

บลจ.อเบอร์ดีน มองเชิงบวก "ตลาดหุ้นเกิดใหม่" แรงหนุนจีนฟื้นตัว คาดแนวโน้มผ่อนปรนนโยบายกระตุ้นเศรษฐกิจเพิ่ม "อินเดีย" แข็งแกร่งเติบโตต่อ หนุน EPS กำไรบริษัทในตลาดเอเชียเติบโต 12-14% ด้านมูลค่าหุ้นหลายตลาดยังต่ำ โอกาสดึงฟันด์โฟลว์ไหลเข้า หลังตลาดหุ้นสหรัฐฯ ราคาแพง รอความชัดเจนภาษีทรัมป์ ชู 3 ธีมลงทุน
นางสาวพฤกษา เอี่ยมธงทอง Deputy Head of Equities – Asia Pacific, Asian Equities, abrdn Asia Limited เปิดเผยว่า "อเบอร์ดีน" ยังมีมุมมองเชิงบวกต่อ "ตลาดหุ้นเกิดใหม่" (Emerging Market) จากปัจจัยหนุนเศรษฐกิจจีนเริ่มฟื้นตัว รัฐบาลจีนปรับเปลี่ยนนโยบายครั้งล่าสุดและคาดว่ามีแนวโน้มจะผ่อนคลายนโยบายเพิ่มเติม เพื่อชดเชยกับแรงกดดันในประเทศจากปัญหาภาคอสังหาริมทรัพย์และเงินเฟ้อยังอยู่ระดับต่ำ
ส่วนนโยบายการค้าของสหรัฐฯ ยังเป็นปัจจัยกดดันในภูมิภาคนี้ หลังเมื่อวันที่ 1 ก.พ. ประธานาธิบดีสหรัฐฯ โดนัลด์ ทรัมป์ ได้ลงนามขึ้นภาษีนำเข้าสินค้าจากเม็กซิโกและแคนาดา 25% และขึ้นภาษีสินค้าจากจีน 10% ซึ่งการที่ทรัมป์ปรับขึ้นภาษีนำเข้าจากจีนในระดับดังกล่าวยังคงต่ำกว่าที่เขาประกาศไว้ตอนรณรงค์หาเสียงซึ่ง "อเบอร์ดีน" มองว่าอาจเป็นส่วนหนึ่งในกลยุทธ์การเจรจาของทรัมป์มากกว่า เรามองว่าหากทรัมป์จะปรับขึ้นภาษีศุลกากรต่อจีนเป็น 60% น่าจะอยู่ในสินค้าที่เป็นเป้าหมายในสงครามการค้าครั้งก่อน ขณะที่สินค้าบางประเภทอาจน้อยกว่า ซึ่งบริษัทในจีนเองก็ยังรอความชัดเจนเพื่อจะได้ปรับซัพพลายเชน
ทั้งนี้ หากย้อนกลับไปทรัมป์ 1.0 สงครามการค้าส่งผลกระทบภาษีกับส่งออกจีนไม่ได้แย่อย่างที่คิด ส่งออกจีนเติบโตเข้มแข็งขึ้นและมีมาร์เก็ตแชร์ในตลาดโลกเพิ่มขึ้น ซึ่ง "อเบอร์ดีน" เห็นหลายบริษัทในเมืองจีนมีการเปลี่ยนแปลงซัพพลายเชน โดยไปจัดตั้งโรงงานในประเทศอื่นๆ โดยเฉพาะในแถบอาเซียน ซึ่งรวมถึงประเทศไทย ทำให้สินค้าจีนที่ไปสหรัฐฯ ไม่ได้ส่งออกจากจีนโดยตรง แต่ส่งออกมาจากประเทศอื่นแทน ส่วนผลกระทบจากทรัมป์ 2.0 ยังต้องจับตาดูในไตรมาส 1/2025 ว่านโยบายภาษีทรัมป์เป็นอย่างไร หลังจากมีความชัดเจนมากขึ้นน่าจะเริ่มเห็นภาพซัพพลายเชนต่อเนื่องในครึ่งปีหลัง
![]()
