อสารสัมพันธ์ ลอรีอัล ประเทศไทย เมียนมาร์ ลาว และกัมพูชา กล่าวเสริม
![]()
ในปีนี้ ลอรีอัล กรุ๊ป ได้มอบรางวัลยกย่องพันธมิตรทั้งเก่าและใหม่ ที่ร่วมกันดำเนินโครงการอย่างเต็มกำลัง พันธมิตรประเภท Silver ได้แก่ บริษัท ฟรองค์ อินเตอร์เทรด จำกัด, พันธมิตรประเภท Gold ได้แก่ห้างหุ้นส่วนจำกัด เอส.ที.รีแพ็ค และพันธมิตรประเภท Platinum ได้แก่ บริษัท พีเอ็มจี อินทิเกรทเต็ด คอมมิวนิเคชั่นส์ (ประเทศไทย) จำกัด และยังได้ต้อนรับบริษัท SMEs และบริษัทที่มีสตรีเป็นเจ้าของที่ได้รับโอกาสการจ้างงานจากบริษัทฯ และในเป็นส่วนหนึ่งของโครงการนี้
นอกจากการมอบรางวัลยกย่องพันธมิตรแล้ว ลอรีอัล กรุ๊ปยังอัปเดตการดำเนินการตามวิสัยทัศน์เพื่อความยั่งยืน L’Oréal For The Future ซึ่งมีการดำเนินงานจริงจังในหลากหลายมิติ เพื่อบรรลุเป้าหมายด้านความยั่งยืนของกรุ๊ป ครอบคลุมในเรื่องของการต่อสู้กับการเปลี่ยนแปลงของสภาพอากาศ (Fighting Climate Change), การจัดการน้ำอย่างยั่งยืน (Manage Water Sustainably), เคารพความหลากหลายทางชีวภาพ (Respecting Biodiversity) และการอนุรักษ์ทรัพยากรธรรมชาติ (Preserving Natural Resources) โดยในส่วนของลอรีอัล ประเทศไทยนั้น มีการดำเนินงานเพื่อลดผลกระทบต่อสิ่งแวดล้อม อาทิ การเริ่มนำรถบรรทุกพลังงานไฟฟ้า (EV Truck) มาใช้สำหรับการขนส่งสินค้าในกรุงเทพฯ และปริมณฑล และการใช้มาตรการเข้มงวดในการลดการขนส่งสินค้าทางอากาศ เพื่อลดการปล่อยก๊าซคาร์บอนไดอ๊อกไซด์ อันเป็นส่วนหนึ่งของเป้าหมายการทำงานในด้านการแก้ไขปัญหาสภาพภูมิอากาศ
ภายในงาน ลอรีอัล ยังได้เสริมความเข้าใจร่วมกันในเป้าหมายด้านความยั่งยืนภายใต้ L’Oréal For The Future โดยเน้นในการทำงานในส่วนต่างๆ ที่เกี่ยวข้องกับทางพันธมิตร เพื่อให้การทำงานร่วมกันเป็นไปตามเป้าหมายด้านความยั่งยืน อาทิ การออกแบบและสร้างจุดวางสินค้าและร้านค้าบนหลักการความยั่งยืนที่คำนึงถึงการเลือกใช้วัสดุรีไซเคิลหรือสามารถนำไปรีไซเคิลได้เมื่อสิ้นอายุการใช้งาน การจัดงานอีเว้นท์ที่คำนึงถึงการใช้วัสดุและการลดขยะสิ้นเปลือง การทำการสื่อสารการตลาดบนกล่องบรรจุภัณฑ์ที่คำนึงถึงสิ่งแวดล้อม