นางสาวพฤกษา กล่าวว่า ด้านตลาดหุ้นจีนเริ่มเห็นการฟื้นตัวขึ้นตั้งแต่ช่วงปลายเดือนกันยายนที่ผ่านมา ตอบรับรัฐบาลจีนมีการเปลี่ยนแปลงจุดยืนหลายด้าน ประกาศมาตรการกระตุ้นเศรษฐกิจชุดใหญ่ ครอบคลุมนโยบายการเงินและการคลัง เนื่องจากเศรษฐกิจจีนใน 2-3 ปีที่ผ่านมาชะลอตัวลงและเริ่มเป็นปัญหาทางสังคม การว่างงานสูงขึ้น ตลาดอสังหาริมทรัพย์ราคาลดลงกระทบความเชื่อมั่นผู้บริโภคและการใช้จ่ายภาคการบริโภคยังไม่กลับมา เนื่องจากคนจีนถือครองอสังหาริมทรัพย์ (Real Estate) จำนวนมาก
"อเบอร์ดีน" เห็นจุดเปลี่ยนของจีนจากปัญหาสังคมและเศรษฐกิจในช่วง 2 ปีที่ผ่านมาและจุดเปลี่ยนอีกเรื่อง หลังจากทรัมป์ชนะการเลือกตั้งเมื่อเดือนพฤศจิกายนที่ผ่านมา ทางด้านการกระตุ้นเศรษฐกิจจีนแข็งแกร่งขึ้น หากดูเศรษฐกิจจีนปีก่อน ภายในประเทศค่อนข้างอ่อนแอ แต่ภาคการส่งออกของจีนเติบโตแข็งแกร่ง แต่มองในปีนี้และปีต่อไป ภาพอาจกลับด้าน ภาคการส่งออกของจีนอาจได้รับผลกระทบจากการขึ้นภาษีของทรัมป์ จึงมองว่ารัฐบาลจีนควรให้ความสำคัญในการกระตุ้นเศรษฐกิจของจีนอย่างเร่งด่วน
นอกจากนี้ในเดือนมีนาคม 2025 จะมีการประชุม 2 สภา คือการประชุมคณะกรรมการประจำสภาผู้แทนประชาชนแห่งชาติของจีนและการประชุมสภาประชาชนแห่งชาติของจีน ต้องติดตามรายละเอียดของนโยบายต่างๆ หลังจากที่ประกาศมาตรการชุดใหญ่ในเดือนกันยายน 2024 และการประชุม Central Economic Working Conference (CEWC) เมื่อปลายปีที่ผ่านมา ซึ่งการประชุมในครั้งนี้นั้นจีนยังไม่ได้เปิดเผยรายละเอียดเกี่ยวกับการกระตุ้นเศรษฐกิจ
สำหรับมุมมองตลาดหุ้นเอเชีย คาดว่าได้รับผลกระทบจากเศรษฐกิจจีนที่เติบโตชะลอตัวลง ฉุดตลาดหุ้นจีนปรับตัวลดลงในช่วงที่ผ่านมา ส่งผลให้ตลาดหุ้นเอเชีย Underperform ดัชนี S&P500 ของสหรัฐฯ ในขณะที่ตลาดหุ้นอินเดียและไต้หวันโดดเด่นในตลาดเอเชียมากขึ้น จากธีม Information Technology เป็นธีมค่อนข้างแข็งแกร่งในปีที่ผ่านมาและคาดแนวโน้มยังแข็งแกร่งต่อในปีนี้ และอินเดียเป็นหนึ่งในประเทศที่ตลาดบริโภคใหญ่สามารถรองรับซัพพลายเชนได้ ส่วนตลาดหุ้นจีนมีความสำคัญต่อดัชนีหุ้นในเอเชียน้อยลง เศรษฐกิจยังอยู่ในการฟื้นตัว แต่คาดว่าแรงขายในตลาดหุ้นจีนอาจไม่มากเหมือนช่วงที่ผ่านมา Downside เริ่มลดลง ปัจจุบันตลาดเอเชียมีความสมดุลมากขึ้นและพึ่งพาจีนน้อยลง
ส่วนตลาดอาเซียน มองว่าได้ประโยชน์ในระยะกลางจากทรัมป์ 2.0 จากการกระจายความเสี่ยงของห่วงโซ่อุปทาน (Supply Chain Diversification) ที่เพิ่มขึ้น แต่ในระยะสั้นยังต้องรอความชัดเจนเรื่องภาษี ซึ่งคาดว่าไทย อินโดนีเซียและเวียดนามน่าจะได้ประโยชน์นางสาวพฤกษา กล่าวว่า สำหรับแนวโน้มกำไรบริษัทจดทะเบียน (EPS) ในเอเชีย "อเบอร์ดีน" คาดการณ์ EPS เติบโตได้ค่อนข้างดีประมาณ 10-12% ในปีนี้ โดยจีนเติบโต 11-14% ยังไม่รวมผลกระทบจากภาษี ส่วนอินเดียคาดเติบโต 16% เป็นต้น ขณะที่ Valuation ตลาดหุ้นเอเชีย Discount กับตลาดหุ้นโลกเมื่อเทียบกับ MSCI World มากกว่า 30% ซึ่งใกล้เคียงระดับสูงสุดในรอบ 10 ปี จึงมองว่าราคาหุ้นในปัจจุบันน่าสนใจ
สำหรับธีมลงทุนในตลาดหุ้นเอเชีย ที่มองเห็นโอกาสลงทุนจาก 3 ธีม ได้แก่
1.Innovation, 2.Globalisation 3.0 และ 3.New Consumption ซึ่งธีมแรกเรื่องของนวัตกรรม Tech และ AI แม้ว่าการเปิดตัวของ DeepSeek จะสร้างแรงกดดันต่อตลาดในระยะสั้น ทําให้เกิดข้อสงสัยในระยะสั้นเกี่ยวกับการลงทุนโครงสร้างพื้นฐานด้านเทคโนโลยี เนื่องจากการพัฒนาโมเดล AI ใหม่ใช้ทรัพยากร ให้มีประสิทธิภาพมากขึ้น ทำให้เกิดความกังวลว่าอาจจะทำให้บริษัทใหญ่ ๆ ในสหรัฐฯ อาจต้องทบทวนเม็ดเงินลงทุนในการพัฒนา AI ใหม่ อย่างไรก็ตามเรามองว่ายังเร็วเกินไปที่จะประเมินผลกระทบที่แท้จริง เพราะยังมีหลายปัจจัยที่เรายังคงต้องติดตามต่อไป ทั้งนี้สิ่งที่อเบอร์ดีนสังเกตุเห็นคือ บริษัทอินเทอร์เน็ตชั้นนำของสหรัฐฯ ยังคงใช้เงินลงทุน (capex) ที่สูงสำหรับโครงสร้างพื้นฐานด้าน AI อย่างต่อเนื่อง หลังจากมีการเปิดตัว DeepSeek โดยคาดว่าค่าใช้จ่ายในการพัฒนาอาจลดลง และด้วยต้นทุนที่ลดลงจะเร่งให้เกิดการนำเอา AI มาใช้ในวงกว้างมากขึ้น ทั้งนี้ อเบอร์ดีนยังคงระมัดระวังในการเลือกลงทุนในกลุ่มเทคโนโลยีมากขึ้น โดยในไตรมาส 4 ที่ผ่านมาเรามีการปรับลดน้ำหนักการลงทุนลงเล็กน้อยในกลุ่มฮาร์ดแวร์และเซมิคอนดักเตอร์ จากปัจจัยเสี่ยงกรณีความไม่แน่นอนของนโยบายภาษี อีกทั้งความเสี่ยงที่อาจเพิ่มขึ้นจากการปรับลดเงินลงทุน
2.Globalisation 3.0 สานต่อจาก Globalisation 2.0 ซึ่งได้รับแรงกระตุ้นจากความตื่นตระหนกของห่วงโซ่อุปทานในช่วงการแพร่ระบาดของโควิด ซึ่งในรอบนี้ต้องติดตามดูว่าจะเปลี่ยนไปด้านไหน ขึ้นอยู่กับนโยบายภาษีของทรัมป์ แต่คาดว่าการกระจายความเสี่ยงของห่วงโซ่อุปทาน (Supply Chain Diversification) จะเกิดขึ้นเร็วและครอบคลุมมากขึ้นในหลายอุตสาหกรรม
3.New Consumption รูปแบบการบริโภคใหม่บ่งชี้ว่าผู้บริโภคไม่จำเป็นต้องใช้จ่ายน้อยลง ซึ่งเริ่มเห็นการเติบโตจากจีนและอินเดีย อย่าง Meituan อยู่ในแถวหน้าของเทรนด์นี้ นำเสนอบริการที่เป็นนวัตกรรมใหม่ ซึ่งรวมถึงชานมไข่มุกที่ส่งโดยโดรนที่กำแพงเมืองจีน เช่นเดียวกับอินเดีย สินค้าหลายแบรนด์เติบโตอย่างรวดเร็ว สามารถจัดส่งคำสั่งซื้อได้ภายใน 10 นาที แม้จะมีปัญหาการจราจร ซึ่งส่งผลให้เกิดการปรับเปลี่ยนพฤติกรรมการจับจ่ายใช้สอยในเมืองต่างๆ ของอินเดีย ทางด้านจำนวนนักท่องเที่ยวก็เติบโตชัดเจนในจีน ทำให้ TRIP.COM เติบโตได้ในระดับสูงแม้ภาพรวมเศรษฐกิจจีนยังอ่อนแอ ขณะที่อินเดีย อย่าง Indian Hotels ซึ่งเป็นหนึ่งในบริษัทด้านการบริการที่ใหญ่ที่สุดในอินเดีย ก็เติบโตต่อเนื่อง
สำหรับแนวโน้ม Fund Flow ที่คาดหวังจะไหลเข้าตลาดหุ้นเกิดใหม่ในเอเชีย ยังคงต้องรอดูความชัดเจนนโยบายภาษีทรัมป์ว่าจะส่งผลกระทบต่อเอเชียมากน้อยแค่ไหน ซึ่งนักลงทุนเริ่มมองหาทางเลือกลงทุนหลังจากตลาดหุ้นสหรัฐฯ ปรับตัวเพิ่มขึ้นจนราคาค่อนข้างแพง ซึ่งตลาดหุ้นเกิดใหม่ในเอเชียก็เป็นหนึ่งในทางเลือก เมื่อนโยบายภาษีมีความชัดเจนขึ้นและมีผลต่อภาพรวมตลาด โดยคาดว่าจะเริ่มเห็น Fund Flow ไหลเข้าตลาดเกิดใหม่ในเอเชีย
สำหรับกองทุนแนะนำของอเบอร์ดีน ได้แก่ กองทุนเปิด อเบอร์ดีน เอเชีย แปซิฟิค เอคควิตี้ ฟันด์ (ABAPAC) ความเสี่ยงระดับ 6โดยกองทุนนี้ลงทุนผ่านกองทุนหลักต่างประเทศ ชื่อ abrdn Pacific Equity Fund โดยกองทุนหลักจะลงทุนบริษัทในภูมิภาคเอเชีย-แปซิฟิค แต่ไม่ครอบคลุมถึงประเทศญี่ปุ่น โดยกองทุนนี้เปิดโอกาสการลงทุนในภูมิภาคที่กำลังเติบโตอย่างก้าวกระโดด จากการลงทุนมหาศาลในโครงสร้างพื้นฐาน การขยายตัวของสังคมเมือง และความมั่งคั่งที่เพิ่มขึ้นจากการที่ผู้บริโภคมีกำลังซื้อมากขึ้น
บลจ.อเบอร์ดีน (ประเทศไทย) มองการท่องเที่ยวและการบริโภคในประเทศหนุน GDP โตไม่ต่ำกว่า 2.7% พร้อมด้วยกำไรจากบริษัทจดทะเบียนที่โตต่อเนื่อง และการเข้าลงทุนของกองทุนวายุภักษ์ เป็นตัวขับเคลื่อนดัชนีหุ้นไทยมีโอกาสแตะ 1,500 จุดภายในปีนี้ ส่วนหุ้นสหรัฐฯ ยังน่าสนใจ ปัจจัยพื้นฐานและตัวเลขด้านเศรษฐกิจยังดี เชื่อตลาดผันผวนแค่ช่วงเลือกตั้ง
นางสาวดรุณรัตน์ ภิยโยดิลกชัย หัวหน้าฝ่ายการลงทุนตราสารทุน บลจ.อเบอร์ดีน (ประเทศไทย) เปิดเผยว่า ทิศทางตลาดหุ้นไทยในช่วง 3-6 เดือน น่าจะมีโอกาสปรับตัวขึ้นไปที่ระดับ 1,500-1,530 จุด จากเดิมที่ประเมินไว้ช่วงต้นปีที่ 1,360-1,450 จุด โดยได้รับปัจจัยบวกจากการเติบโตของเศรษฐกิจ หรือ GDP ที่คาดการณ์จะเติบโตประมาณ 2.7% ในปีนี้ ขณะเดียวกันคาดการณ์กำไรบริษัทจดทะเบียนในตลาดหุ้นไทยปีนี้จะพลิกกลับมาเป็นเติบโต และจะยังคงเติบโตต่อเนื่องในปีหน้า โดยคาดการณ์ EPS หรือกำไรต่อหุ้นปีนี้จะอยู่ที่ระดับประมาณ 90 บาทต่อหุ้น ขณะที่ระดับดัชนีปัจจุบัน สะท้อนถึงอัตราส่วน forward P/E ปีหน้า ที่ระดับต่ำกว่า 15 เท่า ประกอบกับทั้งความชัดเจนของการจัดตั้งรัฐบาลที่อาจส่งผลบวกต่อการเดินหน้านโยบายกระตุ้นเศรษฐกิจ และเม็ดเงินจากการเข้าลงทุนของกองทุนรวมวายุภักษ์ แม้ในช่วงครึ่งปีแรกการฟื้นตัวของเศรษฐกิจไทยจะชะลอตัวไปบ้าง จากงบประมาณรายจ่ายประจำปีที่ล่าช้า ทำให้การลงทุนภาครัฐชะลอออกไป แต่ภาคการท่องเที่ยวถือเป็นแรงขับเคลื่อนหลักที่ผลักดันให้เศรษฐกิจไทยยังคงเติบโตตามเป้าหมาย โดยจำนวนนักท่องเที่ยวที่เข้ามาในช่วง 8 เดือนแรกของปีนี้แตะที่ระดับประมาณ 23 ล้านคน และช่วงไตรมาสที่ 4 จะเข้าสู่ช่วงไฮซีซั่น จึงมีโอกาสทำให้ปริมาณนักท่องเที่ยวเป็นตามเป้าหมายที่ตั้งไว้ที่ 36-37 ล้านคน ขณะที่ปัจจัยที่ต้องติดตาม คือ นโยบายกระตุ้นเศรษฐกิจต่างๆ ที่จะทยอยออกมาภายใต้รัฐบาลนายกแพทองธาร ชินวัตร รวมไปถึงการลงทุนของภาครัฐ และเอกชน ทั้งนี้มองว่ากลุ่มท่องเที่ยว โรงพยาบาล รวมไปถึงกลุ่มสินค้าอุปโภคบริโภคและ Consumer Finance จะมีโอกาสเติบโตในช่วงที่เหลือของปีนี้

ขณะที่นาย David Hanzl, Head of Wholesale – Asia Pacific จากอเบอร์ดีน กล่าวว่า ยังคงมีมุมมองบวกต่อตลาดหุ้นสหรัฐฯ โดยเรามองว่าเศรษฐกิจสหรัฐฯ จะเติบโตชะลอตัว แต่ยังไม่ถึงกับถดถอย ขณะที่อัตราว่างงานที่เพิ่มสูงขึ้น และอัตราเงินเฟ้อที่ปรับตัวลดลงตามลำดับ ทำให้ตลาดคาดการณ์ว่าธนาคารกลางสหรัฐฯ หรือ เฟด อาจตัดสินใจปรับลดอัตราดอกเบี้ยได้ในอนาคต
ส่วนการเลือกตั้งประธานาธิบดีสหรัฐฯ อาจส่งผลกระทบให้ตลาดผันผวนในระยะสั้น แต่ควรมองไปที่ระยะกลางและระยะยาว รวมทั้งโฟกัสกับคุณภาพของบริษัท โดยยังมองเห็นโอกาสการเติบโตที่ดีในกลุ่ม Healthcare กลุ่ม Consumer Staples ส่วนกลุ่ม Technology แม้ราคาขึ้นไปสูงแล้วแต่พื้นฐานก็ยังเติบโตได้ดี ส่วนตลาดเอเชียก็ยังน่าสนใจ แม้ว่าจีนจะเผชิญกับความท้าทาย ทั้งปัจจัยภูมิรัฐศาตร์ และภาคอสังหาริมทรัพย์ที่ยังคงชะลอตัว แต่มูลค่าหุ้นจีนยังอยู่ในระดับต่ำมาก อีก
ทั้งกำไรบริษัทจดทะเบียนในจีนส่วนใหญ่ยังคงเติบโตต่อเนื่อง ขณะที่ประเทศอื่นๆ ในภูมิภาค อย่างอินเดีย ญี่ปุ่น รวมไปถึงประเทศในอาเซียน ยังมีโอกาสเติบโตที่ดี และน่าจะได้อานิสงส์จากกรณีความตึงเครียดทางการค้าระหว่างสหรัฐฯ กับจีน สำหรับตราสารหนี้เรามองว่า Frontier Market ก็เป็นอีกหนึ่งทางเลือกที่น่าสนใจและจะสามารถสร้างผลตอบแทนที่สูงขึ้น แต่ขณะเดียวกันก็มาพร้อมกับความเสี่ยงที่สูงตามไปด้วย
ดังนั้น ผู้ลงทุนควรกระจายการลงทุนและการจัดสรรสินทรัพย์ (Asset Allocation) ไปยังหลากหลายประเภทสินทรัพย์ ทั้งตราสารหนี้ หุ้น และสินทรัพย์ทางเลือก อีกทั้งครอบคลุมภูมิภาคทั้งตลาดพัฒนาแล้ว และตลาดเกิดใหม่ โดยอาจจัดพอร์ตการลงทุนแบบ Core & Satellite ซึ่งเป็นกลยุทธ์การลงทุนแบบยืดหยุ่นที่ผู้ลงทุนสามารถจัดพอร์ตให้สอดคล้องกับวัตถุประสงค์การลงทุนระยะยาว และแสวงหาโอกาสในการลงทุนระยะสั้น อเบอร์ดีนแนะนำกระจายการลงทุนไปยังต่างประเทศทั้งกองทุนหุ้นและตราสารหนี้ที่ให้ผลตอบแทนที่สม่ำเสมอและมีโอกาสเติบโตต่อเนื่อง เช่น กองทุนเปิด อเบอร์ดีน โกลบอล ไดนามิค ดีวีเด็น (ABGDD - กองทุนมีความเสี่ยงระดับ 6) ที่เน้นลงทุนในหุ้นเติบโตและหุ้นคุณค่าทั่วโลกที่มีโอกาสการเติบโตสูง ผ่านกองทุนหลัก พร้อมทั้งลงทุนในบริษัทที่มีการจ่ายเงินปันผลอย่างต่อเนื่อง และมีโอกาสสร้างผลกำไรจากราคาหุ้น โดยที่ผ่านมากองทุนหลักมีอัตราการจ่ายปันผลอยู่ที่ประมาณ 6% ต่อปี
นอกจากนี้ยังแนะนำกองทุนอเบอร์ดีน โกลบอล เอนแฮนซ์ ฟิกซ์ อินคัม (ABGFIX - กองทุนมีความเสี่ยงระดับ 4) ที่กองทุนหลัก abrdn SICAV I Short Dated Enhanced Income Fund, Class Z Acc USD เน้นลงทุนในตราสารหนี้ที่มีเรตติ้งที่ดีมีคุณภาพ ความผันผวนต่ำ และมีสภาพคล่องสูง โดยมีการกระจายการลงทุนไปยังตราสารหนี้ทั่วโลก ครอบคลุมตลาดพัฒนาแล้วและตลาดเกิดใหม่ในหลากหลายอุตสาหกรรม ขณะที่กองทุนหุ้นไทยที่แนะนำ ได้แก่ กองทุนเปิด อเบอร์ดีน สมอล-มิดแค็พ ( - กองทุนมีความเสี่ยงระดับ 6เน้นลงทุนหุ้นขนาดกลางและเล็กที่มีศักยภาพสูงพร้อมเติบโตเป็นบริษัทใหญ่ในอนาคต ซึ่งได้ประโยชน์จากการเติบโตเชิงโครงสร้างเศรษฐกิจในประเทศไทย เช่น กลุ่มท่องเที่ยว กลุ่มธุรกิจสุขภาพ และกลุ่มที่ได้ประโยชน์จากเทรนด์ที่บริษัททั่วโลกย้ายฐานการผลิตออกจากจีนไปสู่ประเทศอื่น ๆ รวมไปถึงอาหารและเครื่องดื่มสอบถามข้อมูลเพิ่มเติมหรือขอรับหนังสือชี้ชวน โทร. 02-352-3388 หรืออีเมล This email address is being protected from spambots. You need JavaScript enabled to view it. ทำความเข้าใจลักษณะสินค้า เงื่อนไขผลตอบแทน และความเสี่ยงก่อนตัดสินใจลงทุน ผลการดำเนินงานในอดีต/ผลการเปรียบเทียบผลการดำเนินงานที่เกี่ยวข้องกับผลิตภัณฑ์ในตลาดทุนมิได้เป็นสิ่งยืนยันถึงผลการดำเนินงานในอนาคต ข้อมูลข้างต้นเป็นเพียงการนำเสนอข้อคิดเห็น ซึ่งอาจแตกต่างจากเหตุการณ์ที่อาจจะเกิดขึ้นจริงได้และไม่ได้เป็นการแนะนำในการจัดพอร์ตการลงทุน น้ำหนักและธีมการลงทุนอาจมีการเปลี่ยนแปลงได้ตามความเหมาะสม การลงทุนในกองทุนรวมต่างประเทศมีความเสี่ยงจากอัตราแลกเปลี่ยน ซึ่งอาจทำให้ได้รับเงินคืนต่ำกว่าเงินลงทุนเริ่มแรก กองทุนรวมต่างประเทศมีนโยบายป้องกันความเสี่ยงด้านอัตราแลกเปลี่ยนตามดุลยพินิจของผู้จัดการกองทุน โดยปัจจุบันกองทุน ABGFIX ไม่ใช้เครื่องมือป้องกันความเสี่ยงด้านอัตราแลกเปลี่ยน